Categories
บทความแปล

เป็นอิสระจากกับดักแห่งการเปรียบเทียบ

Chasing butterfly

และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระองค์ และทรงโปรดให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระเยซูคริสต์ (เอเฟซัส 2:6)

เคยสังเกตหรือไม่ว่าเราซื้อของที่ไม่ต้องการด้วยเงิน เพียงเพื่อให้คนที่เราไม่ชอบหน้าประทับใจ?

เราอยากเป็นเหมือนเพื่อนบ้าน  แต่พอเป็นเหมือนเขาได้ เขาก็เขยิบขึ้นไปอีกขั้น

ผมอยากแนะนำให้คุณออกจากวงจรแห่งการเปรียบเทียบ และเดินเข้าสู่เส้นทางแห่งความปลอดโปร่ง คุณได้รับการยอมรับแล้วในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าไม่ได้เปลี่ยนคุณเพื่อจะรักคุณได้ พระองค์ทรงรักคุณเพื่อจะได้เปลี่ยนแปลงคุณ

พระองค์ทรงรักคุณเท่ากับรักพระเยซูคริสต์ ถ้าคุณรอดแล้ว คุณก็อยู่ในพระคริสต์ และพระองค์อยู่ที่ไหน? พระองค์ทรงประทับอยู่ในสวรรคสถาน คุณเองก็อยู่ที่นั่นด้วย ถึงแม้ยังมีชื่อและที่อยู่บนโลก คุณครอบครองอยู่กับพระองค์

ครั้งสุดท้ายเมื่อไรที่คุณเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น? ปลดตัวเองออกจากแอก จากภาระที่ต้องวิ่งไล่ตามให้ทัน และเป็นอิสระในฐานะบุตรของกษัตริย์นะครับ

โดย : Pastor Adrian Rogers’ daily devotional

Love worth finding ministries: www.lwf.org

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ (บทเรียนที่ 17)

แผ่นดินแยกเป็น 2 !

 

พระธรรม        1พงศ์กษัตริย์ 12:1-33

อ้างอิง             2พศด.10:1-19;11:1-4

บทนำ                 เมื่อพระเจ้าทรงประทานพระพรหรือสิทธิพิเศษใด ๆ ให้แก่คุณ จงอย่าใช้อารมณ์ ทิฐิ หรือความคิดเห็นส่วนตัวของคุณหรือคนใกล้ตัวในการตัดสินใจทำอะไรที่นำความเสียหายมาสู่พระนามของพระเจ้า และความเป็นหนึ่งในท่ามกลางพวกคุณเอง!

บทเรียน

 12:1 “เรโหโบอัม​ได้​ไป​ยัง​เมือง​เชเคม เพราะ​อิสราเอล​ทั้งสิ้น​ได้​มา​ยัง​เชเคม เพื่อ​จะ​ตั้ง​พระองค์​ให้​เป็น​กษัตริย์

       (Rehoboam went to Shechem, for all Israel had come to Shechem to make him king. )

12:2 “เมื่อ​เยโรโบอัม​บุตร​เนบัท​ทราบ​เรื่อง​นี้​แล้ว ท่าน​ยัง​คง​อยู่​ใน​อียิปต์ (ที่​เยโรโบอัม​ต้อง​อาศัย​อยู่​ใน​อียิปต์ เพราะ​ท่าน​หนี​จาก​พระพักตร์​พระราชา​ซาโลมอน)

       (And as soon as Jeroboam the son of Nebat heard of it (for he was still in Egypt, where he had fled from King  Solomon), then Jeroboam returned from Egypt. )

12:3 “เขา​ทั้งหลาย​ก็​ใช้​คน​ไป​เรียก​ท่าน เยโรโบอัม​กับ​ชุมนุมชน​อิสราเอล​ทั้งหมด​ได้​มา​ทูล​เรโหโบอัม​ว่า

      (And they sent and called him, and Jeroboam and all the assembly of Israel came and said to Rehoboam,)

12:4 “พระราชบิดา ​ของ​ฝ่า​พระบาท​ได้​ทำ​ให้​แอก​ของ​พวก​ข้าพระบาท​หนัก​นัก เพราะ​ฉะนั้น บัดนี้​ขอ​ฝ่าพระบาท​ทรง​ลด​งาน​หนัก​ของ​พระราชบิดา​ของ​ฝ่า​พระบาท และ​ทำให้​แอก​หนัก​ของ​พระองค์​ที่​อยู่​เหนือ​พวก​ข้าพระบาท​เบา​ลง แล้วพวก​ข้าพระบาท​จะ​ ปรนนิบัติ​ฝ่า​พระบาท

     (“Your father made our yoke heavy. Now therefore lighten the hard service of your father and his heavy yoke on us, and we will serve you.” )

12:5 “พระองค์​ตรัส​กับ​เขา​ว่า “จง​กลับ​ไป​ก่อน แล้ว​สัก​สาม​วัน​จึง​มา​หา​เรา​อีก” ประชาชน​จึง​กลับ​ไป

        (He said to them, “Go away for three days, then come again to me.” So the people went away. )

12:6 “แล้ว​พระราชา​เรโหโบอัม​ก็​ทรง​ปรึกษา​กับ​บรรดา​ผู้อาวุโส ผู้​ได้​ปรนนิบัติ​ซาโลมอน​พระราชบิดา​ของ​พระองค์ เมื่อ​ยัง​ทรง​พระชนม์​อยู่​ว่า “ท่าน​ทั้งหลาย​จะ​แนะนำ​เรา​ให้​ตอบ​ประชาชน​นี้​อย่างไร?”

     (Then King Rehoboam took counsel with the old men, who had stood before Solomon his father while he was  yet alive, saying, “How do you advise me to answer this people?”)

12:7 “เขา​ทั้งหลาย​ทูล​พระองค์​ว่า “ถ้า​ฝ่า​พระบาท​จะ​ทรง​เป็น​ผู้​รับใช้​ประชาชน​นี้​ใน​วันนี้ และ​ปรนนิบัติ​พวกเขา และ​ตรัส​ตอบ​คำ​ดี​แก่​พวกเขา เขา​ทั้งหลาย​ก็​จะ​เป็น​ผู้​รับใช้​ของ​ฝ่า​พระบาท​ตลอด​ไป

     (And they said to him, “If you will be a servant to this people today and serve them, and speak good words to them when you answer them, then they will be your servants forever.”)

12:8 “แต่​พระองค์​ทรง​ปฏิเสธ​คำ​ปรึกษา​ที่​บรรดา​ผู้อาวุโส​ถวาย​นั้น และ​ไป​ปรึกษา​กับ​พวก​คน​หนุ่ม​ที่​เติบโต​ขึ้น​มา​ พร้อม​กับ​พระองค์ ซึ่ง​อยู่​ปรนนิบัติ​พระองค์

       (But he abandoned the counsel that the old men gave him and took counsel with the young men who had  grown up with him and stood before him. )

12:9 “และ​พระองค์​ตรัส​กับ​เขา​ทั้งหลาย​ว่า “ท่าน​จะ​แนะนำ​เรา​อย่างไร เพื่อ​พวก​เรา​จะ​ตอบ​ประชาชน​นี้​ผู้​ที่​ทูล​เรา​ว่า ‘ขอ​ทรง​ทำให้​ แอก​ซึ่ง​พระราชบิดา​ของ​ฝ่า​พระบาทวาง​อยู่​เหนือ​พวก​ ข้าพระบาท​เบา​ลง’”

    (And he said to them, “What do you advise that we answer this people who have said to me, “Lighten the  yoke that your father put on us”?” )

12:10 “และ​คน​หนุ่ม​เหล่า​นั้น​ผู้​ได้​เติบโต​ขึ้น​มา​พร้อม​กับ​พระองค์​ทูล​ พระองค์​ว่า “ขอฝ่า​พระบาท​ตรัส​ดังนี้​แก่​ประชาชน​นี้ผู้​ทูล​พระองค์​ว่า ‘พระราชบิดา​ของ​ฝ่า​พระบาท​ได้​ทรง​ทำ​ให้​แอก​ของ​พวก​ข้าพระบาท​ หนัก แต่​ขอ​ฝ่า​พระบาท​ทรง​ทำ​ให้​เบา​ลง’ นั้นขอ​ฝ่า​พระบาท​ตรัส​แก่​เขา​ทั้งหลาย​อย่างนี้​ว่า ‘นิ้วก้อย​ของ​เรา​ก็​หนา​กว่า​เอว​ของพระราชบิดา​เรา

    (And the young men who had grown up with him said to him, “Thus shall you speak to this people who  said  to you, “Your father made our yoke heavy, but you lighten it for us,” thus shall you say to them, “My little finger  is thicker than my father’s thighs. )

12:11 “พระราชบิดา​ของ​เรา​ได้​วาง​แอก​หนัก​บน​ท่าน​ทั้งหลาย ส่วนเรา​ก็​จะ​เพิ่ม​ภาระ​บน​แอก​ของ​ท่าน​ทั้งหลาย​อีกพระราชบิดา​ของ​ เรา​ตี​สอน​ท่าน​ทั้งหลาย​ด้วย​แส้ แต่​เรา​จะ​ตี​สอน​ท่าน​ด้วย​แมงป่อง’”

   (And now, whereas my father laid on you a heavy yoke, I will add to your yoke. My father disciplined you with whips, but I will discipline you with scorpions.” )

12:12 “เยโรโบอัม​กับ​ประชาชน​ทั้งหมดจึง​เข้า​มา​เฝ้า​เรโหโบอัม​ใน​วัน​ที่​สามดังที่​พระราชา​รับสั่ง​ว่า“จง​กลับ​มา​หา​เรา​ใน​วัน​ที่​สาม”

  (So Jeroboam and all the people came to Rehoboam the third day, as the king said, “Come to me again the  third day.” )

12:13 “และ​พระราชา​ตรัส​ตอบ​ประชาชน​อย่าง​ดุดัน พระองค์​ทรง​ปฏิเสธ​คำ​ปรึกษา​ที่​บรรดา​ผู้อาวุโส​ได้​ถวาย​นั้น

      (And the king answered the people harshly, and forsaking the counsel that the old men had given him, )

12:14 “และ​ตรัส​กับ​เขา​ทั้งหลาย​ตาม​คำ​ปรึกษา​ของ​พวก​คน​หนุ่ม​ว่า “พระราชบิดา​ของ​เรา​ทำ​แอก​ของ​ท่าน​ทั้งหลาย​ให้​หนัก แต่​เรา​จะ​เพิ่ม​ภาระ​บน​แอก​ของ​ท่าน​ทั้งหลาย​อีก พระราชบิดา​ของ​เรา​ตี​สอน​ท่าน​ทั้งหลาย​ด้วย​แส้ แต่​เรา​จะ​ตี​สอน​ท่าน​ทั้งหลาย​ด้วย​ แมงป่อง

    (he spoke to them according to the counsel of the young men, saying, “My father made your  yoke heavy, but  I will add to your yoke. My father disciplined you with whips, but I will discipline you with scorpions.”)

12:15 “พระราชา​ไม่​ทรง​ฟัง​ประชาชน เพราะ​การ​แปร​เปลี่ยน​นี้​เป็น​มา​จาก​พระยาห์เวห์ เพื่อ​พระองค์​จะ​ทรง​ทำ​ให้​พระวจนะ​ของพระองค์​ได้​สำเร็จ ซึ่ง​พระยาห์เวห์​ตรัส​โดย​อาหิยาห์​ชาว​ชีโลห์​แก่​เยโรโบอัม​บุตร​เนบัท

  (So the king did not listen to the people, for it was a turn of affairs brought about by the Lord that he might  fulfill his word, which the Lord spoke by Ahijah the Shilonite to Jeroboam the son of Nebat. )

12:16 “และ​เมื่อ​อิสราเอล​ทั้งสิ้น​เห็น​ว่า​พระราชา​ไม่ได้​ทรง​ฟัง​เขา​ทั้งหลาย ประชาชน​ก็​ทูล​ตอบ​พระราชา​ว่า“พวก​ข้าพระบาท​มี​ส่วน​อะไร​ใน​ดาวิด พวก​ข้าพระบาท​ไม่มี​มรดก​ใน​บุตร​เจสซี โอ อิสราเอล​เอ๋ย กลับ​ไป​เต็นท์​ของ​ท่าน​เถิด ข้าแต่​ดาวิด จง​ดูแล​ราชวงศ์​ของ​พระองค์​เอง​เถิด” อิสราเอล​จึง​จาก​ไป​ยัง​เต็นท์​ของ​เขา

  (And when all Israel saw that the king did not listen to them, the people answered the king,”What portion do we have in David? We have no inheritance in the son of Jesse. To your tents, O Israel! Look now to your own house, David.” So Israel went to their tents. )

12:17 “แต่​เรโหโบอัม​ทรง​ปกครอง​ประชาชน​อิสราเอล ผู้​อาศัย​อยู่​ใน​เมือง​ต่างๆ ของ​ยูดาห์

     (But Rehoboam reigned over the people of Israel who lived in the cities of Judah. )

12:18 “แล้ว​พระราชา​เรโหโบอัม​ทรง​ใช้​อาโดรัม​ผู้​ดูแล​คนงาน​โยธา​ไป และ​อิสราเอล​ทั้งสิ้น​ก็​เอา​หิน​ขว้าง​เขา​ตาย แล้ว​พระราชา​เรโหโบอัม​ก็​ทรง​รีบ​ขึ้น​รถรบ​หนี​ไป​ยัง​กรุง​เยรูซาเล็ม

     (Then King Rehoboam sent Adoram, who was taskmaster over the forced labor, and all Israel stoned him to  death with stones. And King Rehoboam hurried to mount his chariot to flee to Jerusalem. )

12:19 “อิสราเอล​จึง​กบฏ​ต่อ​ราชวงศ์​ของ​ดาวิด​จน​ถึง​ทุก​วันนี้

         (So Israel has been in rebellion against the house of David to this day. )

12:20 “และ​ต่อ​มา​เมื่อ​อิสราเอล​ทั้งปวง​ได้​ยิน​ว่า​เยโรโบอัม​ได้​กลับ​มา​ แล้ว พวกเขา​ก็​ใช้​ให้​ไป​เชิญ​ท่าน​มา​ยัง​ที่​ประชุม แล้ว​ก็​ตั้ง​ท่าน​ห้​เป็น​กษัตริย์​เหนือ​อิสราเอล​ทั้งสิ้น ไม่มี​ใคร​ติดตาม​เชื้อวงศ์​ของ​ดาวิด นอก​จาก​เผ่า​ยูดาห์​เท่านั้น

   (And when all Israel heard that Jeroboam had returned, they sent and called him to the assembly and made him king over all Israel. There was none that followed the house of David but the tribe of Judah only. )

12:21 “เมื่อ​เรโหโบอัม​ทรง​มา​ถึง​กรุง​เยรูซาเล็ม​แล้ว พระองค์​ทรง​ระดม​พล​จาก​พงศ์พันธุ์​ยูดาห์​ทั้งหมด​และ​เผ่า​เบนยามินเป็น​นักรบ​ที่​ คัดเลือก​แล้ว 180,000 คน เพื่อ​จะ​สู้รบ​กับ​พงศ์พันธุ์​อิสราเอล เพื่อ​จะ​เอา​ราชอาณาจักร​คืน​มา​ให้​แก่​เรโหโบอัม​พระราชโอรส​ของ​ซาโลมอน

    (When Rehoboam came to Jerusalem, he assembled all the house of Judah and the tribe of Benjamin,  180,000 chosen warriors, to fight against the house of Israel, to restore the kingdom to Rehoboam the son of  Solomon. )

12:22 “แต่​พระวจนะ​ของ​พระเจ้า​มา​ยัง​เชไมอาห์​คน​ของ​พระเจ้า​ว่า

          (But the word of God came to Shemaiah the man of God: )

12:23 “จง​ไป​ทูล​เรโหโบอัม​พระราชโอรส​ของ​ซาโลมอน พระราชา​แห่ง​ยูดาห์ และ​บอก​กับ​พงศ์พันธุ์​ทั้งหมด​ของ​ยูดาห์​และ​เบนยามินและ​กับ​ประชาชน​ที่​เหลือ​อยู่​ว่า
(“Say to Rehoboam the son of Solomon, king of Judah, and to all the house of Judah and Benjamin, and to the rest of the people, )

12:24 “‘พระยาห์เวห์​ตรัส​ดังนี้​ว่า พวกเจ้า​อย่า​ขึ้น​ไป​สู้รบ​กับ​ประชาชน​อิสราเอล​พี่น้อง​ของ​เจ้าเลย ทุก​คน​จง​กลับ​บ้าน​ของ​ตน​เถิด   เพราะ​สิ่ง​นี้​เป็น​มา​จาก​เรา’” แล้ว​พวกเขา​จึง​เชื่อฟัง​พระวจนะ​ของ​พระยาห์เวห์ และ​กลับ​ไป​ตาม​พระวจนะ​ของ​พระยาห์เวห์

   (“Thus says the Lord, You shall not go up or fight against your relatives the people of Israel. Every man  return to his home, for this thing is from me.” So they listened to the word of the Lord and went home again,   according to the word of the Lord. )

12:25 “เยโรโบอัม​ทรง​สร้าง​เมือง​เชเคม​ใน​ถิ่น​เทือก​เขา​เอฟราอิม และ​ประทับ​ใน​เมือง​นั้น แล้ว​ก็​เสด็จ​ออก​จาก​ที่นั่น ไป​สร้าง​เมือง​ เปนูเอล
(Then Jeroboam built Shechem in the hill country of Ephraim and lived there. And he went out from  there  and built Penuel. )

12:26 “และ​เยโรโบอัม​ทรง​รำพึง​ใน​พระทัย​ว่า “คราว​นี้​ราชอาณาจักร​จะ​กลับ​ไป​เป็น​ของ​ราชวงศ์​ของ​ดาวิด

          (And Jeroboam said in his heart, “Now the kingdom will turn back to the house of David. )

12:27 “ถ้า​ประชาชน​นี้​ขึ้น​ไป​ถวาย​เครื่อง​สัตวบูชา ใน​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์​ที่​กรุง​เยรูซาเล็ม แล้ว​จิตใจ​ของ​ประชาชน​นี้​จะ​หัน‌กลับ​ไป​ยัง​เจ้านาย​ของ​พวกเขา คือ​ไป​ยัง​เรโหโบอัม​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์ และ​พวกเขา​จะ​ฆ่า​เรา​เสีย แล้ว​หัน​กลับ​ไป​ยัง​เรโหโบอัม​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์

        (If this people go up to offer sacrifices in the temple of the Lord at Jerusalem, then the heart of this people   will turn again to their lord, to Rehoboam king of Judah, and they will kill me and return to Rehoboam king of  Judah.” )

12:28 “ดังนั้น​พระราชา​จึง​ทรง​ปรึกษา และ​ได้​ทรง​สร้าง​ลูกวัว​ทองคำ​สอง​ตัว แล้ว​ตรัส​กับ​พวกเขา​ว่า “ท่าน​ทั้งหลาย​ ขึ้น​ไป​ยัง​รุง​เยรูซาเล็ม​นาน​พอ​แล้ว โอ อิสราเอล​เอ๋ย จง​ดู​พระเจ้า​ของ​ท่าน ผู้ทรง​นำ​ท่าน​ขึ้น​มา​จาก​อียิปต์

  (So the king took counsel and made two calves of gold. And he said to the people, “You have gone up to  Jerusalem long enough. Behold your gods, O Israel, who brought you up out of the land of Egypt.” )

12:29 “และ​พระองค์​ก็​ทรง​ประดิษฐาน​ตัวหนึ่ง​ไว้​ที่​เบธเอล และ​อีก​ตัว​หนึ่ง​ก็​ทรง​ตั้ง​ไว้​ใน​เมือง​ดาน

          (And he set one in Bethel, and the other he put in Dan. )

12:30 “และ​สิ่ง​นี้​เป็น​บาป เพราะ​ประชาชน​ไป​กราบไหว้​ลูก​วัว​ทองคำ​ตัว​หนึ่ง​ที่​เบธเอล และ​ไป​ไกล​จน​ถึง​เมือง​ดาน​ เพื่อ​กราบ​ไหว้​อีก​ตัว​หนึ่ง

         (Then this thing became a sin, for the people went as far as Dan to be before one. )

12: 31 “แล้ว​พระองค์​ทรง​สร้าง​นิเวศ​แห่ง​ปูชนียสถาน​สูง และ​ทรง​ตั้ง​ปุโรหิต​จาก​ประชาชน​ธรรมดา​ผู้​ไม่​ใช่​คน​เลวี

(He also made temples on high places and appointed priests from among all the people, who were not of the Levites. )

12:32 “และ​เยโรโบอัม​ทรง​กำหนด​เทศกาล​เลี้ยง ใน​วัน​ที่​สิบห้า​เดือน​แปด​เหมือน​กับ​การ​เลี้ยง​ใน​ยูดาห์ และ​ทรง​ถวาย​เครื่อง​สัตวบูชา​บน​แท่น​บูชา พระองค์​ทรง​ทำ​เช่นนั้น​ใน​เบธเอล คือ​ถวาย​เครื่อง​สัตวบูชา​แก่​รูป​ลูกวัว​ที่​ได้​ทรง​สร้าง​ไว้​นั้น และ​พระองค์​ทรง​ สถาปนา​ปุโรหิต​ประจำ​ปูชนียสถาน​สูง ซึ่ง​ทรง​สร้าง​ไว้ ณเบธเอล

 (And Jeroboam appointed a feast on the fifteenth day of the eighth month like the feast that was in Judah,  and he offered sacrifices on the altar. So he did in Bethel, sacrificing to the calves that he made. And he  placed in Bethel the priests of the high places that he had made.)

12:33 “พระองค์​ทรง​ขึ้น​ไป​ยัง​แท่น​บูชา ซึ่ง​พระองค์​ทรง​สร้าง​ไว้​ที่​เบธเอล ใน​วัน​ที่​สิบห้า​เดือน​แปด ใน​เดือน​ซึ่ง​พระองค์​ทรง​ดำริ​เอง  และ​ทรง​กำหนด​เทศกาล​เลี้ยง​สำหรับ​คน​อิสราเอล และ​ทรง​ขึ้น​ไป​ยัง​แท่น​บูชา​เพื่อ​เผา​เครื่องหอม

  (He went up to the altar that he had made in Bethel on the fifteenth day in the eighth month, in the month that  he had devised from his own heart. And he instituted a feast for the people of Israel and went up to the altar  to make offerings. )

ข้อมูลมีประโยชน์

 12:1     “เชเคม” (Shechem)= เมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อยู่ในบริเวณเทือกเขาของเอฟราอิมตอนเหนือ (ปฐก.12:6;33:18-20;ยชว.8:30-35;ยชว.20:7;21;21:24:1-33)

“อิสราเอลทั้งสิ้น” (all Israel) = ตัวแทนของเผ่าที่อยู่ทางเหนือ (ข.16) เนื่องด้วยดาวิดเป็นกษัตริย์ของฝ่ายเหนือตามพันธสัญญาที่ตกลงกัน (2ซมอ.5:3) ดังนั้น เมื่อมีการผลัดเปลี่ยนกษัตริย์ฝ่ายเหนือจึงอาจพิจารณาใหม่ว่า จะยอมรับกษัตริย์องค์ใหม่หรือไม่ และสามารถเจรจากันได้

12:2     “ทราบเรื่องนี้แล้ว” (heard of it) =ทราบข่าวเรื่องการตายของซาโลมอน (11:43)

“อาศัยอยู่ในอียิปต์” (still in Egyp) –ในฉบับกรีกและลาตินมีข้อความเพิ่มเติมว่า  

                 “ท่านกลับมาจากอียิปต์”  -2พศด.10:2

12:4     “ทำให้แอกของพวกข้าพระบาทหนักนัก” (made our yoke heavy)= วางแอกหนักให้พวกข้าพระบาท

= ความไม่พอใจที่ถูกเก็บภาษีหนัก ถูกเกณฑ์แรงงาน ถูกเกณฑ์ทหาร ได้ประทุออกมาอย่ารุนแรง (4:7,22-23,27-28;5:13-14;9:22;9:15;11:28)

= สถานการณ์ต่าง ๆ  เริ่มย่ำแย่ลงมากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่ต้นรัชกาลของซาโลมอน (4:20)

12:6     “บรรดาผู้อาวุโสผู้ใดปรนนิบัติซาโลมอนพระราชบิดา” (counsel with the old men, who had stood before Solomon) = ข้าราชการที่รับใช้ซาโลมอน เช่น อาโดนีรัม (4:6) และข้าหลวงประจำเขต (4:7-19)

12:7     “ถ้า…เป็นผู้รับใช้ประชาชนนี้ในวันนี้” (“If… will be a servant to this people today ) = การเป็นกษัตริย์หรือผู้นำนั้น จะได้รับอำนาจรัฐซึ่งมีไว้รับใช้ประชาชน ไม่ใช่เพื่อแสดงอำนาจบาตรใหญ่ตามใจของชนชั้นผู้ปกครอง

12:8     “ปรึกษาพวกคนหนุ่มที่เติบโตขึ้นมาพร้อมกันพระองค์” (counsel with the young men who had grown up with him) – ในเวลานั้น เรโหโบอัมอายุราว 41 ปี เมื่อขึ้นครองราชย์ (14:21)

“ซึ่งอยู่ปรนนิบัติพระองค์” (stood before him.) = เรโหโบอัม ตั้งตำแหน่งใหม่ ๆ ในราชสำนักขึ้นมาเพื่อให้เพื่อนหรือคนคุ้นเคยในรุ่นเดียวกันมาทำหน้าที่

12:10   “นิ้วก้อยของเราก็หนากว่าเอวของพระราชบิดาเรา” (“My little finger is thicker than my father’s thighs.) = คำภาษาเปรียบเปรยว่า ส่วนที่เล็กที่สุดของเรโหโบอัมยังแข็งแรงยิ่งกว่าส่วนที่ใหญ่ที่สุดของ  พระราชบิดา

12:11   “แส้…แมงป่อง” (whips… scorpions) = “แมงป่อง”ในที่นี่ = แส้หนังที่มีปลายเป็นโลหะแหลม ดังนั้น    เรโหโบอัม (รัฐ) ไม่เพียงแต่จะเพิ่มภาระให้ประชาชน แต่ยังจะเพิ่มบทลงโทษแก่ผู้ที่ไม่ตามคำสั่งของรัฐด้วย

12:14   “ตรัสกับเขาทั้งหลายตามคำปรึกษาของพวกคนหนุ่ม” (spoke to them according to the counsel of the young men) = คำตอบของพระราชาที่ตรงข้ามกับลักษณะของราชา(กษัตริย์) ตามพันธสัญญาของพระเจ้า (ฉธบ.17:14-20;1ซมอ.10:25)

12:15   “การแปรเปลี่ยนนี้เป็นมาจากพระยาห์เวห์” (for it was a turn of affairs brought about by the Lord)

= เหตุการณ์นี้มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า

= การลงโทษที่มาจากพระเจ้าสู่ราชวงศ์ดาวิดเนื่องจากซาโลมอนหันไปกราบไหว้รูปเคารพ และละเมิดพันธสัญญา (11:9-13)

= มนุษย์ต้องรับผิดชอบต่อพฤติกรรมของตน (2ซมอ.24:1)

“เพื่อ…พระวจนะของพระองค์ได้สำเร็จ ซึ่งพระยาห์เวห์ตรัสโดยอาหิยาห์ ชาวชิโลห์ แก่เยโรโบอัม” (that …his word, which the Lord spoke by Ahijah the Shilonite to Jeroboam) -11:29-39

12:16   “อิสราเอลทั้งสิ้น” (all Israel) = เผ่าทางเหนือ

12:17   “ประชาชนอิสราเอลผู้อาศัยอยู่ในเมืองต่าง ๆ ของยูดาห์” (the people of Israel who lived in the cities of Judah.) = คนจากเผ่าทางเหนือที่มาตั้งรกรากในยูดาห์ (ต่อมาคนจากเผ่าเหนือที่ปรารถนาจะนมัสการและรับใช้พระเจ้าที่พระวิหารมาสมทบอีก –2พศด.11:16-17

12:18   “อาโดรัม” (Adoram) หรือมีอีกชื่อว่า “อาโดนีรัม” = ผู้ดูแลคนงานโยธา (เคยรับใช้ในตำแหน่งนี้ตั้งแต่สมัยของดาวิด) (2ซมอ.20:24) และสมัยของซาโลมอน (1พกษ.4:6;5:14)

12:19   “ราชวงขของดาวิด” (house of David) –2พกษ.17:21

12:20-24 –แผ่ดินถูกแบ่งแยกเป็น 2 ส่วน (เหนือ – ใต้)

12:21 “180000 คน” (180,000 chosen) = รวมคนทั้งพลสนับสนุนและกลุ่มคนที่จะทำการรบจริง ๆ

“เผ่าเบนยามิน” (tribe of Benjamin) = แม้ว่าเผ่าเบนยามินส่วนใหญ่จะเข้าข้างทางเหนือ (11:31-32)    แต่พื้นที่โดยรอบเยรูซาเล็มยังอยู่ใต้การควบคุมของเรโหโบอัม (เช่นเดียวกับเมืองแถบกิเบโอนและเกเซอร์ ) เขตด้านเหนือของยูดาห์ไปไกลถึงเบธเอล (ประมาณ 19 กิโลเมตรเหนือเยรูซาเล็มซึ่งอาบียาห์บุตร        เรโหโบอัมยึดไว้ได้เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ (2พศด.13:19)

12:22   “เชไมอาห์” (Shemaiah) = ผู้เขียนประวัติศาสตร์การครองราชย์ของเรโหโบอัม (2พศด.12:15)

คำพยากรณ์ของท่านอีกครั้งหนึ่งบันทึกไว้ใน 2พศด.12:5-8

“คนของพระเจ้า” (the man of God) = โดยทั่วไปหมายถึงผู้เผยพระวจนะ (13:1;ฉธบ.18:18;33:1; 1ซมอ.2:27;9:9-10)

12:23   “ประชาชนที่เหลือยู่” (to the rest of the people) –ข.17

12:24   “กลับไป” (return) = พากันกลับบ้าน แม้ว่าจะมีการหลีกเลี่ยงสงครามกลางเมืองเต็มรูปแบบ แต่ก็มีการต่อสู้กันระหว่างอิสราเอลกับยูดาห์เป็นระยะ ๆ ตลอดสมัยของเรโหโบอัม อาบียาห์ และอาสา จนกระทั่งอิสราเอลมีสภาพการเมืองที่ไร้เสถียรภาพ หลังจากการตายของบาอาชา จึงทำให้การขัดแย้งนี้หยุดชงักไป

-เยโฮชาฟัท บุตรอาสาเข้าเป็นพันธมิตรกับอาหับ และย้ำความสัมพันธ์นี้โดยการจัดการแต่งงานระหว่าง เยโฮรัมบุตรของท่านกับอาธาลิยาห์ บุตรสาวของอาหับ (14:30;15:6;22:2,44;2พกษ.8:18)

12:25   “เมืองเปนูเอล” (Penuel) = เมืองที่อยู่อีกฟากของแม่น้ำจอร์แดน (ปฐก.32:31;วนฉ.8:9,17) เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการต่อสู้กับคนอารัมจากดามัสกัส (11:23-25) และคนอาโมไรต์

12:26   “กลับไปเป็นของราชวงศ์ของดาวิด” (turn back to the house of David.) = เยโรโบอัมไม่ได้เชื่อมั่นในพระสัญญาของพระเจ้าที่ประทานให้ผ่านทางอาหิยาห์ (11:38) เข้าจึงได้ทำในสิ่งที่ทำลายระบอบการปกครองที่มีพระเจ้าเป็นพื้นฐานสำคัญของความเป็นกษัตริย์ของเขา

12:28   “ลูกวัวทองคำสองตัว” (two calves of gold) = พระของชาวอารัมและชาวคานาอันมักเป็นรูปวัวหรือวัวตัวผู้ อันเป็นสัญลักษณ์ของความเข้มแข็งและความอุดมสมบูรณ์ (วนฉ.2:13)

“จงดูพระเจ้าของท่าน ผู้ทรงนำท่านขึ้นมาจากอียิปต์” (Behold your gods, O Israel, who brought you up out of the land of Egypt.”)

= เช่นเดียวกับอาโรน (อพย.32:4-5) ,เยโรโบอัมก็พยายามรวม   สัญลักษณ์ของลูกวัวของชาวอียิปต์เ(และคนต่างชาติ)ข้ากับการนมัสการพระเจ้าแม้เขาไม่ได้พยายามสร้างองค์สมมติของพระเจ้าที่จับต้องได้ประทับอยู่บนหลังวัวก็ตาม

12:29   “เบธเอล” (Bethel) –ตั้งอยู่ราว 19 กิโลเมตรไปทางเหนือจากเยรูซาเล็ม ใกล้กับชายแดนของเอฟราอิมแต่อยู่ในเขตของเบนยามิน (ยชว.18:11-13,22)

-เบธเอลเป็นสถานที่สำคัญเป็นพิเศษในประวัติศาสตร์การนมัสการพระเจ้าของพวกอิสราเอล (ปฐก.12:8;28:11-19;35:6-7;วนฉ.20:20-28;1ซมอ.7:16)

“ดาน” (Dan) = ตั้งอยู่สุดเขตทางเหนือของแผ่นดิน ใกล้ ๆ ภูเขาเฮอร์โมน ที่มีการนมัสการพระต่างชาติในรูปแบบที่คล้ายคลึงกับในยุคของผู้วินิจฉัย (วนฉ.18:30-31)

12:30   “สิ่งนี้เป็นบาป” (Then this thing became a sin) = นโยบายของเยโรโบอัม ส่งเสริมการละเมิดพระบัญญัติข้อที่ 2 (อพย.20:4-6) ซึ่งในที่สุดได้ชักนำอิสราเอลให้ละเมิดพระบัญญัติข้อแรกไปด้วย      (อพย.20:3) และเปิดทางให้พิธีกรรมการนมัสการพระต่างชาติแทรกซึมเข้าสู่พิธีศาสนาของอิสราเอล (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัชกาลอาหับ -16:29-34)

-เยโรโบอัมละทิ้งหลักการทางศาสนาเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งเป็นการกระทำที่เขลาและทำลายพันธสัญญาของพระเจ้าที่ให้แก่เขาผ่านทางผู้เผยพระวจนะอาหิยาห์ (11:38)

12:31   “สร้างนิเวศแห่งปูชนียสถานสูง” (made temples on high places) –3:2

“ผู้ไม่ใช่คนเลวี” (not of the Levites) = ปุโรหิตและชาวเลวีจำนวนมากมาจากอาณาจักรเหนือ อพยพมายังยูดาห์เพราะเยโรโบอัมมองข้ามพวกเขาโดยแต่งตั้งปุโรหิตขึ้นแทนในอาณาจักรเหนือ(2พศด.11:13-16)

12:32   “เหมือนกันการเลี้ยงในยูดาห์”( like the feast that was in Judah) = ตรงกับเทศกาลอยู่เพิ่งซึ่งฉลองกันในยูดาห์ตั้งแต่วันที่ 15 ถึง 21 เดือนเจ็ด (8:2;ลนต.23:34)

“ถวายเครื่องสัตวบูชาบนแท่นบูชา” (offered sacrifices on the altar.) = เยโรโบอัมกำลังทำเกินสิทธิของตนในฐานะกษัตริย์และทำหน้าที่ของปุโรหิตเอง (2พศด.26:16-21)

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยเผชิญกับภาวะยากลำบากในการบริหารจัดการตามหน้าที่ของผู้นำ(ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง) บ้างหรือไม่? อย่างไร?
  2. คุณมักปรึกษากับผู้หลักผู้ใหญ่ในการตัดสินใจเรื่องสำคัญ ๆ บ้างหรือไม่?  คุณปรึกษาใคร ? และทำไม? หรืออย่างไร?
  3. คุณเคยปฏิเสธคำปรึกษาของผู้ใหญ่(หรือผู้นำด้านจิตวิญญาณ) แล้วเกิดผลเสียบ้างหรือไม่?  เรื่องอะไร? แบ่งปัน
  4. คุณเคยเชื่อคำปรึกษาของคน(หนุ่มสาว) ในรุ่นเดียวกับคุณ และลงมือกระทำบางสิ่งบางอย่างตามคำแนะนำนั้นบ้างหรือไม่?  เรื่องอะไร? และผลออกมาเป็นอย่างไร?
  5. คุณเคยมีประสบการณ์กับการ “หลงอำนาจ” ของตัวเองบ้างหรือไม่?  อย่างไร?  แล้วผลเป็นอย่างไร?
  6. คุณเคยเจ็บปวดไปกับการ “หลงตัว” หรือ “หลงผิด” เพราะรับฟังและทำตามคำปรึกษาที่ผิดพลาดบ้างหรือไม่?  อย่างไร?
  7. คุณเคยสร้างความเสียหาย เพราะการไม่ฟังคำร้องทูลหรือคำวิงวอนของผู้อื่นบ้างหรือไม่?  เรื่องอะไรและอย่างไร?
  8. เคยมีคนปลุกระดมคนให้ขัดแย้งหรือต่อต้านคุณบ้างหรือไม่?  เรื่องอะไร? และอย่างไร?
  9. คุณเคยถูกคนละทิ้งหรือผละไปจากคุณบ้างหรือไม่?  เรื่องอะไร? และอะไรเป็นสาเหตุ? และคุณได้เรียนรู้บทเรียนอะไรจากเหตุการณ์นั้นบ้าง?
  10. คุณเคยพยายามดึงให้คนติดตามหรือภักดีต่อคุณโดยใช้วิธีที่พระเจ้าไม่ทรงพอพระทัยบ้างหรือไม่?  เรื่องอะไร? แล้วผลลัพธ์คืออะไร?

ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

 

 

Categories
บทความแปล

จะเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์มากขึ้นได้อย่างไร

like jesus

พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์  เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า  ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่านทั้งหลาย อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี  อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม (โรม 12:1-2)

คุณครูสอนนักเรียนชั้น ป. 7 ในชั้นเรียนรวีวันอาทิตย์เล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งขณะสอนอยู่ มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่คอยกวนอยู่ตลอดเวลา ไม่ยอมนั่งที่ ไม่ฟังครู และรบกวนคนอื่นๆในชั้น .

คุณครูจึงพาตัวออกมาข้างนอกและถามว่า “ใครสร้างหนู?” เด็กตอบว่า “ก็พระเจ้าสร้าง”

คุณครูจึงพูดต่อ “ถูกต้อง แล้วทำไมหนูถึงไม่ทำตัวตามนั้น?” เด็กนั้นคิดอยู่ครู่หนึ่งและตอบว่า “ก็พระองค์อาจยังสร้างผมไม่เสร็จ”

ครับมีความจริงค่อนข้างมากในสิ่งที่เด็กคนนั้นตอบ เพราะตราบใดที่เรายังอยู่บนโลกนี้ พระเจ้ายังทำงานในเรา เปลี่ยนเราให้เป็นเหมือนพระฉาย และมีพระทัยเหมือนพระองค์

ถ้าวันนี้คุณยังสู้อยู่กับความเจ็บปวด หรือนิสัยแย่ๆ เดินหน้าไปเถอะครับ อย่าลืมว่าพระเจ้ายังสร้างคุณไม่เสร็จ พระองค์ทรงนำสิ่งเก่าๆมาเปลี่ยนให้เป็นสิ่งใหม่ทีละวัน ทีละวัน จงดำเนินไปด้วยความหวังว่าคุณจะเติบโตเป็นเหมือนพระคริสต์มากขึ้น มากขึ้น เมื่อคุณเชื่อฟังพระองค์ทุกวัน

ยอมจำนนให้พระคริสต์มนแต่ละวัน และพระเจ้าจะสร้างคุณให้เป็นเหมือนพระองค์มากขึ้น และมากขึ้นครับ

อนุญาตโดย : Pastor Jack Graham

Jack Graham Power Point Ministry: www.powerpoint.org

Categories
บทความแปล

ทำยังไงถึงได้ไปสวรรค์

Closed door

เพราะว่าบาปจะครอบงำท่านทั้งหลายต่อไปก็หามิได้ เพราะว่าท่านทั้งหลายมิได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณ (โรม 6:14)

ผมเคยแบ่งปันเรื่องพระคุณของพระเจ้ากับผู้ชายคนหนึ่ง ผมถามเขา “ถ้าคุณต้องยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า แล้วพระองค์ตรัสถาม – ทำไมเราควรให้เจ้าเข้าสวรรค์? – คุณจะตอบว่าอย่างไร?” เขานั่งคิด เงียบไปหลายนาที

ในที่สุดเขาก็ทำลายความเงียบขึ้นมาพูดว่า “ผมคงจะตอบว่า ถ้าใครสมควรจะอยู่ที่นี่ ก็น่าจะเป็นผม” แล้วอยู่ๆเขาก็หน้าซีดขาว พยายามคิดว่าจริงตามที่หลุดปากออกไปหรือ?  เราจึงเริ่มคุยกันเรื่องบาป ในที่สุดเขาก็ต้องถอนคำพูด

ไม่มีใครได้เข้าสวรรค์เพราะตนเองสมควร ทั้งหมดคือพระคุณที่พระเจ้าประทานให้เท่านั้น ห้านาทีที่ดีที่สุดของชีวิตผม ไม่อาจนำให้ผมเข้าสวรรค์ได้ เพราะมันไม่ดีพอ และนี่คือปัญหาใหญ่ของทุกคนที่คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำจะนำเข้าสวรรค์ได้

เข้ามาพึ่งพิงพระคุณแห่งความรอดบาปของพระเจ้า มันอาจไม่ง่ายนักเพราะเรายึดติดกับค่านิยม “ทำดีได้ไปสวรรค์” แต่ในพระคริสต์ คุณไม่ได้เพราะคุณสมควร … สรรเสริญพระเจ้า ยอมรับและพักในพระคุณที่พระเจ้าประทานให้ในพระเยซูคริสต์ วางใจในสิ่งที่พระองค์ทำให้ แล้วเราจะอยู่ในพระองค์ตลอดไป

วางใจในพระคุณของพระเจ้า  – ไม่ใช่ในความดีของคุณ  – เพื่อชีวิตนิรันดร์ สิ่งเดียวเท่านั้นที่ดีเพียงพอ

อนุญาตโดย : Pastor Jack Graham

Jack Graham Power Point Ministry: www.powerpoint.org

Categories
สารจากศบ.

สารจากศิษยาภิบาล

ImageHandler

24 พฤศจิกายน 2013

สวัสดีชาว CJ และพี่น้องที่มาเยี่ยมเยียน

วันนี้ขอพระเจ้าทรงได้รับการเทอดพระเกียรติจากหัวใจของเราทุกคน!

ขอให้ทุกกลุ่มพันธกิจทำหน้าที่อย่างแข็งขันนะครับ อย่าลืมอธิษฐานเผื่อกันและกันด้วยนะครับ!

อย่าให้คนใดคนหนึ่งมาคริสตจักรของเราและจากไปโดยไม่มีผู้ใดทักทายและส่งยิ้มให้เขาเป็นอันขาดเลยนะครับ!

ในทำนองเดียวกัน อย่าให้ผู้ใดมาคริสตจักรของเรา (ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกหรือผู้มาเยี่ยม) โดยไม่ทักทายกับผู้ใดหรือแม้แต่รอยยิ้มยังขาดแคลนที่จะแบ่งปันให้ผู้อื่น

อย่าให้ใครปล่อยให้ปัญหาหรืออุปสรรคที่เผชิญในชีวิตทำให้เรามีชีวิตที่หม่นหมองหรือขมขื่นผิดพระประสงค์ของพระเจ้า

ขอให้เราตระหนักเสมอว่า …

“ชีวิตมีไว้เพื่อชื่นชม ไม่ใช่เพื่อขื่นขม”        (Life is to be enjoyed, not endured.)     -Gordon B. Hinckley-

             ขอให้เราสนุกกับชีวิต ขอให้เราแบ่งปันความสนุกนั้นกับผู้อื่นด้วยใจกว้างขวาง!

ขอให้สมาชิก CJ ของเรา

  1. เข้าเฝ้าพระเจ้าเป็นส่วนตัวทุกวัน
  2. เข้าเฝ้าพระเจ้าเป็นกลุ่มร่วมกับพี่น้องในระหว่างสัปดาห์
  3. เข้าเฝ้าพระเจ้าเป็นครอบครัวใหญ่ในทุกวันอาทิตย์

ขอให้แบ่งปันความรักของพระเจ้าและข่าวประเสริฐของพระองค์แก่ผู้อื่น ทั้งที่มาคริสตจักรและในที่ ๆ เราอยู่!

ขอพระเจ้าทรงให้เรามีความรักต่อกันอยู่ทุกเวลา

ขอให้เรามาสนุกกับชีวิตโดยไม่ทำบาป

ขอให้เราแบ่งปันความสุขกับกันและกัน ทั้งด้วยคำพูด และการกระทำ!

อย่าลืมมาร่วมศึกษาพระคัมภีร์เดิมด้วยกันทุกวันพฤหัส

18.00 -19.00 –อาหารเย็น

19.00 – 19.30 –นมัสการ/อธิษฐาน

19.30 – 21.00 – ศึกษาพระคัมภีร์ 2พงศ์กษัตริย์

ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่านอย่างมากมายในวันนี้

ด้วยรักในพระคริสต์

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (ศิษยาภิบาล)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ความจริงที่คุณควรทราบเกี่ยวกับ “คน!”

People needs people

ดร.จอห์น ซี แม็กซ์เวลล์ หนึ่งในสุดยอดกูรูเรื่อง “ผู้นำ” ได้ให้ข้อสังเกตที่น่าสนใจไว้ 5 ประการเกี่ยวกับ “คน” ไว้ดังนี้

1. ทุก ๆ คนต้องการเป็น “คนสำคัญ”  (Everybody Wants to Be Somebody)

ไม่ว่าเราจะเป็นคนยิ่งใหญ่ หรือ คนต่ำต้อย

คนมีชื่อเสียงหรือคนไร้คนรู้จัก คนรวยหรือคนจน

ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย เป็นคนมีการศึกษาสูงหรือไร้การศึกษา

เราแต่ละคนล้วนปรารถนาการแสดงความชื่นชมต่อตัวของเรา!

ใช่ครับ! ใคร ๆ ก็ต้องการให้ชีวิตของเขามีความสำคัญและมีความหมาย

ใคร ๆ ก็ต้องการได้รับความรู้สึกว่าเขาเป็นคนสำคัญ(ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง) ไม่ว่าเขาจะแสดงความต้องการนั้นออกมาผ่านคำพูดหรือไม่?

คุณละครับรู้สึกเช่นเดียวกันแบบนี้หรือไม่?

2. ไม่มีใครสนนักหรอกว่า คุณรู้มากแค่ไหน จนกว่าเขาได้รู้ว่าคุณห่วงใยเขามากมายเพียงใด? (Nobody Cares How Much You Know Until He Knows How Much You Care.)

-คนไม่ค่อยใส่ใจนักว่า เรารู้อะไรบ้างหรือเรารู้มากแค่ไหน แต่เขาสนใจว่าจริง ๆ แล้วคุณเป็นคนอย่างไร คุณรู้สึกต่อเขาอย่างไร และคุณแสดงความใส่ใจในความต้องการของเขาออกมาให้เห็นมากแค่ไหน?

ดังนั้น จึงไม่มีประโยชน์อะไรที่คุณจะพยายามพูดว่า คุณรู้เรื่องหรือรู้จักสิ่งที่พวกเขาต้องการมาก

พวกเขาแค่ต้องการให้คุณพิสูจน์สิ่งที่คุณพูดนั้นออกมาด้วยการกระทำที่จับต้องได้ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว!

3. คนทุกคนล้วนต้องการใครสักคนหนึ่ง (Everybody Needs Somebody)

-ไม่มีใครในโลกนี้แม้แต่สักคนเดียวที่ไม่ต้องการบุคคลอื่นในชีวิต

คำถามจึงไม่ใช่ว่า คุณต้องการคนอื่นหรือไม่ แต่อยู่ที่คุณต้องการคนอื่นมากแค่ไหน?

-กล่าวได้ว่า เราทุกคนล้วนต้องการกำลังใจ และความเชื่อมั่นในตัวของเราจากคนอื่น รวมทั้งการช่วยเหลือและการสนับสนุนจากเขาในเรื่องที่เราจำเป็น

…คุณล่ะครับต้องการเช่นเดียวกันกับที่กล่าวนี้หรือไม่?

4. คนที่ช่วยเหลือคนบางคน ได้สร้างแรงบันดาลใจและผลกระทบต่อคนจำนวนมาก (Anybody That Helps Somebody Influences Lots of Bodies.)

-เมื่อใดก็ตามที่คุณช่วยใครสักคนหนึ่งและในทันทีที่คนอื่น ๆ ได้รับรู้ สิ่งที่คุณได้ทำจะกลายเป็นแรงบันดาลให้คนอื่นชื่นชมหรือปรารถนากระทำตาม!

แล้วตัวของคุณเองล่ะครับ เคยได้รับแรงบันดาลใจให้อยากจะกระทำสิ่งดีบางอย่าง เพราะได้เห็นแบบอย่างที่คนบางคนกระทำให้คุณเห็นบ้างหรือไม่?

5. คนบางคนในวันนี้ จะลุกขึ้นและกลายเป็นคนสำคัญ (ในวันหน้า) (Somebody Today Will Rise Up and Become Somebody.)

-เมื่อคุณเชื่อมั่นในคนบางคน และเห็นเขาเป็นคนที่มีศักยภาพที่คู่ควรต่อการสร้างเสริม คุณก็จะมีวันดี ๆ ในชีวิตทุกวัน เพราะว่า ทุก ๆ เช้าที่นำการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ มาสู่ชีวิตของคน ๆ นั้น จะเป็นภาพที่งดงามน่าชื่นใจยิ่งนัก

ดังนั้น ขอให้คุณมองดูทุกวันเป็นโอกาสที่จะสร้างความแตกต่างขึ้นในชีวิตของคนบางคน และลงมือกระทำสิ่งดีที่จะช่วยเหลือ สนับสนุนส่งเสริมเขาด้วยความรักห่วงใยในตัวเขาอย่างจริงใจ!

และถ้าหากว่าคุณเชื่อ(มั่น)ในตัวบุคคลใดจริง ๆ แต่ละวันที่มีก็จะกลายเป็นวันอันอัศจรรย์ของคุณและของคนนั้น ๆ อย่างแน่นอน!

“เพราะฉะนั้นในเมื่อมีความชูใจในความสัม‍พันธ์กับพระคริสต์มีการปลอบโยนจากความรัก มีการสา‍มัคคีธรรมกันจาก พระวิญ‍ญาณ และมีความเห็นใจกันและความเมต‍ตากรุ‍ณาก็ขอให้ท่านทั้งหลายทำให้ความยินดีของข้าพ‍เจ้าเต็มเปี่ยมด้วยการมีความคิดอย่างเดียวกัน มีความรักอย่างเดียวกัน มีจิตใจและความคิดเป็นหนึ่งเดียวกัน อย่าทำสิ่งใดด้วยการชิงดีหรือถือดี แต่จงถือว่าคนอื่นดีกว่าตัวด้วยใจถ่อม อย่าให้ต่างคนต่างเห็นแก่ประ‍โยชน์ของตนเอง แต่จงเห็นแก่ประ‍โยชน์ของคนอื่นๆ ด้วย จงมีจิตใจเช่นนี้ในพวกท่านเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์”  (ฟีลิปปี 2:1-5)

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

 

Categories
บทความแปล

จะพบปัญญาถาวรได้จากที่ไหน

ดาวิด เด็กเลี้ยงแกะ

แต่ปัญญาจากเบื้องบนนั้นบริสุทธิ์เป็นประการแรก แล้วจึงเป็นความสงบสุข สุภาพและว่าง่าย เปี่ยมด้วยความเมตตาและผลที่ดี  ไม่ลำเอียง ไม่หน้าซื่อใจคด (ยากอบ 3:17)

มันน่าทึ่งเมื่อคิดถึงความก้าวหน้าในปัญญาของมนุษย์ช่วงหลายปีที่ผ่านมา  วันหนึ่งไอแซก นิวตัน นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ แล้วแอปเปิ้ลตกใส่หัว บันดาลใจให้เขาค้นพบกฎแห่งแรงโน้มถ่วงของโลก และเมื่อกูเตนเบิร์ก เห็นวิธีพิมพ์แบบล้าสมัย ท่านจึงประดิษฐ์แท่นพิมพ์แบบเคลื่อนที่ขึ้นมา

และไอน์สไตน์ผู้เสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพ และเป็นผู้ค้นพบโลกทางวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ และนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ วิลเลียม เชคสเปียร์ ผู้บรรจงเขียนบทละครที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

ครับ มนุษยชาติมีปัญญาน่าทึ่งที่อาจเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้ แต่ผมเชื่อว่าไม่มีใครอาจเทียบได้กับถ้อยคำที่ลึกซึ้งของกษัตริย์ที่มาจากเด็กเลี้ยงแกะอย่างดาวิด ที่เขียนว่า “พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน” (สดุดี 23:1) ถ้อยคำนี้ ท่านใส่สาระสำคัญของชีวิตไว้ – นั่นคือการยอมรับในพระเจ้า และแสวงหาความพอใจในพระองค์

ปัญญาที่ปราศจากพระเจ้าก็เป็นเพียงชั่วคราว  แต่ปัญญาในแบบของพระเจ้า บอกเราถึงชีวิตนี้ และชีวิตหน้าที่จะมาถึง ดังนั้นจงเติบโตอยู่ในพระปัญญาของพระเจ้า และจำไว้ว่าปัญญาแท้จริงที่คงทนไม่ได้มาจากโลกนี้ แต่มาจากพระเจ้า

เติมความคิดจิตใจของคุณด้วยพระปัญญาของพระเจ้าที่คงอยู่ถาวรจากชีวิตนี้ไปจนถึงชีวิตหน้า

อนุญาตโดย : Pastor Jack Graham

Jack Graham Power Point Ministry: www.powerpoint.org