Categories
บทความแปล

มีบทเพลงให้ร้องได้มากมาย

Angels choirs

ประมาณเที่ยงคืน เปาโลกับสิลาสก็อธิษฐานและร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า นักโทษทั้งหลายในคุกก็ฟังอยู่ (กิจการ 16:25)

 ถ้าผมจะประเมินการเป็นคริสเตียนโดยยึดบนพื้นฐานดนตรีอย่างเดียว มันก็ชัดเจนว่าคริสเตียนเป็นเจ้าของดนตรี เพื่อนของผม มาร์ตี โกเอซ พูดว่า ในฐานะเป็นเด็กชายชาวยิว เขาอิจฉาคริสเตียน เพราะระหว่างที่เขาฉลองเทศการฮานุกคา คริสเตียนกำลังฉลองเทศกาลคริสตมาสด้วยบทเพลงมากมายเช่น “จงฟังเพลงแห่งทูตสวรรค์” ราตรีสงัด ราตรีสวัสดิ์” และ “ชาวโลกทั้งหลายจงชื่นใจยินดี” เขาชื่นชมในเสียงเพลงของพวกเรา

แต่เราไม่ได้ประเมินความเชื่อของเราบนเสียงเพลง แต่บนพื้นฐานว่าเราเชื่ออะไร และเราเชื่อในผู้ใด คริสเตียนร้องเพลงมากมายเพราะเรามีบทเพลงมากมายที่ต้องร้องบอกไป

เมื่อผู้เชื่อสามารถสรรเสริญพระเจ้าได้ในท่ามกลางการทดลอง และความทุกข์ยาก โลกที่หลงหายสังเกตเห็น เมื่อคุณกำลังเผชิญกับความยากลำบาก และยังสามารถสรรเสริญพระเจ้าได้ ผู้ที่ไม่เชื่อจะสนใจฟัง

ในกรณีของเปาโลและสิลาสที่ถูกจับโยนเข้าคุกเพราะออกไปเทศนาสั่งสอนข่าวประเสริฐ พวกเขาถูกเฆี่ยนอย่างหนัก และถูกใส่ขื่อเท้า แต่ในกิจการ 16:25 กล่าวว่า ประมาณเที่ยงคืน เปาโลกับสิลาส ก็อธิษฐานและร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า นักโทษทั้งหลายในคุกก็ฟังอยู่

ในวิวรณ์บทที่ 15 เราพบว่าผู้พลีชีพจากยุคภัยพิบัติกำลัง “ร้องเพลงของโมเสส ซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า และเพลงของพระเมษโปดก” (ข้อ 3) พวกเขาได้ผ่านไฟเลวร้ายที่สุดมาแล้ว พวกเขาถูกฆ่าตายเพราะความเชื่อ แต่พวกเขาอยู่ในสวรรค์ และกำลังร้องเพลงของพวกเขา

เพลงนมัสการไม่ได้มีเพื่อให้เราเพลิดเพลินใจ นักดนตรีและนักร้องในคริสตจักรต้องการนำเราเข้าสู่การนมัสการ คุณอาจพูดว่า “แต่เสียงฉันไม่ค่อยดี” แต่นั่นไม่อาจหยุดคนเป็นพันๆที่ไปยืนคอยทดสอบร้องเพลงในรายการประกวดต่างๆ และก็ไม่อาจหยุดคุณด้วย คุณไม่ได้กำลังแสดงให้ใครชม เมื่อคุณนมัสการ คุณกำลังร้องให้ผู้ชมเพียงท่านเดียวฟัง – พระเจ้า – ดังนั้นหมั่นซ้อมไว้นะครับ

โดย: Pastor Greg Laurie

อนุญาตโดย  Harvest Ministries with Greg Laurie

PO Box 4000,Riverside,CA92514

 

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียน 1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ (บทที่ 4)

เช็คบิล !

 

 พระธรรม        1พงษ์กษัตริย์ 2:13-46

อ้างอิง               1พศด.29:23;2ซมอ.15:24;1ซมอ.22:20-23;2:27-36

บทนำ               ชีวิตคนเรามีทั้งขาขึ้นขาลง ความดีหรือความสำเร็จในวันวานไม่เป็นหลักประกันว่า จะนำผลดีมาสู่วันนี้  หากว่าเราเลือกข้างผิดหรือทำสิ่งผิดควบคู่

ไปกับสิ่งดี เราอาจได้รับสิ่งดีควบคู่ไปกับผลร้ายที่เกิดจากสิ่งผิดที่เราทำซึ่งจะกลับมาสนองเราในวันนี้หรือพรุ่งนี้

ดังนั้น จงระวังในสิ่งที่คุณเลือกและทำ!      จงเลือกและทำแต่สิ่งที่ดี และถูกต้องเท่านั้น!

บทเรียน

2:13 “แล้ว อาโดนียาห์พระราชโอรสของพระนางฮักกีท ได้เข้าเฝ้าพระนางบัทเชบา พระราชมารดาของซาโลมอน พระนางรับสั่งว่า “เจ้ามาดีหรือ?” ท่านทูลว่า “กระหม่อมมาดี พ่ะย่ะค่ะ

       (Then Adonijah the son of Haggith came to Bathsheba the mother of Solomon. And she said, “Do you come peacefully?” He said, “Peacefully.” )

2:14 “แล้วท่านทูลว่า “กระหม่อมมีเรื่องที่จะทูลพระนาง” พระนางมีรับสั่งว่า “จงว่าไปเถิด

       (Then he said, “I have something to say to you.” She said, “Speak.” )

2:15 “ท่าน จึงทูลว่า “พระนางทรงทราบแล้วว่าราชอาณาจักรนั้นเป็นของกระหม่อม และคนอิสราเอลทั้งสิ้นก็หมาย‌ ใจว่ากระหม่อมจะได้ครอบครอง อย่างไรก็ดี ราชอาณาจักรก็กลับกลายมาเป็นของน้องชายกระหม่อม เพราะพระยาห์เวห์ประทานราชอาณาจักรแก่เขา

       (He said, “You know that the kingdom was mine, and that all Israel fully expected me to reign.  However, the kingdom has turned about and become my brother’s, for it was his from the Lord. )

2:16 “บัดนี้กระหม่อมทูลขอแต่ประการเดียว ขอพระนางอย่าได้ปฏิเสธเลย” พระนางรับสั่งกับท่านว่า “จงว่าไปเถิด

        (And now I have one request to make of you; do not refuse me.” She said to him, “Speak.” )

2:17 “และ ท่านทูลว่า “ขอพระนางทูลพระราชาซาโลมอน เพราะพระราชาคงไม่ทรงปฏิเสธพระนาง คือทูลขออาบี‍ ชากชาวชูเนมให้เป็นชายาของกระหม่อม

       (And he said, “Please ask King Solomon—he will not refuse you—to give me Abishag the  Shunammite as my wife.” )

2:18 “พระนางบัทเชบารับสั่งว่า “ดีแล้ว เราจะทูลพระราชาแทนเจ้า

       (Bathsheba said, “Very well; I will speak for you to the king.”)

2:19 “พระนาง บัทเชบาจึงเข้าเฝ้าพระราชาซาโลมอน เพื่อทูลพระองค์แทนอาโดนียาห์ และพระราชาทรงลุกขึ้นต้อนรับพระนาง และทรงถวายคำนับพระนาง แล้วก็เสด็จประทับบนบัลลังก์ของพระองค์ รับสั่งให้นำพระเก้าอี้มาถวายพระราชมารดา พระนางก็เสด็จประทับที่เบื้องขวาของพระองค์

      (So Bathsheba went to King Solomon to speak to him on behalf of Adonijah. And the king rose to meet her and bowed down to her. Then he sat on his throne and had a seat brought for the king’s mother, and she sat on his right. )

2:20 “แล้ว พระนางทูลว่า “แม่จะขอสิ่งเล็กน้อยสิ่งหนึ่งจากลูก อย่าปฏิเสธแม่เลย” และพระราชาทูลพระนางว่า  “ขอมาเถิด ลูกจะไม่ปฏิเสธเสด็จแม่

      (Then she said, “I have one small request to make of you; do not refuse me.” And the king said to  her, “Make your request, my mother, for I will not refuse you.”)

2:21 “พระนางทูลว่า “ขอยกอาบีชากชาวชูเนมให้เป็นชายาของอาโดนียาห์พี่ชายของลูกเถิด

      (She said, “Let Abishag the Shunammite be given to Adonijah your brother as his wife.” )

2:22 “พระราชาซาโลมอนตรัสตอบพระราชมารดาของพระองค์ว่า“ทำไมเสด็จแม่จึงขออาบีชากชาวชูเนมให้อาโดนียาห์​  เล่า? น่าจะขอราชอาณาจักรให้เขาเสียด้วย เพราะเขาเป็นพี่ชายของลูก อีกทั้งขอให้อาบียาธาร์ปุโรหิตและขอให้  โยอาบบุตรนาง เศรุยาห์ด้วย

      (King Solomon answered his mother, “And why do you ask Abishag the Shunammite for Adonijah?  Ask for him the kingdom also, for he is my older brother, and on his side are Abiathar the priest and Joab the son of Zeruiah.” )

2:23 “แล้ว พระราชาซาโลมอนทรงปฏิญาณในพระนามของพระยาห์เวห์ว่า “ถ้าถ้อยคำนี้ไม่เป็นเหตุให้อาโดนียาห์​  เสียชีวิตแล้ว ก็ขอพระเจ้าทรงลงโทษเราและลงโทษให้หนักยิ่งขึ้น

      (Then King Solomon swore by the Lord, saying, “God do so to me and more also if this word does not cost Adonijah his life! )

2:24 “เพราะ ฉะนั้นพระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด คือพระองค์ผู้ทรงสถาปนาและตั้งเราไว้บนบัลลังก์ของดาวิด​พระราชบิดา และทรงให้เรามีราชวงศ์ดังที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ อาโดนียาห์จะถูกประหารในวันนี้ฉันนั้น

       (Now therefore as the Lord lives, who has established me and placed me on the throne of David my father, and who has made me a house, as he promised, Adonijah shall be put to death today.” )

2:25 “ดังนั้นพระราชาซาโลมอนจึงรับสั่งให้เบไนยาห์บุตรเยโฮยาดา ไปประหารชีวิตอาโดนียาห์เสีย และท่านก็ตาย

           (So King Solomon sent Benaiah the son of Jehoiada, and he struck him down, and he died. )

2:26 “ส่วน อาบียาธาร์ปุโรหิตนั้น พระราชารับสั่งว่า “จงไปอยู่ที่อานาโธท ไปสู่ไร่นาของเจ้าเพราะเจ้าสมควรตาย แต่ในเวลานี้เราจะไม่ประหารเจ้า เพราะว่าเจ้าหามหีบของพระยาห์เวห์องค์เจ้านายไปข้างหน้า ดาวิดพระราช บิดาของเรา และเพราะเจ้าได้ร่วมทุกข์กับพระราชบิดาของเรา

        (And to Abiathar the priest the king said, “Go to Anathoth, to your estate, for you deserve death.   But I will not at this time put you to death, because you carried the ark of the Lord God before  David my father, and because you shared in all my father’s affliction.”)

2:27 “ซาโลมอน จึงทรงขับไล่อาบียาธาร์เสียจากหน้าที่ปุโรหิตของพระยาห์เวห์ ดังนั้นทำให้สำเร็จตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งพระองค์ ตรัสเกี่ยวกับเชื้อสายของเอลีที่เมืองชีโลห์

      (So Solomon expelled Abiathar from being priest to the Lord, thus fulfilling the word of the Lord that he had spoken concerning the house of Eli in Shiloh. )

2:28 “เมื่อ ข่าวนี้ไปถึงโยอาบ (เพราะแม้โยอาบไม่ได้เข้าข้างอับซาโลม แต่ท่านได้เข้าข้างอาโดนียาห์) โยอาบก็หนีไปที่เต็นท์ของพระยาห์เวห์และจับเชิงงอนแท่นบูชา ไว้

      (When the news came to Joab—for Joab had supported Adonijah although he had not supported  Absalom—Joab fled to the tent of the Lord and caught hold of the horns of the altar. )

2:29 “เมื่อ มีคนไปกราบทูลพระราชาซาโลมอนว่า “โยอาบได้หนีไปยังเต็นท์ของพระยาห์เวห์ และนี่แน่ะ เขาอยู่ข้างแท่นบูชานั้น” ซาโลมอนตรัสสั่งเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดาว่า “จงไปประหารเขาเสีย

   (And when it was told King Solomon, “Joab has fled to the tent of the Lord, and behold, he is beside the altar,” Solomon sent Benaiah the son of Jehoiada, saying, “Go, strike him down.” )

2:30 “เบไนยา ห์ก็มายังเต็นท์ของพระยาห์เวห์ พูดกับท่านว่า “พระราชามีรับสั่งว่า จงออกมาเถิด” ท่านตอบว่า “ไม่​ ออก ข้าจะตายที่นี่” แล้วเบไนยาห์ก็นำความไปกราบทูลพระราชาอีกว่า “โยอาบพูดอย่างนี้ และเขาตอบข้าพระ‌บาทอย่างนี้

   (So Benaiah came to the tent of the Lord and said to him, “The king commands, “Come out.” But he said, “No, I will die here.” Then Benaiah brought the king word again, saying, “Thus said Joab, and thus he answered me.” )

2:31 “พระราชา ตรัสตอบเขาว่า “จงทำตามที่เขาบอก จงประหารเขาเสียและฝังเขาไว้ ทั้งนี้จะได้เอาโทษของความผิด ซึ่งโยอาบได้ฆ่าคนที่ไม่มีความผิดนั้นไปเสียจากเรา และจากเชื้อสายพระราชบิดาของเรา

     (The king replied to him, “Do as he has said, strike him down and bury him, and thus take away  from me and from my father’s house the guilt for the blood that Joab shed without cause. )

2:32 “พระยา ห์เวห์ทรงนำโลหิตของเขากลับมาตกบนศีรษะของเขาเอง เพราะว่าเขาได้โจมตีและฆ่าชายสองคนที่ชอบธรรมกว่า และดีกว่าตัวเขาด้วยดาบ โดยที่ดาวิดพระราชบิดาของเราไม่ทรงทราบ คืออับเนอร์บุตรเนอร์ผู้บัญชาการกองทัพของอิสราเอล และอามาสาบุตรเยเธอร์ผู้บัญชาการกองทัพของยูดาห์

     (The Lord will bring back his bloody deeds on his own head, because, without the knowledge of my father David, he attacked and killed with the sword two men more righteous and better than himself, Abner the son of Ner, commander of the army of Israel, and Amasa the son of Jether, commander of the army of Judah.)

2:33 “ดังนั้น ที่เขาทั้งสองต้องตายนั้น โยอาบและพงศ์พันธุ์ของเขาต้องรับผิดชอบเป็นนิตย์ แต่ส่วนดาวิดและพงศ์พันธุ์ของพระองค์และราชวงศ์ของพระองค์ และราชบัลลังก์ของพระองค์จะมีสวัสดิภาพจากพระยาห์เวห์อยู่​เป็นนิตย์

 (So shall their blood come back on the head of Joab and on the head of his descendants forever.  But for David and for his descendants and for his house and for his throne there shall be peace from the Lord forevermore.” )

2:34 “แล้ว เบไนยาห์บุตรเยโฮยาดาก็ขึ้นไปประหารชีวิตเขาเสีย และฝังเขาไว้ในบ้านของเขาเองซึ่งอยู่ในถิ่นทุรกันดาร

   (Then Benaiah the son of Jehoiada went up and struck him down and put him to death. And he was buried in his own house in the wilderness. )

2:35 “พระราชา ได้ทรงแต่งตั้งเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดาให้บัญชาการกองทัพ แทนโยอาบ และพระราชาก็ทรงแต่งตั้งศาโดกเป็นปุโรหิตแทนที่อาบียาธาร์

     (The king put Benaiah the son of Jehoiada over the army in place of Joab, and the king put Zadok the priest in the place of Abiathar.)

2:36 “แล้ว พระราชาทรงใช้คนไปเรียกชิเมอีให้เข้ามาเฝ้า และตรัสกับเขาว่า “จงสร้างบ้านอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มและอาศัยอยู่ที่นั่น อย่าออกจากที่นั่นไปไหนเลย

      (Then the king sent and summoned Shimei and said to him, “Build yourself a house in Jerusalem and dwell there, and do not go out from there to any place whatever. )

2:37 “เพราะ ในวันที่เจ้าออกไป และข้ามลำธารขิดโรนนั้น เจ้าจงรู้แน่เถิดว่า เจ้าจะต้องตายแน่ ที่เจ้าต้องตายนั้นเจ้าเองก็รับผิดชอบ

  (For on the day you go out and cross the brook Kidron, know for certain that you shall die. Your  blood shall be on your own head.”)

2:38 “และ ชิเมอีทูลพระราชาว่า “ที่ฝ่าพระบาทตรัสนั้นดีแล้ว ผู้รับใช้จะทำตามที่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาทตรัสนั้น” ชิเมอีจึงอาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มเป็นเวลานาน

     (And Shimei said to the king, “What you say is good; as my lord the king has said, so will your  servant do.” So Shimei lived in Jerusalem many days.)

2:39 “เมื่อ ล่วงไปสามปีก็เกิดเรื่องขึ้น คือทาสสองคนของชิเมอีได้หลบหนีไปหาอาคีช โอรสของมาอาคาห์กษัตริย์เมืองกัท และเมื่อพวกเขามาบอกชิเมอีว่า “ดูสิ ทาสของท่านอยู่ในเมืองกัท

      (But it happened at the end of three years that two of Shimei’s servants ran away to Achish, son of Maacah, king of Gath. And when it was told Shimei, “Behold, your servants are in Gath,” )

2:40 “ชิเมอีก็ลุกขึ้นผูกอานขี่ลาไปเฝ้าอาคีชที่เมืองกัทเพื่อเสาะหาทาสของตนชิเมอีได้ไปนำทาสของตนมาจากเมืองกัท

      (Shimei arose and saddled a donkey and went to Gath to Achish to seek his servants. Shimei went and brought his servants from Gath. )

2:41 “และเมื่อมีผู้กราบทูลซาโลมอนว่า ชิเมอีได้ไปจากกรุงเยรูซาเล็มถึงเมืองกัท และกลับมาแล้ว

       (And when Solomon was told that Shimei had gone from Jerusalem to Gath and returned, )

2:42 “พระราชา ก็ทรงใช้คนไปเรียกชิเมอีมาเฝ้าและตรัสกับเขาว่า “เราได้ให้เจ้าสาบานในพระนามของพระยาห์เวห์ไม่ใช่หรือ? และได้ตักเตือนเจ้าแล้วว่า ‘จงรู้แน่ว่า ในวันที่เจ้าออกไป ไม่ว่าไปที่ไหน เจ้าจะต้องตายแน่’ และเจ้าก็ตอบเราว่า ‘ที่ฝ่าพระบาทตรัสนั้นก็ดีแล้ว ข้าพระบาทจะเชื่อฟัง’”

      (the king sent and summoned Shimei and said to him, “Did I not make you swear by the Lord and solemnly warn you, saying, “Know for certain that on the day you go out and go to any place whatever, you shall die”? And you said to me, “What you say is good; I will obey.” )

2:43 “ทำไมเจ้าจึงไม่รักษาคำสาบานที่ให้ไว้ต่อพระยาห์เวห์ และไม่รักษาคำบัญชาซึ่งเราได้กำชับเจ้านั้น?”

 (Why then have you not kept your oath to the Lord and the commandment with which I commanded you?”)

2:44 “พระราชา ตรัสกับชิเมอีว่า “ในใจของเจ้าเองรู้เรื่องเหตุร้ายทั้งสิ้น ซึ่งเจ้าได้ทำต่อดาวิดพระราชบิดาของเรา  เพราะฉะนั้นพระยาห์เวห์จะทรงนำเหตุร้ายมาสนองเหนือศีรษะของ เจ้าเอง

     (The king also said to Shimei, “You know in your own heart all the harm that you did to David my  father. So the Lord will bring back your harm on your own head.)

2:45 “แต่พระราชาซาโลมอนจะได้รับพระพร และบัลลังก์ของดาวิดจะตั้งมั่นคงเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์เป็นนิตย์

     (But King Solomon shall be blessed, and the throne of David shall be established before the Lord  forever.”)

2:46 “แล้ว พระราชาทรงบัญชาเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดา และเขาก็ออกไปประหารชีวิตชิเมอีเสีย ดังนั้นราชอาณาจักรก็​ ตั้งมั่นคงอยู่ในพระหัตถ์ของซาโลมอน

      (Then the king commanded Benaiah the son of Jehoiada, and he went out and struck him down,  and he died. So the kingdom was established in the hand of Solomon. )

ข้อมูลมีประโยชน์

2:13     “อาโดนียาห์ พระราชโอรสของพระนางฮักกีท” (Then Adonijah the son of Haggith)  -1:5, บุตรชาย

คนที่ 4 ของดาวิด (2ซมอ.3:4) -น่าจะเป็นบุตรชายคนโตที่สุดของดาวิดที่ยังมีชีวิตอยู่ (2ซมอ.13:28;18:14)

“เจ้ามาดีหรือ?” (“Do you come peacefully?”) = “เจ้ามาอย่างสันติหรือ?”  (1ซมอ.16:4;2พกษ.9:22)   = คำถามนี้เปิดเผยให้เห็นว่า บัทเชบา ยังสงสัยหรือหวั่นเกรงในจุดประสงค์ของอาโดนียาห์ (ข.5)

2:15     “พระนางทราบแล้วว่า ราชอาณาจักรนั้นเป็นของกระหม่อน” (“You know that the kingdom was mine,)     -1:11

“และคนอิสราเอลทั้งสิ้นก็หมายใจว่า กระหม่อมจะได้ครอบครอง”  (and that all Israel fully expected me to reign.)  = จะได้เป็นกษัตริย์  ซึ่งเป็นการกล่าวถึงที่เกินจริงตามความคิดของเขาเอง (หรือกองเชียร์) (1:7-8)

“อย่างไรก็ดี ราชอาณาจักรก็กลับกลายมาเป็นของน้องชาย…เพราะพระยาห์เวห์ประทานแก่เขา” (However, the kingdom has turned about and become my brother’s, for it was his from the Lord. )

= เหตุการณ์กลับตาลปัตร แทนที่เขาจะได้เป็นกษัตริย์ น้องชายได้เป็นแทน แต่เขาก็ยอมรับพระประสงค์ของพระเจ้า

2:17 “…ขออาบีชากชาวชูเนมให้เป็นชายาของกระหม่อม” (Abishag the Shunammite as my wife.” )

= อาบีชาก เป็นหญิงพรหมจารีตลอดเวลาที่อยู่ปรนนิบัติดาวิด (1:1-4;ฉธบ.22:30)

2:19     “เบื้องขวาของพระองค์” (on his right.)  = ตำแหน่งอันทรงเกียรติ (สดด.110:1;มธ.20:21)

2:20    “แม่จะขอสิ่งเล็กน้อยสิ่งหนึ่งจากลูกอย่าปฏิเสธแม่เลย”   (“I have one small request to make of  you; do not refuse me.”)

= บัทเชบาไม่เห็นความสำคัญของคำขอร้องของอาโดนียาห์

2:22     “น่าจะขอราชอาณาจักรให้เขาเสียด้วย” (Ask for him the kingdom also) = ซาโลมอนเข้าใจในทันทีว่า คำขอร้องของอาโดนียาห์ คือการพยายามชิงบัลลังก์อีกครั้ง เพราะเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า การครอบครองฮาเร็มของกษัตริย์เท่ากับการได้รับสิทธิในการสืบทอดบัลลังก์ (2ซม อ.3:7;12:8;16:21)       แม้ อาบีชากจะเป็นหญิงพรหมจารี แต่ทุกคนรู้ว่า เธอเป็นหญิงคนหนึ่งในฮาเร็มของดาวิด จึงจะเป็นเหตุให้อาโดนียาห์ อ้างสิทธิในบัลลังก์ของดาวิดหนักแน่นขึ้น

“อาบียาธาร์ และปุโรหิตและโยอาบ” (Abiathar the priest and Joab)  -1:7; ซาโลมอนถือว่า ทั้ง 2 ยังคงมีส่วนร่วมในแผนการของอาโดนียาห์

2:23     “…ขอพระเจ้าทรงลงโทษเรา และลงโทษให้หนักยิ่งขึ้น” (“God do so to me and more also)

= สำนวนของการสาปแช่ง (1ซมอ.3:17)

2:24     “…ทรงให้เรามีราชวงศ์ดังที่พระองค์ทรงสัญญา” (who has made me a house, as he promised)

= ต่อมาเรโหโบอับผู้เป็นโอรส ได้สืบทอดบัลลังก์ของซาโลมอน ท่านเกิดหลังจากโซโลมอนขึ้นครองราชย์ไม่นาน (11:42;14:21); “ดังที่พระองค์ทรงสัญญาไว้” (as he promised)  -1พศด.22:9-10

2:25     “เบไนยาห์บุตรเยโฮยาดา” (Benaiah the son of Jehoiada)  -1:7;2ซมอ.23:20

2:26     “…เพราะว่าเจ้าหามหีบของพระยาห์เวห์องค์เจ้านาย” (   because you carried the ark of the Lord God) = หามหีบพันธสัญญา -2ซมอ.15:24-25,29;1พศด.15:11-12

“เพราะเจ้าได้ร่วมทุกข์กับราชบิดาของเรา” (because you shared in all my father’s affliction)

= ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเสด็จพ่อของเรามาตลอด   -1ซมอ.22:20-23;23:6-9;30:7;2ซมอ.17:15;19:11

2:27     “ดังนั้นทำให้สำเร็จตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ ซึ่งพระองค์ตรัสเกี่ยวกับเชื้อสายของเอลีที่

เมืองชิโลห์  (thus fulfilling the word of the Lord  that he had spoken concerning the house of Eli in Shiloh.)              -1ซมอ.2:30-35

2:28     “ข่าวนี้” (the news) = ข่าวเกี่ยวกับการตายของอาโดนียาห์และการเนรเทศอาบียาธาร์

“เต็นท์ของพระยาห์เวห์” (tent of the Lord) = พลับพลาของพระเจ้า (1:39)

2:29     “จงไปประหารเขาเสีย” (Go, strike him down)   = สิทธิในการลี้ภัยกับพระเจ้ามีไว้สำหรับผู้ที่ฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาเท่านั้น (อพย.21:14)

-โยอาบเจตนาฆ่าอับเนอร์และอามาสา (ข.31-33)

2:32     “ฆ่าชายสองคนที่ชอบธรรมกว่าและดีกว่าตัวเขาด้วยดาบ” (and killed with the sword two men  more righteous and better than himself,)  -2ซมอ.3:27;20:9-10

“ผู้บัญชาการกองทัพของอิสราเอล” (commander of the army of Israel) = แม่ทัพ -2ซมอ.2:8-9

          “ผู้บัญชาการกองทัพของยูดาห์” (commander of the army of Judah) -2ซมอ.20:4

2:34     “ฝังไว้ในบ้านของเขาเองซึ่งอยู่ในถิ่นทุรกันดาร”  (he was buried in his own house in the

wilderness.)   = ฝังไว้ในที่ดินของโยอาบ  –ใน 2ซมอ.2:32  -บอกว่าหลุมฝังศพบิดาของโยอาบอยู่ใกล้

เบธเลเฮม (2ซมอ.2:32)  ;  “ถิ่นทุรกันดาร” = ทางตะวันออกของเบธเลเฮม

2:35    “เบไนยาห์” (Benaiah)   -2ซมอ.23:20 ;   “ศาโดก”  (Zadok)  -1ซมอ.2:35;2ซมอ.8:17

2:36     “อย่าออกจากที่นั่นไปไหนเลย” (do not go out from there to any place whatever.) = กักตัวชิเมอีไว้ในเยรูซาเล็ม และป้องกันไม่ให้สมคบกับผู้ติดตามซาอูลที่เหลือในการล้มล้างการปกครองของซาโลมอน

2:37     “ลำธารขิดโรน” (brook Kidron) = หุบเขาขิดโรน

2:39     “อาคีช โอรสของมาอาคาห์กษัตริย์เมืองกัท” (Achish, son of Maacah, king of Gath)

กัท = เมืองสำคัญของฟิลิสเตีย (ยชว.13:3;1ซมอ.6:16-17) เป็นไปได้ว่า เมืองนี้ปกครองโดยมาโอค อาคีช ผู้อาวุโส (1ซมอ.27:27) และมาอาคาห์ และอาคีช (ผู้เยาว์) ในตอนนี้ตามลำดับ

2:46     “ประหารชีวิตชิเมอี” (struck him down and he died) =  การลงมือประหารบุคคลสำคัญเป็นรายที่ 3 (ข.25,34) ทำให้สำเร็จตามคำบัญชาของดาวิด ที่มอบไว้กับซาโลมอน (ข.6,9)

คำถามนำอภิปราย

1. ความคิดแรกที่เกิดขึ้นในสมองหรือในใจของคุณ หลังจากที่ได้อ่านพระธรรม 1พงศ์กษัตริย์ 2:13-46 (รวมทั้ง

1พกษ.2:1-12 ด้วย) คืออะไร?

2. สิ่งที่เรียนรู้จากภาพรวมของพระธรรมตอนนี้ สอนอะไรคุณเป็นพิเศษบ้าง?

3. คุณคิดว่า อาโดนียาห์ สมควรจะตายหรือไม่? ทำไม? คุณคิดว่า ซาโลมอนกระทำเกินเลยหรือไม่?  ทำไม?

4. คุณคิดว่า บัทเชบามีบทบาทหรือมีอิทธิพลต่อชีวิตของซาโลมอนหรือไม่?  ทำไม และอย่างไร?

คุณคิดว่า ซาโลมอนให้เกียรติมารดาของพระองค์หรือไม่?  อย่างไร?

5. หากคุณเป็นอาบียาธาร์ ปุโรหิตที่เคยได้ช่วย(ชีวิต) ดาวิดให้รอด ได้รับการปฏิบัติอย่างสมควรหรือไม่จาก

ซาโลมอน?  ทำไม?   หากเป็นคุณ คุณจะทำเช่นเดียวกันกับซาโลมอนหรือไม่?

6. คุณคิดว่า โยอาบ สมควรถูกประหารหรือไม่?  โยอาบมีบทบาทช่วยดาวิดมาตลด หากคุณเป็นซาโลมอนคุณจะประหารโยอาบหรือไม่?  ทำไม?

7. คุณคิดว่า ชิเมอี สมควรรับโทษตายหรือไม่?  ทำไม?   หากคุณเป็นเบไนยาห์ที่ถูกบัญชาให้ประหารหรือจัดการ (ประหาร) คนทั้ง 3 คือ อาโดนียาห์

โย   อาบ และชิเมอี  คุณจะรู้สึกอย่างไร?  ทำไม?

8. บทเรียนสุดท้ายที่คุณได้จากการอภิปรายในวันนี้คืออะไร?  ………………………………………………………………..

คุณจะนำไปใช้จริงในชีวิตของคุณอย่างไร? ……………………………………………………………………………………………

 

 ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

 

Categories
บทความแปล

คุณมีคุณค่าเท่าไรในสายพระเนตรพระเจ้า? ‏

Father's Hands Holding Newborn's Feet

ความรักที่ข้าพเจ้าพูดถึงนี้มิใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระองค์ทรงรักเรา และทรงใช้พระบุตรของพระองค์มาทรงเป็นผู้ลบล้างพระอาชญาที่ตกกับเราทั้งหลายเพราะบาปของเรา (1ยอห์น 4:10)

ไม่นานมานี้ ผมมีโอกาสพูดกับเพื่อนคนหนึ่งที่พยายามทำความเข้าใจว่าพระเจ้ารักเขาแน่หรือ ผมจึงบอกเขาว่า “ถ้าคุณสงสัยว่าพระเจ้ารักคุณจริงหรือ ลองจินตนาการว่าถ้ามีใครบางคนมาเอาลูกคุณไป ทุบตี ทำร้าย และในที่สุดก็ฆ่าตาย คุณจะทำอย่างไร?”

เพื่อนผมตอบว่า “ผมก็จะไม่มีวันยอมให้ทำ ที่จริงผมจะยอมทำทุกอย่างไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องลูกผมได้ แม้แต่ต้องเสียชีวิตผมก็ยอม”

“ถูกต้อง” ผมพูด “ที่นี้ลองนำความรู้สึกที่มีต่อลูกนี้ คูณด้วยนิรันดรกาล นั่นคือสัมผัสถึงความรักมากมายที่พระเจ้ามีให้คุณ พระองค์ยอมส่งพระบุตรลงมา ถูกเฆี่ยนตีจนยับเยิน และถูกฆ่าตายเพื่อคุณ นั่นคือความรักยิ่งใหญ่ที่พระเจ้ามีให้คุณ”
นี่คือความจริงสำหรับมนุษย์ทุกคนที่บนโลกนี้ พระเจ้าทรงรัก  ____________ (ใส่ชื่อของคุณ) มากมายจนยอมส่งพระบุตรองค์เดียวลงมาตายบนไม้กางเขน และโดยความตาย และการคืนพระชนม์นั้น เราได้รับชีวิตนิรันดร์โดยทางความเชื่อในสิ่งที่พระองค์ทำ จงยอมรับความรักนั้นไว้ และรับรู้ว่าคุณมีค่าเพียงใดในสายพระเนตรพระเจ้า!

พระเจ้าทรงรักคุณมากมายจนยอมส่งพระบุตรองค์เดียวลงมาตายเพื่อคุณ จงยอมรับความรักนั้นนับแต่วันนี้ และตระหนักว่าคุณมีค่ามากเพียงใดในสายพระเนตรของพระองค์!

 อนุญาตโดย: Pastor Jack Graham

Jack Graham Power Point Ministry: www.powerpoint.org

 

Categories
บทความแปล

เมื่อคริสตจักรเป็นที่อันตราย

images

แต่ถ้าท่านทั้งหลายมิได้กระทำเช่นนี้ ดูเถิด ท่านทั้งหลายได้กระทำบาปต่อพระเจ้า จงรู้แน่เถิดว่า บาปของท่านก็ตามทัน (กันดารวิถี 32:23)

บางครั้งเราคิดว่าอะไรที่ใหญ่กว่ามักดีกว่า นี่คือวิธีที่ผู้คนมองสิ่งต่างๆ ถ้าคุณประสบความสำเร็จ ถ้าคุณทำเงินได้มากกว่าคนอื่น ที่ผู้คนมองเห็นคือคุณเก่งที่สุด ถ้าคริสตจักรหนึ่งมีสมาชิกมากกว่าคริสตจักรอื่นๆ ที่ผู้คนเห็น นั่นเป็นคริสตจักรที่ยอดที่สุด  ไม่จำเป็นเสมอไปครับ แต่ผมไม่ได้บอกด้วยว่าเล็กกว่าจะดีกว่า

พระคัมภีร์กล่าวว่าในยุคสุดท้าย จะมีคนในคริสตจักรของเราไม่ใช่ผู้เชื่อแท้ นอกจากนั้น เมื่อข่าวประเสริฐจืดจางลง มีการประนีประนอม ผู้คนรู้สึกสบายดีในบางโบสถ์ เป็นเพราะพวกเขาไม่ถูกเผชิญหน้ากับบาปของตนเอง

ผมเชื่อว่างานของผมในฐานะศิษยาภิบาล คือให้คนที่ทุกข์ยากได้รับความสบายใจ และให้คนที่สบายใจดีได้รับความทุกข์ยาก และผมยังคิดด้วยว่าคริสตจักรอาจเป็นที่อันตรายได้ ถ้าคนที่มาคริสตจักรโดยไม่ตั้งใจจะนำความจริงที่เรียนรู้ไปปฏิบัติ และจิตใจพวกเขาก็จะแข็งกระด้าง อย่างที่ผมเคยพูดไป อาทิตย์ดวงเดียวกันหลอมขี้ผึ้งได้ ก็ทำให้ดินแตกระแหงได้ ข่าวเดียวกันที่ปลดปล่อยคนหนึ่ง อาจทำร้ายอีกคนก็ได้ ถ้าพวกเขาไม่ตอบสนองอย่างที่ควร คนที่ไปโบสถ์ ประกาศตนว่าเป็นคริสเตียน และทำสิ่งที่ค้านกันโดยมีวิถีชีวิตที่ทำบาปอย่างเปิดเผย ก็กำลังทำร้ายตัวเอง

พระคัมภีร์กล่าว่า จงรู้แน่เถิดว่า บาปของท่านก็ตามทัน (กันดารวิถี 32:23) ถ้าไม่มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นเมื่อเราทำบาป ถ้าไม่ถูกจับได้ หรือมีคนไปเห็น บางทีเราก็คิดว่าพระเจ้าเปิดทางสะดวกให้ – ไม่ใช่แน่นอน อย่าสับสนระหว่างพระเมตตาของพระเจ้าและพระคุณของพระองค์ ด้วยความคิดว่าพระองค์พระทัยดีและคงมองข้าม พระเจ้าจะจัดการกับความบาป แต่พระองค์ทรงให้โอกาสสำนึกผิด เพื่อเราจะไม่ต้องเจอกับผลที่เต็มขนาดของมัน

โดย: Pastor Greg Laurie

อนุญาตโดย  Harvest Ministries with Greg Laurie

PO Box 4000,Riverside,CA92514

 

Categories
สารจากศบ.

สารจากศิษยาภิบาล

ImageHandler

25 สิงหาคม 2013

ขอทักทายพี่น้อง CJ ด้วยความรักของพระคริสต์

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับพี่น้องที่ต้อนรับพระคริสต์ในอาทิตย์ที่แล้ว (18 ส.ค.) คือคุณ แพร

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับสมาชิกที่หิวกระหายสามัคคีธรรมในกลุ่มแคร์ วันอังคาร (20 ส.ค.) ที่  บ.LoveIs  น่าประทับใจจริง ๆ !

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับพี่น้องที่มุ่งมั่นมาศึกษาพระคัมภีร์ 1พงษ์กษัตริย์ 19 ที่ CJ ในคืนวันพฤหัส (22 ส.ค.) ทั้ง ๆ ที่ฝนตกนานและรถติดมหาศาล!

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับทีม CJ ทั้งนักดนตรี และนักแสดงละคร “ทางเลือก” ของเราที่ไปจัดงานประกาศที่ BSC ในวันศุกร์ (23 ส.ค.) ที่ผ่านมา ความรัก ความสามัคคีและฝีมือเป็นที่ประทับ ใจของทุกคน

ขอบคุณพระเจ้าที่ในบ่ายวันนี้ จะมีการประชุมและนมัสการร่วมกัน ระหว่างอนุชนของ CJ และของคริสตจักรนิมิตใหม่ นับเป็นภาพและประสบการณ์ที่สวยงามมาก!

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการเสนอสถานที่ให้ CJ ใช้เป็นที่นมัสการและสอนพระคัมภีร์ที่โรงเรียนนานาชาติตรีนิตี้ สุขุมวิท 36 เรากำลังอธิษฐานเผื่อและวางแผนในเรื่องนี้อยู่ครับ!

วันนี้ ขอพระเจ้าอวยพรให้เราทุกคนมีความสุขในการนมัสการด้วยกันนะครับ!

            ด้วยรัก

ธงชัย  ประดับชนานุรัตน์ (ศิษยาภิบาล)

ปล. ผู้ใดประสงค์จะรับบัพติศมารุ่นต่อไปในวันที่ 15 ก.ย.  กรุณาแจ้งได้ที่ ครูเอ๋ หรือ คุณโบ นะครับ!

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

บริโภคมากขึ้นแต่สุขลดน้อยลง!

Greedy

ผมแนะนำให้อ่านบทความ “หมายเหตุประเทศไทย” ของคุณ ลม เปลี่ยนทิศ (20 ส.ค. 2556, ไทยรัฐ) และหนังสือ “โลกเปลี่ยนไทยปรับ” ของ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ เพราะให้มุมมองข้อคิดที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการบริโภค!

การบริโภคมี 3 ขั้น

  1. บริโภคขั้นที่จำเป็น
  2. บริโภคขั้นสะดวกสบาย
  3. บริโภคขั้นฟุ่มเฟือย

การบริโภคขั้นที่จำเป็นคือ การบริโภคสินค้าหรือใช้บริการที่จำเป็นหรือมีประโยชน์ เพื่อบรรเทาความขาดแคลนหรือช่วยเพิ่มความพึงพอใจของเราให้มากขึ้น เมื่อเทียบกับเงินที่จ่ายออกไป

การบริโภคขั้นสะดวกสบาย คือ การบริโภคด้วยความพึงพอใจมากขึ้น โดยจ่ายเงินมากขึ้น

การบริโภคขั้นฟุ่มเฟือย คือ การเรียกหาความพึงพอใจ(ในการบริโภค)มากกว่าเดิม โดยใช้เงินเพิ่มขึ้น แต่ความพึงพอใจอาจเพิ่มขึ้นไม่มากนัก

ข้อเตือนสติก็คือ…

อย่าให้เรามีวัฒนธรรมในการบริโภคที่สูงกว่าฐานะจริงของตัวเรา!

คืออย่าเป็นคนประเภท “รายได้ต่ำ รสนิยมสูง!”  หรือ “รายได้ปานกลาง รสนิยมสูง!” หรือแม้แต่ “รายได้สูง แต่รสนิยมสูงเกินไป!”

ที่น่าเป็นห่วงคือ คนไทยกำลังติดกับดักของลัทธิวัตถุนิยม  บริโภคนิยม และสุขนิยม

คนไทยเริ่มคุ้นเคยกับการคอรัปชั่น จนถือว่าเป็นเรื่องปกติ และยอมรับได้ หากว่ามันช่วยทำให้เราได้ปัจจัยมาสนองลัทธิ “สุขนิยม” ของตน!

พระวจนะของพระเจ้าได้เตือนเราให้ได้สติและรู้จักประมาณตนในการดำเนินชีวิต

ผู้หญิง(ที่กระตือรือร้นในการรับใช้และมีความเป็นผู้นำ)ต้องรู้จักประมาณตน

                “ส่วน​พวก​ผู้หญิง​ก็​เหมือน​กัน ต้อง​เป็น​คน​น่า​นับถือ ไม่​ใส่ร้าย​คน​อื่น รู้จัก​ประมาณ​ตน ซื่อสัตย์​ใน​ทุกๆ เรื่อง”      (1ทธ.3:11)

 ผู้ชายสูงอายุต้องรู้จักประมาณตน

             “สอน​บรรดา​ผู้ชาย​สูง​อายุ​ให้​รู้จัก​ประมาณ​ตน มี​ความ​น่า​นับถือ มี​สติสัมปชัญญะ มี​ความ​เชื่อ​ที่​ถูกต้อง มี​ความ​รัก   และ​ความ​ทรหด​อดทน”  (ทต.2:2)

 -ผู้นำ(ผู้ปกครองดูแลคริสตจักร) ก็ต้องรู้จักประมาณตน

             “ผู้​ปกครอง​ดูแล​นั้น​จะ​ต้อง​เป็น​คน​ที่​ไม่​มี​ที่​ติ เป็น​สามี​ของ​หญิง​คน​เดียว รู้จัก​ประมาณ​ตน มี​สติ‌ สัมปชัญญะ เป็น​คน​น่า​นับถือ มี​อัธยาศัย​ต้อนรับ​แขกเหมาะ​ที่​จะ​เป็น​อาจารย์”   (1ทธ.3:2)

 เมื่อใดก็ตามที่คุณต้องการความพึงพอใจมากยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก โดยต้องใช้เงินจำนวนมากอยู่เรื่อย ๆ ตามเงื่อนไขหรือข้อจำกัดทางการเงิน รวมทั้งต้นทุนด้านเวลาเพื่อซื้อสินค้านั้น เมื่อนั้นความพึงพอใจของคุณแทนที่จะเพิ่มขึ้น อาจกลับลดลง!

เราเรียกการบริโภคขั้นนี้ว่า “การบริโภคแบบบั่นทอนตนเอง!”

นี่คือปรากฏการณ์ของ “ความยากจนบนความมั่งคั่ง” (The Poverty of Affluence)  คือ “คนมีการบริโภคเพิ่มมากขึ้น มีความสะดวกสบายเพิ่มขึ้น แต่กลับมีความสุขลดลง!”

ดังนั้น ขอให้เราเตือนสติซึ่งกันและกันว่า  “การบริโภคที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แบบไม่มีข้อจำกัดเช่นนี้มิได้ช่วยให้มนุษย์อย่างเรามีความสุขเพิ่มขึ้นเลย!”

เพราะปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้คุณมีความสุขอย่างแท้จริงคือ ความรู้จักพอ (ประมาณ) และการได้เข้าสนิทอยู่ในพระเจ้า!

คุณต้องหันหลังให้กับ “ลัทธิสุขนิยม” ที่มุ่งแสวง “หา” เพื่อจะ “ได้” ทรัพย์สินอย่างบ้าคลั่งและต้องพึ่งพาวัตถุนิยม  และเข้าใกล้ชิดติดสนิทกับพระเจ้าแห่งความสุข ผ่านวิถีชีวิตแบบประมาณตนและมีประสบการณ์กับความสุขแท้ผ่านการ “ให้” ด้วยใจเอื้อเฟื้อ

 “ส่วน​พวก​ที่​มั่งคั่ง​ใน​ชี​วิต​นี้ จง​กำชับ​พวก​เขา​ไม่​ให้​เย่อหยิ่ง หรือ​มุ่ง​หวัง​ใน​ทรัพย์​ที่​ไม่​ยั่งยืน แต่​ให้​มุ่ง​หวัง​ใน​พระเจ้า​ผู้​ประทาน​ทุก​สิ่ง​แก่​เรา​อย่าง​ บริบูรณ์ เพื่อ​ให้​เรา​ได้​ชื่นชม จง​กำชับ​พวก​เขา​ให้​ทำ​การ​ดี ให้​ทำ​การ​ดี​มากๆ ให้​เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่​และ​แบ่งปัน”   (1ทธ.6:17-18)

  เพราะหากคุณกระทำเช่นนี้อย่างศรัทธาวางใจในพระเจ้า คุณจะบริโภคน้อยลง  และมีความสุขเพิ่มขึ้น!

ไม่เชื่อลองดูสิครับ!

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

Categories
บทความแปล

ช้าไปหรือเปล่าที่จะพลิกฟื้นแผ่นดินนี้?

Parliament

ถ้าประชากรของเราผู้ซึ่งเขา เรียกกันโดยชื่อของเรานั้นจะถ่อมตัวลง และอธิษฐานและแสวงหาหน้าของเรา และหันเสียจากทางชั่วของเขา เราก็จะฟังจากสวรรค์ และจะให้อภัยแก่บาป ของเขาและจะรักษาแผ่นดินของเขาให้หาย” (2พงศาวดาร 7:14)

ผมเชื่อพระเจ้าในเรื่องการพลิกฟื้นแผ่นดิน คุณครับ บางครั้งเราก็คิดว่ามันสายเกินไป เราจึงต้องปล่อยให้มันเป็นไป นั่นเป็นสิ่งที่พวกมารมันอยากให้เราทำ

มันเร็วเกินไปที่จะล้มเลิกความตั้งใจ พระเจ้าเคยนำการฟื้นฟูไปยังที่มืดมิดที่สุดมาแล้ว และไม่มีส่วนใดเลยในพระคัมภีร์ที่บอกว่าเราทำการฟื้นฟูไม่ได้แล้วเพราะมันมืดมิดเกินไป

ไม่มีคำว่าสายไปสำหรับประเทศของเรา และผมไม่อยากให้คุณพูดว่า “จะผิด จะถูก ยังไงก็เป็นประเทศของเรา” ไม่นะครับ ผมอยากให้มันถูกต้อง ไปทีละขั้นๆ ทำให้ถูกต้องต่อพระเจ้า เพื่อเราจะพูดได้ ร้องเพลงได้ อธิษฐานได้ และขอให้เป็นไปได้ว่า “ขอพระเจ้าโปรดทรงอวยพรประเทศของเรา” แต่ยังมีเรื่องที่สำคัญกว่าประเทศของเรา นั่นคือแผ่นดินของพระเจ้า ผมไม่ได้สนใจอยากทำประเทศของเราให้เป็นสถานที่ๆดูดีแต่ไปจบลงที่ในนรก ประชาชนจำเป็นต้องได้รับความรอดครับ  

ดีที่สุดที่คุณทำได้คือนำคนมาหาพระเยซู แล้วคุณไม่เพียงแต่เพิ่มคนดีเข้าในสังคม — แต่จะได้รับการทรงสร้างใหม่และเพิ่มประชากรคนใหม่เข้าสู่แผ่นดินของพระเจ้า ถ้ามีใครมาถามคุณวันนี้ว่าทำอย่างไรจะไม่ตกนรก? คุณพร้อมจะนำเขาไปหาพระเยซูและได้รับความรอดเข้าสู่สวรรค์มั้ยครับ?

โดย : Pastor Adrian Rogers’ Daily devotional

Love worth finding ministries: www.lwf.org