Categories
บทความแปล

เสียวิญญาณไปเปล่าๆ

handful_of_finger_puppets

ถ้ามีใครมาหาคุณแล้วพูดว่า “ผมมีอำนาจที่จะทำให้คุณร่ำรวยที่สุด มีอำนาจมากที่สุด มีชีวิตที่สนุกสนานเพลิดเพลินที่สุดในโลก เพียงแต่ขอคุณเรื่องเดียวเท่านั้น – ขอนิ้วก้อยของคุณให้ผมได้ไหม? ให้หมอตัดนิ้วก้อยคุณออกมา แล้วทั้งหมดที่ผมพูดไป คุณจะได้รับในทันที” คุณตกลงมั้ย?

เอาเป็นว่าเขาไม่ได้ขอนิ้วก้อยคุณหรอก แต่ขอการได้ยินไปจากคุณ คุณจะหูหนวก ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แต่จะได้ที่เหลือทั้งหมด คุณจะยอมสละการได้ยินเพื่อแลกกับความร่ำรวย อำนาจบารมี และความสนุกสนานเพลิดเพลินทั้งหมดของโลกนี้หรือเปล่า?

เอาหละ สมมุติว่าผู้ชายคนนี้พูดว่า เขาไม่ได้ต้องการแค่หูคุณหรอก แต่ต้องการดวงตา แขนขาคุณด้วย คุณก็คงมาคิดว่า “นี่ถ้าจะบ้า” แต่เดี๋ยวก่อนครับ – เรื่องยังไม่จบ มีบางคนให้มากกว่าที่เอ่ยมาทั้งหมด แต่ไม่ได้อะไรกลับคืนมาเลย

 มีตรรกะในสิ่งที่พระเยซูตรัส  “เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องเสียชีวิตของตน ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร เพราะว่าผู้นั้นจะนำอะไรไปแลกเอาชีวิตของตนกลับคืนมา” (มาระโก 8:36-37)

 พระเยซูกำลังถามว่า “วิญญาณคุณมีค่าเท่าไหร่?” มีค่าเท่ากับนิ้วก้อยของคุณ? เท่ากับหู ตา แขนขาหรือ?

นับเป็นการแลกเปลี่ยนที่โง่เขลาและน่าสลดใจเป็นที่สุด เอาวิญญาณของคุณไปแลกกับสิ่งของอนิจจังของโลกนี้

 โดย: Pastor Adrian Rogers’ daily devotional

Love worth finding ministries: www.lfw.org

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ (บทที่ 5)

สุดยอดปัญญา

 พระธรรม        1พงศ์กษัตริย์ 3:1-15

อ้างอิง             1พกษ.2:10;3:5;9:24;10:23;14:8;7:8;11:1-13;15:14;22:43;4:29-31

บทนำ              ซาโลมอนได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ที่มีความฉลาดและมีสติปัญญาเป็นที่โปรดปรานทั้งของพระเจ้าและคนทั่วไป

วันนี้คุณมีสติปัญญาเป็นที่ยอมรับของคนรอบตัวของคุณแล้วหรือไม่?

บทเรียน

3:1 “ซาโลมอน ได้ทรงทำให้เป็นทองแผ่นเดียวกันกับฟาโรห์กษัตริย์แห่ง อียิปต์ โดยทรงรับพระธิดาของฟาโรห์ และทรงนำพระนาง​มาไว้ในนครดาวิด จนกระทั่งพระองค์ทรงสร้างพระราชวังของพระองค์ พระนิเวศของพระยาห์เวห์ และกำแพงรอบกรุงเยรูซาเล็มเสร็จ

   (Solomon made a marriage alliance with Pharaoh king of Egypt. He took Pharaoh’s daughter and brought her  into the city of David until he had finished building his own house and the house of the Lord and the wall around Jerusalem. )

3:2 “อย่างไรก็ตาม ประชาชนได้ถวายสัตวบูชาที่ปูชนียสถานสูง เพราะยังไม่ได้สร้างพระนิเวศเพื่อพระนามของพระยาห์เวห์จนถึง วันนั้น

   (The people were sacrificing at the high places, however, because no house had yet been built for the name of the Lord.)

3:3 “ซาโลมอนทรงรักพระยาห์เวห์ ทรงดำเนินตามกฎเกณฑ์ของดาวิดพระราชบิดาของพระองค์ เว้นแต่พระองค์ทรงถวายสัตว‌์บูชาและทรงเผาเครื่องหอมที่ ปูชนียสถานสูง

     (Solomon loved the Lord, walking in the statutes of David his father, only he sacrificed and made offerings at  the high places.)

3:4 “และ พระราชาเสด็จไปที่เมืองกิเบโอนเพื่อถวายเครื่องสัตวบูชาที่นั่น เพราะที่นั่นเป็นมหาปูชนียสถานสูงซาโลมอนทรงเคยถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวจำนวนพันตัวบนแท่น บูชานั้น

   (And the king went to Gibeon to sacrifice there, for that was the great high place. Solomon used to offer a  thousand burnt offerings on that altar.)

3:5 “พระยาห์เวห์ทรงปรากฏแก่ซาโลมอนที่เมืองกิเบโอนเป็นพระสุบินในเวลากลางคืน และพระเจ้าตรัสว่า “เจ้าอยากได้สิ่งใด เจ้าก็จงขอเถิด

     (At Gibeon the Lord appeared to Solomon in a dream by night, and God said, “Ask what I shall give you.” )

3:6 “และ ซาโลมอนทูลว่า “พระองค์ทรงสำแดงความรักมั่นคงอันยิ่งใหญ่แก่ดาวิดผู้เป็นบิดาของข้าพระองค์และเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ เพราะว่าท่านดำเนินต่อพระพักตร์พระองค์ด้วยความซื่อสัตย์และ ความชอบธรรมด้วยจิตใจซื่อตรงต่อพระองค์ และพระองค์ทรงรักษาความรักมั่นคงอันยิ่งใหญ่นี้ไว้เพื่อ ท่าน และได้ประทานบุตรชายคนหนึ่งแก่ท่าน ให้นั่งบนบัลลังก์ของท่านในวันนี้

   (And Solomon said, “You have shown great and steadfast love to your servant David my father, because he walked before you in faithfulness, in righteousness, and in uprightness of heart toward you. And you have kept  for him this great and steadfast love and have given him a son to sit on his throne this day.)

3:7 “ข้าแต่ พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ บัดนี้พระองค์ทรงทำให้ผู้รับใช้ของพระองค์เป็นกษัตริย์แทน ดาวิดบิดาของข้า‌พระองค์ แต่ข้าพระองค์เป็นเพียงเด็กเล็ก ข้าพระองค์ไม่ทราบว่าจะดำเนินการปกครองอย่างไรถูก

 (And now, O Lord my God, you have made your servant king in place of David my father, although I am but a  little child. I do not know how to go out or come in.)

  3:8  “และผู้รับใช้ของพระองค์ก็อยู่ท่ามกลางประชากรของพระองค์ ผู้ซึ่งพระองค์ทรงเลือกไว้เป็นชนชาติใหญ่ ซึ่งไม่สามารถจะนับหรือคำนวณได้

  (And your servant is in the midst of your people whom you have chosen, a great people, too many to be numbered or counted for multitude. )

  3:9 “ฉะนั้น ขอพระองค์ประทานความคิดความเข้าใจแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ เพื่อจะวินิจฉัยประชากรของพระองค์เพื่อจะแยกแยะความแตกต่างระหว่างดีกับชั่วได้ เพราะใครจะสามารถวินิจฉัยประชากรมากมายนี้ของพระองค์ได้?’”

      (Give your servant therefore an understanding mind to govern your people, that I may discern between good and evil, for who is able to govern this your great people?”)

  3:10 “ที่ซาโลมอนทูลขอเช่นนี้ก็เป็นที่พอพระทัยองค์เจ้านาย

       (It pleased the Lord that Solomon had asked this. )

3:11 “พระเจ้า จึงตรัสกับซาโลมอนว่า “เพราะเจ้าได้ขอสิ่งนี้และไม่ได้ขอชีวิตยืนยาว หรือความมั่งคั่งให้ตัวเอง หรือขอชีวิตศัตรูของเจ้า แต่เจ้าเองขอความเข้าใจเพื่อจะวินิจฉัยอย่างยุติธรรม

  (And God said to him, “Because you have asked this, and have not asked for yourself long life or riches or the life of your enemies, but have asked for yourself understanding to discern what is right,)

3:12 “นี่แน่ะ เราจะทำตามคำของเจ้า นี่แน่ะเราจะให้ใจที่ประกอบด้วยปัญญาและความเข้าใจ ซึ่งไม่มีใครที่เป็นอยู่ก่อนเจ้าเหมือนเจ้า และจะไม่มีใครที่ขึ้นมาภายหลังเจ้าเหมือนเจ้า

  (behold, I now do according to your word. Behold, I give you a wise and discerning mind, so that none like you has been before you and none like you shall arise after you. )

3:13 “เรา จะให้สิ่งที่เจ้าไม่ได้ขอแก่เจ้าด้วย ทั้งความมั่งคั่งและเกียรติยศ เพื่อจะไม่มีกษัตริย์องค์ใดเปรียบเทียบกับเจ้าได้ตลอดวัน​เวลา ทั้งสิ้นของเจ้า

       (I give you also what you have not asked, both riches and honor, so that no other king shall compare with you, all your days.)

3:14 “และ ถ้าเจ้าจะดำเนินตามทางของเรา รักษากฎเกณฑ์และบัญญัติของเรา ดังดาวิดบิดาของเจ้าได้ดำเนินนั้นเราก็จะให้อายุของเจ้ายืนยาว

       (And if you will walk in my ways, keeping my statutes and my commandments, as your father David walked,  then I will lengthen your days.” )

3:15 “และ ซาโลมอนก็ตื่นบรรทม และนี่แน่ะเป็นพระสุบิน แล้วพระองค์ก็เสด็จมายังกรุงเยรูซาเล็ม และทรงยืนอยู่หน้าหีบพันธสัญญาขององค์เจ้านาย และถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวและเครื่องศานติบูชา และทรงจัดงานเลี้ยงแก่ข้าราชการทั้งสิ้นของพระองค์ การวินิจฉัยอันชาญฉลาดของซาโลมอน

   (And Solomon awoke, and behold, it was a dream. Then he came to Jerusalem and stood before the ark ofthe covenant of the Lord, and offered up burnt offerings and peace offerings, and  made a feast for all his  servants.)

ข้อมูลมีประโยชน์

3:1       “เป็นทองแผ่นเดียวกันกับฟาโรห์” (Solomon made a marriage alliance with Pharaoh king of  Egypt )

= เป็นไปได้ว่า ซาโลมอนสมรสเพื่อเจริญพระราชไมตรีกับฟาโรห์ ที่มีนามว่า “สีอามุน” ซึ่งเป็นฟาโรห์องค์ท้าย ๆ ของราชวงค์ลำดับที่ 21 ของอียิปต์

= เป็นการชี้ให้เห็นว่า อียิปต์ยอมรับในความสำคัญของอิสราเอลที่เพิ่มขึ้น -ใน 1 พกษ.9:16 บอกให้รู้ว่า ฟาโรห์ได้ยกเมืองเกเซอร์ในคานาอันให้ธิดาเป็นสินสมรสในการอภิเษกกับซาโลมอน

เกเซอร์ เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ใกล้จุดตัดสำคัญของเส้นทางการค้าที่สำคัญ 2 เส้นทาง จากอียิปต์ไปยัพฟา

-การแต่งงานกับธิดาฟาโรห์เป็นการช่วยฟาโรห์และซาโลมอนในการบรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจ

-สันถวไมตรีนี้เกิดขึ้นในราวปีที่ 3 หรือ 4 ในรัชกาลของซาโลมอน (2:39)

“รับพระธิดาของฟาโรห์” (He took Pharaoh’s daughter) = อภิเษกกับพระธิดาองค์หนึ่งของฟาโรห์

-1พกษ.7:8;11:1-13;9:16,24;2พศด.8:11

= ในตอนนี้ ซาโลมอนแต่งงานอยู่กับนาอามาห์ (มารดาของเรโหโบอัม) อยู่ก่อนแล้ว (14:21,31) และอาจมี

ภรรยาคนอื่น ๆ ด้วย (11:1-3)

“นครดาวิด” (city of David) = เยรูซาเล็ม ธิดาของฟาโรห์อาจพำนักในป้อมเก่าชั่วคราว (2ซมอ.5:7;1พกษ.2:10) จนกระทั่งมีการสร้างราชวังเป็นส่วนตัวในอีกราว 20 ปีต่อมา (7:8;9:10;2พศด.8:11)

“จนกระทั่งพระองค์ทรงสร้างพระราชวังของพระองค์” (until he had finished building his own house)

-2ซมอ.7:2;1พกษ.9:10

3:2       “ปูชนียสถานสูง” (sacrificing at the high places) = สถานบูชาที่สูง –ลนต.17:3-5;26:30;ฉธบ.12:14;

1พกษ.15:14;22:43  =เมื่ออิสราเอลเข้าสู่คานาอัน ก็ปฏิบัติตามธรรมเนียมของคนคานาอัน โดยตั้งแท่นบูชาไว้บนเนินเขาสูง (คงเป็นสถานที่นมัสการบาอัลในอดีต) = เป็นประเด็นปัญหามานานแล้ว เพราะชาวอิสราเอลถูกห้ามไม่ให้ใช้แท่นบูชาและสถานบูชาบนที่สูงของพระต่างชาตินมัสการพระเจ้ามานานแล้ว (กดว.33:52;ฉธบ.7:5;12:3)

-และอีกประการหนึ่งคือ แท่นบูชานั้นจะสร้างขึ้นได้เฉพาะในสถานที่ที่พระเจ้ากำหนดเท่านั้น (อพย.20:24; ฉธบ.12:5,8,13-14)

-ไม่ปรากฎชัดว่า การเพิ่มจำนวนแท่นบูชาถูกห้ามไว้หรือไม่ (19:10,14;ลนต.26:30-31;ฉธบ.12;1ซมอ.9:12)

-ดูเหมือนว่า เงื่อนไขเหล่านั้ถูกละเลยในสมัยของซาโลมอน และมีการใช้ปูชนียสถานสูงของพระต่างชาติ

เพื่อนมัสการพระเจ้า ซึ่งได้นำไปสู่การละทิ้งความเชื่อและการมีความเชื่อปนเป (2พกษ.17:7-18;21:2-9;23:4-25)

“เพราะยังไม่ได้สร้างพระนิเวศ” (because no house had yet been built ) – ฉธบ.14:23

“เพื่อพระนามของพระยาห์เวห์” (for the name of the Lord) –ฉธบ.12:5;สดด.5:11

3:3       “ซาโลมอนทรงรักพระยาห์เวห์” (Solomon loved the Lord)  -ฉธบ.6:5;สดด.31:23;145:20

“ทรงดำเนินตามกฎเกณฑ์” (walking in the statutes) = ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ –ฉธบ.17:19;1พกษ.14:8 “เว้นแต่” (only) = ความผิดพลาดร้ายแรงของซาโลมอนข้อหนึ่งคือ การไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดในบทบัญญัติของโมเสส เกี่ยวกับสถานนมัสการพระเจ้าให้ถูกต้องอย่างสม่ำเสมอ

“ถวายสัตวบูชาและทรงเผาเครื่องหมอที่ปูชนียสถานสูง” (only he sacrificed and made offerings at the high places) –ลนต.17:3-5;1พกษ.2:2;2พกษ.12:3;15:4,35;16:4;21:3

3:4       “เมืองกิเบโอน” (Gibeon) –ชาวกิเบโอนเคยหลอกโยชูวาและชาวอิสราเอลให้ทำสัญญาไมตรีขณะที่กำลังพิชิตคานาอัน (ยชว.9:3-27)  ภายหลังเมืองนี้ถูกยกให้กับเผ่าเบนยามิน และถูกแยกออกไว้ให้คนเลวี (ยชว.18:25;21:17)

-ซาอูลทำลายสัญญาไมตรีนี้ ดาวิดจึงชดใช้ให้โดยการประหารบุตรหลานของซาอูล 7 คน (2ซมอ.21:1-9)

“มหาปูชนียสถานสูง” (sacrifice there, for that was the great high place.) = สถานบูชาบนที่สูงที่สำคัญที่สุด

= เนื่องจากกิเบโอนเป็นที่ตั้งของพลับพลาและแท่นทองสัมฤทธิ์โบราณ (1พศด.21:29;2พศด.1:2-6) ซึ่งรอดพ้นมาได้หลังฟิลิสเตียทำลายเมืองชิโลห์ (1ซมอ.7:1)

3:5       “ทรงปรากฎ” (appeared) -1พกษ.9:2;11:9; “พระสุบิน” (in a dream) = ความฝัน

= ช่องทางหนึ่งที่พระเจ้าสำแดงพระองค์ผ่านในพระคัมภีร์เดิม(ปฐก.28:12;31:11;46:2;กดว.12:6;วนฉ.7:13;ดนล 2:4;7:1) ในพระคัมภีร์ใหม่ (มธ.1:20;2:12,22);  “ในเวลากลางคืน” (by night) –มธ.27:19

“เจ้าอยากได้สิ่งใดเจ้าก็จงขอเถิด” (Ask what I shall give you.)  -มธ.7:7

3:6       “สำแดงความรักมั่นคงอันยิ่งใหญ่” (You have shown great and steadfast love) = สำแดงพระกรุณา

= พระคุณในพันธสัญญาใหม่ (2ซมอ.7:15;สดด.6:4)

-ซาโลมอนสรรเสริญพระเจ้าที่ทรงซื่อสัตย์ต่อพระสัญญาที่ให้ไว้กับดาวิด (2ซมอ.7:8-16)

“ด้วยความซื่อสัตย์” (in faithfulness)  –ปฐก.17:1 ; “ประทานบุตรชายคนหนึ่ง…ให้นั่งบนบัลลังก์” (havegiven him a son to sit on his throne) -1พกษ.1:48

3:7       “ข้าพระองค์เป็นเพียงเด็กเล็ก” (although I am but a little child) = ซาโลมอนเกิดในช่วงกลางของการครองราชย์ 40 ปีของดาวิด (2:11-12) และยอมรับว่า ตัวเองขาดประสบการณ์ในการรับผิดชอบหน้าที่ในตำแหน่งนี้ –กดว.27:17;1พศด.22:5;29:1;ยรม.1:6

3:8       “อยู่ท่ามกลางประชากรของพระองค์” ( in the midst of your people whom you have chosen)  = ท่ามกลางประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร –ฉธบ.7:6

“ชนชาติใหญ่ซึ่งไม่สามารถจะนับหรือคำนวณได้” (a great people, too many to be numbered or counted for multitude.) = มีมากมายเหลือคณานับ จากเดิมมีครอบครัวเดียว ซึ่งไปอาศัยอยู่ในอียิปต์ (ปฐก.46:26-27;

ฉธบ.7:7) จนเพิ่มขึ้นมากมายตามที่พระเจ้าสัญญาไว้กับอับราฮัม (ปฐก.13:16;22:17-18) และกับยาโคบ (ปฐก.32:12) และใกล้จะเป็นจริง (4:20) –ปฐก.12:2;15:5;1พศด.27:23

3:9       “ความคิดความเข้าใจ” (understanding mind)   = มีความคิดฉลาดหลักแหลม -2ซมอ.14:17:ยก.1:5

=คำที่แปลได้ตรงตัวว่า “ใจที่รู้จักฟัง” = สามารถรับฟังเรื่องราวจากทุกฝ่ายอย่างใจเยือกเย็น เพื่อจะตัดสินได้อย่างเที่ยงธรรมและชาญฉลาด (ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดีของกษัตริย์หรือผู้ปกครองที่ดี –อสย.11:2-5)

“วินิจฉัยอย่างยุติธรรม” (that I may discern) =รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี –ฉธบ.1:16

“สามารถวินิจฉัย” (between good and evil) = สามารถปกครอง -2คร.2:16

3:11     “เพราะเจ้าได้ขอสิ่งนี้” (Because you have asked this) –ยก.4:3

“ชีวิตยืนยาว ความมั่งคั่งให้ตัวเอง หรือขอชีวิตศัตรูของเจ้า” (have not asked for yourself long life or riches or the life of your enemies) = ความปรารถนาของกษัตริย์ในแถบตะวันออกใกล้ยุคโบราณ

“ขอความเข้าใจเพื่อจะวินิจฉัยอย่างยุติธรรม” (but have asked for yourself understanding to discern what is right,)  -คำภาษาฮีบรูตอนนี้ หมายความตรงตัวว่า “ความสามารถแยกแยะเพื่อจะเข้าใจความยุติธรรม” -1พศด.22:12

3:12     “เราจะทำตามคำของเจ้า” (I now do according to your word) = เราจะให้ตามที่เจ้าขอ -1ยน.5:14-15

“เราจะให้ใจที่ประกอบด้วยปัญญาและความเข้าใจ” (I give you a wise and discerning mind)

-2ซมอ.14:20;1พกษ.4:29-31;5:12;10:23;ปญจ.1:16

“ซึ่งไม่มีใครที่เป็นอยู่ก่อนเจ้าเหมือนเจ้า” (so that none like you has been before you and none like you)  -4:29-34;10:1-13

3:13     “เราจะให้สิ่งที่เจ้าไม่ได้ขอแก่เจ้าด้วย” (I give you also what you have not asked) –ลก.12:31;มธ.6:33; อฟ.3:20;   “ทั้งความมั่งคั่งและเกียรติยศ” (both riches and honor,) = ทรัพย์สมบัติและเกียรติ – สภษ.3:1-2,16;8:18

“จะไม่มีกษัตริย์องค์ใดเปรียบเทียบกับเจ้าได้” (no other king shall compare with you,)  -1พกษ.10:23;2พศด.9:29;นหม.13:26

3:14     “…ถ้าเจ้าจะดำเนินตามทางของเรา” (if you will walk in my ways,) -1พกษ.9:4;สดด.25:13;101:2;128:1; สภษ.3:1-2,16;    “เราก็จะให้อายุของเจ้ายืนยาว” (I will lengthen your days) -สดด.61:6

= สะท้อนถึง  ฉธบ. 6:2,17-20;22:7

= น่าเสียดายที่ซาโลมอนแม้ฉลาดแต่ไม่ได้เชื่อฟังพันธสัญญาของพระเจ้าเหมือนที่ดาวิดบิดาของท่านกระทำ (11:6)  ท่านจึงมีอายุเพียงแค่ 60 ปี (ข.7:11:42)

3:15     “…ซาโลมอนก็ตื่นบรรทม” (…Solomon awoke,) –ปฐก.28:16

“และนี่แนะเป็นพระสุบิน” (it was a dream.)  = ตระหนักว่าได้ทรงผันไป -1พกษ.3:5

“หีบพันธสัญญาขององค์เจ้านาย” (ark of the covenant of the Lord,) -6:19;2ซมอ.6:2

“ถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัว” (offered up burnt offerings) = เครื่องเผาบูชา – ลนต.6:8-13

“เครื่องศานติบูชา” (peace offerings) = เครื่องสันติบูชา -1ซมอ .11:15

คำถามนำอภิปราย

1. คุณเคยทุ่มเทกระทำอะไรบ้างเพื่อสร้างตัวสร้างฐานะของคุณหรือไม่?   คุณใช้เวลานานเท่าใดจึงสร้างฐานะ จนมั่นคง?    และทำอย่างไร?

2. คุณเคยเชื่อฟังพระวจนะหรือกฎเกณฑ์ของพระเจ้าส่วนใหญ่ แต่มีข้อหย่อนยานในบางเรื่องบ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร?  แล้วมีผลอะไรตามมาบ้าง?

3. หากพระเจ้ามาปรากฎกับคุณในวันนี้ และสั่งให้คุณขอได้ 1 อย่างจากพระองค์ คุณจะขออะไร? ทำไม?

4. มีใครเป็นแบบอย่างแห่งความซื่อตรงในการรับใช้พระเจ้าที่คุณเห็นบ้าง?  เขาทำอะไรและอย่างไร?

5. คุณเห็นบุคคลใดที่พระเจ้าอวยพรในชีวิตของเขาเพราะว่าเขารับใช้พระเจ้าด้วยใจเที่ยงธรรมและซื่อตรงบ้าง?  อย่างไร?  สิ่งที่เห็นสร้างแรงบันดาลใจ   อะไรให้แก่คุณบ้าง?

6. คุณเคยรู้สึกว่าคุณรู้น้อย และเป็นเด็กและต้องการสติปัญญาจากพระเจ้าบ้างหรือไม่?  เมื่อไร?  และพระเจ้าประทานให้ตามที่ขอหรือไม่?  อย่างไร?

7. คุณคิดว่า การตัดสินใจหรือการใช้สติปัญญาที่ฉลาดที่สุดในชีวิตของคุณ คือเรื่องอะไร?  ทำไมคิดเช่นนั้น?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทความแปล

ยึดไว้ทั้งสองมือ

Reflections II - 2004 - Oil on canvas

พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงฟังเถิด พระเจ้าได้ทรงเลือกคนยากจนในโลกนี้ให้เป็นคนมั่งมีในความเชื่อ และให้เป็นผู้รับมรดกแผ่นดินซึ่งพระองค์ทรงสัญญาไว้ แก่ผู้ที่รักพระองค์มิใช่หรือ (ยากอบ 2:5)

 คุณกำลังดิ้นรนกับปัญหาชีวิตอยู่หรือ? บางที่คุณต้องตัดสินใจบางเรื่อง แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร พี่น้องครับ ผมขอบอกทางที่คุณจะพบสิ่งที่พระเจ้าต้องการเพื่อคุณได้

ยึดพระเจ้าไว้ด้วยมือทั้งสองและและในความเชื่อทูลพระองค์ว่า “จมหรือว่ายไป อยู่หรือตาย แค่ครั้งเดียวยืนยาวชั่วนิรันดร์ ผมจะทำทุกสิ่งเพื่อพระองค์”

จอห์น ไดรเดน กวีโด่งดังชาวอังกฤษกล่าวว่า “เหตุผลค้นไม่พบ จนความเชื่อผุดขึ้นมาสู่ความสว่าง

ชาร์ล เฮดดอน เปอร์เจียน กล่าวว่า “ความเชื่อขึ้นบันไดที่ความรักสร้างไว้ และมองออกหน้าต่างที่ความหวังเปิดไว้”

คุณไม่อาจรู้ว่าพระเจ้าสามารถทำสิ่งใดผ่านคุณ จนกว่าคุณจะกล้าก้าวออกมาในความเชื่อ – ลองก้าวออกมาสิครับ

โดย: Pastor Adrian Rogers’ daily devotional

อนุญาตโดย: Love worth finding ministries: www.lwf.org

Categories
บทความแปล

หวานชื่น หรือ ขมขื่น – ตัวเลือกอยู่ที่คุณ

eraser-pencil

จงระวังให้ดีอย่าให้ใครเพิกเฉยต่อพระคุณของพระเจ้า และอย่าให้มีรากขมขื่นงอกขึ้นมา ทำความยุ่งยากให้  ซึ่งจะเป็นเหตุให้คนเป็นอันมากเสียไป (ฮีบรู 12:15)

 “หญิงชราที่มีแต่ความขมขื่น” เคยได้ยินใครพูดถึงบางคนแบบนี้หรือไม่? ฉันเคย และที่น่าทึ่งเวลามีคนใช้คำว่า “ขมขื่น” ฉันรู้ดีว่าหมายถึงอะไร พจนานุกรมอธิบายคำว่าขมขื่น “ขี้โมโห – แสดงความเกลียดชัง ต่อว่าผู้อื่นอย่างรุนแรง พูดจาหยาบคายเยาะเย้ย ถากถาง” ล้วนแล้วแต่งอกมาจากความโกรธที่ฝังลึกอยู่ภายใน และไม่ให้อภัย หยั่งรากเติบโตขึ้นในวิญญาณ รดน้ำและใส่ปุ๋ยโดยนำกลับมาย้อนทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนเล่นวีดีโอแห่งความขมขื่นซ้ำๆอยู่ในโรงหนังแห่งจิตใจ

อ. เปาโลเตือนเราว่าการ “มีรากขมขื่น” ที่เติบโตได้ และ “ทำให้คนเป็นอันมากเสียไป” (ฮีบรู 12:15) ยากอบบอกเราว่าความขมขื่นมาจากพวกปีศาจ (ยากอบ 3:14-15) และเปโตรเตือนเราให้ระวังความขมขื่นที่อาจส่งผลต่องานรับใช้ (กิจการ 8:20-23)

ทางเดียวที่จะหลุดพ้นจากความขมขื่นคือปล่อยความขมขื่นในอดีตให้ผ่านไป ปฏิเสธไม่สะสมไว้ สะสมของเก่า ตุ๊กตาบาร์บี้ หรือแม้แต่รองเท้ายังดีเสียกว่า แต่อย่าสะสมความขุ่นเคืองใจ เพราะในหัวใจคุณไม่มีที่พอจะเก็บความแค้นไว้  ความขุ่นเคืองจะกระโจนออกมาทุกครั้งที่คุณเปิดประตูปากพูด

“แม่ของฉันเป็นผู้หญิงที่มีแต่ความขมขื่น” ทิมพูด “หลังจากนั้นเธอก็เป็นโรคสมองเสื่อม และลืมไปหมดว่าขมขื่นเรื่องอะไร เธอกลับกลายเป็นผู้หญิงนิสัยดีที่ใครๆอยากอยู่ใกล้” เราจึงควรจะลืมเสียในขณะที่ยังมีอิสระพอทำตัวเองให้มีความสุขได้

แทนที่จะเลี้ยงดูความขมขื่น เลือกที่จะเลี้ยงดูอุปนิสัยดีจะดีกว่า ลองนำคำกลอนด้านล่างจากหนังสือตำราอาหารของจอห์น “หนังสือแห่งคำพูดเชิงบวก”  มาลองใช้

ทางลำบาก

สำหรับทุกเนินเขาที่ฉันต้องปีนป่าย
สำหรับหินทุกก้อนที่เท้าฉันเหยียบย่ำไป
สำหรับหยดเลือด หยาดเหงื่อ และหยากเยื่อแห่งความโสมม
สำหรับการปกปิดพายุร้าย และความร้อนระอุที่อยู่ภายใน
หัวใจฉันร้องแต่เพลงแห่งความรื่นเริงใจ –
สิ่งเหล่านี้ล่ะที่สร้างฉันให้เข้มแข็ง
นี่ไม่ใช่คนที่กักเก็บความขมขื่นไว้ แต่เป็นคนที่มีคุณลักษณะที่ดีและมีความเข้มแข็ง

ในทุกๆความสัมพันธ์เราเลี่ยงความเจ็บปวดไม่พ้น เราเป็นสิ่งทรงสร้างที่เต็มด้วยบาปและอยู่ในโลกที่ล้มคว่ำ และด้วยพระคุณพระเจ้าเท่านั้น ที่ทำให้เราเป็นพระพรกับผู้อื่นได้ ทางเดียวที่จะดีขึ้น แทนที่จะขมขื่นใจ คือเผื่อแผ่พระคุณที่ได้รับจากพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์นี้สู่ผู้อื่น กุญแจที่จะเขียนชีวิตให้สวยงามได้คือมีดินสอและยางลบดีๆเตรียมเอาไว้

โดย: Sharon Jaynes

อนุญาตโดย Girlfriends in God: www.girlfriendsingod.com

Categories
บทความแปล

รักผู้หลงหายแปลว่าอะไร?

Lemmings 1

จงปฏิบัติกับคนภายนอกด้วยใช้สติปัญญา โดยฉวยโอกาส จงให้วาจาของท่านประกอบด้วยเมตตาคุณเสมอ ปรุงด้วยเกลือให้มีรส เพื่อท่านจะได้รู้จักตอบให้จุใจแก่ทุกคน  (โคโลสี 4:5-6)

คุณอาจเคยได้ยินเรื่องของสัตว์ตัวเล็กๆที่ชื่อ “หนูเลมมิง”

หนูเลมมิงเป็นสัตว์ที่มีอุปนิสัยและประพฤติกรรมที่แปลกประหลาดน่าสนใจ เมื่อประชากรในฝูงของมั่นเริ่มหนาแน่น พวกมันบางตัวจะรวมกันเป็นกลุ่ม เดินตามกันไปที่หน้าผา แล้วกระโดดลงไปที่มหาสมุทร นัยว่าไปหาที่อยู่ใหม่ … และชีวิตพวกมันก็จบสิ้นลง

ครับ สำหรับคนส่วนใหญ่ นี่เป็นประพฤติกรรมที่ประหลาด แต่ก็ไม่ต่างไปจากประพฤติกรรมของคนที่วิ่งไล่ชีวิตเพื่อไปตามหาสิ่งอื่นที่ไม่ใช่พระเยซูคริสต์ แล้วในที่สุดก็ตกหน้าผาฝ่ายวิญญาณลงไปสู่ที่ๆไม่มีพระคริสต์อยู่ด้วย

แล้วเราจะทำอย่างไรดี? เราเห็นผู้คนตายจากไปโดยไม่มีพระคริสต์ และมีคนนับพันๆ หมื่นๆ ติดตามไป เราจะนั่งนิ่งๆเฝ้าดูหรือ? หรือเราจะอุทิศชีวิตเพื่อไปบอกทางให้กับพวกเขา “ทางแห่งพระเยซูคริสต์”  แทนที่จะปล่อยให้เดินตามกันไปสู่ความพินาศ

สำหรับผม ตัวเลือกมันง่ายมาก เราต้องรีบไปชี้ทางพระคริสต์ให้ผู้กำลังเดินหลงทาง เราเตือนให้รู้ว่าทางที่พวกเขากำลังไปจะเจอเข้ากับสิ่งใด เราบอกทางไปหาพระเยซูคริสต์ และอธิษฐานว่าพระเจ้าจะเปลี่ยนจิตใจพวกเขาให้มาเดินในเส้นทางแห่งชีวิตนิรันดร์

รักผู้หลงหาย โดยรีบชี้ทางให้พวกเขาไปถึงความรอด และมีสัมพันธ์กับองค์พระเยซูคริสต์นะครับ

อนุญาตโดย: Pastor Jack Graham

Jack Graham Power Point Ministry: www.powerpoint.org

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

มนุษยสัมพันธ์ของคุณเป็นอย่างไร?

Speck

“คนที่มีคุณประโยชน์มากที่สุดในโลกในทุกวันนี้ ก็คือ คนที่รู้วิธีเข้ากับคนอื่น  มนุษยสัมพันธ์คือ ศาสตร์สำคัญมากที่สุดในการดำรงชีวิตอยู่ !”

(The Most useful person in the world today is the man or woman who knows how to get along with other people. Human relations is the most important science in living.) Stanley C. Allyn-

 

ดร.จอห์น  ซี แม็กซ์เวลล์ ให้หลักการเรื่อง “มนุษยสัมพันธ์” ไว้หลายประการที่น่าสนใจ และหนึ่งในนั้นคือ  “หลักการของเลนส์” (The Lens Principle)  นั่นคือ …

“เราเป็นใคร เป็นตัวกำหนดวิถีที่เรามองผู้อื่น !”     (Who We Are Determines How We See Others)

ดังนั้น ยังเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องถามตัวเองอยู่เสมอว่า

เรามีมุมมองหรือการรับรู้เกี่ยวกับบุคคลอื่น ๆ อย่างไรบ้าง?

เราต้องตระหนักว่า เราเป็นดุจเลนส์ของตัวเราเอง เพราะเราเป็นเลนส์อย่างไร เราก็จะมองเห็นภาพต่างๆ (เกี่ยวกับคนอื่น) ผ่านเลนส์นั้น ๆ !

เราจึงต้องแน่ใจก่อนว่า เลนส์ที่เราใช้มองคนอื่นๆ นั้นเป็นเลนส์ใสสะอาด ไม่เปรอะเลอะไปด้วย อคติ หรือ อัตตา ของตัวเราเองจนเห็นภาพและสีต่าง ๆ แตกต่างจากความเป็นจริงไป เพราะการมองเช่นนั้นรังแต่จะสร้างความเจ็บปวดให้แก่ตัวเองและผู้อื่นโดยไม่จำเป็น! ขอให้จำบทเรียนต่อไปนี้ว่า …

  1. คุณเป็นคนอย่างไรเป็นตัวกำหนดว่า คุณมองเห็นอะไร?
  2. คุณเป็นคนอย่างไรกำหนดว่า คุณมองผู้อื่นอย่างไร?
  3. คุณเป็นคนอย่างไร กำหนดวิถีว่า คุณมองดูชีวิตของคุณอย่างไร?
  4. คุณเป็นคนอย่างไร กำหนดสิ่งที่คุณทำ!

อันที่จริงมีอยู่ 5 สิ่งที่กำหนดว่า เราเป็นใคร

  1. พันธุกรรมของเรา
  2. ภาพลักษณ์ของตัวเราเอง
  3. ประสบการณ์ในชีวิตของเรา
  4. ทัศนคติและการเลือกของเราในประสบการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต
  5. มิตรภาพ(หรือคนที่รายล้อม)ของเรา

พระเยซูคริสต์ตรัสเตือนสติเราในเรื่องมนุษยสัมพันธ์กับผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการ “มอง” ผู้อื่นผ่านเลนส์ที่มีปัญหาของเราเอง!

เพราะว่าเราอาจมองไม่เห็นปัญหาของตัวเองทั้ง ๆ ที่ใหญ่กว่าปัญหาของคนอื่น แต่เลนส์ของเรากลับมองเห็นแต่ปัญหาของผู้อื่นอย่างชัดเจนเกินไป!

ดังนั้น พระองค์ตรัสว่า …

     “อย่า​พิพากษา เพื่อ​พระเจ้า​จะ​ไม่​ทรง​พิพากษา​ท่าน​ทั้งหลาย เพราะว่า ​พวก​ท่าน​จะ​พิพากษา​ผู้​อื่น​อย่างไร พระเจ้า​จะ​ทรง​พิพากษา​ท่าน​อย่าง​นั้น และ​ท่าน​ทั้งหลาย​จะ​ตวง​ให้​ผู้​อื่น​ด้วย​ทะนาน​อัน​ใด พระเจ้า​จะ​ทรง​ตวง​ให้​พวก​ท่าน​ด้วย​ทะนาน​อัน​นั้น ทำไม​ท่าน​มอง​เห็น​ผง​ใน​ตา​พี่น้อง​ของ​ท่าน แต่​กลับ​มอง​ไม่​เห็น​ไม้​ทั้ง​ท่อน​ที่​อยู่​ใน​ตา​ของ​ท่าน? ท่าน​จะ​กล่าว​กับ​พี่น้อง​ได้​อย่างไร​ว่า ‘ให้​ฉัน​เขี่ย​ผง​ออก‌จาก​ตา​ของ​เธอ?’ ทั้งๆ ที่​มี​ไม้​ทั้ง​ท่อน​อยู่​ใน​ตา​ของ​ท่าน​เอง คน​หน้าซื่อ​ใจคด จง​ชัก​ไม้​ทั้ง​ท่อน​ออก​จาก​ตา​ของ​ท่าน​ก่อน แล้ว​ท่าน​จะ​เห็น​ได้​ถนัด จึง​จะ​เขี่ย​ผง​ออก​จาก​ตา​พี่น้อง​ของ​ท่าน​ได้”  (มัทธิว 7:1-5)

     วันนี้ เลนส์ของคุณมีปัญหาอย่างที่กล่าวมาบ้างไหมครับ?

ตอบที!

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

Categories
บทความแปล

อยู่อย่างเสรีแปลว่าอะไร

Fly away

พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “พวกท่านไม่ได้อ่านหรือว่า พระผู้ทรงสร้างมนุษย์แต่เดิม ได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง และตรัสว่า  เพราะเหตุนั้น บุรุษจึงต้องละบิดามารดาของตน ไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกัน เขาจึงไม่เป็นสองต่อไป แต่เป็นเนื้ออันเดียวกัน เหตุฉะนั้นซึ่งพระเจ้าได้ทรงผูกพันกันแล้ว อย่าให้มนุษย์ทำให้พรากจากกันเลย” (มัทธิว 19:4-6)

ผมรักประวัติศาสตร์ และยุคโปรดในประวัติศาสตร์ที่ผมชอบอ่านคือสงครามกลางเมืองในอเมริกา ไม่นานมานี้ได้อ่านบทความเกี่ยวกับทาสที่ได้รับการปลดปล่อยในช่วงปลายสงคราม บทความเจาะลึกถึงทาสหลายคนที่กลัวการถูกปลดปล่อย พวกเขาจึงเลือกอยู่กับเจ้านายต่อ และถูกพันธนาการไปจนชั่วชีวิต

ผมรู้จักคริสเตียนหลายคนที่คุ้นเคยกับชีวิตที่ถูกพันธนาการอยู่กับอดีต และยังอยู่แบบเดิมๆ ถึงแม้เป็นไทแล้วในพระคริสต์ พวกเขายังสบายใจ และติดอยู่ในนิสัยเดิมๆที่เคยทำ ไม่พยายามเอาตนเองออกมาจากวงเวียนของความเจ็บปวดและหายนะ

แต่พระคัมภีร์บอกคุณและผมว่าทันทีที่เราอยู่ในพระคริสต์ เราไม่จำเป็นต้องกลับไปมีชีวิตเหมือนเดิม ใช่ เราอาจต้องต่อสู้กับบาปเดิมๆ แต่เราไม่จำเป็นต้องยอมอ่อนข้อให้มัน เพราะเราได้รับการปลดปล่อยจากธรรมชาติการทำบาปเดิมๆแล้ว นับเป็นข่าวสุดวิเศษ

บางทีวันนี้ คุณอาจถูกอดีตบางอย่างล่ามเอาไว้ บางทีอุปนิสัยบางอย่างยึดคุณไว้แน่นจนไม่เห็นทางออก แต่ยังมีทางครับ  โดยฤทธิอำนาจของพระเยซูคริสต์ คุณได้รับอิสรภาพจากหนทางเดิมๆในชีวิต ยอมจำนนกับพระองค์ในวันนี้นะครับ เป็นไทจากอดีต และดำเนินชีวิตอย่างมีเสรี

หักโซ่ตรวนความบาปทิ้งไป และดำเนินชีวิตเป็นอิสระจากความเจ็บปวดและการทำลายจากวิถีชีวิตเดิมๆ!

อนุญาตโดย: Pastor Jack Graham

Jack Graham Power Point Ministry: www.powerpoint.org