Categories
บทความแปล

เมื่อต้องฝ่าพายุชีวิต

JesusCalmsTheStorm

ตอนนี้คุณกำลัง “ฝ่าพายุชีวิต” อยู่หรือเปล่า? ผมหมายถึงคุณกำลังเผชิญวิกฤติบางอย่าง หรือโศฏนาฏกรรมที่ไม่คาดฝันหรือ?

คุณสูญเสียความหวังใจไปหรือยัง?

วันหนึงพระเยซูตรัสกับสาวกว่า “ให้พวกเราข้ามไปฟากข้างโน้นเถิด” (อีกฝั่งทะเลกาลิลี) ชาวประมงคร่ำหวอดพวกนี้ จึงทำในสิ่งที่ทำมาเป็นร้อยๆครั้ง ลงเรือและเริ่มพายไป ขณะที่พระเยซูลงไปด้านท้ายเรือเพื่อไปนอนพักหลังจากเหน็ดเหนื่อย

ทันใดนั้นเกิดพายุฝน และลมพัดกระหน่ำ ทำให้ทะลเหมือนบ้าคลั่ง รุนแรงจนชาวประมงพวกนี้เริ่มตกใจกลัว พวกเขาปลุกพระเยซูและพูดทำนองตำหนิว่า “…ท่านไม่เป็นห่วงบ้างหรือ?” พระเยซูทรงอดทนต่อคำบ่นของพวกเขา และทรงห้ามลมพายุ มันก็หยุดทันที และตรัสกับพวกเขาว่า “ทำไมเจ้ากลัว เจ้าไม่มีความเชื่อหรือ” (ดูมาระโก 4:35-40)

คำแปลที่น่าจะดีกว่าคือ “ทำไมถึงได้กลัวนัก เจ้าที่ขี้ขลาดทั้งหลาย?” พระเยซูตรัสว่า “หนุ่มๆ ยังไม่เรียนรู้อะไรอีกหรือ?” ที่พระองค์บอกพวกเขาคือ “ให้พวกเราข้ามไปฟากข้างโน้นเถิด” พระองค์ไม่ได้บอกว่า “ให้พวกเราไปที่กลางทะเลกาลิลี และจมน้ำตายด้วยกันเถิด” ถ้าพระองค์ตรัสเช่นนั้น พวกเขาคงต้องตื่นกลัวไปตามๆกัน

พระเยซูไม่ได้สัญญาว่าจะล่องเรือไปบนทะเลที่สงบราบเรียบ แต่ทรงสัญญาว่าจะไปถึงที่อย่างปลอดภัย ผมอยู่ในพายุกับพระเยซูดีกว่าอยู่ที่อื่นๆโดยไม่มีพระองค์ ดังนั้นถ้าคุณกำลังอยู่ในพายุชีวิต คำแนะนำของผมคือ จำไว้ว่า พระเยซูจะ “พาคุณไปจนถึงอีกฝั่ง” วางใจพระองค์  เพราะพระองค์จะไม่ทอดทิ้งหรือทำให้คุณตกต่ำลง วางใจในพระสัญญานี้ได้ เพราะพระองค์เองทรงสัญญาไว้ว่า “…เราจะไม่ละท่านหรือทอดทิ้งท่านเลย” (ฮีบรู 13:5)

โดย: Pastor Greg Laurie

อนุญาตโดย : Harvest Ministries with Greg Laurie

PO Box 4000,Riverside,CA9251

 

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียน 1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ (บทที่ 2)

สถานการณ์พลิกผัน!  

พระธรรม                1พงศ์กษัตริย์ 1:28-53

อ้างอิง                      1พศด.29:22 ข – 25

บทนำ                       อาโดนียาห์คิดว่า ตัวเองจะได้เป็นกษัตริย์องค์ใหม่แทนกษัตริย์ดาวิดแน่ ๆ แต่สถานการณ์กลับพลิกผันทำให้ซาโลมอนได้เป็นกษัตริย์แทน

ชีวิตของเราก็เช่นกัน ทุกอย่างอาจไม่เป็นตามแผนหรือตามที่คิด ดังนั้น เราควรอเดินตามวิถีของพระเจ้าด้วยความถ่อมใจอย่างใจเย็น จะปลอดภัยและเกิดผลดีมากกว่า

บทเรียน

1:28 “แล้ว พระราชาดาวิดตรัสตอบว่า “จงเรียกบัทเชบามาหาเรา” พระนางก็เสด็จเข้ามาเฝ้าเฉพาะพระพักตร์พระ

       ราชา และทรงยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระราชา

       (Then King David answered, “Call Bathsheba to me.” So she came into the king’s presence and

       stood before the king. )

1:29 “แล้ว พระราชาทรงปฏิญาณว่า “พระยาห์เวห์ผู้ทรงไถ่ชีวิตของเราจากความทุกข์ยากทั้งสิ้น ทรงพระชนม์อยู่

     แน่ฉันใด

       (And the king swore, saying, “As the Lord lives, who has redeemed my soul out of every

      adversity,)

1:30 “วัน นี้เราก็จะทำอย่างที่ได้ปฏิญาณต่อเจ้า ในพระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลฉันนั้น คือว่า

       ‘ซาโล มอนลูกของเจ้าจะเป็นกษัตริย์ต่อจากเราแน่นอน และจะนั่งบนบัลลังก์ของเราแทนเรา’ เราจะทำอย่าง

     นั้นวันนี้แหละ

       (as I swore to you by the Lord, the God of Israel, saying, “Solomon your son shall reign after me,   

       and he shall sit on my throne in my place,” even so will I do this day.”)

1:31 “แล้ว พระนางบัทเชบาก็ซบพระพักตร์ลงถึงดิน ถวายบังคมพระราชา และทูลว่า “ขอพระราชาดาวิดเจ้านาย

      ของหม่อมฉันทรงพระเจริญเป็นนิตย์

        (Then Bathsheba bowed with her face to the ground and paid homage to the king and said,

       “May  my lord King David live forever!” )

1: 32 “พระราชา ดาวิดมีรับสั่งว่า “จงเรียกศาโดกปุโรหิต และนาธันผู้เผยพระวจนะ กับเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดามา

      หาเรา” เขาทั้งหลายจึงเข้ามาเฝ้าเฉพาะพระพักตร์พระราชา

       (King David said, “Call to me Zadok the priest, Nathan the prophet, and Benaiah the son of

       Jehoiada.” So they came before the king.)

1:33 “และ พระราชาตรัสสั่งเขาทั้งหลายว่า “จงพาข้าราชการของนายพวกเจ้า ไปจัดให้ซาโลมอนลูกของเราขึ้นขี่ล่อ

     ของเรา และนำเขาลงไปที่น้ำพุกีโฮน

       (And the king said to them, “Take with you the servants of your lord and have Solomon my son

        ride on my own mule, and bring him down to Gihon.)

1:34 “และ ให้ศาโดกปุโรหิตและนาธันผู้เผยพระวจนะเจิมตั้งเขาเป็น กษัตริย์เหนืออิสราเอลที่นั่น แล้วท่านทั้งหลาย

      จงเป่าเขาสัตว์ และประกาศว่า ‘ขอพระราชาซาโลมอนทรงพระเจริญ’”

       (And let Zadok the priest and Nathan the prophet there anoint him king over Israel. Then blow

       the trumpet and say, “Long live King Solomon!”)

1:35 “แล้ว ท่านทั้งหลายจงติดตามเขาขึ้นมา และเขาจะมานั่งบนบัลลังก์ของเรา เพราะเขาจะเป็นกษัตริย์แทนเรา

        เราได้ตั้งเขาให้เป็นผู้ครอบครองเหนืออิสราเอลและยูดาห์

                  (You shall then come up after him, and he shall come and sit on my throne, for he shall be king

                  in my place. And I have appointed him to be ruler over Israel and over Judah.” )

1:36 “และ เบไนยาห์บุตรเยโฮยาดาได้กราบทูลตอบพระราชาว่า “อาเมน ขอพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งพระราชา เจ้า

      นายของข้าพระบาท ตรัสดังนั้นเทอญ

                  (And Benaiah the son of Jehoiada answered the king, “Amen! May the Lord, the God of my lord

                 the king, say so. )

1:37 “พระยา ห์เวห์สถิตกับพระราชาเจ้านายของข้าพระบาทมาแล้วอย่างไร ก็ขอสถิตกับซาโลมอนอย่างนั้น และ

     ขอทรงทำให้บัลลังก์ของซาโลมอนใหญ่ยิ่งกว่าบัลลังก์ของ พระราชาดาวิดเจ้านายของข้าพระบาท

                (As the Lord has been with my lord the king, even so may he be with Solomon, and make his

                throne greater than the throne of my lord King David.” )

1:38 “ดังนั้น ศาโดกปุโรหิต นาธันผู้เผยพระวจนะ และเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดา และคนเคเรธีกับคนเปเลท ได้ลงไป

     จัดให้ซาโลมอนประทับบนล่อทรงของพระราชาดาวิด และได้นำท่านมาถึงน้ำพุกีโฮน

                 (So Zadok the priest, Nathan the prophet, and Benaiah the son of Jehoiada, and the Cherethites

                 and the Pelethites went down and had Solomon ride on King David’s mule and brought him to

                Gihon.)

1:39 “แล้ว ศาโดกปุโรหิตได้นำเขาสัตว์ที่บรรจุน้ำมันมาจากเต็นท์ของ พระเจ้า และเจิมตั้งซาโลมอนไว้ และเขาทั้ง

      หลายก็เป่าเขาสัตว์ และประชาชนทั้งปวงกล่าวว่า “ขอพระราชาซาโลมอนทรงพระเจริญ

                  (There Zadok the priest took the horn of oil from the tent and anointed Solomon. Then they blew

                 the trumpet, and all the people said, “Long live King Solomon!” )

1:40 “และ ประชาชนทั้งปวงก็ตามเสด็จขึ้นไป พร้อมกับเป่าขลุ่ยและเปรมปรีดิ์ยิ่งนัก จนแผ่นดินสะเทือนเพราะ

      เสียงของเขาทั้งหลาย

                  (And all the people went up after him, playing on pipes, and rejoicing with great joy, so that the

                  earth was split by their noise. )

1:41 “เมื่อ อาโดนียาห์และบรรดาแขกที่อยู่กับท่านรับประทานเสร็จแล้ว ก็ได้ยินเสียงนั้น และเมื่อโยอาบได้ยินเสียง

     เขาสัตว์ ก็พูดว่า “ทำไมพระนครจึงมีเสียงอึกทึกครึกโครม?”

                (Adonijah and all the guests who were with him heard it as they finished feasting. And when Joab  

                heard the sound of the trumpet, he said, “What does this uproar in the city mean?” )

1:42 “ขณะ ที่เขากำลังพูดอยู่ นี่แน่ะ โยนาธานบุตรอาบียาธาร์ปุโรหิตก็มาถึง และอาโดนียาห์ก็กล่าวว่า “เข้ามาเถิด        

       เพราะเจ้าเป็นคนดี และคงนำข่าวดีมา

                 (While he was still speaking, behold, Jonathan the son of Abiathar the priest came. And Adonijah

                 said, “Come in, for you are a worthy man and bring good news.” )

1:43 “โยนาธาน กราบเรียนอาโดนียาห์ว่า “ไม่ใช่ข่าวดี เพราะพระราชาดาวิดเจ้านายของพวกเราได้ทรงให้ซาโล

      มอนเป็น กษัตริย์

                 (Jonathan answered Adonijah, “No, for our lord King David has made Solomon king, )

1:44 “และ พระราชามีรับสั่งให้ศาโดกปุโรหิต นาธันผู้เผยพระวจนะ และเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดากับคนเคเรธีและ

      คนเปเลทตาม ซาโลมอนไป และเขาทั้งหลายก็จัดให้ซาโลมอนประทับบนล่อทรงของพระราชา

                  (and the king has sent with him Zadok the priest, Nathan the prophet, and Benaiah the son of  

                  Jehoiada, and the Cherethites and the Pelethites. And they had him ride on the king’s mule. )

1:45 “และ ศาโดกปุโรหิตกับนาธันผู้เผยพระวจนะได้เจิมตั้งซาโลมอน เป็นกษัตริย์ ณ น้ำพุกีโฮน และเขาทั้งหลายก็

     ขึ้นมาจากที่นั่นด้วยความเปรมปรีดิ์ เพราะฉะนั้นในกรุงจึงอึกทึกครึกโครม นี่เป็นเสียงที่ท่านทั้งหลายได้ยิน

                 (And Zadok the priest and Nathan the prophet have anointed him king at Gihon, and they have

                  gone up from there rejoicing, so that the city is in an uproar. This is the noise that you have

                  heard. )

1:46 “นอกจากนี้ซาโลมอนได้ประทับบนพระราชบัลลังก์ด้วย

                 (Solomon sits on the royal throne. )

1:47 “และ ยิ่งกว่านั้นอีก พวกข้าราชการของพระราชาก็เข้าไปถวายพระพรแด่พระราชาดาวิด เจ้านายของพวกเรา

     ว่า ‘ขอพระเจ้าของฝ่าพระบาททรงทำให้พระนามของซาโลมอนเลื่องลือ ไปยิ่งกว่าพระนามของฝ่าพระบาท

       และขอทรงทำให้บัลลังก์ของซาโลมอนยิ่งใหญ่กว่าบัลลังก์ของ ฝ่าพระบาท’ แล้วพระราชาก็โน้มพระกายลง

            บนแท่นบรรทม
(Moreover, the king’s servants came to congratulate our lord King David, saying, “May your God

                 make the name of Solomon more famous than yours, and make his throne greater than your  

                 throne.” And the king bowed himself on the bed. )

1:48 “และ พระราชาก็ตรัสด้วยว่า ‘สาธุการแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอล ผู้ประทานคนหนึ่งให้นั่งบนบัลลังก์

    ของเราในวันนี้ และตาของเราเองได้เห็นแล้ว’ ”

                (And the king also said, “Blessed be the Lord, the God of Israel, who has granted someone to sit

                on my throne this day, my own eyes seeing it.” )

1:49 “แล้วแขกทั้งปวงของอาโดนียาห์ก็กลัวจนตัวสั่นและลุกขึ้น ต่างคนต่างไปตามทางของตน

                 (Then all the guests of Adonijah trembled and rose, and each went his own way. )

1:50 “ส่วนอาโดนียาห์ก็กลัวซาโลมอน จึงลุกขึ้นไปจับเชิงงอนของแท่นบูชา

                 (And Adonijah feared Solomon. So he arose and went and took hold of the horns of the altar. )

1:51”มี คนไปกราบทูลซาโลมอนว่า “ดูสิ อาโดนียาห์กลัวพระราชาซาโลมอน เพราะนี่แน่ะ ท่านจับเชิงงอนที่แท่น

    บูชาอยู่ กล่าวว่า ‘ขอพระราชาซาโลมอนได้ปฏิญาณแก่ข้าพเจ้าก่อนว่า จะไม่ทรงประหารผู้รับใช้ของท่านด้วย

    ดาบ’ ”

                (Then it was told Solomon, “Behold, Adonijah fears King Solomon, for behold, he has laid hold of

                the horns of the altar, saying, “Let King Solomon swear to me first that he will not put his servant  

                 to death with the sword.” )

1:52 “และ ซาโลมอนตรัสว่า “ถ้าแม้เขาสำแดงตัวได้ว่าเป็นคนดี ผมสักเส้นเดียวของเขาจะไม่ตกลงยังพื้นดิน แต่ถ้า

     พบความอธรรมอยู่ในตัวเขา เขาจะต้องถึงแก่ความตาย

                 (And Solomon said, “If he will show himself a worthy man, not one of his hairs shall fall to the

                 earth, but if wickedness is found in him, he shall die.” )

1:53 “พระราชา ซาโลมอนทรงใช้คนไปนำท่านลงมาจากแท่นบูชา และท่านก็มากราบลงต่อพระราชาซาโลมอน

       และซาโลมอนตรัสกับท่านว่า “จงกลับไปวังของท่านเถิด

                 (So King Solomon sent, and they brought him down from the altar. And he came and paid

                 homage to King Solomon, and Solomon said to him, “Go to your house.” )

 

ข้อมูลมีประโยชน์

1:28     “บัทเชบา” (Bathsheba) = มเหสีที่ดาวิดได้มาจากการผิดประเวณีและเป็นมารดาของซาโลมอน -2ซมอ.11:3;12:24;1พศด.3:5

1:29     “ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด” (As the Lord lives) -2ซมอ.4:9

1:30     “จะทำอย่างที่ได้ไปปฏิญาณต่อเจ้า” (as I swore to you by the Lord) -1พกษ.1:13;1พศด.23:1

1:31     “ขอพระราชาดาวิดเจ้านายของหม่อมฉันทรงพระเจริญเป็นนิตย์” (“May my lord King David live forever!”)  = บัทเชบาแสดงการขอบคุณและใช้ภาษาตามแบบราชสำนัก – นหม.2:3;ดนล.2:4;3:9; 5:10;6:21

1:32     “ศาโดกปุโรหิต” ( Zadok the priest) -1ซมอ.2:35 1:33     “ข้าราชการของนายพวกเจ้า” (the servants of your lord)   = ข้าราชบริพารของเรา –น่าจะรวมทั้งคน  เคเรธี และคนเปเลท (ข.38 )

“ขี่ล่อของเรา” (ride on my own mule) –วนฉ.10:4;ศคย.9:9  = แม้ว่าการผสมพันธุ์สัตว์ต่างชนิดจะถูกกล่าวห้ามไว้ในบทบัญญัติของโมเสส (ลนต.19:19) แต่ล่อก็ถูกนำมาใช้งานในยุคของดาวิด เป็นพาหนะของราชวงศ์ (2ซมอ.13:29;18:9)

-การที่ดาวิดอนุญาตให้ซาโลมอนขี่ล่อของพระองค์เท่ากับเป็นการประกาศต่อสาธารณชนทั้งหลายให้ทราบ

ว่า ดาวิดสนับสนุนให้ซาโลมอนเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ (ปฐก.41:43;อสธ.6:-7-8)

“น้ำพุกีโฮน” (Gihon) = น้ำพุที่เชิงเขาด้านตะวันออกของภูเขาศิโยน (ข.9;2ซมอ.5:8) -1พกษ.1:33,38;

2พศด.32:30;33:14

1:34     “เจิมตั้งเขาเป็นกษัตริย์” (there anoint him king over Israel) -1ซมอ.2:10;9:16

“จงเป่าเขาสัตว์” (Then blow the trumpet); “จงเป่าแตร” (2พกษ.9:13;2ซมอ.15:10;20:1)

“ขอพระราชาซาโลมอนทรงพระเจริญ”  (“Long live King Solomon!”) –ข.25

1:35     “เหนืออิสราเอลและยูดาห์” (over Israel and over Judah) -ความแตกต่างระหว่างอิสราเอลกับยูดาห์มีรากฐานมาจากการแยกส่วนกันในสมัยที่ดาวิดได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ใน 2 ซมอ.2:4;5:3

1:36     “อาเมน ขอพระยาห์เวห์พระเจ้า… ตรัสดังนั้นเทอญ”  (Amen! May the Lord, the God of my lord the king, say so) –ยรม.28:6

1:37     “ขอสถิตกับ” (may be with)-ยชว.1:5,17;  “ใหญ่ยิ่งกว่า” (greater than) = ไม่ได้ดูถูกความยิ่งใหญ่ของดาวิด แต่เป็นการแสดงความภักดีทั้งต่อดาวิดและซาโลมอน และแสดงความเห็นด้วยกับการที่ดาวิดเลือกผู้สืบทอดบัลลังก์ (1พกษ.1:47-48)

1:38     “ศาโดกปุโรหิต” (Zadok the priest) -2ซมอ.8:18

1:39     “ศาโดกนำเขาสัตว์ที่บรรจุน้ำมัน” (There Zadok the priest took the horn of oil) –อพย.29:7;1ซมอ.10:1;2พกษ.11:12;สดด.89:20 , ปท.อพย.30:22-33     “เจิมตั้งซาโลมอน” (anointed Solomon)  = กษัตริย์ซึ่งพระเจ้าทรงเลือกให้ปกครองหากไม่ได้สืบทอดตามลำดับราชวงศ์จะแต่งตั้งโดยผู้เผยพระวจนะ (ตัวอย่าง ซาอูล – 1ซมอ.9:16; ดาวิด – 1ซมอ.16:2  เยฮู – 2พกษ.9)  ส่วนกษัตริย์ที่สืบทอดตำแหน่งตามลำดับราชวงศ์จะแต่งตั้งโดยปุโรหิต

ตย. ซาโลมอน (ตอนนี้) ; โยอาช – 2พกษ.11:12

ความแตกต่างที่สังเกตได้

  1. ปุโรหิตทำงานภายใต้ระบบที่ตั้งไว้แล้ว   2. ผู้เผยพระวจนะมักจะเป็นผู้เปิดเผยแผนการใหม่ของพระเจ้า

“เป่าเขาสัตว์” (Then they blew the trumpet,) -2ซมอ.15:10;2พกษ.11:14

“ประชาชนทั้งปวงกล่าวว่า” (all the people said )

= คนทั้งปวงโห่ร้อง  -กดว.23:21;1พกษ.1:34;สดด.47:5;ศคย.9:9

1:40     “เป่าขลุ่ย” (playing on pipes,)   -1ซมอ.10:5

1:41     “ก็ได้ยินเสียงนั้น” (heard the sound of the trumpet) = อาจมองไม่เห็นน้ำพุกีโฮนจากจุดที่พวกเขาอยู่(เอนโรเกล) แต่ระยะทางคงไม่ไกลจากกันมากนัก เสียงจึงดังอึกทึกครึกโครมไปถึงหุบเขาขิดโรน  -2พศด.23:12-13

1:42     “โยนาธานบุตรอาบียาธาร์ปุโรหิต” (Jonathan the son of Abiathar the priest) -2ซมอ.17:17-21

“อาบียาธาร์” -1พกษ.2:26;1ซมอ.22:20-23;1พกษ.1,2,4;1พศด.15:11;18:16;24:6;27;34;2ซมอ.15;24)

1:45    “ในกรุงจึงอึกทึกครึกโครม” (the city is in an uproar)  -1พกษ.1:40

1:46     “ซาโลมอนได้ประทับบนพระราชบัลลังก์ด้วย” (Solomon sits on the royal throne)   -ฉธบ.17:18

1:47     “เลื่องลือไปยิ่งกว่า” (more famous than)  และ “ยิ่งใหญ่กว่า”  (greater than)  -1พกษ.1:37

1:48     “ประทานคนหนึ่งให้นั่งบนบัลลังก์” ( has granted someone to sit) = “ทายาท” -1พกษ.3:6

1:49     “ต่างคนต่างไปตามทางของตน” (and each went his own way.)  = หนีกันไปคนละทิศละทาง

= ไม่มีใครต้องการร่วมปฏิบัติกับอาโดนียาห์อีกต่อไปเพราะว่าล้มเหลวแล้ว

1:50     “จับเชิงงอนของแท่นบูชา” (took hold of the horns of the altar.)   -เชิงงอนของแท่นบูชายื่นออกมาเป็นแนวตั้งจากแต่ละมุม แนวความคิดเรื่องเข้าลี้ภัยที่แท่นบูชานี้มีมาตั้งแต่ในหนังสือเบญจบรรณ (หนังสือ 5 เล่มแรกในพระคัมภีร์เดิม ; อพย.21:13-14) ปุโรหิตจะป้ายเลือดของสัตวบูชาลงที่เชิงงอนของแท่นบูชา (อพย.29:12;ลนต.4:7,18,23,30,34)  -ในตอนนี้ อาโดนียาห์ต้องการฝากชีวิตไว้ภายใต้การคุ้มครองของท่าน

1:52     “ถ้าแม้เขาสำแดงตัวได้ว่าเป็นคนดี” (If he will show himself a worthy man,)   = การยอมรับและยอมจำนนต่อตำแหน่งและสิทธิอำนาจของซาโลมอนในฐานะกษัตริย์

“ผมสักเส้น” (hairs)   -1ซมอ.14:45

“แต่ถ้าพบความอธรรมในตัวเขา”  (but if wickedness is found in him, )  = หากพบสิ่งที่ไม่ดีในตัวของเขา  = ยังคงคิดต่อต้นโซโลมอนในการสืบทอดบัลลังก์

คำถามนำอภิปราย

  1. ถ้าให้คุณพรรณนาถึงพระลักษณะของพระเจ้าที่คุณมีประสบการณ์เป็นส่วนตัว คุณจะกล่าวถึงพระองค์ว่าอย่างไร? ทำไม?
  2. คุณเคยสัญญาที่จะกระทำอะไรในนามของพระเจ้า แล้ว……………………………………………………………….

1)      ไม่ได้ทำตามเลยในเรื่อง……………………………………………………………………………………………….. ผลก็คือ…………………………………………………………………………………………………………………….

2)      ไม่ได้ทำตามตอนแรก แต่มาทำตามภายหลังในเรื่อง……………………………………………………………. ผลคือ……………………………………………………………………………………………………………………….

3)      ทำตาม ในเรื่อง…………………………………………………..ผลคือ……………………………………………….

  1. คุณคิดว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ซาโลมอนได้เป็นกษัตริย์ต่อจากดาวิด?  และทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?  เรื่องนี้มีบทเรียนหรืออุทาหรณ์อะไรสอนคุณเป็นพิเศษบ้าง?  (แบ่งปัน)
  2. ถ้าคุณเป็นอาโดนียาห์ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้สอนบทเรียนอะไรแก่คุณบ้าง? หากย้อนเวลากลับคืนไปได้ คุณอยากเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง?  ทำไม?
  3. คุณเคยคิดคำนวณและเลือกเข้าข้างผิดบ้างหรือไม่?  ใน

1)      เรื่องธุรกิจ/อาชีพ……………………………………………………………………………………………………

2)      เรื่องครอบครัว และความรัก…………………………………………………………………………………….

3)      เรื่องการรับใช้………………………………………………………………………………………………………

4)      เรื่องการเรียน/การศึกษา…………………………………………………………………………………………

5)      อื่น ๆ คือ …………………………………………………………………………………………………………….

แล้วผลเป็นอย่างไร? ……………………………………………………………………………………………….

(ถ้าเกิดผลไม่ดี คุณแก้ไขอย่างไรบ้าง? แล้วสุดท้ายคืออะไร?)

  1. คุณเคยกลัวสุดขีดในชีวิตเรื่องอะไร? แล้วคุณเอาตัวรอดมาได้อย่างไร?
  2. คุณเคยได้รับโอกาสที่ 2 ในชีวิตในเรื่องใดที่สำคัญยิ่งต่อชีวิตของคุณ?   อย่างไร?

    -ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

    twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

Categories
บทความแปล

เลือกไว้ก่อนปฐมกาล

Chose before creation

“ในพระเยซูคริสต์นั้น พระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะทรงเริ่มสร้างโลก เพื่อเราจะบริสุทธิ์และปราศจากตำหนิในสายพระเนตรของพระองค์” (เอเฟซัส 1:4)

รู้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงเลือกคุณก่อนจะวางฐานโลก? คุณพูดกันถึง “ศาสนายุคโบราณ” พี่น้องครับ ผมอยากบอกว่าคุณไม่อาจย้อนไปไกลกว่านั้น ก่อนที่จะมีต้นไม้ ภูเขา นก หรือผึ้ง – พระเจ้าได้เลือกคุณไว้ให้เป็นบุตรของพระองค์

ชารลส์ แฮดดอน สเปอร์เจียน กล่าวว่า “พระเจ้าคงต้องเลือกผมไว้ก่อนเกิดมาในโลกนี้แน่ๆ เพราะถ้าหลังจากนั้นคงจะไม่เลือกผมแน่นอน” แปลว่าคุณและผมไม่อาจอ้างสิ่งใดได้ในเรื่องความรอด หนังสือ 1ยอห์น 4:19 กล่าวว่า เราทั้งหลายรัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน”

มีคนถามเด็กผู้ชายตัวเล็กๆว่า “หนูเจอพระเจ้าหรือยัง?” เด็กตอบว่า “อ้าว ไม่ยักรู้ว่าพระองค์หายไป” เป็นเรื่องน่ายินดีที่พระเจ้าทรงเลือกเราก่อน เพื่อให้เราสามารถเลือกพระองค์ได้

ถึงแม้การทรงเลือกนั้นลึกล้ำเกินกว่าเราจะเข้าใจ แต่เป็นสิ่งที่สร้างความมั่นใจให้แก่จิตใจผู้เชื่อ ยอมให้พระคำพระเจ้าสอนให้คุณรู้ว่าการถูกเลือกนั้นมีความหมายอย่างไร อ่านมัทธิว  20:16, 24:22; ลูกา 10:20; ยอห์น 6:37-39; โรม 8:28-39; 1โครินธ์ 1:26-31; เอเฟซัส 1:9-11;  2ทิโมธี 1:9

โดย: Pastor Adrian Rogers’ Daily devotional

อนุญาตโดย: Love worth finding Ministries: www.lwf.org

 

 

Categories
บทความแปล

คุณมีแผนจะทำสิ่งใดในวันแม่?

วันแม่

จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า เพื่ออายุของเจ้าจะได้ยืนนานบนแผ่นดิน ซึ่งพระเจ้าของเจ้าประทานให้แก่เจ้า” (อพยพ 20:12)

พระคัมภีร์กล่าวว่า “จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า” ดังนั้นเมื่อวันแม่หรือวันพ่อเวียนมาถึง เราต้องเชื่อฟังทำตามพระวจนะ คุณสามารถให้เกียรติแก่บิดามารดาได้สามแบบ – เชื่อฟังท่านเมื่อเรายังเด็ก ดูแลเอาใจใส่เมื่อท่านแก่ชรา และให้เกียรติท่านตลอดเวลา แล้วเราจะให้เกียรติท่านอย่างไร?

  • แสดงความเคารพท่าน
  • แสดงความกตัญญู และขอบคุณ เรียนรู้ที่จะมีสำนึกในพระคุณของท่าน – คุณเคยขอบคุณท่านในสิ่งที่ทำเพื่อพวกคุณหรือไม่?
  • ฟังคำแนะนำของท่าน
  • สำแดงความรักแก่พวกท่าน คิดถึงสิ่งที่เราเป็นหนี้ท่าน ท่านให้ชีวิตคุณ ผมแน่ใจว่าสิ่งที่ใกล้เคียงกับความรักของพระเจ้ามากที่สุดคือความรักของแม่

วันนี้คุณควรนั่งลงและเขียนจดหมายถึงคุณพ่อคุณแม่ของคุณ บอกท่านว่าคุณรู้สึกสำนึกในพระคุณแค่ไหน

ผมอยากจะบอกคุณว่า พวกเขาจะอ่านซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้เบื่อ และเมื่อท่านตายจากไป และคุณไปจัดการกับสิ่งของๆท่าน คุณจะพบจดหมายฉบับนี้เก็บไว้อย่างดีในที่เก็บพิเศษของท่าน

ทำเสียดีกว่าเสียดายที่ไม่ได้ทำ ถ้าพ่อแม่ของคุณจากไปแล้ว เกียรติแก่ท่านและขอบคุณพระเจ้าสำหรับความทรงจำดีๆที่มีให้ท่าน

  โดย: Pastor Adrian Rogers’ daily devotional

Love worth finding ministries: www.lwf.org

Categories
สารจากศบ.

สารจากศิษยาภิบาล

                                          11 สิงหาคม 2013

สวัสดีครับพี่น้อง CJ ที่รัก

ขอพระเจ้าทรงเป็นเอกเป็นหนึ่งในท่ามกลางพวกเรา!

ขอบคุณพระเจ้าที่อาทิตย์ที่แล้วมีผู้ประกาศตัวติดตามพระคริสต์อย่างกล้าหาญคือ คุณปัท

วันนี้ มีการเรียนพระคัมภีร์ตอนบ่ายที่ CJ นี้ สอนโดย อ.อู๊ด ผู้ใดอยู่เรียนได้ ขอให้รีบฉวยโอกาสนะครับ!

สำหรับผมในเวลาเดียวกันจะอบรมผู้ที่ต้องการเป็นพี่เลี้ยง (สร้างสาวก) หรือ Buddy” ผู้เชื่อใหม่ ให้เติบโตในพระเจ้าด้วยกันอย่างต่อเนื่องเป็นระบบ โดยมี Commitment 1 ปี ในหลักสูตร “ปฏิบัติการทวีคูณ” (Operation Multiplication) ผู้ใดสนใจแจ้งคุณแดง เพราะต้องซื้อหนังสือ 1 ชุด ราคา 300 บาท

ผู้ต้องการรับบัพติศมารุ่นต่อไปเดือนกันยายนนี้ แจ้งชื่อได้ที่คุณเอ๋

เรื่องต่อไปเป็นเรื่องสำคัญยิ่งต้องขอแจ้งสมาชิกก็คือว่า คณะผู้อภิบาลคริสตจักรได้ประชุมและอธิษฐานร่วมกันเกี่ยวกับสถานที่นมัสการมานานแล้ว และบัดนี้มีมติเอกฉันท์ ให้ย้ายที่นมัสการจากที่ซอย 16 เป็นที่ซอย 36  โดยจะมีการย้ายสถานที่นมัสการไปที่ “โรงเรียนนานาชาติตรีนิตี้” (Trinity International School) เพราะจะช่วยตอบสนองความต้องการของ CJ ของเราในเรื่องต่อไปนี้

  1. ที่จอดรถ (จอดรถได้ 40-50 คัน)
  2. ห้องเรียนพระคัมภีร์
  3. ห้องเรียนรวีวารศึกษา –เด็ก
  4. สถานที่ทำกิจกรรม (มีสนามบาส 2 สนาม)
  5. มีห้องทำกิจกรรมหลากหลาย
  6. มีห้อง office สำหรับโบสถ์
  7. มีห้องนมัสการที่กว้างขึ้น (และกึ่งถาวร)
  8. ระยะทางจากปากซอยเข้าไปที่โบสถ์เพียง 300 -400 เมตร
  9. มีสถานีรถไฟฟ้าทองหล่ออยู่หน้าปากซอยพอดี

และที่พิเศษก็คือ เจ้าของสถานที่ ถวายให้ใช้สถานที่ โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น

ซึ่งถ้าหากไม่มีปัญหาใด ๆ ทาง CJ ของเราอาจมีแผนการที่จะเคลื่อนย้ายในราวปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า โดยชั้นเรียนพระคัมภีร์วันพฤหัสอาจะลองไปใช้สถานที่ในราว ๆ เดือนกันยายนนี้ก่อน!

จึงขอพี่น้องอธิษฐานเผื่อ และเสนอแนะความคิดอันเป็นประโยชน์ต่อคริสตจักรด้วย

เวลานี้ต้องการความช่วยเหลือจากสถาปนิกให้ออกแบบ/ปรับปรุงห้องนมัสการ และผู้รับเหมา หากสมาชิกท่านใดช่วยได้ กรุณาติดต่อแจ้งได้ที่ คุณอู๊ด คุณฟั่น หรือผมโดยด่วนครับ ขอบคุณ!

ขอพระเจ้าอวยพระพรสมาชิกและคริสตจักร CJ ของเราในการนมัสการและการรับใช้อย่างมากล้น

ด้วยรักและผูกพัน

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (ศิษยาภิบาล)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

การบังคับตน

dog self-control

การประกาศความศรัทธาในพระคริสต์อย่างกล้าหาญ และการรู้จักบังคับตนให้ถวายเกียรติแด่พระเจ้าเป็นหลักฐานหนึ่งที่บ่งบอกว่า เรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในชีวิตของเรา! เพราะว่าการรู้จักบังคับตนเป็นส่วนหนึ่งในผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์

“ส่วน​ผล​ของ​พระวิญญาณ​นั้น คือ​ความ​รัก ความ​ยินดี สันติสุข ความ​อดทน ความ​กรุณา ความ​ดี ความ​ซื่อสัตย์ ความ​สุภาพ​อ่อนโยน การ​รู้จัก​บังคับ​ตน เรื่อง​อย่างนี้​ไม่​มี​ธรรม​บัญญัติ​ห้าม​ไว้​เลย”    (กท.5:22-23)

การรู้จักบังคับตนนี้เกี่ยวข้องกับทุกส่วนในชีวิตของเรา ทั้ง

1.ความคิด – “และ​ความ​เย่อ‌หยิ่ง​ทุก​รูป​แบบ​ที่​ตั้ง‌ตัว​ขึ้น​ขัด‌ขวาง​ความ​รู้​ของพระ‌เจ้า และ​จะ​ยึด​กุม​ความ​  คิด​ทุก​ประ‍การ​ให้​มา​เชื่อ​ฟัง​พระ‌คริสต์” (2คร.10:15)

 2.ความรู้สึก/ความอยาก – “ให้​ท่าน​ทุก‌คน​รู้‌จัก​บัง‌คับ​ร่างกาย​ของ​ตน​ใน​ทาง​บริ‍สุทธิ์ และ​ใน​ทาง​ที่​มี​เกียรติ ไม่​ใช่​ด้วย​รา‍คะ‌ตัณ‍หา​เหมือน​อย่าง​คน​ต่าง​ชาติ​ที่​ไม่​รู้‌จัก​พระ‌เจ้า” (1ธส.4:4-5)

     “ท่าน​ที่‌รัก​ทั้ง‌หลาย ข้าพ‍เจ้า​ขอร้อง​พวก​ท่าน ผู้​เป็น​คน​แปลก​ถิ่น​และ​คน​ต่าง‌ด้าว ให้​เว้น​จาก​ตัณ‍หา​ของ​เนื้อ‌หนัง ซึ่ง​ต่อ‌สู้​กับ​วิญ‍ญาณ​จิต” (1ปต.2:11)

  3.การพูดจา (วาจา) – “ข้าพ‍เจ้า​ได้​กล่าว​ว่า “ข้าพ‍เจ้า​จะ​ระ‍แวด‌ระวัง​ทาง​ของ​ข้าพ‍เจ้า เพื่อ​ข้าพ‍เจ้า​จะ​ไม่​ทำ​บาป​ด้วย​ลิ้น​ของ​ข้าพ‍เจ้า ข้าพ‍เจ้า​จะ​ใส่​บัง‍เหียน​ที่​ปาก​ของ​ข้าพ‍เจ้า ขณะ​ที่​คน​อธรรม​อยู่​ต่อ​หน้า​ข้าพ‍เจ้า”(สดด. 39:1)

     “เพราะ‌ว่า​สัตว์​ทุก‌ชนิด ทั้ง​นก ทั้ง​สัตว์​เลื้อย‌คลาน​และ​สัตว์​ใน​ทะเล​นั้น​ทำ​ให้​เชื่อง​ได้ และ​มนุษย์​ทำ​ให้​พวก​มัน​เชื่อง​มา​แล้ว แต่​ลิ้น​นั้น​ไม่​มี​มนุษย์​คน​ไหน​สามา‍รถ​ทำ​ให้​เชื่อง​ได้ ลิ้น​เป็น​สิ่ง​ชั่ว‌ร้าย​ที่​อยู่​ไม่​สุข​และ​เต็ม​ไป​ด้วย​พิษ‌ร้าย​ถึง​ตาย” (ยน.3:7-8)

  4. การกินดื่ม – “เจ้า​จง​บัง‌คับ​ตัว​ไว้ ถ้า​เจ้า​เป็น​คน​ตะ‍กละ”   (สภษ.23:2)

        “อย่า​มั่ว‌สุม​กับ​คน​ขี้‌เหล้า หรือ​กับ​คน​ตะ‍กละ​กิน​เนื้อ”        (สภษ.23:20)

         “และ​อย่า​เมา​เหล้า‌องุ่น​ซึ่ง​จะ​ทำ​ให้​เสีย​คน แต่​จง​เต็ม​เปี่ยม​ด้วย​พระ‌วิญ‍ญาณ” (อฟ.5:18)  

การบังคับตนเองจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับคริสเตียน ไม่ว่าเราจะอยู่ใน เพศ วัย ฐานะหรือ ตำแหน่งใดก็ตาม

          “เพราะ‌ว่า​ผู้​ปก‌ครอง​ดูแล ซึ่ง​เป็น​ผู้​รับ​มอบ​ฉันทะ​ของ​พระ‌เจ้า ต้อง​ไม่​มี​ข้อ​ตำ‍หนิ ไม่​เย่อ‌หยิ่ง ไม่​อา‍รมณ์​ร้อน ไม่​ดื่ม​สุรา​มึนเมา ไม่​ชอบ​ความ​รุน‌แรง และ​ไม่​เป็น​คน​โลภ​มัก​ได้ แต่​มี​อัธยา‍ศัย​ต้อน​รับ‌แขก รัก​ความ​ดี มี​สติ‌สัมป‍ชัญญะ ชอบ‌ธรรม บริ‍สุทธิ์ รู้จัก​บังคับ​ใจ​ตน​เอง”   (ทต.1:7-8)  ปท.1ทธ.3:2

        “สอน​บรร‍ดา​ผู้‌ชาย​สูง​อายุ​ให้​รู้จัก​ประ‍มาณ​ตน มี​ความ​น่า​นับ‌ถือ มี​สติ‌สัมป‍ชัญญะ มี​ความ​เชื่อ​ที่​ถูกต้อง มี​ความ​รัก และ​ความ​ทรหด​อด‌ทน ส่วน ​บรร‍ดา​ผู้‌หญิง​สูง​อายุ​ก็​เหมือน​กัน สอน​พวก​นาง​ให้​ประ‌พฤติ​ด้วย​ความ​น่า​นับถือ ไม่​ใส่​ร้าย ไม่​ติด​เหล้า แต่​เป็น​ผู้‌สอน​สิ่ง​ที่​ดี​งาม เพื่อ​อบรม​หญิง​สาว​ให้​รัก​สามี​และ​บุตร​ของ​พวก​ตน มี​สติ‌สัมป‍ชัญญะ เป็น​คน​บริ‍สุทธิ์ ดูแล​บ้าน​เรือน​อย่าง​ดี มี​ความ​เมต‍ตา​และ​เชื่อ‌ฟัง​สามี​ของ​ตน เพื่อ​ว่า​พระ‌วจนะ​ของ​พระ‌เจ้า​จะ​ไม่​ถูก​ดู‌หมิ่น ส่วน​พวก​ชาย​หนุ่ม​ก็​เหมือน​กัน จง​เตือน​สติ​พวก​เขา​ให้​มี​สติ‌สัมป‍ชัญญะ”  (ทต.2:2-6)   ปท.1ทธ.3:11

    เราต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า คริสเตียนต้องถวายเกียรติแด่พระเจ้าผ่านชีวิตของตน!

ดังนั้น การมีวินัยรู้จักบังคับตนเองในการกินดื่ม การพูดจา (รวมทั้งการเขียน การโพสต์ต่าง ๆ ) การทำงานการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น รวมทั้งเรื่องเพศ จะต้องได้รับการฝึกฝนบังคับตนให้ดีที่สุด!

“ ส่วน​นัก‌กีฬา​ทุก‌คน​ก็​ควบ‌คุม​ตัว​เอง​ใน​ทุก​ด้าน พวก​เขา​ทำ​เพื่อ​จะ​ได้​มง‍กุฎ​ใบ‌ไม้​ที่​ร่วง‌โรย​ได้ แต่​มง‍กุฎ​ของ​เรา​จะ​ไม่​ร่วง‌โรย​เลย ดัง​นั้น​ข้าพ‍เจ้า​ไม่​ได้​วิ่ง​แข่ง​โดย​ไม่​มี​เป้า‌หมาย ข้าพ‍เจ้า​ไม่‌ได้​ต่อ‌สู้​เหมือน​อย่าง​นัก‌มวย​ที่​ชก​ลม แต่​ข้าพ‍เจ้า​ทุบ​ตี​ร่าง‌กาย​และ​ควบ‌คุม​มัน​ไว้ เพราะ​เกรง‌ว่า​เมื่อ​ข้าพ‍เจ้า​ประ‍กาศ​ข่าว​ประ‍เสริฐ​แก่​คน‌อื่น​แล้ว ตัว​เอง​กลับ​เป็น​คน​ที่​ใช้​การ​ไม่‌ได้”   (1คร.9:25-27)

“ด้วย​เหตุ‌นี้​เอง พวก​ท่าน​จง​พยา‍ยาม​อย่าง​ที่​สุด​ที่​จะ​เอา​คุณ‌ธรรม​เพิ่ม​ความ​เชื่อ​ ของ​พวก​ท่าน เอา​ความ​รู้​เพิ่ม​คุณ‌ธรรม เอา​การ​ควบ‌คุม​ตัว​เอง​เพิ่ม​ความ​รู้ เอา​ความ​ทร‍หด​อด‌ทน​เพิ่ม​การ​ควบ‌คุม​ตัว​เอง และ​เอา​ความ​ยำ‌เกรง​พระ‌เจ้า​เพิ่ม​ความ​ทร‍หด​อด‌ทน”   (2ปต.1:5-6)

         วันนี้ คุณสามารถบังคับตนเองให้เชื่อง เพื่อพระเจ้าจะสามารถใช้ได้อย่างเต็มที่

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

Categories
บทความแปล

มุมมองนิรันดร์กาล

Success and failue

เพราะว่าเราไม่ได้เห็นแก่สิ่งของที่เรามองเห็นอยู่ แต่เห็นแก่สิ่งของที่มองไม่เห็น เพราะว่าสิ่งของซึ่งมองเห็นอยู่นั้นเป็นของไม่ยั่งยืน  แต่สิ่งซึ่งมองไม่เห็นนั้นก็ถาวรนิรันดร์  (2โครินธ์ 4:18)

ตอนที่คุณอายุยังน้อย คุณคิดว่าบางเรื่องเป็นสิ่งดีเสมอ ขณะที่บางเรื่องนั้นแย่แน่ๆ ตัวอย่างเช่น ความสำเร็จเป็นสิ่งดี และความยากลำบากเป็นสิ่งแย่เสมอ แต่เมื่อเวลาผ่านไปและคุณโตขึ้น คุณมองย้อนกลับไปและตระหนักว่าความสำเร็จบางครั้งก็ไม่ดีเสมอไป และความยากลำบากบางครั้งก็ดีสำหรับผู้อื่น ความคิดคุณเริ่มเปลี่ยน และบางครั้งสิ่งที่คุณคิดว่าดีจริงกลับกลายเป็นสิ่งไม่ดีไป และสิ่งที่คุณคิดว่าไม่ดีกลับกลายเป็นสิ่งดี

เราต้องตระหนักว่าในฐานะคริสเตียน พระเจ้าทรงควบคุมอยู่เหนือทุกสถานการณ์ในชีวิต พระองค์นำเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิต สิ่งดี และสิ่งที่เรียกว่าเลว มาเพื่อ – “พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์” (โรม 8:28)

เราต้องตะหนักว่าพระเจ้าทรงรักเรา และจะพยายามให้เราได้รับสิ่งดีที่สุดสำหรับนิรันดร์กาล — แม้เวลาที่เราต้องผ่านความยากลำบาก ใน 2โครินธ์ 4:17–18 กล่าวว่า  “เพราะว่าการทุกข์ยากเล็กๆน้อยๆของเรา ซึ่งเรารับอยู่ประเดี๋ยวเดียวนั้น จะทำให้เรามีศักดิ์ศรีถาวรมากหาที่เปรียบมิได้ เพราะว่าเราไม่ได้เห็นแก่สิ่งของที่เรามองเห็นอยู่ แต่เห็นแก่สิ่งของที่มองไม่เห็น เพราะว่าสิ่งของซึ่งมองเห็นอยู่นั้นเป็นของไม่ยั่งยืน แต่สิ่งซึ่งมองไม่เห็นนั้นก็ถาวรนิรันดร์”

คุณขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระพรที่กำลังเผชิญอยู่หรือเปล่า?  เคยขอบคุณสำหรับสุขภาพที่ดีหรือไม่? สำหรับเสรีภาพในการนมัสการได้อย่างเปิดเผย? สำหรับเสื้อผ้าที่สวมใส่และที่พักอาศัย? เราจำเป็นต้องขอบคุณพระเจ้า – เพราะมีเรื่องมากมายให้เราต้องขอบพระคุณ

โดย: Pastor Greg Laurie

อนุญาตโดย  Harvest Ministries with Greg Laurie

PO Box 4000,Riverside,CA92514