Categories
บทความแปล

วิธีเรียนพระวจนะที่ดีที่สุด

littlegirl-bible-300x200 

ข้าพเจ้ากำชับท่านต่อพระพักตร์พระเจ้า และพระเยซูคริสต์ผู้จะทรงพิพากษาคนเป็นและคนตาย โดยอ้างถึงการที่พระองค์จะเสด็จมาปรากฏและแผ่นดินของพระเจ้าว่า ให้ประกาศพระวจนะ ให้ขะมักเขม้นที่จะทำการทั้งในขณะที่มีโอกาสและไม่มีโอกาส ให้ชักชวนด้วยเหตุผล เตือนสติและตักเตือนให้อดทนอยู่เสมอในการสั่งสอน  (2ทิโมธี 4:1-2)

 ผมเจอเพื่อนที่คบกันมาหลายปีที่แล้ว เขารู้สึกว่าพระเจ้าเรียกเขาให้ไปเป็นครูสอนพระคัมภีร์ เพื่อนคนนี้เป็นคนฉลาดมาก เห็นชัดว่าพระเจ้าทรงอวยพรเขาด้วยความสามารถในการสื่อความจริงสู่ผู้อื่น แต่เขาไม่แน่ใจบอกผมว่า “ผมจำเป็นต้องโตกับพระวจนะก่อนจะไปแบ่งปันกับผู้อื่น”

ผมมองเข้าไปในตาเขา พูดว่า “คุณรู้มั้ย ใครได้รับมากที่สุดเวลาผมเทศนา? ไม่ใช่คนนั่งแถวหน้า แต่เป็นตัวผมเอง” ผมพูดต่อ “ผมคือคนที่ใช้เวลาเรียนพระวจนะก่อนขึ้นเทศน์ และถ้าผมทำอย่างดี ผมก็จะโตขึ้นก่อนใครเพื่อน”

ประเด็นคือเมื่อพูดถึงพระวจนะ คุณไม่อาจให้ออกไป โดยไม่รับเข้ามา ในการเตรียมแบ่งปันพระวจนะกับผู้อื่น คุณต้องให้ซึมซับเข้าไปในตัวคุณ  และนี่คือสิ่งที่ครูสอนพระวจนะทุกคนต้องทำ

ครับ คุณอาจไม่ได้ถูกเรียกให้มาเทศน์หรือสอน แต่เราทุกคนมีหน้าที่รับผิดชอบแบ่งปันความจริงของพระเจ้า จงเตรียมพร้อมไว้เพื่อสามารถแบ่งปันพระวจนะสู่ผู้อื่น  และเป็นหนทางดีที่สุดที่คุณจะซึมซับเข้าในตัวคุณ

ซึมซับพระวจนะของพระเจ้าให้เต็มที่ และเตรียมพร้อมเพื่อแบ่งปันสู่ผู้อื่น

 อนุญาตโดย : Pastor Jack Graham

Jack Graham Power Point Ministry: www.powerpoint.org

 

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ (บทเรียนที่ 15)

สี่เท้ายังรู้พลาด 

 

พระธรรม        1พงศ์กษัตริย์ 11:1-25

อ้างอิง              ฉธบ.17:17;อพย.34:16;ฉธบ.7:3-4

บทนำ                ไม่สำคัญว่า คุณเคยฉลาดมากแค่ไหน? แต่อยู่ที่ว่า เวลานี้คุณกำลังทำอะไรที่โง่เขลาอยู่หรือไม่?    ไม่สำคัญนักหรอกว่า พระเจ้าโปรดปรานหรืออวยพรคุณมาแล้วมากแค่ไหนในอดีต แต่อยู่ที่ว่า คุณกำลังกระทำอะไรบ้างที่ทำให้พระเจ้าอวยพรคุณต่อไปไม่ได้ และจำเป็นต้องส่งการพิพากษาลงมาให้คุณแทน?

บทเรียน

 11:1 “พระราชาซาโลมอนทรงรักหญิงต่างชาติหลายคน นอกจากพระธิดาของฟาโรห์แล้ว มีหญิงโมอับ หญิง​ อัมโมน หญิงเอโดม หญิงไซดอน และหญิงฮิตไทต์

       (Now King Solomon loved many foreign women, along with the daughter of Pharaoh: Moabite,   Ammonite, Edomite, Sidonian, and Hittite women, )

11:2 “ซึ่งเป็นประชาชาติที่พระยาห์เวห์ตรัสกับคนอิสราเอลว่า “พวกเจ้าอย่าแต่งงานกับพวกเขา หรืออย่าให้พวกเขามาแต่งงานกับพวกเจ้า เพราะพวกเขาจะหันจิตใจของพวกเจ้าไปตามพระต่างๆ ของเขาอย่างแน่นอน” ซาโลมอนทรงติดพันหญิงเหล่านี้ด้วยความรัก

     (from the nations concerning which the Lord had said to the people of Israel, “You shall not enter  into marriage with them, neither shall they with you, for surely they will turn away your heart after  their gods.” Solomon clung to these in love. )

11:3 “พระองค์ทรงมีมเหสี 700 คน และนางห้าม 300 คน และบรรดามเหสีของพระองค์ก็หันพระทัยของพระองค์ไปเสีย

       (He had 700 wives, princesses, and 300 concubines. And his wives turned away his heart. )

11:4 “ต่อมาเมื่อซาโลมอนทรงพระชราแล้ว บรรดามเหสีของพระองค์ได้หันพระทัยของพระองค์ไปตามพระอื่นๆ และพระทัยของพระองค์ไม่ภักดีต่อพระยาห์เวห์ พระเจ้าของพระองค์ ไม่เหมือนอย่างพระทัยของดาวิดพระราชบิดาของพระองค์
(For when Solomon was old his wives turned away his heart after other gods, and his heart was   not wholly true to the Lord his God, as was the heart of David his father. )

11:5 “เพราะ ซาโลมอนทรงดำเนินตามเจ้าแม่อัชโทเรท พระของชาวไซดอน และตามพระมิลโคม สิ่งที่น่าเกลียดน่าชังของชาวอัมโมน

      (For Solomon went after Ashtoreth the goddess of the Sidonians, and after Milcom the  abomination of the Ammonites. )

11:6 “ซาโลมอนจึงทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ และไม่ได้ทรงดำเนินตามพระยาห์เวห์อย่างเต็มพระทัย ไม่เหมือนอย่างดาวิดพระราชบิดาของพระองค์

    (So Solomon did what was evil in the sight of the Lord and did not wholly follow the Lord, as  David his father had done. )

11:7 “แล้วซาโลมอนได้ทรงสร้างปูชนียสถานสูงบนภูเขาที่อยู่ตรงข้ามกรุง เยรูซาเล็มสำหรับพระเคโมช ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเกลียดน่าชังของโมอับ และสำหรับพระโมเลค ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเกลียดน่าชังของคนอัมโมน

     (Then Solomon built a high place for Chemosh the abomination of Moab, and for Molech the  abomination of the Ammonites, on the mountain east of Jerusalem. )

11:8 “พระองค์ทรงทำอย่างนั้นเพื่อมเหสีต่างชาติทั้งหมดของพระองค์ หญิงเหล่านั้นได้เผาเครื่องหอมและถวายเครื่องสัตวบูชาแก่ บรรดาพระของพวกนาง

     (And so he did for all his foreign wives, who made offerings and sacrificed to their gods. )

11:9 “พระยาห์เวห์กริ้วซาโลมอน เพราะพระทัยของท่านได้หันไปจากพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ทรงปรากฏแก่ท่านสองครั้งแล้ว

       (And the Lord was angry with Solomon, because his heart had turned away from the  Lord, the God of Israel, who had appeared to him twice )

11:10 “และได้ทรงบัญชาท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่าท่านไม่ควรไปติดตามพระอื่นๆ แต่ท่านไม่ได้รักษาพระบัญชาของพระยาห์เวห์

    (and had commanded him concerning this thing, that he should not go after other gods. But he  did not keep what the Lord commanded. )

11:11 “เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์ตรัสกับซาโลมอนว่า “เพราะเจ้าทำเช่นนี้ และเจ้าไม่ได้รักษาพันธสัญญาและกฎเกณฑ์ของเรา ซึ่งเราได้บัญชาเจ้า เราจะฉีกอาณาจักรเสียจากเจ้าอย่างแน่นอน และมอบให้ข้าราชการ​ของเจ้า

   (Therefore the Lord said to Solomon, “Since this has been your practice and you have not kept  my covenant and my statutes that I have commanded you, I will surely tear the kingdom from  you and will give it to your servant. )

11:12 “อย่างไรก็ตาม เพื่อเห็นแก่ดาวิดบิดาของเจ้า เราจะไม่ทำในสมัยของเจ้า แต่เราจะฉีกมันออกจากมือบุตรชายของเจ้า
(Yet for the sake of David your father I will not do it in your days, but I will tear it out of the hand of your son. )

11:13 “อย่างไรก็ดี เราจะไม่ฉีกอาณาจักรเสียทั้งหมด แต่เราจะให้เผ่าหนึ่งแก่บุตรชายของเจ้า เพื่อเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเรา และเพื่อเห็นแก่เยรูซาเล็มซึ่งเราได้เลือกไว้

    (However, I will not tear away all the kingdom, but I will give one tribe to your son, for the sake  of David my servant and for the sake of Jerusalem that I have chosen.” )

11:14 “พระยาห์เวห์ทรงให้ปฏิปักษ์เกิดขึ้นต่อสู้ซาโลมอน คือฮาดัดคนเอโดม ท่านเป็นเชื้อกษัตริย์แห่งเอโดม

       (And the Lord raised up an adversary against Solomon, Hadad the Edomite. He was of the  royal house in Edom. )

11:15 “เพราะเมื่อดาวิดอยู่ในเอโดมนั้น โยอาบผู้บัญชาการกองทัพได้ขึ้นไปฝังผู้ที่ถูกฆ่า และได้ฆ่าชายทุกคนใน​เอโดมเสีย

     (For when David was in Edom, and Joab the commander of the army went up to bury the slain,  he struck down every male in Edom )

11:16 “(เพราะโยอาบและคนอิสราเอลทั้งสิ้นยังอยู่ที่นั่นหกเดือน จนกว่าเขาจะได้ตัดชีวิตชายทุกคนในเอโดม)

  (for Joab and all Israel remained there six months, until he had cut off every male in Edom)

11:17 “แต่ฮาดัดได้หนีไปอียิปต์ พร้อมกับคนเอโดมบางคนผู้เป็นข้าราชการของบิดาท่าน เวลานั้นฮาดัดยังเป็นเด็กเล็กๆ อยู่

  (But Hadad fled to Egypt, together with certain Edomites of his father’s servants, Hadad still  being a little child. )

11:18 “พวกเขาออกจากมีเดียนมายังปาราน พาคนจากปารานที่มากับเขาทั้งหลายเข้าไปยังอียิปต์ และเข้าเฝ้าฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ และพระองค์ประทานบ้านหลังหนึ่งแก่ฮาดัด และทรงกำหนดให้ได้รับปันอาหาร และประทานที่ดินให้ท่านด้วย

  (They set out from Midian and came to Paran and took men with them from Paran and came to  Egypt, to Pharaoh king of Egypt, who gave him a house and assigned him an allowance of food  and gave him land. )

11:19 “และฮาดัดเป็นที่โปรดปรานของฟาโรห์ ฟาโรห์จึงประทานน้องสาวของมเหสีของพระองค์เอง คือน้องสาว​ของพระราชินีทาเปเนสให้เป็นภรรยาของท่าน
(And Hadad found great favor in the sight of Pharaoh, so that he gave him in marriage the sister of his own wife, the sister of Tahpenes the queen. )

11:20 “และน้องสาวของทาเปเนสก็คลอดบุตรชายคือเกนูบัทแก่ท่าน และทาเปเนสให้เขาหย่านมในวังของฟาโรห์  และเกนูบัทอยู่ในวังของฟาโรห์ในหมู่โอรสของฟาโรห์

     (And the sister of Tahpenes bore him Genubath his son, whom Tahpenes weaned in Pharaoh’s  house. And Genubath was in Pharaoh’s house among the sons of Pharaoh. )

11:21 “แต่เมื่อฮาดัดอยู่ในอียิปต์ได้ยินว่า ดาวิดล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์แล้ว และโยอาบผู้บัญชาการกองทัพก็สิ้นชีวิตแล้ว ฮาดัดจึงทูลฟาโรห์ว่า “โปรดให้ข้าพระบาทไป และข้าพระบาทจะกลับไปประเทศของข้าพระบาท

    (But when Hadad heard in Egypt that David slept with his fathers and that Joab the  commander of the army was dead, Hadad said to Pharaoh, “Let me depart, that I may go to my own country.”)

11:22 “แต่ฟาโรห์ตรัสกับท่านว่า “ท่านอยู่กับเรา ท่านขาดอะไรหรือ? ท่านจึงหาทางที่จะกลับไปประเทศของท่าน” และท่านทูลพระองค์ว่า “ไม่ขาดอะไร พ่ะย่ะค่ะ แต่ขอให้ข้าพระบาทไปเถิด

      (But Pharaoh said to him, “What have you lacked with me that you are now seeking to go to  your own country?” And he said to him, “Only let me depart.” )

11:23 “พระเจ้าทรงให้ปฏิปักษ์อีกคนหนึ่งเกิดขึ้นต่อสู้ซาโลมอน คือเรโซนบุตรของเอลียาดา ผู้ที่หนีไปจากฮาดัด‍เอเซอร์กษัตริย์แห่งโศบาห์เจ้านายของตน

(God also raised up as an adversary to him, Rezon the son of Eliada, who had fled from his master Hadadezer king of Zobah. )

11:24 “เมื่อดาวิดเข่นฆ่าชาวโศบาห์นั้น เรโซนได้รวบรวมผู้คนให้อยู่กับเขา และได้กลายเป็นหัวหน้ากองปล้น พวก‌เขาไปอาศัยอยู่ในเมืองดามัสกัส และครอบครองเมืองดามัสกัส
(And he gathered men about him and became leader of a marauding band, after the killing by David. And they went to Damascus and lived there and made him king in Damascus. )

11:25 “เขาเป็นปฏิปักษ์ของอิสราเอลตลอดรัชสมัยของซาโลมอน และก่อการร้ายเหมือนที่ฮาดัดได้ทำ และเขา​เกลียดชังอิสราเอล และได้ปกครองซีเรีย
(He was an adversary of Israel all the days of Solomon, doing harm as Hadad did. And he loathed Israel and reigned over Syria. )

ข้อมูลมีประโยชน์

11:1     “ทรงรักหญิงต่างชาติหลายคน” (loved many foreign women,) = มีเมียจำนวนมาก   แม้ซาโลมอนจะมีเหตุผลมากมายในการสมรส เช่น เมื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ทั้งใหญ่และเล็ก (อันเป็นธรรมเนียมของประเทศในตะวันออกใก้ลยุคโบราณ)  แต่การกระทำเช่นนั้นเป็นการละเมิดพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ 17:17   – และยังละเมิดข้อห้ามในการแต่งงานกับคนต่างชาติที่ไม่เชื่อพระเจ้า  (อพย.34:16;

ฉธบ.7:1-3:ยชว.23:12-13;อสร.9:2;10:2-3;นหม.13:23-27;1พกษ.16:31)

ปท.8:61, บรรยากาศ/รูปแบบ/พิธีกรรมการนมัสการพระต่างชาติ และรูปเคารพเริ่มเข้ามาอยู่ในราชสำนัก

ของซาโลมอนผ่านบรรดามเหสีต่างชาติ และค่อย ๆ ชักจูงซาโลมอนให้เข้าสู่พิธีกรรมของศาสนาอื่น ๆ

“หญิงโมอับ” (Moabite,) –ปฐก.19:36-38

“หญิงอัมโมน” (Ammonite) –1พกษ.14:21,31;ปฐก.19:36-38;ฉธบ.23:3

          “หญิงเอโดม” (Edomite) –ปฐก.25:26;36:1;อมส.1:11;9:12;ฉธบ.23:7-8

          “หญิงไซดอน” (Sidonian) –16:31

11:2     “เขาจะหันจิตใจของพวกเจ้าไปตามพระต่าง ๆ ของเขาอย่างแน่นอน” (neither shall they with you, for surely they will turn away your heart after their gods.) = ปรากฏเป็นจริงในข้อที่ 4 ซึ่งมีตัวอย่างปรากฏในประวัติศาสตร์อิสราเอลมาก่อนหน้าแล้ว ใน กดว.25:1-15

= เป็นชนชาติที่พระเจ้าตรัสห้ามไว้แล้วว่า ไม่ให้แต่งงานด้วย (อพย.34:16;1พกษ.16:31;ฉธบ.7:3-4)

11:3     “มเหสี 700 คน และนางห้าม 300 คน” (700 wives, princesses, and 300 concubines)

เปรียบเทียบกับ พซม.6:8  –ปท.ปฐก.25:6

11:4     “บรรดามเหสีของพระองค์ก็หันพระทัยของพระองค์ไปตามพระอื่น ๆ และพระทัยของพระองค์ไม่

ภักดีต่อพระยาห์เวห์” (his wives turned away his heart after other gods, and his heart was not wholly true to the Lord his God,) = เป็นจริงเหมือนดังที่เตือนไว้ในข้อ 2

11:5     “เจ้าแม่อัชโทเรท” (Ashtoreth the goddess) –ข้อ 33;14:15;2พกษ.23:13;วนฉ.2:13;1ซมอ.7:3

“พระมิลโคม” (Milcom) –2ซมอ.12:30

“โมเลค” และ “มิลโคม”  เป็นชื่อของพระต่างชาติองค์เดียวกัน การที่ซาโลมอนและชาวอิสราเอลนมัสการพระเหล่านี้ไม่เพียงลบหลู่พระเจ้าในฐานะเป็นพระเจ้าเหนือพวกเขา ยังมีการบูชายัญเด็กทารก (ในบางโอกาส) ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งเลวร้ายอย่างยิ่งที่เกินจะรับได้ (2พกษ.16:3;17:17;21:6;ลนต.18:21;20:2-5;

ปฐก.15:16;วนฉ.10:6

ชื่อของ “อัชโทเรท” และ “โบเชท” ก็มีเสียงสระแบบเดียวกับคำภาษาฮีบรู “โบเชท” ที่แปลว่า “สิ่งที่น่าละอาย” , เขาใช้คำว่า “โบเชท” เป็นชื่อเรียกพระบาอัลอย่างเหยียดหยาม (วนฉ.6:32;ยรม.7:31)

11:6     “ไม่เหมือนอย่างดาวิดพระราชบิดาของพระองค์” (as David his father had done. )  -แม้ดาวิดจะเคยทำเรื่องเลวร้ายบางเรื่อง แต่ท่านก็กลับใจและไม่เคยเกี่ยวข้องกับการนมัสการรูปเคารพใด  ๆ

11:7     “ปูชนียสถานสูง” (high place) -3:2; “พระเคโมช” (Chemosh) –2พกษ.3:27

11:9     “ผู้ทรงปรากฏแก่ท่านสองครั้งแล้ว” (who had appeared to him twice) –3:4-5;9:1-9

11:11   “…เจ้าไม่ได้รักษาพันธสัญญาของพระยาห์เวห์” (you have not kept my covenant) = ซาโลมอนได้ละเมิดพันธสัญญาข้อพื้นฐานที่สุด (อพย.20:2-5) จึงสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อความสัมพันธ์ตามพันธสัญญาระหว่างพระเจ้ากับประชากรของพระองค์

11:12   “…เพื่อเห็นแก่ดาวิดบิดาของพระเจ้า” (Yet for the sake of David your father)= ดาวิดจงรักภักดีต่อ

พระเจ้าและพันธสัญญาของพระเจ้าอย่างไม่แปรเปลี่ยน (2ซมอ.7:11-16)

11:13   “เผ่าหนึ่ง” (one tribe) = เผ่ายูดาห์ –ข.31-32;12:20

          “เห็นแก่เยรูซาเล็มที่เราได้เลือกไว้” (for the sake of Jerusalem that I have chosen.”)

“เยรูซาเล็ม” = ที่ตั้งพระวิหารที่สร้างโดยบุตรของดาวิดตาม 2ซมอ.7:13

-ชะตากรรมของกรุงเยรูซาเล็มและราชวงค์ของดาวิดจึงเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิด และพระวิหารเป็นตัวแทนพระราชวังของพระเจ้าเป็นที่ตั้งของพระบัลลังก์ของพระองค์ในโลกนี้ (หีบพันธสัญญา) และเป็นที่ ๆ

พระเจ้าปฏิญาณว่า จะสถิตอยู่ด้วยในฐานะจอมกษัตริย์แห่งอิสราเอล (9:3)

11:14   “ฮาดัด” (Hadad)

= 1. ชื่อเทพแห่งพายุของชาวเซมีติก (วนฉ.2:13;ศคย.12:11)

2. ชื่อของกษัตริย์อารัม (15:18;20:11)      3. ชื่อของกษัตริย์เอโดมหลายองค์ (ปฐก.36:35,39)

11:15   “เพราะเมื่อดาวิดอยู่ในเอโดมนั้น” (David was in Edom) = ดาวิดรบกับเอโดม (2ซมอ.8:13-14)

11:16   “จนกว่าเขาจะได้ตัดชีวิตชายทุกคนในเอโดม” (until he had cut off every male in Edom) = สังหาร

ชายชาวเอโดมได้ทั้งหมด (ชายที่มีส่วนในการสู้รบกัน)

11:17   “ยังเป็นเด็กเล็กๆ อยู่” (still being a little child.) = อาจอยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนต้น

11:18  “มีเดียน” (Midian) = มีชาวมีเดียนอาศัยอยู่ในพื้นที่ชายแดนด้านตะวันออกของโมอับและเอโดม

“ปาราน” (Paran)= บริเวณถิ่นกันดารทางตะวันออกเฉียงใต้ของคาเดช ในพื้นที่ตอนกลางของ

คาบสมุทรซีนาย (กดว.10:12;12:16;13:3)

“ฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์” (Pharaoh king of Egypt) -3:1

“ประทานบ้านหลังหนึ่ง…รับปันอาหาร…ประทานที่ดินให้” (gave him a house ….allowance of

food …. gave him land.) = อียิปต์ผูกมิตรกับฝ่ายที่ก่อกวนอิสราเอลเพื่อรักษาดุลแห่งอำนาจ เพราะอิสราเอลเข้มแข็งขึ้นมากกว่าเดิม

11:21   “โปรดให้ข้าพระบาทไป…จะกลับไปประเทศของข้าพระบาท” (Let me depart,…. I may go to my  own country.) =ดูเหมือนฮาดัดจะกลับเอโดมในช่วงต้นรัชกาลของซาโลมอน

11:22   “ท่านอยู่กับเราท่านขาดอะไรหรือ?” (What have you lacked with me that you are now seeking to go to your own country?) =เนื่องจากในเวลาที่กล่าวนี้ อียิปต์ยังมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดีกับอิสราเอล (3:1) -ฟาโรห์จึงลังเลที่จะให้ฮาดัดกลับไป และสร้างปัญหาให้ซาโลมอน

11:23   “โศบาห์” (Rezon) –2ซมอ.8:3

11:24   “หัวหน้ากองปล้น” (leader of a marauding band) = เป็นหัวหน้ากองโจรเหมือนที่ดาวิดเคยทำ

(1ซมอ.22:1-2)  รวมถึงเยฟธาห์ก่อนหน้านี้ (วนฉ.11:3)

“อาศัยอยู่ในเมืองดามัสกัส” (lived there) = คงเกิดขึ้นในช่วงต้นรัชกาลซาโลมอน (2ซมอ.8:6)

-การที่ซาโลมอนไปยึดฮามัทโศบาห์ (ซึ่งเคยเป็นดินแดนที่ฮาดัดเอเซอร์ เคยปกครอง) –2ซมอ.8:3-6;

2พศด.8:3) เป็นชนวนที่ทำให้เกิดการต่อต้านภายใต้การนำของเรโซน และแม้ว่าซาโลมอนจะยังคงควบคุมพื้นที่ตอนเหนือของดามัสกัสไปจนถึงยูเฟรติสได้ (4:21,24) แต่ก็ไม่สามารถขับเรโซนออกจากดามัสกัสได้

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยเห็นคนที่ “ฉลาดมาก” กลับกลายเป็นคนที่ “โง่เขลามาก” ในเวลาต่อมาบ้างไหม? อย่างไร? (แบ่งปัน)
  2. ในพระคัมภีร์ตอนนื้ ซาโลมอนทำอะไรบ้างที่เข้าข่าย “คนฉลาดมาก” ซึ่งกลับกลายเป็น “คนโง่เขลามาก” ? และสิ่งเหล่านั้นผิดอย่างไร? และส่งผลเสียหายอะไรบ้าง?
  3. เวลานี้ มีอะไรบ้างที่เข้าข่าย “โง่เขลา” ที่คุณเห็นว่า

1)      คริสตจักร

2)      องค์กรคริสเตียน

3)      คนในโบสถ์    หรือ

4)      ตัวคุณเองกำลังกระทำอยู่?  และจะแก้ไขได้อย่างไร?

2. หากการแต่งงานกับคนไม่เชื่อพระเจ้า (คนต่างชาติ) เป็นสิ่งที่พระเจ้าห้าม แล้วทำไมทุกวันนี้ยังมีกรณีที่

คริสเตียนแต่งงานกับคนไม่เชื่อปรากฎให้เห็นอยู่บ่อย ๆ ?

1)      คุณคิดว่า ทำไมเขาจึงแต่งกับคนไม่เชื่อ?

2)      จะมีผลเสียอะไรเกิดขึ้นตามมา?

3)      แล้วจะป้องกันหรือแก้ไขในเรื่องนี้ได้อย่างไร?

4)      แล้วคุณหรือคริสตจักรจะช่วยในเรื่องนี้ได้อย่างไรบ้าง?

5.      คุณเคยหรือกำลังถูกโน้มน้าวใจให้หลงไปจากทางของพระเจ้าบ้างหรือไม่? อย่างไร?   แล้ว

                      1)      คุณเอาชนะมาได้อย่างไร?                 2) คุณพ่ายแพ้อย่างไร? แล้วคุณแก้ไขอย่างไร?

6.      เวลานี้คุณกำลังรับ “ผลร้าย” หรือ “คำสาปแช่ง” อะไรบ้างอันเป็นผลมาจากการกระทำการฝ่าฝืนพระบัญญัติของพระเจ้า? ของคนรุ่นก่อนหน้าคุณหรือในรุ่นของคุณและคุณกำลังทำอะไรบ้างที่เข้าข่ายในทำนองเดียวที่จะส่งผลให้คนในรุ่นถัดจากคุณไปต้องทนทุกข์ และรับเคราะห์กรรมนั้น?  แล้วคุณจะแก้ไขอย่างไร?

7.      เวลานี้ มีอะไรบ้างที่เป็นดุจศัตรูที่กล้าแข็งขึ้นในชีวิตของคุณที่คุณต้องต่อสู้?  และคุณจะจัดการกับมันอย่างไร?

ศ๗.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทความแปล

ซื่อสัตย์ตลอดเวลา

รุ้งแห่งพันธสัญญา

“ฝ่ายผู้อารักขาเหล่านั้นต้องเป็นคนที่ไว้วางใจได้ทุกคน” (1โครินธ์ 4:2)

คุณเป็นคนซื่อสัตย์หรือเปล่า?

ยามมีปัญหายังวางใจคุณได้หรือไม่?

ทุกวันนี้ความซื่อสัตย์และไว้ใจได้ขาดหายไปจากท่ามกลางคนของพระเจ้าอย่างน่าตกใจ นี่เป็นเรื่องร้ายแรง คำพูดของมนุษย์มีความหมายน้อยมาก ไม่ว่าพันธสัญญาในชีวิตสมรส หรือในการทำธุรกิจ แม้แต่สนธิสัญญาระหว่างประเทศก็แทบหาความจริงใจไม่ได้

ความซื่อสัตย์ของเราเป็นรากฐานคุณลักษณะของเรา และเราจะไม่มีวันพบกับพระพรของพระเจ้าเมื่อความซื่อสัตย์ขาดหายไป

เมื่อคุณจากโลกนี้ไป ผู้คนจะพูดได้หรือไม่ว่าคุณเป็นคนซื่อสัตย์? ซื่อสัตย์ต่อครอบครัว ซื่อสัตย์ต่อเพื่อน และที่สำคัญที่สุดคือซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า?

โดย : Pastor Adrian Rogers’ daily devotional

อนุญาตโดย : Love worth finding ministries: www.lwf.org

Categories
บทความแปล

ทำให้ขาวเหมือนหิมะ

ขาวเหมือนหิมะ

พระเจ้าตรัสว่า “มาเถิด ให้เราสู้ความกัน ถึงบาปของเจ้าเหมือนสีแดงเข้ม ก็จะขาวอย่างหิมะ…” (อิสยาห์ 1:18)

ผมเคยได้ยินชายคนหนึ่งขึ้นไปพูดเป็นพยานในงานที่หน่วยบรรเทาทุกข์จัดขึ้น  มีพวกอันธพาลในฝูงชนตะโกนว่า “หุบปากไปเลย แกมันก็พวกเพ้อฝัน”

อยู่ๆอันธพาลคนนั้นก็รู้สึกว่ามีคนมากระตุกชายเสื้อคลุม มองลงไปเห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆเงยหน้าขึ้นมาพูดว่า “ที่พูดอยู่ข้างบนนั่นเป็นพ่อของหนู พ่อเคยติดเหล้า และชอบทุบตีแม่ เราไม่เคยมีอาหารพอกิน แต่พอได้รับความรอด ชีวิตพ่อก็เปลี่ยนไปหมด เห็นผู้หญิงที่ยืนตรงนั้นมั้ย? เธอดูมีความสุข นั่นคือแม่ของหนู  คุณคะ ถ้าพ่อของหนูเพ้อฝัน ก็อย่าไปปลุกท่านให้ตื่นเลย”

พระผู้ช่วยให้รอดพ้นบาปของเรา สามารถนำคนบาปยากเข็ญที่หลงทางมาชำระให้สะอาด ช่วยให้รอดบาป และทำให้เป็นคนใหม่ได้ – สรรเสริญพระเจ้า

คุณเคยไปแบ่งปันข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ให้กับคนที่ไร้บ้านขาดมิตรหรือเปล่า? ยอมให้พระเจ้าใช้ให้คุณไปส่องความสว่างของพระองค์ในที่ๆพระองค์ทรงนำไป

โดย : Pastor Adrian Rogers’ daily devotional

อนุญาตโดย : Love worth finding Ministries: www.lwf.org

Categories
สารจากศบ.

สารจากศิษยาภิบาล

ImageHandler

10 พฤศจิกายน 2013

สวัสดีครับชาว CJ และเพื่อนพ้องน้องพี่

สถานการณ์บ้านเมืองของเรายังอึมครึมอยู่ ขออธิษฐานเผื่อเพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้นด้วย!

ไม่รู้ว่าภายภาคหน้าจะเป็นอย่างไร แต่ขอให้พระเจ้าทรงคุ้มครองปกป้องแผ่นดินนี้ และคนของพระองค์!

คริสเตียนเราควรอธิษฐานเผื่อประเทศชาติให้มาก ๆ แต่การเข้าร่วมในขบวนการต่าง ๆ ขอให้พินิจพิเคราะห์ ให้รอบคอบก่อนนำตัวและชีวิตเข้าไปร่วมนะครับ

หากเป็นขบวนการที่สุจริตโปร่งใส่ และสอดคล้องกับวิถีของพระคัมภีร์ก็ร่วมได้ แต่หากเจตนาดีจริงใจของเราถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือเพื่อสร้างความวุ่นวาย ปั่นป่วนและความเสียหายแก่บ้านเมือง เราคงต้องขอสติปัญญาจากพระเจ้า ในการรู้ถึงขอบเขตของการมีส่วนร่วมในกิจกรรมเหล่านั้น!

ตัวอย่าง การแสดงพลังคัดค้านกฎหมายที่อยุติธรรม เราคริสเตียนควรทำไม?

คำตอบง่ายมาก ควรทำครับ เพราะพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม และพระเจ้าสั่งให้เราดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม

            “เรา​เกลียด เรา​ชัง​บรรดา​วัน​เทศ‍กาล​เลี้ยง​ของ​เจ้าและ​เรา​ไม่​ชอบ​การ​ประ‍ชุม​ตาม​พิธี​ของ​เจ้า​เลย แม้​ว่า​เจ้า​ถวาย​เครื่อง​บูชา​เผา​ทั้ง​ตัว​และ​ธัญ‍บูชา​แก่​เรา เรา​ก็​จะ​ไม่​ยอม‌รับ​สิ่ง​เหล่า‌นั้น และ​เรา​จะ​ไม่​มอง‌ดูศานติ‌บูชา​ที่​เป็น​สัตว์​อ้วน‌พี​ของ​เจ้า​นั้น จง​นำ​เสียง‌เพลง​ของ​เจ้า​ไป​จาก​เราเรา​จะ​ไม่​ฟัง​เสียง​พิณ‌ใหญ่​ของ​เจ้า แต่​จง​ให้​ความ​ยุติ‌ธรรม​หลั่ง‌ไหล​ลง​อย่าง​น้ำ และ​ให้​ความ​ชอบ‌ธรรม​เป็น​อย่าง​ลำ‌ธาร​ที่​ไหล​อยู่​เป็น​นิตย์”            (อาโมส 5:21-24) 

และ

           “ท่าน​จง​แต่ง​ตั้ง​ผู้​พิพากษา​และ​เจ้าหน้าที่​ตาม​เมือง​ของ​ท่าน ซึ่ง​พระยาห์เวห์​พระเจ้า​ของ​ท่าน​ประทาน​แก่​ท่าน ตาม​เผ่า​ต่างๆ ของ​ท่าน ให้​พวก​เขา​พิพากษา​ประชาชน​ตาม​ความ​ยุติธรรม ห้าม​ทำ​ให้​เสีย​ความ​ยุติธรรม ห้าม​ลำเอียง ห้าม​รับ​สินบน เพราะว่า​สินบน​ทำ​ให้​ตา​ของ​คน​มี​ปัญญา​บอด​ไป และ​กลับ​คดี​ของ​คน​ชอบธรรม​เสีย ท่าน​จง​ติดตาม​ความ​ยุติธรรม​คือ ความ​ยุติธรรม​เท่านั้น เพื่อ​ท่าน​จะ​มี​ชีวิต​และ​ได้​ยึด​ครอง​แผ่นดิน​ซึ่ง​พระยาห์เวห์​ พระเจ้า​ของ​ท่าน​ประทาน​แก่​ท่าน”           (ฉธบ.16:18-20)

    แต่พระเจ้าบัญชาให้เราแสดงออกอย่างสุภาพ ให้เกียรติทุกคนและถวายเกียรติแด่พระเจ้า เราคงไม่ได้รับการสนับสนุนจากพระเจ้า ดังนั้นอย่าให้เราหยาบคาย ไม่ว่าจะวาจาหรือพฤติกรรมใด ๆ หรือใช้ความก้าวร้าวยั่วยุให้เกิดความรุนแรงขึ้น

แต่เราต้องแสดงออกผ่านกิริยามารยาทที่ดี พร้อมนำเสนอความคิดแนวทางที่สร้างสรรค์มีประโยชน์กอปรด้วยปัญญาในช่องทางที่เหมาะสม ไม่ใช่เพียงแค่ความสะใจ!

เราเป็นตัวแทนของพระเจ้าในโลกนี้  สิ่งที่เราแสดงออกจะทำให้คนทั้งหลายแยกแยะได้ถึงวิถีที่แตกต่างกันได้ การปกป้องความจริงความยุติธรรม!

เราต้องแตกต่างจากวิถีของชาวโลก เราต้องกล้าหาญถึง 2 ชั้น

  1. กล้าหาญในการพูดเสนอความจริงและความยุติธรรมที่แตกต่างจากรัฐหรือกลุ่ม/พรรคใด ๆ ที่นำเสนอสิ่งที่ไม่เป็นความจริง และเป็นอันตรายต่อชาติบ้านเมือง
  2. กล้าแสดงออกในวิถีที่แตกต่างจากคนอื่นๆ ที่อาจเป็นคนส่วนใหญ่ซึ่งไม่ได้กระทำตามวิถีแห่งความรัก เมตตาของพระเจ้า ดังที่กำชับไว้ในพระคัมภีร์

ฉะนั้น ขอให้เราเป็นทูตของพระเจ้าที่ส่งเสริมความจริง ความยุติธรรมด้วยวิถีแห่งสันติภาพและความรัก!  ขอให้เราให้ความเป็นธรรมและความเมตตาแก่ทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายถูกและฝ่ายผิด  เพราะว่าทุกคน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวไทย) ล้วนเป็นพี่น้องของเรา ที่ถูกสร้างขึ้นตามพระฉายาของพระเจ้า!

ให้เรารักพวกเขา ช่วยพวกเขา ไม่ใช่ทำลายหรือล้างผลาญผู้ใด ให้เราชนะความชั่วด้วยความดี ชนะความเท็จด้วยความจริง ด้วยความสุภาพถ่อมตน และให้เกียรติแก่ทุกคนอันเป็นวิถีคนของพระเจ้า!!

จงเข้มแข้ง กล้าหาญและมีเมตตา!

ขอขอบคุณ อ. วีระชัย ที่ได้มาแบ่งปันพระวจนะในวันนี้

ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน!

ด้วยใจปรารถนาดี

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (ศิษยาภิบาล)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

หากเราเห็นพ้องต้องกัน

Bangkok Symp Orchestra

พระเยซูคริสต์ตรัสว่า …

    “เรา​บอก​พวก​ท่าน​อีก​ว่า ถ้า​พวก​ท่าน​สอง​คน​จะ​ร่วมใจ​กัน​ทูลขอ​สิ่ง​หนึ่ง​สิ่ง​ใด​ใน​โลก พระบิดา​ของ​เรา​ผู้​สถิต​ใน​สวรรค์​ก็​จะ​ทรง​ทำ​สิ่ง​นั้น​ให้”   (มธ.18:19)

     (Again I say to you, if two of you agree on earth about anything they ask, it will be done for them by my Father in heaven.)

   พระเยซูคริสต์ทรงให้คำมั่นสัญญากับเราว่า หากเราร่วมใจกันอธิษฐาน คำอธิษฐานของเราจะได้รับคำตอบ!

   คำศัพท์ที่พระองค์ทรงใช้นั้นเป็นศัพท์ทางดนตรี คำภาษากรีกดั้งเดิมของวลี “ร่วมใจกัน” นี้แปลเป็นคำภาษา อังกฤษว่า Agree” (เห็นพ้องกัน) ซึ่งมาจากคำว่า sumphoneo” เป็นคำผสมที่มาจากคำว่า sum” (together/with) + “phoneo” (sound/phone) = “ด้วยกัน/กับ”  + “เสียง”

     ดังนั้น คำว่า sum-phoneo” จึงหมายถึง “ส่งเสียงด้วยกัน” (to sound together)

ต่อมาคำผสมนี้ได้กลายมาเป็นคำภาษาอังกฤษที่รู้จักกันดีว่า symphony”

ภาพที่น่าอัศจรรย์ก็คือ การที่ผู้ที่เชื่อพระเจ้ามาร่วมใจกันและอธิษฐานด้วยความเห็นพ้องต้องกันนั้นจะก่อเกิดเป็นวง “ซิมโฟนี” ที่บรรเลงไพเราะเพราะพริ้งสู่สวรรค์!

คำอธิษฐานที่เราเห็นพ้องต้องกันนั้นก็คือ บทเพลงไพเราะที่พระเจ้าทรงชื่นชอบพระทัย แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่าการอธิษฐานที่ปราศจากการเห็นพ้องต้องกันก่อเกิดความไม่ประสานกลมกลืน และการแตกแยกซึ่งทำให้พระเจ้าทรงเสียพระทัย!

พระเยซูคริสต์ไม่ได้ทรงประสงค์จะให้เราอธิษฐานเป็นเสียงประสานเสียง แต่ขอให้เราประสาน(ความตั้ง)ใจ ความคิด จิตวิญญาณ และหัวใจของเราไปด้วยกันในเวลาที่เราอธิษฐาน

การนำคนมานมัสการ มาอธิษฐานด้วยกันนับว่าประสบความสำเร็จอย่างหนึ่ง แต่การทำให้คนที่มาคริสตจักรแล้ว เห็นพ้องต้องกันและประสานกลมกลืนด้วยกันในการอธิษฐาน และการสรรเสริญ(จากจิตวิญญาณที่เป็นหนึ่ง)นี่สิ ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่า!

และเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่เรารู้ว่า การอธิษฐานด้วยการเห็นพ้องต้องกันนี้จะนำผลยิ่งใหญ่อันน่าพึงปรารถนามาให้!

ดังนั้น เพื่อที่เราจะได้รับคำตอบของคำอธิษฐาน เราต้องวางสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันลง ไม่ว่าจะเป็นอัตตา หรือความเห็นแก่ตัวของเรา และถ่อมใจ ทำให้คำทูลอธิษฐานของพวกเรากลายเป็นบทเพลงบรรเลงอันไพเราะที่ประสานกลมกลืนจากวิญญาณจิตของพวกเราสู่สวรรค์ อันจะเป็นเครื่องบูชาที่พระเจ้าทรงพอพระทัย เพื่อที่ว่าพระองค์จะทรงโปรดอำนวยอวยพระพรลงมาจากสวรรค์สู่พวกเราเบื้องล่างด้วยความโปรดปรานอันไม่จำกัดของพระองค์อย่างท่วมท้น!

จะดีไหมครับ?-

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/ lifeanswer,   

Categories
บทความแปล

วางใจในเวลาที่เหมาะของพระเจ้า

night beach

ครั้นเวลาสามยามเศษ พระองค์จึงทรงดำเนินบนน้ำทะเลไปยังเหล่าสาวก เมื่อเหล่าสาวกเห็นพระองค์ทรงดำเนินมาบนทะเลเขาก็ตกใจนัก ร้องอึงไปเพราะกลัว คิดว่าเป็นผี ในทันใดนั้นพระเยซูตรัสกับเขาว่า “ทำใจให้ดีไว้เถิด เราเอง อย่ากลัวเลย” ฝ่ายเปโตรจึงทูลตอบพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ถ้าเป็นพระองค์แน่แล้ว ขอทรงโปรดบอกให้ข้าพระองค์เดินบนน้ำไปหาพระองค์” พระองค์ตรัสว่า “มาเถิด” เปโตรจึงลงจากเรือเดินบนน้ำไปหาพระเยซู  (มัทธิว 14:25-29)

 หลายปีที่แล้วผมตื่นเต้นมาก พระเจ้าทรงเรียกให้ผมออกจากฟลอริด้ากลับไปบ้านที่เท็กซัส แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีบางเวลาที่ผมคิดถึงท้องทะเล  ผมชอบความสง่างามและกว้างใหญ่ไพศาล รวมถึงชอบดูคลื่นที่ไล่กันเข้ามาแตกกระจายบนหาด และเป็นเพราะพระเจ้าทรงสร้างท้องทะเลและมหาสมุทร ซึ่งเป็นเพียงแวบเล็กๆในฤทธิอำนาจของพระองค์

แต่อาศัยอยู่ริมฝั่งมหาสมุทร ทำให้ผมชื่นชอบกับความรู้สึกที่น่าจะคล้ายกับวันที่พายุคลื่นลมแรงในทะเลกาลิลี คงเป็นภาพที่น่าตระหนกในท่ามกลางความสับสน บุรุษท่านหนึ่งเดินมาบนทะเลที่กำลังรุนแรง มาหาพวกเขา

พี่น้องครับ พระเยซูเสด็จมาหาพระสหายในเวลาที่ทันพอดี – ท่ามกลางพายุ ในช่วงที่สี่ของคืนระหว่างตีสามถึงหกโมงเช้า ที่พระองค์มาในเวลาเช่นนั้นเพราะเมื่อทุกสิ่งมืดมิดและสิ้นหวัง พระองค์จะเสด็จมานำหน้าให้ผ่านไปได้

พระวจนะวันนี้สอนว่าแม้ทุกอย่างดูมืดมิด เวลาที่พระเจ้าเสด็จมาจะเป็นเวลาเหมาะที่สุด ดังนั้นไม่ว่าสถานการณ์ของคุณวันนี้เป็นอย่างไร พระองค์จะเสด็จมาทันเวลาเสมอ ไม่เคยเร็วไปหรือช้าไป เวลาของพระองค์เหมาะที่สุด

เมื่อพายุชีวิตโถมใส่ วางใจว่าพระเจ้าจะเสด็จมาแน่ แม้ทุกสิ่งดูมืดมิด เพราะเวลาของพระองค์เป็นเวลาเหมาะสมที่สุด

อนุญาตโดย : Pastor Jack Graham

Jack Graham Power Point Ministry: www.powerpoint.org