Categories
บทความแปล

เคล็ดลับสู่การไปให้ถึงเส้นชัย

Florence Chadwick in Water

ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้แข่งขันจนถึงที่สุด ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว ต่อแต่นี้ไปมงกุฎแห่งความชอบธรรมก็จะเป็นของข้าพเจ้า ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้พิพากษาอันชอบธรรม จะทรงประทานเป็นรางวัลแก่ข้าพเจ้าในวันนั้น และมิใช่แก่ข้าพเจ้าผู้เดียวเท่านั้น แต่จะทรงประทานแก่คนทั้งปวงที่ยินดีในการเสด็จมาของพระองค์ (2ทิโมธี 4:7-8)

ฟลอเรนซ์ แชดวิค เป็นนักว่ายน้ำผู้ยิ่งใหญ่ ในปี 1952 เธอตัดสินใจแน่วแน่ที่จะว่ายน้ำจากเกาะคาทาลีน่า เข้าสู่แผ่นดินใหญ่ชายฝั่งคาลิฟอเนียร์ ระยะทางร่วม 26 ไมล์ เธอเป็นนักว่ายน้ำที่เก่งในการว่ายระยะไกล เคยว่าข้ามช่องแคบอังกฤษมาแล้วถึงสองครั้ง

ขณะกำลังว่ายอยู่ หมอกลงจัดทำให้มองไม่เห็นชายฝั่ง เมื่อไม่เห็นแผ่นดิน แชดวิคก็เสียกำลังใจ ขอให้คนที่ติดตามดึงขึ้นจากน้ำ พอขึ้นเรือได้ไม่นานเธอก็พบว่าอยู่ห่างจากชายฝั่งคาลิฟอเนียร์แค่ไมล์เดียว

ขณะพวกเราที่อยู่ในพระคริสต์ กำลังเข้าใกล้วันที่จะจากขอบเขตของสิ่งที่เห็นและจับต้องได้ไปสู่ขอบเขตที่มองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ เป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่ต้องจับจ้องในสิ่งที่กำลังใกล้เข้ามา มันง่ายที่เราจะไขว้เขว และถูกสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวดึงดูดไป แต่สิ่งที่สำคัญแท้จริงคือการเข้าเส้นชัยได้อย่างงดงาม ไม่สิ้นหวังไปเสียก่อนการเดินทางจะสิ้นสุดลง

ฟลอเรนซ์ แชดวิค พยายามมุ่งมั่นว่ายให้ได้อีกครั้ง และครั้งนี้หมอกก็ลงจัดเหมือนครั้งที่แล้ว ที่เธอทำคือวาดเส้นชายฝั่งที่มองไม่เห็นไว้ในใจ และว่ายไปจนถึง

ดังนั้นจงแน่วแน่จับจ้องอยู่ที่บำเหน็จข้างหน้า และคุณจะถึงเส้นชัยอย่างเข้มแข็งและกล้าหาญ

อย่าปล่อยให้สิ่งของทางโลกที่มองเห็นได้ ดึงคุณออกไปจากบำเหน็จที่มองไม่เห็นที่จะได้รับเมื่อเข้าถึงเส้นชัยได้อย่างสง่างาม

 

อนุญาตโดย: Pastor Jack Graham

Jack Graham Power Point Ministry: www.powerpoint.org

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ (บทที่ 6)

ปัญญาเริ่มฉายแสง

พระธรรม        1พงศ์กษัตริย์ 3:16-28

อ้างอิง               สดด.102:13;อสย.49:15;63:15;ยรม.3:12;31:20;ฮชย.11:8

บทนำ           พระเจ้าทรงประทานสติปัญญาให้กับกษัตริย์ซาโลมอน ตามที่พระองค์ทรงสัญญา ใน 1 พงศ์กษัตริย์ 3:12

และซาโลมอนใช้สติปัญญาที่ได้รับนั้นจัดการแก้ไขปัญหาที่ยุ่งยากซับซ้อน ดังในกรณีหญิงโสเภณี 2 คน แย่งลูกดังในบทเรียนวันนี้

บทเรียน

          3:16 “แล้วหญิงโสเภณีสองคนมาเฝ้าพระราชา และยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์

       (Then two prostitutes came to the king and stood before him.)

3:17 “หญิง คนหนึ่งทูลว่า “เจ้านายของข้าพระบาท ข้าพระบาทและผู้หญิงคนนี้อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน และข้าพระบาทก็คลอดบุตรคนหนึ่ง ขณะที่นางอยู่ในบ้าน

       (The one woman said, “Oh, my lord, this woman and I live in the same house, and I gave birth to  a child while she was in the house.)

3:18 “เมื่อ ข้าพระบาทคลอดบุตรได้สามวันแล้ว หญิงคนนี้ก็คลอดบุตรด้วย และข้าพระบาททั้งสองอยู่ด้วยกัน ไม่มี​  ใครอยู่กับพวกข้าพระบาทในบ้านนั้น ข้าพระบาททั้งสองเท่านั้นอยู่ในบ้านนั้น

       (Then on the third day after I gave birth, this woman also gave birth. And we were alone. There  was no one else with us in the house; only we two were in the house. )

3:19 “แล้วบุตรของหญิงคนนี้ได้ตายในเวลากลางคืน เพราะนางนอนทับ

        (And this woman’s son died in the night, because she lay on him.)

3:20 “พอ เที่ยงคืนนางลุกขึ้น และเอาบุตรของข้าพระบาทไปจากข้างกายข้าพระบาท ขณะที่สาวใช้ของฝ่าพระบาทนอนหลับอยู่ และวางเขาไว้ในอกของนาง และนางเอาบุตรของนางที่ตายแล้วนั้นไว้ในอกของข้าพระบาท

       (And she arose at midnight and took my son from beside me, while your servant slept, and laid  him at her breast, and laid her dead son at my breast.)

3:21 “เมื่อ ข้าพระบาทตื่นขึ้นในตอนเช้า เพื่อให้บุตรของข้าพระบาทกินนม นี่แน่ะ เขาตายแล้ว แต่เมื่อข้าพระบาทพินิจดูในตอนเช้า ดูสิ เด็กนั้นไม่ใช่บุตรที่ข้าพระบาทได้คลอดออกมา

       (When I rose in the morning to nurse my child, behold, he was dead. But when I looked  at him  closely in the morning, behold, he was not the child that I had borne.”

3:22 “แต่ หญิงอีกคนหนึ่งพูดว่า “ไม่ใช่ เด็กที่มีชีวิตเป็นลูกของข้า ส่วนเด็กที่ตายเป็นของเจ้า” หญิงคนที่หนึ่งพูดว่า  “ไม่ใช่ เด็กที่ตายเป็นของเจ้า และเด็กที่มีชีวิตเป็นของข้า” เขาทั้งสองพูดเถียงกันดังนี้ต่อพระพักตร์พระราชา

       (But the other woman said, “No, the living child is mine, and the dead child is yours.” The first  said, “No, the dead child is yours, and the living child is mine.” Thus they spoke before the king.)

3:23 “แล้ว พระราชาตรัสว่า “คนหนึ่งพูดว่า ‘เด็กที่มีชีวิตอยู่นี้เป็นลูกของข้า ส่วนลูกของเจ้าตายเสียแล้ว’ และอีกคน​หนึ่งพูดว่า ‘ไม่ใช่ ลูกของเจ้าตายเสียแล้ว และลูกของข้ายังมีชีวิตอยู่’ ”

      (Then the king said, “The one says, “This is my son that is alive, and your son is dead”; and the  other says, “No; but your son is dead, and my son is the living one.”)

3:24 “และพระราชาตรัสว่า “จงเอาดาบมาให้เราเล่มหนึ่ง” พวกเขาจึงเอาดาบมาไว้ต่อพระพักตร์พระราชา

       (And the king said, “Bring me a sword.” So a sword was brought before the king.)

3:25 “และพระราชาตรัสว่า “จงแบ่งเด็กที่มีชีวิตนั้นออกเป็นสองท่อน และให้หญิงคนหนึ่งครึ่งหนึ่ง และอีกคนหนึ่งครึ่งหนึ่ง

      (And the king said, “Divide the living child in two, and give half to the one and half to the other.”)

3:26 “แล้ว หญิงคนที่บุตรของตนยังมีชีวิตอยู่นั้นทูลพระราชา เพราะว่าจิตใจของนางสงสารบุตรของนาง นางจึง​กราบทูลว่า “เจ้านายของข้าพระบาท โปรดมอบเด็กที่มีชีวิตนั้นให้เธอไป อย่าฆ่าเขาเลย” แต่หญิงอีกคนหนึ่ง​ว่า “อย่าให้เด็กนั้นเป็นของข้าหรือของเจ้า ขอทรงแบ่งเถิดเพคะ

(Then the woman whose son was alive said to the king, because her heart yearned for her son, “Oh, my lord, give her the living child, and by no means put him to death.” But the other said, “He shall be neither mine nor yours; divide him.”)

3:27 “แล้วพระราชาตรัสตอบว่า “จงให้เด็กที่มีชีวิตนั้นแก่หญิงคนแรก อย่าฆ่าเด็กเลย นางเป็นแม่ของเด็กนั้น

(Then the king answered and said, “Give the living child to the first woman, and by no means put him to death; she is his mother.”)

3:28 “เมื่อ คนอิสราเอลทั้งสิ้นทราบเรื่องการพิพากษา ซึ่งพระราชาทรงวินิจฉัยนั้น เขาทั้งหลายก็เกรงกลัวพระราชา  เพราะเขาเห็นว่า พระปัญญาของพระเจ้าอยู่ในพระองค์ ที่จะทรงวินิจฉัยให้ความยุติธรรม

      (And all Israel heard of the judgment that the king had rendered, and they stood in awe of the  king, because they perceived that the wisdom of God was in him to do justice. )

 

ข้อมูลมีประโยชน์

 3:16     “หญิงโสเภณี 2 คน” (two prostitutes)-ในสุภาษิตกล่าวถึงเรื่อง หญิงโสเภณีไว้หลายครั้ง  ในสุภาษิต 1-9 ในฐานะที่เป็นผู้หญิงซึ่งผู้ชายควรหลีกห่าง –และเตือนสติให้ผู้ชายใส่ใจและเลือกเข้าใกล้ชิดกับหญิงที่มีชื่อว่า “ปัญญา” (Lady Wisdom)  ซึ่งจะช่วยพวกเขาให้สามารถเห็นอุบายหรือคำล่อลวงของหญิงโสเภณีเหล่านั้นแล้วจะปลีกตัวออกมาได้อย่างปลอดภัย (ปท. สุภาษิต 6:20-29)

“มาเฝ้าพระราชา” (came to the king) = ปกติชาวอิสราเอลรวมทั้งผู้ที่อาศัยอยู่ที่นั่น (2พกษ.8:3 ; 2ซมอ.16:2) สามารถเข้าเฝ้าพระราชาได้โดยไม่ต้องผ่านเจ้าหน้าที่ระดับล่าง (ฉธบ.16:18)  -กดว.27:2

3:17     “อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน” (live in the same house) =ซ่องโสเภณี มีอยู่ทั่วไปในเมืองแถบตะวันออกใกล้ ในยุคนั้น

3:18     “3 วัน” (the third day) = ในขณะที่ลูกของหญิงโสเภณีคนหนึ่ง อายุได้ 3 วัน หญิงโสเภณีอีกคนก็คลอดลูกออกมาเช่นกัน

3:19     “ตายในเวลากลางคืน” (died in the night) = ลูกของหญิงคนที่ 2 ตายภายในคืนเดียวกันกับวันที่เกิด

3:23     “คนหนึ่งพูดว่า…และอีกคนหนึ่งพูดว่า…”  (The one says…and the other says…)  = ปัญหานี้ ซับซ้อนสับสนจนยากจะตัดสิน เพราะต่างก็ยืนยันกันคนละอย่าง

3:24     “จงเอาดาบมาให้เราเล่มหนึ่ง” (Bring me a sword.)  ปท. สดุดี 45:2-4    = ซาโลมอนผู้ที่ประกอบด้วยสติปัญญามองทะลุเห็นความจริงหรือสามารถวินิจฉัยมีวิธีหาความจริงผ่านความสับสนยุ่งยากได้ในทันที แม้ว่าจะไม่มีผู้เป็นพยานให้การเข้าข้างฝ่ายใดเลยก็ตาม ซึ่งเป็นปัจจัยที่จำเป็นอย่างมากในการตัดสินความตามธรรมบัญญัติ (ฉธบ.19:15)

-เพราะหากว่าขาดพยานไปกระบวนการการตัดสินความก็ดำเนินต่อไม่ได้ ในเวลานั้นกษัตริย์อิสราเอลเป็นตัวแทนของศาลสูงสุดในการพิจารณาคำอุทธรณ์ และเป็นรากฐานของการบริหารจัดการและกระบวนการยุติธรรม (ปท.1พกษ.3:28)

3:25     “จงแบ่งเด็กที่มีชีวิตนั้นออกเป็น 2 ท่อน” (Divide the living child in two) = คำบัญชาซึ่งประกอบด้วยสติปัญญาของซาโลมอนสามารถตัดสินแก้ไขปัญหาอันซับซ้อนของหญิงโสเภณี 2 คนนั้นได้ในฉับพลัน แต่น่าเศร้าที่ปัญญาที่เคยมีนี้หมดสิ้นไปในภายหลังเมื่อซาโลมอนกระทำบาปและเป็นเหตุให้พระเจ้าตัดสินแบ่งอาณาจักรออกเป็น 2 ท่อน เหมือนดังที่ซาโลมอนตรัสออกมาในครั้งนี้ โดยที่อาณาจักรส่วนหนึ่ง (ส่วนใหญ่) มอบให้แก่ เรโหโบอัม บุตรชายของซาโลมอน และอีกส่วนหนึ่งมอบให้แก่เยโรโบอัม (11:9-13) นับจากนั้นมา อาณาจักรเหนือใต้ทั้ง 2 ส่วนนั้นมักถูกผู้เผยพระวจนะในยุคต่อ ๆ มานำมาเปรียบเทียบกับหญิงโสเภณี (ยรม.3:6-12;อสค.16:15-46;23:3-5;ฮชย.1:2)

3:26     “จิตใจของนางสงสารบุตรของนาง” (her heart yearned for her son,) -สดด.102:13;อสย.49:15; 63:15;ยรม.3:12;31:20;ฮชย.11:8

3:27    “จงให้เด็กที่มีชีวิตนั้นแก่หญิงคนแรก…นางเป็นแม่ของเด็กนั้น” (“Give the living child to the first woman, …she is his mother.”)   = พระเจ้าประทานสติปัญญาให้ซาโลมอนเข้าใจและแยกแยะธรรมชาติของความเป็นแม่ที่ซับซ้อนได้ (และตระหนักว่า พระเจ้าประทานสติปัญญาให้ท่านตามที่ทูลขอใน 1พกษ.3:9,12)

3:28     “พระปัญญาของพระเจ้าอยู่ในพระองค์” (that the wisdom of God was in him)

= พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของซาโลมอนที่ทูลขอความคิดความเข้าใจจากพระเจ้าใน -1พกษ.3:8-9;10-14   ปท. อสร.7:25

คำถามนำอภิปราย

  1. หากคุณเป็นกษัตริย์ซาโลมอนคุณจะตัดสินคดีดังกล่าวอย่างไร ในเมื่อหญิงโสเภณี 2 คนต่างแย่งลูกกัน โดยไม่มีพยานหลักฐาน?  ทำไม?
  2. คุณเคยประสบกับปัญหาที่ยากในการตัดสินความหรือคดีบ้างหรือไม่?  มีเรื่องใดที่เป็นเรื่องที่ยากที่สุดในชีวิตของคุณ?  และคุณตัดสินใจอย่างไร?   ได้ผลดีหรือผลเสียอย่างไรบ้าง?
  3. คุณเคยประทับใจหรือทึ่งในการตัดสินคดีความหรือข้อขัดแย้งที่ประกอบด้วยสติปัญญาของผู้ใดบ้าง? เรื่องอะไร?  และผลที่ตามมาคืออะไร?
  4. คุณเคยประทับใจในความรักหรือความสงสารที่บุคคลใดมีต่อลูกของตัวเอง ที่เขาหรือเธอยอมทนทุกข์กายใจเป็นฝ่ายเสียเปรียบหรือยอมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้(ทั้ง ๆ ที่เขาหรือเธอเป็นฝ่ายถูกหรือมีสิทธิ์โดยชอบธรรม) ?  (แบ่งปัน)
  5. มีเหตุการณ์ตอนใดในชีวิตของคุณหรือเรื่องราวหรือข้อพระธรรมตอนใดในพระคัมภีร์ที่ทำให้คุณเกิดความ       ยำเกรงในพระเจ้า เพราะพระสติปัญญาของพระองค์บ้าง?  ทำไม?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทความแปล

เอาชนะสงครามความคิดได้อย่างไร

1290401

…จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ (เอเฟซัส 6:17)

 อุปกรณ์สำคัญอันหนึ่งที่ใช้ป้องกันในการทำงาน เล่นกีฬา หรือสู้ศึกก็คือ “หมวกเหล็ก” ตัวอย่างเช่นหมวกในฟุตบอลอเมริกัน ตั้งแต่ยุค 1900  อุปกรณ์ชิ้นนี้มีการพัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง
เหตุผลก็เพราะว่าส่วนหัวของเรานั้นสำคัญมาก ไหล่คุณอาจหลุด แต่ก็ยังมีชีวิตอยู่ ขาอาจหัก แต่เมื่อหายดีและทำกายภาพก็จะกลับมาเดินได้ แต่ถ้ามีบางสิ่งเกิดขึ้นกับสมองของคุณ ผลที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่จะแก้ไขกลับคืนไม่ได้

และนี่คือเหตุที่พระวจนะตอนนี้ อ.เปาโลจึงสอนพวกเราให้ “สวมหมวกเหล็กแห่งความรอด” เป็นเครื่องป้องกันที่สำคัญที่สุด เพราะเช่นเดียวกับที่หมวกเหล็กป้องกันสมอง ความรอดที่เรามีจะป้องกันความคิดของเรา

ในสงคราม ซาตานจะทำทุกทางเพื่อจัดการกับศีรษะของคุณ  – นั่นคือความคิด และเมื่อมันลงมือ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่คุณต้องสวมหมวกเหล็กแห่งความรอดป้องกันไว้ เป็นเครื่องป้องกันที่จะทำให้คุณมีแรงต้านการโจมตีที่ทำลายล้างมากที่สุด

คุณจะชนะสงครามในความคิดได้เมื่อคุณนำความเชื่อมาวางไว้อย่างมั่นคงในความรอดขององค์พระเยซูคริสต์ เช่นเดียวกับหมวกเหล็ก พระองค์จะปกป้องคุณจากการโจมตีของศัตรู เพื่อให้คุณดำเนินชีวิตได้อย่างมีชัย

ชนะสงครามความคิดโดยนำความเชื่อที่มั่นคงมาวางไว้ในพระคริสต์ เพื่อรัการคุ้มครองให้พ้นจากการโจมตีของมาร

อนุญาตโดย: Pastor Jack Graham

Jack Graham Power Point Ministry: www.powerpoint.org

 

 

Categories
บทความแปล

ที่มาของปรปักษ์ฝ่ายวิญญาณ

Falling stars

“โอ ดาวประจำกลางวันเอ๋ย พ่อโอรสแห่งพระอรุณ เจ้าร่วงลงมาจากฟ้าสวรรค์แล้วซิ เจ้าถูกตัดลงมายังพื้นดินอย่างไรหนอ เจ้าผู้กระทำให้บรรดาประชาชาติตกต่ำน่ะ” (อิสยาห์ 14:12)


ถ้าคุณชอบดูหนัง เบื้องหลังของผู้ร้ายมักมีเรื่องราวน่าสนใจ ปรปักษ์หรือผู้ร้ายฝ่ายวิญญาณของเรา ซาตาน ก็ไม่แตกต่าง ที่จริงเรื่องราวที่มาของพวกมันมีอยู่ในพระคัมภีร์ เราพบว่าครั้งหนึ่งพวกมันเคยเป็นทูตสวรรค์ที่สวยงาม

ในอิสยาห์ 14 เราเห็นภาพแวบหนึ่งว่าเกิดอะไรผิดพลาดขึ้น เห็นว่าเมื่อซาตานเริ่มเย่อหยิ่ง ที่จริงหยิ่งยโสมาก พวกมันพูดในใจว่า “ข้าจะขึ้นไปยังฟ้าสวรรค์…ข้าจะกระทำตัวของข้าเหมือนองค์ผู้สูงสุด” (14:13-14)

ตลอดพระวจนะทั้งเล่ม เราเห็นภาพย้อนอดีตไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ก่อนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ด้วยซ้ำ ในหนังสือวิวรณ์ เราพบว่าซาตานหรือที่เรียกว่าพญานาค “ตวัดดวงดาวในท้องฟ้าทิ้งลงมาที่แผ่นดินโลก เสียหนึ่งในสามส่วน” (12:4) นั่นหมายถึงหนึ่งในสามของทูตสวรรค์ที่ติดตามมารซาตานที่กบฏลงมา

ลูซีเฟอร์ โอรสแห่งอรุณ มีทุกอย่างที่ควรพอใจ ถึงกระนั้น มันยังไม่เคยพอ และมันไม่มีโอกาสอีกแล้ว แต่พระเจ้าประทานโอกาสให้เราสำนึกผิดกลับใจ กลับมาหาพระองค์ แม้ว่าเราจะเย่อหยิ่งต่อพระองค์ สรรเสริญพระเจ้าสำหรับโอกาสที่ได้รับในวันนี้ และจงยืนหยัดเข้มแข็งต่อการพยายามฟ้องผิดจากศัตรูผู้เป็นปรปักษ์ของเรา

 ยืนหยัดเข้มแข็งต่อต้านศัตรูผู้พินาศไปเพราะความหยิ่งของพวกมันเอง สรรเสริญพระเจ้าที่ทรงประทานโอกาสให้เราได้รับการไถ่ และได้กลับคืนดีกับพระองค์

 

อนุญาตโดย: Pastor Jack Graham

Jack Graham Power Point Ministry: www.powerpoint.org

Categories
สารจากศบ.

สารจากศิษยาภิบาล

ImageHandler

8 กันยายน 2013

 สวัสดีพี่น้อง CJ ที่รักและผู้มาเยี่ยม

ผมขอต้อนรับทุกท่านในนามของคณะผู้อภิบาลด้วยใจยินดี!

ขอบคุณพระเจ้าที่มีผู้รับเชื่อในวันอาทิตย์ที่แล้ว 2 ท่านคือ 1. คุณแยม  2. คุณแนน

ขอบคุณพระเจ้าที่คริสตจักรลูกของเรา Agape ได้ฉลองครบรอบ 2 ปี และมีผู้รับเชื่อ 1 ท่าน!

ขอบคุณพระเจ้าที่สมาชิก CJ ของเรากำลังหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น และร่วมรับใช้ด้วยกันหลายงานติดต่อกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแสดงละครทางเลือก และการประกาศที่ BSC ที่เพิ่งผ่านมา รวมทั้งกลุ่มพันธกิจหลายกลุ่มก็กำลังคึกคัก ตื่นตัวในการเลี้ยงดูกัน ทั้งทางตรงทางอ้อมผ่าน Line โทรศัพท์  และการพบปะกัน!

ดังนั้น เพื่อให้สมาชิกคนอื่น ๆ ได้รับการเลี้ยงดูผ่านทาง Line นี้ ผมจะเปิดกลุ่มใหม่ เพื่อส่งข้อพระคัมภีร์และคำหนุนใจให้สมาชิกในกลุ่มทุกวัน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ผู้ใดต้องการได้รับข้อพระธรรมและคำหนุนใจสมัครเข้า Line ในกลุ่ม “สมาชิกCJ” โดยแจ้ง ID Line ของท่านที่คุณโบ ด่วน!

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับกลุ่มแคร์บ้านคุณบอยด์ในวันอังคาร!

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการประกาศของ Nick Vujicic ในวันพุธที่ผ่านมาเป็นพระพรอย่างมาก และขอบคุณพระเจ้าสำหรับชั้นเรียนพระคัมภีร์ในวันพฤหัสด้วยเช่นกันที่มีบทเรียนดี ๆ มากมายเหลือเกิน!

ขออธิษฐานเผื่อการประชุมของคณะผู้อภิบาลในบ่ายวันนี้เรื่องการ “ย้ายสถานที่นมัสการ” ด้วย

ขอขอบคุณ อ.วาระ ที่ได้มาแบ่งปันพระวจนะในวันนี้ !

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

ด้วยรักเสมอ

(ธงชัย  ประดับชนานุรัตน์)  ศิษยาภิบาล

 

 

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

กฎแห่งกระจก (The Mirror Principle)

cat in the mirror 1

ไม่น่าเชื่อ แต่ต้องเชื่อ นั่นคือศัตรูตัวเลวร้ายที่สุดในชีวิตของคนเราแท้จริงก็คือ  ตัวของเขาเอง!

ใช่ครับ ศัตรูที่ร้ายที่สุดของตัวเราก็คือ “ตัวของเราเอง!”

ในตัวของเรามีทั้งพลังสร้างสรรค์และพลังทำลายล้าง ในขณะที่พลังสร้างสรรค์บรรจงสร้างสิ่งดี พลังทำลายล้างก็สร้างความเสียหายย่อยยับให้แก่ผู้อื่น และแก่ตัวเราเอง ผ่านความคิด คำพูด และการกระทำของตัวเราเอง!

และน่าขันที่เรามักเห็นแต่ “จุดบอด” ในตัวบุคคลอื่น แต่เราเองกลับไม่เห็น “จุดบอด” ในชีวิตของตัวเอง เราจึงจำเป็นที่จะต้องมีกระจกเอาไว้ส่องดูตัวของเรา แต่น่าเสียใจที่กระจกดี ๆ นั้นหายากมาก และไม่ค่อยมีผู้ใดอยากหรือกล้าเป็นกระจกให้กับเรา เพราะกลัวถูกเราทุบแตก!

ดังนั้น หากเราพบผู้ใดที่รักเรามากพอที่พร้อมยอมเสี่ยงเอาตัวของเขามาเป็น “กระจก” ให้เราส่องดูตัวเอง เราก็ควรที่จะทะนุถนอมรักษาเขาให้ดี และหมั่นแสดงความซาบซึ้งชื่นชมต่อเขา อีกทั้งควร “ยอมฟัง” หรือ “เชื่อฟัง” และอย่าเถียงหรืออย่าทะเลาะกับกระจก เพราะมีแต่จะสร้างความเสียหายให้แก่ตัวเองและทำให้ “กระจก” ที่ดีต้องจากเราไป!

ความจริงเกี่ยวกับ “กฎแห่งกระจก” หรือ “หลักการแห่งกระจก” ต่อไปนี้มีคุณค่าที่เราควรจะนำมาพิจารณาใคร่ครวญ เพื่อจะได้เรียนรู้จักตัวเองให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นและสามารถปรับปรุงการปฏิบัติตนของเราให้สอดคล้องกับมุมมองใหม่ที่เรียนรู้ ดังนี้

  1. บุคคลแรกที่ฉันต้องรู้จักคือ ตัวฉันเอง (My self)  -นี่คือ “การตระหนักตน” (Self-Awareness)

-ปกติคนเรามักจะคิดถึงตนเอง แต่มักจะเห็นตัวเองอยู่ในสภาพที่แตกต่างจากความเป็นจริง (บางคนถึงกับคิดว่าตนเองเป็นเหยื่อก็มี)

       2.  บุคคลแรกที่ฉันต้องเข้ากันให้ได้คือ ตัวฉันเอง (My Self) –นี่คือ “ภาพลักษณ์ของตน” (Self –Image)

มีคำกล่าวว่า “ถ้าคุณรู้สึกอึดอัดกับตัวคุณเอง คุณคงไม่สามารถรู้สึกผ่อนคลายได้เมื่ออยู่กับคนอื่น”

นั่นคือ ถ้าคุณไม่เชื่อ(มั่น) ในตัวคุณเอง คุณจะบ่อนทำลายความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับคนอื่น

“ฉันพูดอยู่เสมอว่า ความสัมพันธ์สำคัญที่สุดที่คุณจะต้องมีก็คือ กับตัวคุณเอง คุณต้องเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของตัวคุณเองก่อน!”  -ฟิล แมคโกรว์-

      3. บุคคลแรกที่จะสร้างปัญหาให้แก่ฉันก็คือ ตัวฉันเอง (My Self)  -นี่คือ “ความซื่อตรงต่อตน” (Self – Honesty)

หากคุณต้องการหลีกห่างจากการเป็นศัตรูที่เลวร้ายที่สุดของตัวเอง  คุณต้องมองดูตัวคุณเองตามความเป็นจริงอย่างซื่อตรง อย่าให้คุณกลายเป็นตัวปัญหา  เพราะความคิดหรือความคาดหวังของตัวคุณเอง

       4. บุคคลแรกที่ฉันต้องเปลี่ยนแปลง คือ ตัวฉันเอง (My Self) –นี่คือ “การปรับปรุงตน”  (Self – Improvement)

-อย่าให้ตัวเราเองหรือคนอื่นคิดทึกทักเอาว่า เราเป็นผู้รู้ทุกสิ่งหรือทำได้ทุกอย่าง แต่เราก็ต้องเรียนรู้จักพัฒนา ทักษะในเรื่องสัมพันธภาพและการพัฒนาตัวเราเองอยู่เสมอ

        5. บุคคลแรกที่สามารถสร้างสิ่งที่แตกต่างขึ้นก็คือ ตัวฉันเอง (My Self) –นี่คือ “ความรับผิดชอบส่วนตน”  (Self – Responsibility)

-แม้ว่าไม่มีผู้ใดเพียงลำพังผู้เดียวเท่านั้นจะกระทำให้เกิดความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้ แต่ทุก ๆ ความสำเร็จที่ ยิ่งใหญ่มักจะเริ่มต้นมาจากความฝันหรือวิสัยทัศน์ของคนพียงคนเดียว!

อย่างไรก็ตาม คนเราต้องไม่เพียงแค่ฝัน แค่เราต้องรับผิดชอบในการส่ง “ความฝัน” นั้นต่อให้ผู้อื่นร่วมกันกระทำจนกว่าจะเกิดผลสำเร็จขึ้น!

พี่น้องที่รัก!

วันนี้ คุณต้องมีกระจกที่ใช้ส่องดูตัวคุณเองอยู่แล้วหรือยัง?  คุณควร หยุดบ่น หยุดตำหนิ หยุดวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นและมองดูตัวคุณเองอย่างซื่อตรงตามที่เป็นจริง และเอาจริงเอาจังในการจัดการกับปัญหาภายในตัวของคุณเองและหากว่าคุณต้องการมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับคนอื่น คุณก็จงหยุดมองดูหรือมองหาข้อบกพร่องในตัวของคนอื่น และเริ่มต้นมองตัวเองและปรับปรุงแก้ไข(มุมมอง/นิสัย)ของตัวคุณเองให้ดีขึ้น โดยเริ่มต้น ณ บัดนี้เลย

จะดีไหมครับ?

      “ทำไม​ท่าน​มอง​เห็น​ผง​ที่​อยู่​ใน​ตา​พี่น้อง​ของ​ท่าน แต่​กลับ​มอง​ไม่​เห็น​ไม้​ทั้ง​ท่อน​ที่​อยู่​ใน​ตา​ของ​ตน​เอง?”   (ลูกา 6:41)

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

Categories
บทความแปล

จะต้านสงครามฝ่ายวิญญาณได้อย่างไร

Swords fighting

จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ และจงถือพระแสงของพระวิญญาณ คือพระวจนะของพระเจ้า จงอธิษฐานวิงวอนทุกอย่าง จงขอโดยพระวิญญาณทุกเวลา ทั้งนี้จงระวังตัวด้วยความเพียรทุกอย่าง จงอธิษฐานเพื่อธรรมิกชนทุกคน (เอเฟซัส 6:17-18)

ผมเคยได้ยินเรื่องเล่าของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่มีปัญหาเรื่องเรียนคณิตศาสตร์ วันหนึ่งเขาพูดกับผู้เป็นพ่อว่า “พ่อครับ ผมคิดว่าผมคงตกวิชาเรขาคณิต”

พ่อมองดูเขาแล้วพูดว่า “ลูก ลูกคงต้องคิดให้บวกมากกว่านี้”

เด็กนั้นคิดอยู่สักครู่แล้ะพูดว่า “โอ เค ผมจะคิดเชิงบวก ผมจะตกวิชาเราขาคณิตแน่นอน”

มีตำราช่วยสอนมากมายในท้องตลาด แม้แต่ผู้นำคริสเตียนในทุกวันนี้ที่สอนให้คิดเชิงบวก ซึ่งเป็นคำตอบสำหรับปัญหาฝ่ายวิญญาณ  ครับ คิดเชิงบวกบางครั้งก็ช่วยได้ แต่แค่นั่งยิ้มและหวังว่าปัญหาจะหมดไปก็ไม่ใช่คำตอบ เพราะมันไม่อาจถอนรากฝีมือศัตรูที่ฝังไว้ในชีวิตคุณ

คุณไม่อาจเอาชนะศัตรูด้วยการใช้ความคิด – คุณต้องลงไปสู้ศึก แปลว่าต้องออกไปต่อต้านศัตรูด้วยคมดาบฝ่ายวิญญาณ นั่นคือพระวจนะ และคำอธิษฐาน

ป้องกันตัวจากศัตรู … แต่อย่าหยุดอยู่แค่นั้น จับอาวุธขึ้นมาสู้ ยึดพระวจนะไว้ให้มั่น เข้าใกล้พระเจ้าในคำอธิษฐาน ลงมือทำทันที แล้วคุณจะพลิกสถานการณ์ สู้กลับให้ศัตรูเห็นว่าคุณเป็นต่อแล้วในสงครามฝ่ายวิญญาณครั้งนี้

ปรับสิ่งที่มารโจมตีเป็นพลิกกลับไปหามัน จงต่อสู้ศัตรูฝ่ายวิญญาณอย่างเต็มกำลัง ยึดมั่นในพระวจนะ และอย่าหยุดอธิษฐาน

อนุญาตโดย: Pastor Jack Graham

Jack Graham Power Point Ministry: www.powerpoint.org