Categories
บทความแปล

ยามล้า หากำลังใจได้จากไหน

Flower of encouragement

เหตุฉะนั้นเมื่อเรามีพยานพรั่งพร้อมอยู่รอบข้างเช่นนี้แล้ว ก็ขอให้เราละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะแน่น ขอให้เราวิ่งแข่งด้วยความเพียรพยายาม ตามที่ได้กำหนดไว้สำหรับเรา (ฮีบรู 12:1)

ไม่นานมานี้ผมไปที่งานเกษียณอายุของเพื่อนท่านหนึ่ง สิ่งหนึ่งที่ผมรักในงานเกษียณอายุคือ ได้เห็นและได้ยินผู้คนมากมายพูดถึงผลกระทบที่ได้รับ พวกเขาแบ่งปัน และเล่าถึงสิ่งที่คนกำลังเกษียณเคยทำ ให้กำลังใจ กระตุ้นให้เดินหน้า และช่วยเหลือพวกเขา ไม่ใช่เพื่อให้เป็นคนทำงานที่เก่งขึ้น แต่เป็นคนที่ดีขึ้น

ขณะนั่งฟังเรื่องแล้วเรื่องเล่า ถึงผู้ใหญ่ท่านนี้ที่เป็นผู้คอยหนุนใจคนอื่น อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำพยานจากพระวจนะของวันนี้  – ผู้เชื่อเหล่านั้นที่นำหน้าเราไป ที่ลุ้นให้เราไปต่อ ที่คอยให้กำลังใจในฐานะพี่น้องชายหญิงแห่งความเชื่อ

ตัวอย่างชัดเจนหนึ่งในชีวิตผมคือท่านศิษยาภิบาลของผมที่จากไปเมื่อหลายปีมาแล้ว ดร.ดับบลิว เฟรด สแวงค์  ตอนนี้ ดร.แสวงค์ อยู่ในสวรรค์ แต่ทุกครั้งที่คิดถึงท่าน ผมได้รับกำลังใจจากแบบอย่างที่ท่านเป็น  และในทุกวันนี้ แบบอย่างของท่านบ่อยครั้งยังเป็นกำลังใจให้ในเวลายากลำบากที่ผมต้องการ

เมื่อคิดถึงผู้เชื่อที่จากไปก่อนหน้า คนที่เคยให้กำลังใจ กระตุ้นให้เราเดินหน้าต่อในการแข่งขันของชีวิต ควรเป็นแรงบันดาลใจให้เราระลึกถึงแบบอย่างแห่งความสัตย์ซื่อ ไม่ว่าจะรู้จักกันเป็นส่วนตัวหรือไม่ พวกเขาอยู่ที่นั่นคอยให้ความหวังและกำลังเพื่อให้คุณบากบั่นมุ่งไปในการแข่งขันของชีวิตได้

มองหากำลังใจเพื่อเดินหน้าต่อในการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ของชีวิต โดยมองไปยังคนที่ล่วงหน้าไปก่อน และทำตามแบบอย่างของพวกท่าน

อนุญาตโดย : Pastor Jack Graham

Jack Graham Power Point Ministry: www.powerpoint.org

 

 

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ (บทเรียนที่ 10)

อภิมหาสิ่งก่อสร้างแห่งยุค 

 

พระธรรม        1พงษ์กษัตริย์ 7:1-51

อ้างอิง            2ซมอ.7:2;1ซมอ.7:15;1พกษ.7:18;10:17;6:15;3:1;2พศด.9:16;2พกษ.11:14;23:3;25:17;สดด.122:5; ศคย.2:1

บทนำ           ในยุคสมัยนั้น ผู้ยิ่งใหญ่อย่างซาโลมอนคงหายาก!

และผู้ที่มีอภิมหาโปรเจ็คในการสร้างทั้งพระวิหารและพระราชวังอย่างซาโลมอนก็คงมีไม่มากเช่นกัน!

มีบทเรียนอะไรบ้างที่สอนเราจากโครงการใหญ่ทั้ง 2 โครงการดังกล่าวนั้น?

บทเรียน

7:1 “ซาโลมอน​ทรง​ใช้​เวลา​สิบสาม​ปี สร้าง​พระราชวัง​ของ​พระองค์​จน​เสร็จสิ้น

      (Solomon was building his own house thirteen years, and he finished his entire house. )

7:2 “พระองค์ ​ทรง​สร้าง​พระตำหนัก​พนา​เลบานอน ยาว 44 เมตร กว้าง 22 เมตร และ​สูง 13.5 เมตร อยู่​บน​เสา​ไม้สน​สีดาร์​ สี่​แถว มี​คาน​ไม้​สน​สีดาร์​อยู่​บน​เสา

     (He built the House of the Forest of Lebanon. Its length was a hundred cubits and its breadth fifty cubits and  its height thirty cubits, and it was built on four rows of cedar pillars, with cedar beams on the pillars. )

7:3 “มุง​ด้วย​ไม้สน​สีดาร์ บน​คาน​ซึ่ง​อยู่​บน​เสา 45 ต้น แถว​ละ 15 ต้น”

      (And it was covered with cedar above the chambers that were on the forty-five pillars, fifteen in  each row. )

7:4 “มี​กรอบ​หน้าต่าง​สาม​แถว หน้าต่าง​อยู่​ตรงข้าม​กัน​ทั้ง​สาม​แถว

     (There were window frames in three rows, and window opposite window in three tiers. )

7:5 “ประตู​และ​วงกบ​ทั้งหมด​เป็น​รูป​สี่เหลี่ยม และ​หน้าต่าง​อยู่​ตรงข้าม​กัน​ทั้ง​สาม​แถว

      (All the doorways and windows had square frames, and window was opposite window in three  tiers. )

7:6 “และ ​พระองค์​ทรง​สร้าง​ท้องพระโรง​เสาหาน ยาว 22 เมตร​และ​กว้าง 13.5 เมตร มี​เฉลียง​ด้านหน้า​รองรับ​ด้วย​เสาหาน และ​ มี​หลังคา​ด้านหน้า

      (And he made the Hall of Pillars; its length was fifty cubits, and its breadth thirty cubits. There was a porch in front with pillars, and a canopy in front of them. )

7:7 “และ ​พระองค์​ทรง​สร้าง​ท้องพระโรง​พระที่นั่ง เป็น​ที่​ซึ่ง​พระองค์​ทรง​ให้​คำ​พิพากษา คือ​ท้องพระโรง​วินิจฉัย ซึ่ง​ปิด​ด้วย​ไม้สน​สีดาร์ ตั้งแต่​พื้น​จน​ถึง​เพดาน”​

     (And he made the Hall of the Throne where he was to pronounce judgment, even the Hall of Judgment. It was finished with cedar from floor to rafters. )

7:8 “พระราชวัง ​ของ​พระองค์​ที่​พระองค์​จะ​ประทับ​นั้น อยู่​ที่​ลาน​อีก​แห่ง​หนึ่ง​หลัง​ท้องพระโรง ก็​เป็น​ฝีมือ​ช่าง​อย่างเดียว​กัน ซาโลมอน​ยัง​ทรง​สร้าง​วัง​เหมือน​ท้องพระโรง​นี้​สำหรับ​พระราชธิดา ​ของ​ฟาโรห์ ซึ่ง​พระองค์​ทรง​ได้​มา​เป็น​มเหสี

     (His own house where he was to dwell, in the other court back of the hall, was of like workmanship. Solomon  also made a house like this hall for Pharaoh’s daughter whom he had taken in marriage. )

7:9 “สิ่ง​เหล่านี้​ทั้งหมด​สร้าง​ด้วย​หิน​อัน​มี​ค่า​ที่​สกัด​ออก​มา​ตาม​ขนาด ใช้​เลื่อย​เลื่อย​ทั้ง​ด้านใน​และ​ด้านนอก ตั้งแต่ฐาน​ถึง​ด้าน​บน​สุดและ​มี​ตั้งแต่​ข้างนอก​ถึง​ลาน​ใหญ่

     (All these were made of costly stones, cut according to measure, sawed with saws, back and front, even  from the foundation to the coping, and from the outside to the great court. )

7:10 “ฐาน​นั้น​ทำ​ด้วย​หิน​มี​ค่า หิน​ก้อน​มหึมา หิน​บาง​ก้อน​ยาว 4 เมตร​และ​บาง​ก้อน 3.5 เมตร”

      (The foundation was of costly stones, huge stones, stones of eight and ten cubits. )

7:11 “ข้างบน​ก็​เป็น​หิน​มี​ค่า สกัด​ออก​มา​ตาม​ขนาด และ​ไม้สน​สีดาร์

      (And above were costly stones, cut according to measurement, and cedar.)

7:12 “ลาน​ใหญ่​มี​หิน​สกัด​โดย​รอบ​สาม​ชั้น​และ​ไม้สน​สีดาร์​หนึ่ง​ชั้น เหมือน​อย่าง​ลาน​ชั้น​ใน​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์ และ​เฉลียง​พระนิเวศ

      (The great court had three courses of cut stone all around, and a course of cedar beams; so had the inner  court of the house of the Lord and the vestibule of the house. )

7:13 “พระราชา​ซาโลมอน​ทรง​ใช้​คน​ไป​นำ​ฮูราม​มา​จาก​เมือง​ไทระ

      (And King Solomon sent and brought Hiram from Tyre. )

7:14 “ฮูราม ​เป็น​บุตรชาย​ของ​หญิงม่าย​เผ่า​นัฟทาลี และ​บิดา​ของ​เขา​เป็น​ชาว​เมือง​ไทระ และ​เป็น​ช่าง​ทอง​สัมฤทธิ์ ฮูราม​เต็ม​ เปี่ยม​ด้วย​สติ​ปัญญา ความ​เข้าใจ และ​ฝีมือ​ที่​จะ​ทำงาน​ทอง​สัมฤทธิ์​ทุก​อย่าง เขา​มา​เฝ้า​พระราชา​ซาโลมอน​และ​ทำงาน​ทั้ง‌สิ้น​ของ​พระองค์

      (He was the son of a widow of the tribe of Naphtali, and his father was a man of Tyre, a worker in  bronze.    And he was full of wisdom, understanding, and skill for making any work in bronze. He  came to King Solomon and did all his work. )

7:15 “ฮูราม​ทำ​เสา​ทอง​สัมฤทธิ์​สอง​เสา เสา​ต้น​แรก​สูง 8 เมตร เสา​ต้น​ที่​สอง​วัด​เส้น​รอบ​วง​ได้ 5.3 เมตร”​

       (He cast two pillars of bronze. Eighteen cubits was the height of one pillar, and a line of twelve cubits  measured its circumference. It was hollow, and its thickness was four fingers. The second pillar was the  same.)

7:16 “ท่าน​ทำ​บัว​หัวเสา​สอง​อัน​ด้วย​ทอง​สัมฤทธิ์​หล่อ เพื่อ​จะ​วางไว้​บน​ยอดเสา บัว​หัวเสา​แต่​ละ​อัน​สูง 2.2 เมตร”

      (He also made two capitals of cast bronze to set on the tops of the pillars. The height of the one capital was  five cubits, and the height of the other capital was five cubits. )

7:17 “แล้ว​มี​ตาข่าย​เป็น​ตา​หมากรุก พร้อม​ด้วย​มาลัย​โซ่​สำหรับ​บัว​ที่​อยู่​บน​หัวเสา เจ็ด​อัน​สำหรับ​บัวหัวเสา​แต่​ละ​อัน”​

      (There were lattices of checker work with wreaths of chain work for the capitals on the tops of the pillars, a  lattice for the one capital and a lattice for the other capital.)

7:18 “ท่าน ​ทำ​ลูก​ทับทิม​สอง​แถว​ล้อม​ทับ​ตาข่าย​ผืน​หนึ่ง เพื่อ​คลุม​บัว​ที่​อยู่​บน​ยอด​เสา และ​ท่าน​ก็​ทำ​แบบ​เดียว​กัน​สำหรับ​บัว​อีก​อัน​หนึ่ง​”

       (Likewise he made pomegranates in two rows around the one latticework to cover the capital that was on the top of the pillar, and he did the same with the other capital. )

7:19 “ส่วน​บัว​ซึ่ง​อยู่​บน​ยอด​เสา​ที่​อยู่​ใน​เฉลียง​นั้น​เป็น​ดอก​พลับพลึง สูง 1.8 เมตร”

       (Now the capitals that were on the tops of the pillars in the vestibule were of lily-work, four cubits. )

7:20 “บัว​อยู่​บน​เสา​สอง​ต้น​นั้น และ​อยู่​เหนือ​คิ้ว​ซึ่ง​อยู่​ถัด​ตาข่าย​ด้วย มี​ลูก​ทับทิม​สองร้อย​ลูก​อยู่​ล้อม​รอบ​เป็น​สอง​แถว บัวหัวเสา​อีก​อัน​หนึ่ง​ก็​มี​เหมือนกัน

       (The capitals were on the two pillars and also above the rounded projection which was beside the latticework. There were two hundred pomegranates in two rows all around, and so with the other capital.)

7:21 “ท่าน​ตั้ง​เสา​ไว้​ที่​เฉลียง​พระวิหาร ท่าน​ตั้ง​เสา​ข้าง​ขวา​ไว้ และ​เรียก​ชื่อ​ว่า​ยาคีน และ​ท่าน​ตั้ง​เสา​ข้าง​ซ้าย​ไว้ เรียก​ชื่อ​ว่า​โบอัส​”

       (He set up the pillars at the vestibule of the temple. He set up the pillar on the south and called its name  Jachin, and he set up the pillar on the north and called its name Boaz.)

7:22 “และ​บน​ยอด​เสา​เหล่า​นั้น​เป็น​ลาย​ดอก​พลับพลึง ดังนั้น​งาน​สร้าง​เสา​ก็​เสร็จ​สมบูรณ์

       (And on the tops of the pillars was lily-work. Thus the work of the pillars was finished. )

7:23 “แล้ว​ฮูราม​ได้​หล่อ​อ่าง​สาคร วัด​จาก​ขอบ​หนึ่ง​ไป​ถึง​อีก​ขอบ​หนึ่ง​ได้ 4.5 เมตร สูง 2.25 เมตร และ​วัด​โดย​รอบ​ได้ 13.5 เมตร”

       (Then he made the sea of cast metal. It was round, ten cubits from brim to brim, and five cubits high, and a line of thirty cubits measured its circumference. )

7:24 “ใต้​ขอบ​ได้หล่อ​เป็น​รูป​น้ำ​เต้า​สิบ​ลูก​ทุก 45 เซนติเมตร​อยู่​รอบ​อ่าง​สาคร รูป​น้ำเต้า​มี​สอง​แถว​และ​หล่อ​เป็น​ชิ้น​เดียว​กัน​กับ​อ่าง

       (Under its brim were gourds, for ten cubits, compassing the sea all around. The gourds were in  two rows,   cast with it when it was cast. )

7:25 “อ่าง​สาคร​นั้น​ตั้ง​อยู่​บน​วัว​สิบสอง​ตัว โดย​สาม​ตัว​หันหน้า​ไป​ทิศ​เหนือ สาม​ตัว​หันหน้า​ไป​ทิศ​ตะวันตกสาม​ตัว หันหน้า​ไป​ทิศ​ใต้ และ​สาม​ตัว​หันหน้า​ไป​ทิศ​ตะวันออก เขา​วาง​อ่าง​สาคร​บน​วัว โดย​ให้​ส่วน​หลัง​ของ​วัว​ทุก​ตัว​อยู่​ด้านใน

        (It stood on twelve oxen, three facing north, three facing west, three facing south, and three facing east.   The sea was set on them, and all their rear parts were inward.)

7:26 “อ่าง​หนา 7.5 เซนติเมตร ที่​ขอบ​อ่าง​ทำ​เหมือน​ขอบ​ถ้วย​เหมือน​ดอก​พลับพลึง​กำลัง​บาน อ่าง​มี​ความ​จุ​สี่หมื่น​ลิตร

       (Its thickness was a handbreadth, and its brim was made like the brim of a cup, like the flower of a lily. It held two thousand baths. )

7:27 “ฮูราม​ทำ​แท่น​ทอง​สัมฤทธิ์​สิบ​แท่น แต่​ละ​แท่น​ยาว 1.8 เมตร กว้าง 1.8 เมตร สูง 1.3 เมตร”

      (He also made the ten stands of bronze. Each stand was four cubits long, four cubits wide, and three cubits  high. )

7:28 “ลักษณะ​ของ​แท่น​เป็น​อย่างนี้ แท่น​มี​แผง แผง​นี้​ฝัง​อยู่​ใน​กรอบ

      (This was the construction of the stands: they had panels, and the panels were set in the frames,)

7:29 “บน​แผง​ที่​ฝัง​อยู่​ใน​กรอบ​นั้น​มี​รูป​สิงโต วัว และ​เครูบ บน​กรอบ​ที่​อยู่​บน​และ​ล่าง​สิงโต​และ​วัว มี​ฐาน​ที่​ลวดลาย​เป็น​มาลัย​ย้อย

       (and on the panels that were set in the frames were lions, oxen, and cherubim. On the frames, both above  and below the lions and oxen, there were wreaths of beveled work. )

7:30 “แท่น ​แต่​ละ​แท่น​มี​ล้อ​ทอง​สัมฤทธิ์​สี่​ล้อ​กับ​เพลา​ทอง​สัมฤทธิ์ ที่​มุม​ทั้ง​สี่​มี​ที่​รองรับ​อ่าง​เล็ก ที่​รองรับ​นั้น​ถูก​หล่อ​โดย​มี​มาลัย​ห้อยทุก​ข้าง

       (Moreover, each stand had four bronze wheels and axles of bronze, and at the four corners were supports  for a basin. The supports were cast with wreaths at the side of each. )

7:31 “ช่อง​เปิด​อยู่​ใน​บัวหงาย ซึ่ง​ยื่น​ขึ้น​ไป 45 เซนติเมตร ช่อง​เปิด​นั้น​กลม​อย่าง​ที่​เขา​ทำ​ฐาน กว้าง 66 เซนติเมตร ตรง​ช่อง​เปิด​มี​ลาย​สลัก และ​แผง​นั้น​เป็น​สี่เหลี่ยม​ไม่​กลม

       (Its opening was within a crown that projected upward one cubit. Its opening was round, as a pedestal is made, a cubit and a half deep. At its opening there were carvings, and its panels were square, not round. )

7:32 “ล้อ​ทั้ง​สี่​อยู่​ใต้​แผง เพลาล้อ​นั้น​ติด​กับ​แท่น​ล้อ​อัน​หนึ่ง​สูง 66 เซนติเมตร

       (And the four wheels were underneath the panels. The axles of the wheels were of one piece with the  stands, and the height of a wheel was a cubit and a half.)

7:33 “ล้อ​นั้น​เขา​ทำ​เหมือน​ล้อ​รถรบ ทั้ง​เพลา ขอบ​ล้อ ซี่​ล้อ และ​ดุม​ล้อ​ก็​หล่อ​ออก​มา​ทั้งสิ้น

       (The wheels were made like a chariot wheel; their axles, their rims, their spokes, and their hubs were all  cast. )

7: 34 “แต่​ละ​แท่น​มี​ที่​รอง​รับ​อยู่​ที่​มุม​ทั้ง​สี่ ที่​รอง​รับ​นั้น​หล่อ​เป็น​ชิ้น​เดียว​กับ​แท่น”

       (There were four supports at the four corners of each stand. The supports were of one piece with the  stands. )

7:35 “ที่​บน​ยอด​แท่น​มี​แถบ​กลม​สูง 22 เซนติเมตร และ​บน​ยอด​แท่น​นั้น​มี​กรอบ​และ​แผง​ติด​เป็น​อัน​เดียว​กับ​แท่น

       (And on the top of the stand there was a round band half a cubit high; and on the top of the stand its stays  and its panels were of one piece with it. “

7:36 “ที่​พื้น​กรอบ และ​พื้น​แผง ท่าน​สลัก​เป็น​รูป​เครูบ สิงโต และ​ต้น​อินผลัม ตาม​ที่ว่าง​ของ​แต่​ละ​สิ่ง​มี​ลาย​มาลัย​อยู่​รอบๆ

       (And on the surfaces of its stays and on its panels, he carved cherubim, lions, and palm trees, according to the space of each, with wreaths all around.)

7:37 “ท่าน​ได้​ทำ​แท่นสิบ​แท่น​ตาม​อย่างนี้ หล่อ​เหมือน​กัน​หมด​ทุก​อัน ขนาด​เดียว​กัน และ​รูป​เดียวกัน

       (After this manner he made the ten stands. All of them were cast alike, of the same measure and the same  form. )

7:38 “ฮูราม​ทำ​อ่างเล็ก​ด้วย​ทอง​สัมฤทธิ์สิบ​ใบ อ่าง​แต่​ละ​ใบ​จุ 800 ลิตร และ​มี​ขนาด 1.8 เมตร มี​อ่างเล็ก​อยู่​บน​แท่น​ทั้ง​สิบ​แท่น   แท่น​ละ​ใบ

       (And he made ten basins of bronze. Each basin held forty baths, each basin measured four cubits, and  there was a basin for each of the ten stands. )

7:39 “ท่าน​วาง​แท่น​ไว้​ด้าน​ขวา​ของ​พระนิเวศ​ห้า​แท่น และ​ทาง​ด้าน​ซ้าย​ห้า​แท่น และ​ท่าน​วาง​อ่าง​สาคร​ไว้​ที่​ด้าน​ขวา​ของ​พระนิเวศ​ ทาง​ทิศ​ตะวันออก ​เฉียงใต้

       (And he set the stands, five on the south side of the house, and five on the north side of the house. And he  set the sea at the southeast corner of the house. )

7:40 “ฮูราม​ได้​ทำ​หม้อ ทัพพี และ​ชาม​ด้วย ดังนั้น​ฮูราม​ก็​เสร็จ​งาน​ทั้งสิ้น ที่​ท่าน​ต้อง​ทำ​ถวาย​พระราชา​ซาโลมอนสำหรับ​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์

       (Hiram also made the pots, the shovels, and the basins. So Hiram finished all the work that he did for King Solomon on the house of the Lord: )

7:41 “เสา​สอง​ต้น คิ้ว​ของ​บัว​ที่​อยู่​บน​หัว​เสา​และ​ตาข่าย​สอง​ผืน ซึ่ง​คลุม​คิ้ว​ทั้งสอง​ของ​บัว​ที่​อยู่​บน​หัว​เสา

       (the two pillars, the two bowls of the capitals that were on the tops of the pillars, and the two latticeworks to  cover the two bowls of the capitals that were on the tops of the pillars; )

7:42 “และ​ลูก​ทับทิม​สี่ร้อย​ลูก​สำหรับ​ตาข่าย​สอง​ผืน ตาข่าย​ผืน​หนึ่ง​มี​ลูก​ทับทิม​สอง​แถว เพื่อ​คลุม​คิ้ว​ทั้งสอง​ของ​บัว​ซึ่ง​อยู่​บน​เสา

       (and the four hundred pomegranates for the two latticeworks, two rows of pomegranates for each  latticework, to cover the two bowls of the capitals that were on the pillars; )

7:43 “แท่น​สิบ​แท่น​และ​อ่างเล็ก​สิบ​ใบ​ซึ่ง​อยู่​บน​แท่น​เหล่า​นั้น

       (the ten stands, and the ten basins on the stands; )

7:44 “และ​อ่าง​สาคร​ใบ​หนึ่ง และ​วัว​สิบสอง​ตัว​ที่​อยู่​ใต้​อ่าง​สาคร​นั้น

        (and the one sea, and the twelve oxen underneath the sea. )

7:45 “หม้อ ทัพพี​และ​ชาม ภาชนะ​ทั้งสิ้น​เหล่านี้​ทำ​ด้วย​ทอง​สัมฤทธิ์​ขัดมัน ฮูราม​ได้​ทำ​ถวาย​พระราชา​ซาโลมอนสำหรับ​พระ​นิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์

       (Now the pots, the shovels, and the basins, all these vessels in the house of the Lord, which Hiram made  for King Solomon, were of burnished bronze.)

7:46 “พระราชา​ทรง​หล่อ​สิ่ง​เหล่านี้​ใน​ที่​ลุ่ม​แม่น้ำ​จอร์แดน และ​ใน​ที่​ดิน​เหนียว​ระหว่าง​เมือง​สุคคท และ​เมือง​ศาเรธาน

       (In the plain of the Jordan the king cast them, in the clay ground between Succoth and Zarethan. )

7:47 “ซาโลมอน​ไม่ได้​ทรง​ชั่ง​เครื่องใช้​ทั้งหมด​นี้ เพราะ​มี​มาก​เหลือเกิน จึง​ไม่ได้​หา​น้ำหนัก​ของ​ทอง​สัมฤทธิ์

       (And Solomon left all the vessels unweighed, because there were so many of them; the weight of the  bronze was not

ascertained. )

7:48 “ซาโลมอน​ทรง​ทำ​เครื่องใช้​ทั้งสิ้น​ซึ่ง​อยู่​ใน​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์ คือ​แท่น​บูชา​ทองคำ และ​โต๊ะ​ทองคำ​ที่​ใช้​วาง​ขนมปัง​เฉพาะ​พระพักตร์

       (So Solomon made all the vessels that were in the house of the Lord: the golden altar, the golden table for the bread of the Presence, )

7:49 “คันประทีปทองคำ​บริสุทธิ์​อยู่​หน้า​ห้องชั้น​ใน​สุดด้าน​ขวา​ห้า​อัน ด้าน​ซ้าย​ห้า​อัน ดอกไม้ ตะเกียงและ​คีมล้วน​ทำ​ด้วย​ทองคำ

       (the lampstands of pure gold, five on the south side and five on the north, before the inner sanctuary; the  flowers, the lamps, and the tongs, of gold; )

7:50 “ถ้วย ตะไกร​ตัด​ไส้​ตะเกียง ชาม ชามเล็ก​และ​กระถาง​ไฟ ทำ​ด้วย​ทองคำ​บริสุทธิ์ และ​บาน​พับ​ทองคำ​สำหรับ​ประตู​ของ​ส่วน​ชั้น​ใน​พระนิเวศ คือ​อภิสุทธิสถาน​และ​สำหรับ​ประตู​ห้องโถง​ของ​พระวิหาร

       (the cups, snuffers, basins, dishes for incense, and fire pans, of pure gold; and the sockets of gold, for the  doors of the innermost part of the house, the Most Holy Place, and for the doors of  the nave of the temple.)

7:51 “งาน ​ทุกอย่าง​ที่​พระราชา​ซาโลมอน​ทรง​ทำ เกี่ยว​กับ​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์​ก็​ได้​สำเร็จ​ลง และ​ซาโลมอน​ทรง​นำ​สิ่งของ​ ซึ่ง​ดาวิด​พระราชบิดา​ทรง​ถวาย​ไว้​เข้า ​มา คือ​เครื่อง​เงิน เครื่อง​ทองคำ และ​เครื่อง​ใช้​ต่างๆ และ​ทรง​เก็บ​ไว้​ใน​คลัง​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์

  (Thus all the work that King Solomon did on the house of the Lord was finished. And Solomon brought in the things that David his father had dedicated, the silver, the gold, and the vessels,  and stored them in the treasuries of the house of the Lord.)

ข้อมูลมีประโยชน์

7:1       “สิบสามปี” (thirteen years) = ซาโลมอนใช้เวลาสร้างวังของตนเองมากกว่าสร้างพระวิหารของพระเจ้า เกือบ 2 เท่า  เพราะวิหารใช้เวลาสร้าง 7 ปี (6:38;ฮกก.1:2-4)

7:2       “พระตำหนักพนา เลบานอน” (  House of the Forest of Lebanon) = เสาไม้สนสีดาห์ 4 แถวในพระราชวัง ทำให้ดูเหมือนป่าใหญ่ เปรียบเทียบกับขนาดของวิหารของพระเจ้า  ใน 6:2

7:3       “มุงด้วยไม้สนสีดาร์ บนคานซึ่งอยู่บนเสา 45 ต้น แถวละ15 ต้น” (covered with cedar above the chambers that were on the forty-five pillars, fifteen in each row. ) = อาคารนี้มีอีก 3 ชั้นเหนือห้อง

โถงใหญ่ ซึ่งอยู่ในระดับราบ และยังมีที่เก็บอาวุธด้วย (10:16-17)

7:6       “ท้องพระโรงเสาหาน” ( Hall of Pillars) = โถงทางเท้าตำหนักพนา เลบานอน ความยาวระเบียง 22 เมตร (50 ศอก) และกว้าง 13.5 เมตร (30 ศอก) สอดล้องกับความกว้างของพระราชวัง

7:9       “ใช้เลื่อยเลื่อย” (sawed with saws,) = ใช้เลื่อยแต่ง, หินปูนสีขาวอมชมพูในแถบนั้น จะตัดแต่งได้ง่ายเมื่อสกัดออกมาในตอนแรก แต่จะแข็งขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อยู่ภายนอก

7:12     “ลานใหญ่” (The great court) = สร้างแบบเดียวกับลานชั้นในของพระวิหาร (6:36)

7:13     “พระราชาซาโลมอนทรงใช้” (And King Solomon sent and brought) = ก่อนพระวิหารสร้างเสร็จและก่อนจะเริ่มก่อสร้างพระราชวังของซาโลมอน (2พศด.2:7,13-14) “ฮูราม” (Hiram  ) ชื่อเต็มคือ ฮูรามอับบี (หุรามอาบี) -2พศด.2:13

7:14     “หญิงม่ายเผ่านัฟทาลี” (widow of the tribe of Naphtali   ) -2พศด.2:14  สรุปว่าแม่ของฮูรามมาจากเผ่าดาน เป็นไปได้ว่า  เธอเกิดในเมืองของดานทางตอนเหนือของอิสราเอล ใกล้กับเผ่านัฟทาลี ซึ่งเป็นเผ่าของสามีคนแรก หลังจากสามีตาย เธอได้แต่งงานกับคนไทระ

“งานทองสัมฤทธิ์ทุกอย่าง” (worker in bronze) = ฮูราม มีทักษะอื่น ๆ อีกมากมาย (2พศด.2:7,14)

7:15     “เสาทองสัมฤทธิ์สองเสา” (two pillars of bronze.) = ตั้งไว้แต่ละด้านของทางเข้าหลักของพระวิหาร (ข.21) เสานี้อาจตั้งอยู่เป็นอิสระหรือใช้เสาคู่นี้ช่วยรองรับหลังคา (เป็นเฉลียงพระวิหาร) และคิ้วบนเสา

7:16     “2.2 เมตร” (five cubits.            )  = 5 ศอก (2พกษ.25:17)

7:21     “เสาข้างขวา” (pillar on the south) = เสาทางใต้ พระวิหารหันไปทางตะวันออก เช่นเดียวกับพลับพลา (อสค.8:16)

7:23     “หล่ออ่างสาคร” (made the sea of cast metal.) = ขันสาขร , เป็นอ่างน้ำขนาดใหญ่สอดคล้องกับอ่างทองสัมฤทธิ์ที่สร้างขึ้นสำหรับพลับพลา (อพย.30:11-21;38:8) ปุโรหิตใช้น้ำในอ่างนี้สำหรับชำระล้างตามระเบียบพิธี (2พศด.4:6)

“วัดโดยรอบได้ 13.5 เมตร” (line of thirty cubits measured its circumference.) = 30 ศอก ทางคณิตศาสตร์จะเป็น 31.416 ศอก เพราะเป็นวงกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 10 ศอก 30 ศอก ในที่นี้อาจเป็นการปัดเศษให้เป็นตัวเลขถ้วน

7:24     “สิบลูกทุก 45 เซนติเมตร” (ten cubits) = ศอกละ 10 ลูก , 10 ลูกต่อ 1 ศอก (45 ซม.) เท่ากับมี 300 ลูกสำหรับอ่างทั้งใบ หรือ 600 ลูกเมื่อนับทั้ง 2  แถว

7:26     “มีความจุสี่หมื่นลิตร” (two thousand baths.) = 44 กิโลลิตร (2พศด.4:5)

7:27     “แท่นทองสัมฤทธิ์สิบแท่น” (ten stands of bronze) = แท่นทองสัมฤทธิ์ที่สามารถเคลื่อนที่ย้ายได้และถูกออกแบบมาเพื่อรองรับอ่างน้ำ(ขันน้ำ) ดูข้อ 38 ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าขันสาครมาก  น้ำจากอ่าง(ขัน) เหล่านี้ใช้ล้างชิ้นส่วนของสัตว์ที่ฆ่าเพื่อเผาบูชา  ((ลนต.1:9,13;2พศด.4:6)

7:36     “สลักรูปเครูบ สิงโต และต้นอินทผลัม” (carved cherubim, lions, and palm trees) -6:29

7:40     “หม้อ”  (pots ) = อาจใช้ปรุงเนื้อที่จะรับประทานควบคู่กับเครื่องสัตวบูชา (ลนต.7:11-17;22:21-23)

“ทัพพี” (the shovels) = ใช้กวาดขี้เถ้าออกจากแท่นบูชา

“ชาม” (the basins.) =ชามประพรม, เพื่อให้ปุโรหิตใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ ซึ่งต้องพรมเลือดหรือน้ำ (อพย.27:3)

7:41     “ตาข่ายสองผืน” (two latticeworks) = 2 ชุด – ข.17

7:42     “ลูกทับทิมสี่ร้อยลูก” (four hundred pomegranates ) – 18, 20

7:43     “แท่นสิบแท่น และอ่างเล็กสิบใบ”  (ten stands, and the ten basins) –ข.27-37

7:44     “อ่างสาคร…วัวสิบสองตัว “ (the one sea, and the twelve oxen ) –ข.23-26

7:45     “หม้อ ทัพพี และชาม” ( the pots, the shovels, and the basins,) –ข.40

7:46     “สุดคท” (Succoth) = ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน (ปฐก.33:17;ยชว.13:27;วนฉ.8:4-5) ทางเหนือของแม่น้ำยับบอก

-การขุดสำหรับพื้นที่บริเวณนี้ยืนยันว่า สุดคท เคยเป็นศูนย์กลางด้านโลหะวิทยา ในสมัยที่มีราชวงศ์ปกครอง “เมืองศาเรธาน” (Zarethan) = ตั้งอยู่ใกล้เมืองอาดัม (ยชว.3:16) และ อาเบล เมโหลาห์ (1พกษ.4:12 )

7:48     “แท่นบูชาทองคำ” (the golden altar) -6:22

“โต๊ะทองคำ” (the golden table )= ใช้วางขนมปังเบื้องพระพักตร์หรือเฉพาะพระพักตร์ (อพย.25:23-30; 1พศด.9:32;2พศด.13:11;29:18) – โต๊ะทองคำ 10 ตัวนี้ ถูกกล่าวถึงใน 1พศด.28:16 และ 2พศด.4:8,19 โดยมี 5 ตัวตั้งอยู่ทางด้านเหนือ และอีก  5 ตัวตั้งอยู่ทางด้านใต้ของพระวิหาร

7:49     “คันประทีปทองคำบริสุทธิ์” (the lampstands of pure) –มีคันประทีปที่มี 7 กิ่งเพียงหนึ่งคันตั้งอยู่ในพลับพลาตรงข้ามกับโต๊ะวางขนมปัง เฉพาะพระพักตร์ (อพย.25:31-40;26:35)

-คันประทีปสิบคันในพระวิหารนั้นจะตั้งอยูด้านเหนือ 5 คัน และด้านใต้ 5 คัน ทำให้มีแสงสว่างในวิสุทธิสถาน

“ดอกไม้” (the flowers) = ลวดลายดอกไม้ –อพย.25:33

“ตะเกียง” (the lamps)  -อพย.25:37

“คีม” (the tongs  ) -2พศด.4:21;อสย.6:6

7:50     “กระถางไฟ” (fire pans, ) -2พกษ.25:15;2พศด.4:22;ยรม.52:18-19

7:51     “เครื่องใช้ต่าง ๆ “ (in the things) = เครื่องใช้ไม้สอยต่าง ๆ ซึ่งกษัตริย์ดาวิดได้จัดถวายไว้ เป็นเครื่องใช้

ล้ำค่าทำจากเงินและทองคำ (ทั้งจากยึดมาในสงคราม หรือเป็นเครื่องราชบรรณาการมาจากกษัตริย์ทั้งหลาย ที่ต้องการทำให้ดาวิดโปรดปราน ) -2ซมอ.8:9-12;1พศด.18:7-11;2พศด.5:1

“คลังนิเวศของพระยาห์เวห์” (treasuries of the house of the Lord.) -15:18;2พกษ.12:18; 1พศด.9:26;26:20-26;28:12

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณใช้เวลาและทรัพย์สินเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับตัวคุณ (และครอบครัว) ของคุณ มากกว่าเวลาและทรัพย์ที่ทุ่มเทเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับแผ่นดินของพระเจ้าหรือไม่?  (อย่างไร) คุณจะปล่อยให้ให้เป็นเช่นนี้ต่อไปหรือจะปรับเปลี่ยนอะไรบ้างหรือไม่?
  2. คุณมีความเชี่ยวชาญในเรื่องใดเป็นพิเศษ? และคุณได้ใช้ความสามารถเหล่านั้นเพื่ออะไร หรือเพื่อใครบ้าง?

1)      เพื่อครอบครัว?

2)      เพื่อคริสตจักร?

3)      เพื่อชุมชน และสังคม?

4)      เพื่อกษัตริย์?

5)      เพื่อพระเจ้า?

และอย่างไร?

โดย: ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

 

Categories
บทความแปล

ขับเคลื่อนไปใกล้พระทัยพระเจ้า

ออกจากสวนเอเดน

“บุคคลผู้ซึ่งได้รับอภัยการละเมิดแล้วก็เป็นสุข คือผู้ทรงกลบเกลื่อนบาปให้นั้น (สดุดี 32:1)

สิ่งเลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นกับคนบาปคือการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีและสะดวกสบาย

ถ้าพระเจ้าทรงปล่อยให้อาดัมอยู่ในสวนเอเดนต่อ อาดัมคงไม่รู้ซึ้งถึงผลร้ายแรงของความบาป และคงไม่หาทางรับการเยียวยาจากความบาปนั้น  ซึ่งพบได้แต่ในพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่หลั่งออก

ปัญหาถูกออกแบบมาไม่ใช่เพื่อบดขยี้เรา แต่นำเราเข้าหาพระเยซูคริสต์ผู้ประทานการรักษาโดยพระโลหิตที่หลั่งออกเพื่อเราที่บนไม้กางเขน ปัญหาของบาปนั้นจริงจังและร้ายแรง แต่มันนำมาด้วยหนทางที่เราสามารถรับการอภัย และสวมความชอบธรรมของพระคริสต์ได้

ครั้งสุดท้ายเมื่อไรที่คุณขอบคุณพระเจ้าสำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิต? ลองคิดถึงปัญหาเหล่านั้นว่าเป็นเหมือนพาหนะที่ขับเคลื่อนคุณให้เข้าใกล้พระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดย : Pastor Adrian Rogers

อนุญาตโดย : Love worth finding ministries: www.lwf.org

Categories
บทความแปล

คุณจะเขย่าโลกใบนี้ให้พระเยซูคริสต์ได้อย่างไร ‏

test or temptation

จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า และพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น  (สุภาษิต 3:5-6)

ยังจำได้เมื่อผมไปที่เซ้าท์ฟลอริด้าในปี 1981 เพื่อเป็นศิษยาภิบาลที่คริสตจักรเฟิร์สแบ๊บติสต์ เวสท์ปาล์มบีช มีหลายคนมาเตือนผมว่าเป็นการย้ายที่ไม่ส่งผลดีต่ออาชีพการงาน “คุณไปสร้างคริสตจักรที่เซ้าท์ฟลอริด้าไม่ได้หรอก คนที่นั่นเขาไม่ไปโบสถ์กัน”

มีส่วนถูกครับ ที่เขตปาล์มบีชมีคนอาศัยอยู่ 850,000 คน และน้อยกว่า 50,000 ที่ไปโบสถ์วันอาทิตย์ คงไม่ใช่เมืองที่ให้ความสำคัญกับพระคัมภีร์นัก แต่ทีมที่คริสตจักรของเราเชื่อว่าพระเจ้ากำลังทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และเราเห็นพระเจ้าออกตามหาผู้คนและหยิบยื่นข่าวประเสริฐให้ราว 1,000 คนต่อปี

บ่อยครั้งในชีวิต พระเจ้าจะเรียกคุณให้มาทำสิ่งที่ดูไม่สมเหตุผลเมื่อมองผ่านเลนส์ของโลกนี้ แต่เวลาเช่นนั้นแหละที่คุณกำลังเจอบททดสอบถึงความวางใจในพระเจ้า หรือการพึ่งพาความรู้ของตนเอง

อย่าให้ความกลัวการล้มเหลวของโลกกันคุณออกจากการก้าวออกไป และทำสิ่งยิ่งใหญ่เพื่อพระเจ้า วางใจในการนำของพระองค์ และจำไว้ว่าพระองค์จะทรงทำการเพื่อให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์ เมื่อคุณมีความเชื่อเช่นนั้น คุณจะไม่มีขีดจำกัดในสิ่งที่พระเจ้าจะใช้ให้คุณไปเขย่าโลกใบนี้เพื่อพระเยซูคริสต์

วางใจในการทรงนำของพระเจ้า ไม่ใช่พึ่งพาความรอบรู้ของคุณเอง แล้วพระองค์จะทรงใช้ให้คุณไปเขย่าโลกใบนี้เพื่อพระคริสต์

 อนุญาตโดย : Pastor Jack Graham

Jack Graham Power Point Ministry: www.powerpoint.org

 

 

Categories
สารจากศบ.

สารจากศิษยาภิบาล

qaaqaq

6 ตุลาคม 2013

 สวัสดีครับพี่น้อง CJ และผู้มาเยี่ยม

ขอบคุณพระเจ้าที่เราทุกคนยังสามารถมาคริสตจักรได้

ยินดีต้อนรับผู้เชื่อใหม่ 2 ท่านเข้าสู่ครอบครัวของพระเจ้าจากวันอาทิตย์ที่แล้ว

  1. คุณเอมี่      และ       2.  คุณแอ้

อธิษฐานเผื่อทั้งสองท่าน และขออธิษฐานเผื่อผู้ที่ปรารถนาจะมาแต่มาไม่ได้ หรือผู้ที่ตั้งใจไม่มาด้วยนานาสาเหตุ อาทิ

  1. ปัญหาด้านสุขภาพที่ไม่เอื้ออำนวย
  2. ปัญหาเรื่องภาระรับผิดชอบที่หนักหนาสาหัส
  3. ปัญหาของงานอาชีพที่เป็นอุปสรรค
  4. ปัญหาเศรษฐกิจต้องปล้ำสู้
  5. ปัญหาครอบครัวที่ต้องเผชิญ
  6. ปัญหาทางความคิด/จิตที่สับสน
  7. ปัญหาทางด้านจิตวิญญาณ ที่ไม่เติบโตหรือไม่เข้าใจ
  8. ปัญหาเรื่องการสะดุดคนบางคนในบางเรื่อง
  9. ปัญหาด้านการเดินทาง ความไม่สะดวก

ฯลฯ

ขอพระเจ้าช่วยพี่น้องเหล่านั้นให้สามารถฟันฝ่าและมาร่วมกับเราได้ในวาระโอกาสต่อไป!

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการศึกษาพระคัมภีร์ในพฤหัสที่ยังคงมีคนมาศึกษากันอย่างอบอุ่นเช่นเคย

ขอพี่น้องได้เข้าร่วมด้วยในพฤหัสต่อ ๆ ไป บทเรียนมีประโยชน์อย่างมากทั้งต่อผู้สอนและผู้เรียน

มาถึงคราวนี้เป็นคิวของ Agape จัดเป็นรายการ Saranya Worship Concert” ขอพี่น้องพาญาติมิตรที่แสวงหาพระเจ้าไปร่วมในรายการนี้ในวันที่ 18 ตุลาคม 2013 เวลา 18.30 – 20.45 น. ณ BSC      (สี่แยกพญาไท)

สำหรับปีนี้คริสตมาสกำลังใกล้เข้ามาแล้ว ขออธิษฐานเผื่อรายการและผู้รับผิดชอบด้วยนะครับ!

      วันนี้ ขอขอบคุณ อ. นคร  ที่ได้มาแบ่งปันพระวจนะแก่พวกเรา

       ขอพระเจ้าอวยพรและพบกันในโอกาสต่อไป

       ธงชัย  ประดับชนานุรัตน์ /ศิษยาภิบาล

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

กฎแห่งการแลกเปลี่ยน (The Exchange Principle)

แลกเปลี่ยน

“แทนที่จะใส่คนอื่นลงไปในที่ของพวกเขา เราต้องเอาตัวของเราใส่ลงไปในที่ที่พวกเขาอยู่!“

(Instead of putting others in their place, We must put ourselves in their place.)

คนเรามักปฏิบัติต่อผู้อื่นตามมุมมองที่เรามีต่อพวกเขา!

หากเรามองผู้อื่นจากมุมมองของเราเองเท่านั้น  เราอาจก่อเกิดปัญหาขึ้นโดยไม่รู้ตัว

วิธีที่ดีที่สุดก็คือ เราต้องเรียนรู้ที่จะมองดูสิ่งต่าง ๆ จากมุมมองหรือสายตาของคนอื่น ๆ ก่อนที่เราจะตัดสินใจ พูดหรือลงมือกระทำการใด เพราะจะปลอดภัยกว่า!

“กฎแห่งการแลกเปลี่ยน” มีคติที่น่าสนใจดังนี้

๑.โดยธรรมชาติ เราไม่ได้มองดูตัวเราเองและผู้อื่นจากมุมมองเดียวกัน –  ปกติคนเราจะมองดูตัวเองจากเจตนาของตนและตัดสินคนอื่นจากสิ่งที่พวกเขากระทำ  เราตัดสินตัวของเราเองโดยสิ่งที่เรารู้สึกว่าเราสามารถทำได้ ในขณะที่คนอื่นตัดสินเราจากสิ่งที่เราได้ทำเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว! โดยธรรมชาติ เราพยายามมองดูตัวเองในเชิงบวกมากที่สุด ตราบเท่าที่เรายังรู้สึกซื่อตรงต่อคนอื่น เราถือว่าทุกอย่างนั้น โอ เค  ซึ่งเราควรให้สิทธิ์ที่จะคิดเช่นนี้แก่คนอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน

. เมื่อเราล้มเหลวในการมองดูสิ่งต่าง ๆ จากมุมมองของคนอื่น เรามักล้มเหลวในสัมพันธภาพที่มีต่อกัน ความขัดแย้งส่วนใหญ่ที่เราเจอะเจอในความสัมพันธ์มักมาจากการล้มเหลวในการมองสิ่งต่าง ๆ จากมุมมองของผู้อื่น ในเมื่อคนเราแตกต่างกันโดยธรรมชาติ โอกาสที่เราจะมองต่างมุมจึงเป็นเรื่องปกติ และคือที่มาของความขัดแย้งที่รออยู่เบื้องหน้า อย่างไรก็ตาม หากว่าเราได้พยายามอย่างสุดกำลังที่จะมองดูสิ่งต่าง ๆ จากสายตาของพวกเขา ปัญหาหรือความขัดแย้งทางความสัมพันธ์มากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ก็จะไม่เกิดขึ้นหรือถ้าเกิดขึ้นมาแล้วก็แก้ไขได้ไม่ยาก!

๓. การรู้จักมองดูสิ่งต่าง ๆ จากมุมมองของผู้อื่น จะช่วยเราให้ประสบความสำเร็จในสัมพันธภาพที่มี  มีคติของนักขายที่น่าสนใจว่า …

     “ถ้าคุณอยากขายสิ่งที่คุณแดง(จะ) ซื้อ ให้คุณแดง คุณต้องมองดูคุณแดงผ่านสายตาของคุณแดง!”

      หากเราปฏิบัติตามกฎข้อนี้ เราก็น่าจะประสบความสำเร็จในการขายหรือในการนำเสนอมากกว่าที่ผ่านมา

     ดังนั้น อย่าลืม ที่คุณจะต้องเข้าไปอยู่ในที่ของคนอื่นให้ได้ก่อนแล้วคุณจึงค่อยตัดสินใจ พูดหรือทำสิ่งใดๆ!

    เราจะแลกเปลี่ยน (มุมมอง) กันได้อย่างไร?

     ๑. จงละจาก “ที่ของคุณ” และไปเยี่ยม “ที่ของพวกเขา” (Leave “You Place” and visit “Their Place”)    -มีสำนวนอีกสำนวนหนึ่งที่คล้ายคลึงกันว่า … “จงเอาตัวของคุณไปยืนอยู่ในรองเท้าของผู้อื่น” (put yourself in their shoes) คุณต้องทำทุกอย่างเพื่อจะเปลี่ยนมุมมองของคุณจงรับฟังความกังวลใจของผู้อื่น ศึกษาวัฒนธรรมหรืออาชีพของเขา รวมทั้งสิ่งที่พวกเขาให้ความสนใจหรือแม้แต่การไปเยี่ยมบ้านและสำนักงานของเขา สิ่งนี้จะทำให้คุณเข้าใจมุมมองของเขา และพบว่าสิ่งที่เขาพยายามทำ 9 จาก 10 ประการ มักเป็นการพยายามกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง!

     ๒. จงยอมรับว่า คนอื่นเขาก็มีมุมมองที่ถูกต้องใช้ได้ (Acknowledge That the other Person has a Valid View point.) คนเรามีระบบความเชื่อและประสบการณ์ส่วนตัวแตกต่างกันอย่างหลาก หลาย และซับซ้อน แม้เราจะพยายามมองดูสิ่งต่างๆ จากมุมมองของคนอื่น แต่ก็ยังมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ซึ่งเราต้องยอมรับว่า อาจถูกต้องเช่นกัน และการยอมรับเช่นนี้จะช่วยขยายความคิดของเราให้กว้างขึ้น!

  ๓. ตรวจดูทัศนคติของคุณ (Check Your Attitude)โดยปกติแล้ว คนเราจะมองหาสิ่งที่แตกต่างกันมาเป็นข้ออ้าง หากว่าเขาไม่อยากจะเปลี่ยนแปลง แต่คนเราก็มักจะมองหาสิ่งที่คล้ายคลึงกัน(หรือสิ่งที่มีร่วมกัน) หากว่า เขาตั้งใจหรือเต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลง! เช่นกัน …ทัศนคติที่คุณมีจะเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของคุณ!

 ๔. จงถามคนอื่นว่า พวกเขาจะทำอะไรในสถานการณ์อย่างที่คุณเป็น (Ask Others  What they Would Do in Your Situation.) หากเราเข้าอกเข้าใจกัน ปัญหาก็จะแก้ง่ายขึ้น และวิธีง่าย ๆ ที่จะเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของคนอื่นก็คือ ถาม! หรือหากคุณต้องการให้เขาเข้าใจคุณ วิธีง่าย ๆ ก็คือ “ขอ” หากคุณนำตัวของคุณเข้าไปอยู่ในที่ของคนอื่น แทนที่จะบังคับคนอื่นให้อยู่แต่ในที่ของพวกเขาเอง สิ่งนี้จะเปลี่ยนแปลงวิถีที่คุณมองชีวิตและมันจะเปลี่ยนวิถีชีวิตที่คุณดำเนินอยู่

ฉะนั้น ขอให้วันนี้พวกเรามาปฏิบัติตาม “กฎแห่งการแลกเปลี่ยน (มุมมอง)” นี้ร่วมกัน

จะดีไหม?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

Categories
บทความแปล

ความกตัญญูเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ

Lens of glory

“จงขอบพระคุณในทุกรณี…” (1เธสะโลนิกา 5:18)

อ.เปาโลเขียนถึงชาวเธสะโลนิกาว่า “จงขอบพระคุณในทุกกรณี” (1เธสะโลนิกา 5:18) เมื่อเราอ่านพระวจนะข้อนี้แล้วคิดว่าดีจัง แล้วเราก็ใส่เสื้อคลุมเก่าๆตัวเดิม แห่งการขอบพระคุณในชีวิต แล้วก็ไปทำกิจวัตรประจำวันต่อ ในความเป็นจริง พวกเราส่วนใหญ่ขอบพระคุณ…น้อยมาก

สังเกตุดู พระคัมภีร์ไม่ได้สั่งให้เรา “รู้สึก” ขอบพระคุณในทุกกรณี แต่สั่งให้เรา “จงขอบพระคุณในทุกกรณี” เมื่อฉันเริ่มสรรเสริญพระเจ้าในสถานการณ์ยากลำบาก แม้ไม่ได้รู้สึกอยากทำ หลายครั้งเกล็ดที่บังตาหลุดออกไป และได้เห็นพระสิริของพระเจ้าส่องเป็นประกายเหมือนเพชรบนกำมะหยี่สีดำเหนือสถานการณ์นั้น บางครั้งฉันไม่เห็นพระสิริในโศกนาฏกรรม แต่ก็ยังสรรเสริญพระองค์ได้เพราะฉันรู้ว่าพระองค์ทรงอยู่ที่นั่น

ความกตัญญูเปลี่ยนเลนส์ที่เรามองสถานการณ์ต่างๆแค่เสี้ยวเวลาของชีวิต การขอบพระคุณเปลี่ยนมุมมองได้แม้ในความผิดหวัง อกหัก ฝันสลาย สุขภาพย่ำแย่ และโหยหาสิ่งเติมเต็ม เมื่อคุณสรรเสริญพระเจ้าในสิ่งที่พระองค์เป็น ขอบพระคุณในสิ่งที่พระองค์ทำ มุมมองที่มีต่อพระองค์จะกว้างขึ้น และปัญหาจะเล็กลง แล้วคุณจะมีประสบการณ์ใกล้ชิดและดื่มด่ำกับพระเจ้า ช่องว่างระหว่างความจริงและอารมณ์จะหมดไป

หลายต่อหลายครั้งในหนังสือสดุดี ดาวิดบ่นถึงสถานภาพของเขา (สดุดี  42, 57, 62) แต่บ่อยครั้งระหว่างคำบ่นคร่ำครวญ  เขากลับเริ่มสรรเสริญพระเจ้า ในสิ่งที่พระองค์เป็น ขอบพระคุณสำหรับสิ่งที่พระองค์ทำ คุณก็ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น? ดาวิดรู้สึกดีขึ้นได้ในทันที ชีวิตไม่ได้เลวร้ายนักหนา ปัญหาของเขาดูเล็กลงขณะมุมมองที่มีต่อพระเจ้ากลับใหญ่ขึ้น และเริ่มเห็นพระสิริของพระเจ้าส่องผ่านลงมาในสถานการณ์นั้นๆ

ทำไมเป็นเช่นนั้น? หนึ่งในหนังสือสดุดีบทเล็กๆ ดาวิดเปลี่ยนจากเศร้าหมองเป็นชื่นชมยินดี เขาไม่ได้รอจนพระเจ้าเปลี่ยนสถานการณ์  แก้ปัญหาให้ หรือทำให้เขารู้สึกดีขึ้นก่อนขอบพระคุณได้ พี่น้องคะ เมื่อเราเลิกบ่นต่อว่า และเปลี่ยนไปใช้ภาษากตัญญูรู้คุณต่อความรักของพระเจ้า มุมมองเราจะเปลี่ยนไปด้วย เราจะได้เห็นช่วงเวลาที่พระสิริส่องผ่านเลนส์แห่งการสรรเสริญและขอบพระคุณ – ช่วงเวลานี้อยู่ที่นั่นเสมอ เพียงแต่ถูกสายตาแห่งการพร่ำบ่นของเราเองบดบังจนสิ้น

อนุญาตโดย: Sharon Jaynes

Girlfriends In God: www.crosswalk.com