Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

พระทัยของพระราชา

ในหลวงของปวงคริสเตียน

“พระทัยพระราชาเหมือนธารน้ำในพระหัตถ์พระยาห์เวห์  พระเจ้าจะทรงชักนำไปทางไหนก็ตามแต่จะโปรด!”
(สุภาษิต 21:1)

พระราชาที่ดีนับเป็นของขวัญล้ำค่าสำหรับประชาชนในชาตินั้นๆ

พระราชาที่ทรงคุณธรรมนับเป็นสิริมงคลต่อปวงชนภายใต้พระบุญญาบารมี

พระราชาที่ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้ายิ่งเป็นบ่อเกิดแห่งพระพรล้ำเลิศต่อพสกนิกร

พระราชาและสถาบันกษัตริย์จะดำรงยืนยงอยู่ได้นาน ตราบเท่าที่ประชาชนยังคงจงรัก

พระราชาที่ทรงราชธรรมย่อมสถิตอยูในดวงใจของเหล่าประชาราษฏร์

พระราชาที่เปี่ยมด้วยพระเมตตาย่อมเปรียบประดุจแก้วตาดวงใจของปวงประชา

พระราชาที่มีพระทัยกว้างขวางดุจพระบิดาแห่งสวรรค์ย่อมยอมเต็มพระทัยเสียสละเพื่อปวงชน

พระราชาที่คำนึงถึงสวัสดิภาพของประชาชนก่อนความสุขส่วนพระองค์ย่อมได้รับการเทิดทูน

พระราชาที่ประกอบพระกรณียกิจที่พิชิตใจประชากรของพระองค์ย่อมได้รับความภักดี

พระราชาที่ถ่อมพระทัยลงภายใต้หัตถ์ของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์เปรียบดุจสายธาร

…เป็นสายธารแห่งความรัก

…เป็นสายธารแห่งความกรุณาปรานี

…เป็นสายธารแห่งความดี

…เป็นสายธารแห่งความเปรมปรีดิ์

…เป็นสายธารแห่งศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจ

และเป็นสายธารที่มาจากพระหัตถ์ของพระเจ้า

ที่พระเจ้าจะทรงนำไปในที่ๆพระองค์ทรงประสงค์!

และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช คือ

องค์กษัตริยราชผู้มีพระทัยอันไพศาลดุจสายธารแห่งพระคุณและพระพรอันหาที่สุดมิได้ของแผ่นดินไทย

ดังนั้น ในวารโอกาสเฉลิมฉลองพระชนมายุ 86 พรรษา

เหล่าคริสตชนไทยทั่วแผ่นดินขอน้อมเกล้าฯถวายพระพรชัยแด่พระองค์

ขอทรงพระเจริญ!

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (ศิษยาภิบาล)

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ (บทเรียนที่ 18)

เยโรโบอัม vs เรโหโบอัม

 

พระธรรม        1พงศ์กษัตริย์ 14:1-31

อ้างอิง              1พกษ.10:16-17;15:29;14:15;2พกษ.17:9-10;2พศด.9:15-16;12:2-8;ฉธบ.23:17

บทนำ           น่าเสียดายและน่าเสียใจที่ชนชาติที่พระเจ้าทรงเรียก และทรงเลือกกลับทำบาปชั่วอย่างไม่ยำเกรงพระเจ้า อีกทั้งยังแตกแยกกันเป็นหนือ – ใต้ และต่อสู้รบกันเองมาตลอด ผลสุดท้ายก็คือ ย่อยยับไปตามๆ กัน เป็นเหตุให้สูญเสียศักดิ์ศรีและพระพรของพระเจ้าไป !

วันนี้ คุณกำลังดำเนินตามรอยเท้า(อันไม่ดี)ของพวกเขาอยู่เหรือไม่?

บทเรียน

 14:1 “ในเวลานั้น อาบียาห์พระราชโอรสของเยโรโบอัมประชวร

       (At that time Abijah the son of Jeroboam fell sick.)

14:2 “และเยโรโบอัมรับสั่งกับมเหสีของพระองค์ว่า“จงลุกขึ้นปลอมตัวของเจ้า อย่าให้ใครรู้ว่าเจ้าเป็นมเหสีของเยโรโบอัม  และจงไปเมืองชีโลห์ นี่แน่ะอาหิยาห์ผู้เผยพระวจนะอยู่ที่นั่นผู้ได้กล่าวเรื่องเราว่าเราจะได้เป็นกษัตริย์เหนือประชาชนนี้

       (And Jeroboam said to his wife, “Arise, and disguise yourself, that it not be known that you are the  wife of Jeroboam, and go to Shiloh. Behold, Ahijah the prophet is there, who said of me that I  should  be king over this people. )

14:3 “เจ้าจงเอาขนมปังสิบก้อน ขนมหวานบ้าง และน้ำผึ้งไหหนึ่ง ไปหาท่าน ท่านจะบอกเจ้าว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเด็กนั้น

       (Take with you ten loaves, some cakes, and a jar of honey, and go to him. He will tell you what shall happen to the child.” )

14:4 “มเหสีของเยโรโบอัมก็ทำตามนั้น พระนางทรงลุกขึ้น เสด็จไปเมืองชีโลห์ เสด็จมาถึงบ้านของอาหิยาห์ส่วนอาหิยาห์มองไม่เห็น เพราะว่าตาของท่านมืดมัวด้วยอายุของท่าน

    (Jeroboam’s wife did so. She arose and went to Shiloh and came to the house of Ahijah. Now  Ahijah could not see, for his eyes were dim because of his age. )

14:5 “พระยาห์เวห์ตรัสกับอาหิยาห์ว่า “ดูสิ มเหสีของเยโรโบอัมกำลังมา เพื่อจะถามเจ้าเรื่องลูกของนาง เพราะเด็กนั้นป่วย เจ้าจงบอกนางอย่างนี้” เมื่อพระนางเสด็จไปถึง ก็แสร้งทำเป็นหญิงอื่น

   (And the Lord said to Ahijah, “Behold, the wife of Jeroboam is coming to inquire of you concerning her son, for he is sick. Thus and thus shall you say to her.” When she came, she pretended to be another woman. )

14:6 “แต่เมื่ออาหิยาห์ได้ยินเสียงฝีพระบาทของพระนางมาถึงประตู ท่านจึงพูดว่า “ขอเชิญพระมเหสีของเยโรโบอัมเสด็จเข้ามาข้างใน ทำไมจึงทรงแสร้งทำเป็นหญิงอื่นเล่า? เพราะข้าพระบาทได้รับพระบัญชาให้ทูลข่าวอันน่าสลดใจแก่​พระนาง

  (But when Ahijah heard the sound of her feet, as she came in at the door, he said, “Come in, wife of Jeroboam. Why do you pretend to be another? For I am charged with unbearable news for you.)

14:7 “ขอเสด็จไปทูลเยโรโบอัมว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า “เพราะเราได้ยกเจ้าขึ้นจากฝูงชนและทำให้เจ้าเป็นประมุขเหนืออิสราเอลประชากรของเรา

      (Go, tell Jeroboam, “Thus says the Lord, the God of Israel: “Because I exalted you from among the people and made you leader over my people Israel )

14:8 “และได้ฉีกราชอาณาจักรจากราชวงศ์ของดาวิดมาให้เจ้า แต่เจ้าก็ไม่เหมือนอย่างดาวิดผู้รับใช้ของเราผู้รักษาบัญญัติทั้งหลายของเรา และติดตามเราด้วยสุดใจของเขา ทำแต่สิ่งที่ถูกต้องในสายตาของเรา

 (and tore the kingdom away from the house of David and gave it to you, and yet you have not been like my servant David, who kept my commandments and followed me with all his heart, doing only that which was right in my eyes, )

14:9 “แต่เจ้าได้ทำชั่วยิ่งกว่าทุกคนที่อยู่ก่อนเจ้า เจ้าไปสร้างพระอื่นและรูปหล่อโลหะ และทำให้เราโกรธ และได้เหวี่ยงเรา ทิ้งเบื้องหลังของเจ้า

 (but you have done evil above all who were before you and have gone and made for yourself other gods and metal images, provoking me to anger, and have cast me behind your back, )

14:10 “เพราะฉะนั้น นี่แน่ะ เราจะนำเหตุร้ายมาเหนือราชวงศ์ของเยโรโบอัม และจะตัดชายทุกคนจากเยโรโบอัมทั้งทาส​  และไทในอิสราเอล และจะผลาญราชวงศ์เยโรโบอัมเสียอย่างสิ้นเชิง อย่างที่คนเผามูลสัตว์ให้ไหม้ จนสิ้น

 (therefore behold, I will bring harm upon the house of Jeroboam and will cut off from Jeroboam  every male, both bond and free in Israel, and will burn up the house of Jeroboam, as a man  burns up dung until it is all gone. )

14:11 “ใครในวงศ์เยโรโบอัมที่ตายในเมือง สุนัขจะกิน และใครตายในทุ่งนา นกในอากาศจะกิน เพราะพระยาห์เวห์​  ตรัสแล้ว”’

  (Anyone belonging to Jeroboam who dies in the city the dogs shall eat, and anyone who dies in  the open country the birds of the heavens shall eat, for the Lord has spoken it.”

14:12 “เพราะฉะนั้น ขอลุกขึ้นเสด็จไปยังพระตำหนักของพระนาง เมื่อพระนางเสด็จเข้าเมือง พระกุมารนั้นก็จะสิ้น​ ระชนม์

   (Arise therefore, go to your house. When your feet enter the city, the child shall die. )

14:13 “แล้วอิสราเอลทั้งหมดจะไว้ทุกข์ให้ และจะฝังพระศพไว้ เพราะพระกุมารผู้เดียวเท่านั้นในราชวงศ์เยโรโบอัมที่จะไป​ถึงอุโมงค์ฝังศพ เพราะในตัวพระกุมารซึ่งอยู่ในราชวงศ์ของเยโรโบอัมนั้น ยังพบบางสิ่งที่พอพระทัยพระยาห์เวห์​พระเจ้าแห่งอิสราเอล

 (And all Israel shall mourn for him and bury him, for he only of Jeroboam shall come to the grave,  because in him there is found something pleasing to the Lord, the God of Israel, in the house of   Jeroboam.)

14:14 “ยิ่งกว่านั้นอีก พระยาห์เวห์จะทรงตั้งกษัตริย์องค์หนึ่งเหนืออิสราเอลผู้จะกำจัดราชวงศ์ของเยโรโบอัมเสียในวันนี้และตั้งแต่นี้ไป

  (Moreover, the Lord will raise up for himself a king over Israel who shall cut off the house of Jeroboam today. And henceforth, )

14:15 “พระยาห์เวห์จะทรงตีอิสราเอลดุจไม้อ้อสั่นอยู่ในน้ำ และจะทรงถอนรากอิสราเอลออกเสียจากแผ่นดินอันดีนี้ ซึ่งพระองค์ประทานแก่บรรพบุรุษของพวกเขา และจะกระจายพวกเขาไปฟากตะวันออกของแม่น้ำยูเฟรติส เพราะเขาทั้งหลายได้สร้างบรรดาพระอาเช-ราห์ ทำให้พระยาห์เวห์ทรงพระพิโรธ

 (the Lord will strike Israel as a reed is shaken in the water, and root up Israel out of this good land   that he gave to their fathers and scatter them beyond the Euphrates, because they have made their Asherim, provoking the Lord to anger. )

14:16 “และพระองค์จะทรงมอบอิสราเอลไว้ เพราะบาปของเยโรโบอัม ซึ่งท่านได้ทำและทำให้อิสราเอลทำบาปด้วย

    (And he will give Israel up because of the sins of Jeroboam, which he sinned and made Israel  to sin.” )

14:17 “แล้วมเหสีของเยโรโบอัมทรงลุกขึ้น เสด็จจากไป และเสด็จถึงเมืองทีรซาห์ เมื่อพระนางเสด็จถึงธรณีประตู​พระตำหนัก พระกุมารก็สิ้นพระชนม์

    (Then Jeroboam’s wife arose and departed and came to Tirzah. And as she came to the threshold  of the house, the child died. )

14:18 “แล้วคนอิสราเอลทั้งหมดก็ฝังพระศพพระกุมารและไว้ทุกข์ให้ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ ซึ่งตรัสทางผู้รับใช้​ของพระองค์คืออาหิยาห์ผู้เผยพระวจนะ

    (And all Israel buried him and mourned for him, according to the word of the Lord, which he spoke  by his servant Ahijah the prophet. )

    14:19 “ส่วนพระราชกิจอื่นๆ ของเยโรโบอัม เรื่องพระองค์ทรงทำศึก และทรงครอบครองอย่างไรนั้น ดูสิ ได้บันทึกไว้ใน​หนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งอิสราเอล

   (Now the rest of the acts of Jeroboam, how he warred and how he reigned, behold, they are written  in the Book of the Chronicles of the Kings of Israel. )

14:20 “เยโรโบอัมทรงครองราชย์เป็นเวลา 22 ปี และทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ แล้วนาดับพระราช‍โอรสของพระองค์ก็ขึ้นครองราชย์แทน

(And the time that Jeroboam reigned was twenty-two years. And he slept with his fathers, and  Nadab his son reigned in his place. )

14:21 “เรโหโบอัมพระราชโอรสของซาโลมอนทรงครองราชย์ในยูดาห์ เมื่อเรโหโบอัมทรงเป็นกษัตริย์นั้นพระองค์มีพระชน​ายุ 41 พรรษา และทรงครองราชย์ 17 ปีในกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นเมืองที่พระยาห์เวห์ทรงเลือกจากเผ่าทั้งหมด​ ของอิสราเอลเพื่อจะสถาปนาพระนามของพระองค์ไว้ที่นั่น พระราชมารดาของพระองค์มีพระนามว่า นาอามาห์​คนอัมโมน

  (Now Rehoboam the son of Solomon reigned in Judah. Rehoboam was forty-one years old when  he began to reign, and he reigned seventeen years in Jerusalem, the city that the Lord had chosen  out of all the tribes of Israel, to put his name there. His mother’s name was Naamah the Ammonite. )

14:22 “ยูดาห์ทำชั่วในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ และทำให้พระองค์ขุ่นเคืองพระทัยยิ่งกว่าที่บรรพบุรุษได้ทำทั้งสิ้น  เพราะบาปที่พวกเขาได้ทำนั้น

   (And Judah did what was evil in the sight of the Lord, and they provoked him to jealousy with their  sins that they committed, more than all that their fathers had done. )

14:23 “พวกเขาสร้างสิ่งเหล่านี้ให้ตัวเอง คือปูชนียสถานสูง เสาศักดิ์สิทธิ์ และบรรดาพระอาเช-ราห์บนเนินเขาสูงทุกเนินและใต้ต้นไม้เขียวทุกต้น

    (For they also built for themselves high places and pillars and Asherim on every high hill and  under every green tree, )

14:24 “ยิ่งกว่านั้นมีเทวทาส ในแผ่นดินนั้นด้วยและพวกเขาได้ทำตามสิ่งที่น่าเกลียดน่าชังทุกอย่างของบรรดาประชาชาติ  ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงขับไล่ออกไปให้พ้นหน้าประชาชนอิสราเอล

   (and there were also male cult prostitutes in the land. They did according to all the abominations of the nations that the Lord drove out before the people of Israel. )

14:25 “ในปีที่ห้าแห่งกษัตริย์เรโหโบอัม ชิชักกษัตริย์อียิปต์เสด็จขึ้นมารบกับกรุงเยรูซาเล็ม

   (In the fifth year of King Rehoboam, Shishak king of Egypt came up against Jerusalem.)

14:26 “พระองค์ทรงเอาทรัพย์สมบัติแห่งพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และทรัพย์สมบัติแห่งพระราชวังของกษัตริย์ พระองค์ทรงเอาไปทุกอย่าง และทรงเอาโล่ทองคำทั้งหมดที่ซาโลมอนทรงสร้างไว้นั้นไปด้วย

   (He took away the treasures of the house of the Lord and the treasures of the king’s house.  He took away everything. He also took away all the shields of gold that Solomon had made, )

14:27 “และกษัตริย์เรโหโบอัมทรงทำโล่ทองสัมฤทธิ์ขึ้นแทน และมอบไว้ในมือของพวกทหารรักษาพระองค์ผู้เฝ้าประตู​พระราชวัง

  (and King Rehoboam made in their place shields of bronze, and committed them to the hands of the officers of the guard, who kept the door of the king’s house. )

14:28 “เมื่อพระราชาเสด็จไปยังพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ทหารรักษาพระองค์ก็ถือโล่ออกมา แล้วนำกลับไปเก็บไว้ในห้องทหารรักษาพระองค์ตามเดิม

   (And as often as the king went into the house of the Lord, the guard carried them and brought  them back to the guardroom. )

14:29 “ส่วนพระราชกิจอื่นๆ ของเรโหโบอัม และทุกสิ่งที่ทรงกระทำ ได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์​  ไม่ใช่ หรือ?”

   (Now the rest of the acts of Rehoboam and all that he did, are they not written in the Book of the Chronicles of the Kings of Judah? )

14:30 “มีสงครามระหว่างเรโหโบอัมกับเยโรโบอัมตลอดรัชสมัย

    (And there was war between Rehoboam and Jeroboam continually. )

14:31 “และเรโหโบอัมก็ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังพระศพไว้กับบรรพบุรุษของพระองค์ใน​นครดาวิด พระราชมารดาของพระองค์มีพระนามว่า นาอามาห์คนอัมโมน และอาบียัมพระราชโอรสก็ขึ้นครอง‌ราชย์แทน

     (And Rehoboam slept with his fathers and was buried with his fathers in the city of David. His  mother’s name was Naamah the Ammonite. And Abijam his son reigned in his place. )

ข้อมูลมีประโยชน์

14:1     “ในเวลานั้น” (that time ) =เวลาที่ไม่ห่างจากเหตุการณ์ที่กล่าวถึงในบทที่ 13

“อาบียาห์” (Abijah) = หมายความว่า “พระบิดาของเราคือ พระยาห์เวห์”

14:2     “จงลุกขึ้นปลอมตัวของเจ้า” (disguise yourself) = เยโรโบอัมบัญชาให้มเหสีปลอมตัวไปหาผู้เผย

พระวจนะอาหิยาห์ เพื่อจะรู้ถึงอนาคตของโอรสของตน ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่า ท่านเองยอมรับความสามารถในการทำนายอนาคตของอาหิยาห์

“ผู้ได้กล่าวเรื่องเราว่า เราจะได้เป็นกษัตริย์เหนือประชาชนนี้” (  who said of me that I should be king over this people) -11:29-39

14:5     “พระยาห์เวห์ตรัสกับอาหิยาห์ว่า” (the Lord said to Ahijah) = ดูตัวอย่างอื่น ๆ เกี่ยวข้องกับการเปิดเผยของพระเจ้าเกี่ยวกับผู้ที่กำลังจะมาเยือนได้ใน 1ซมอ.9:15-17;2พกษ.6:32

14:6     “ขอเชิญพระมเหสีของเยโรโบอัมเสด็จเข้ามาข้างใน” (Come in, wife of Jeroboam) = การที่อาหิยาห์รู้จักมเหสีของเยโรโบอัมและจุดประสงค์ที่เธอมาเป็นเครื่องยืนยันว่า คำพูดของเขามาจากพระวจนะของพระเจ้าจริงๆ

14:7     “…เราได้ยกเจ้าขึ้น…ทำให้เจ้าเป็นประมุขเหนือ” (I exalted you …….. made you leader over)

=พระเจ้าเตือนให้เยโรโบอัมระลึกถึงสิ่งที่พระเจ้ากระทำให้เขาขึ้นเป็นกษัตริย์ (11:26;30-38)

14:8     “…แต่เจ้าก็ไม่เหมือนอย่างดาวิดผู้รับใช้ของเรา” ( yet you have not been like my servant David)

= เยโรโบอัมไม่ได้สำนึกในพระคุณของพระเจ้า ไม่ได้ตอบสนองต่อพระราชกิจอันทรงพระคุณของพระเจ้าและไม่ได้ใส่ใจในข้อเรียกร้องต่าง ๆ ที่อาหิยาห์ ได้กล่าวไว้ตอนที่เยโรโบอัมจะได้เป็นกษัตริย์ (11:38)

14:9     “แต่เจ้าได้ทำชั่วยิ่งกว่าทุกคนที่อยู่ก่อนเจ้า” (you have done evil above all who were before you)

= ความชั่วของเยโรโบอัมนั้น มากยิ่งกว่าซาอูล  ดาวิด และซาโลมอน เพราะเขาได้ก่อตั้งระบบการนมัสการรูปเคารพสำหรับประชาชนในอิสราเอล(ทางเหนือ) ทั้งหมด

“พระอื่น” (other gods) -12:28,30

14:10   “ทั้งทาสและไท”  (both bond and free) =ไม่มีข้อยกเว้น (21:21;2พกษ.9:8;14:26)

14:11   “ใครตายในทุ่งนา นกในอากาศจะกิน” (anyone who dies in the open country the birds of the heavens shall eat) -16:4, คำสาปแช่งตามพันธสัญญาเดิมในเฉลยธรรมบัญญัติ 28:26 เป็นจริงกับลูกหลานเพศชายของเยโรโบอัม และจะไม่มีผู้ใดได้รับการฝังอย่างสมเกียรติเลย

14:12   “พระกุมาร” (child) = คำภาษาฮีบรูมีช่วงอายุกว้าง (เป็นคำที่ใช้กับสหายหนุ่มของเรโหโบอัมด้วย,12:8)

“จะสิ้นพระชนม์” (shall die) = แม้ว่าอาบียาห์จะตาย และทำให้เยโรโบอัมและมเหสีเสียใจ แต่ก็

เป็นพระกรุณาของพระเจ้าต่อโอรสองค์นี้ของพวกเขา เพราะว่าเขายังมีพิธีศพที่สมเกียรติและไม่ต้องทนทุกข์กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับวงศ์วานของบิดา (อสย.57:1-2)

14:13   “แล้วอิสราเอลทั้งหมดจะไว้ทุกข์ให้และจะฝังพระศพไว้” (And all Israel shall mourn for him and bury him) = อาบียาห์เป็นรัชทายาทคนหนึ่งเป็นที่รู้จักของประชาชน และเขาเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นในราชวงศ์ของเยโรโบอัม ที่ได้รับการฝังศพอย่างสมเกียรติ

14:14   “กษัตริย์องค์หนึ่ง…ผู้จะกำจัดราชวงศ์ของเยโรโบอัมเสีย” (king over Israel who shall cut off the house  of Jeroboam) = อาหิยาห์มองข้ามการครองราชย์สั้น ๆ ของนาดับ บุตรชายของเยโรโบอัม   (15:25-26) ไปถึงการกบฏของบาอาชา (15:27-16:7)

14:15   “ดุจไม้อ้อสั่นอยู่ในน้ำ” (reed is shaken in the water) = พรรณนาถึงความไร้เสถียรภาพของราชวงศ์ในอาณาจักรทางเหนือ (อิสราเอล)  ซึ่งเต็มไปด้วยการลอบปลงพระชนม์และการกบฏ (15:27-28;16:16; 2พกษ.9:24;15:10,14,25,30)

“จะทรงถอนรากอิสราเอลออกเสียจากแผ่นดินอันดีนี้” (will strike Israel as a and root up Israel out of this good land) –2พกษ.17:22-23

-ต่อมาคำพยากรณ์นี้ปรากฏเป็นจริง

-ให้ดูคำสาปแช่งต่อการละเมิดพันธสัญญาใน ฉธบ.28:63-64;29:25-28

“บรรดาพระอาเชราห์” ( Asherim) –เจ้าแม่อาเชราห์ เป็นภรรยาของเอล เทพเจ้าของชาวคานาอัน ในที่นี้น่าจะหมายถึงเสารูปไม้สลักของเจ้าแม่นี้ (อพย.34:13;วนฉ.2:13)

14:16   “บาปของเยโรโบอัมซึ่งท่านได้ทำ” (sins of Jeroboam, which he sinned ) -12:26-33;13:33-34

“และทำให้อิสราเอลทำบาปด้วย” (made Israel to sin) = นำให้ชาวอิสราเอลทำตาม

= เป็นวลีที่ใช้บ่อยใน 1-2 พงศ์กษัตริย์ อาทิ 15:26;16:2;13,19,26

14:17   “เมืองทีรซาห์” (Tirzah) = เมืองหลวงของกษัตริย์อิสราเอลมาตลอด จนกระทั่งอมรีซื้อภูเขาและสร้างเมืองสะมาเรียขึ้นมาแทน (16:24) (ทีรซาห์ อาจจะเป็นเทลเอลฟาราห์ ในปัจจุบัน  อยู่ราว 11 กิโลเมตรทางเหนือของเชเคม –พซม.6:4)

14:19   “ทำศึก” (warred) –ข.30;15:6;2พศด.13:2-20

“หนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งอิสราเอล” (Book of the Chronicles of the Kings of Israel.)

= จดหมายเหตุกษัตริย์แห่งอิสราเอล

= บันทึกการครองราชย์ของกษัตริย์ทางฝ่ายเหนือ

14:20   “22 ปี” (twenty-two years ) = ช่วงเวลาที่เยโรโบอัมครองราชย์

= ปี 930-909 ก.ค.ศ

“นาดับ” (Nadab) -15:25-32

14:21   “17ปี” (seventeen years) = ช่วงเวลาที่เรโหโบอัมครองราชย์

= ปี 930-913 ก.ค.ศ

“เมืองที่พระยาห์เวห์ทรงเลือกจากเผ่าทั้งหมดของอิสราเอล” (the city that the Lord had chosen out of all the tribes of Israel) -9:3;สดด.132:13

14:22   “ยูดาห์ทำชั่วในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์” (Judah did what was evil in the sight of the Lord) –2พศด.11-13, เริ่มแรกปุโรหิต/เลวีที่อพยพมาจากทางเหนือนำประชาชนให้ตามแบบอย่างดาวิด และ      ซาโลมอนในช่วง 3 ปีแรกของเรโหโบอัม (12:24;2พศด.11:17) แต่ภายหลังเรโหโบอัม และชาวยูดาห์      หันหลังให้พระเจ้า (2พศด.12:1)

14:23   “ปูชนียสถานสูง” (high places) = สถานบูชาบนที่สูง -3:2

“เสาศักดิ์สิทธิ์” (pillars) = เสาหินที่มีความสำคัญทางศาสนาจะตั้งไว้ข้างแท่นบูชา เป็นธรรมเนียมปฏิบัติในหมู่คนคานาอัน และเป็นข้อห้ามชัดเจนสำหรับชาวอิสราเอลตามบัญญัติของโมเสส (อพย.23:24; ลนต.26:1;ฉธบ.16:21-22) เสาเหล่านี้อาจใช้เป็นตัวแทนของเทพเจ้า (2พกษ.3:21

-ในพระคัมภีร์มีการกล่าวถึงการใช้เสาหินอย่างถูกต้องด้วย (ปฐก.28:18;31:45;อพย.24:4)

14:24   “เทวทาส” (male cult prostitutes) = โสเภณีชายประจำสถานบูชา

-การใช้โสเภณีในพิธีกรรมเป็นลักษณะเด่นของศาสนาแห่งความอุดมสมบูรณ์ของชาวคานาอัน โมเสสเตือนชาวอิสราเอลไม่ให้ประพฤติเช่นนั้น –ฉธบ.23:17-15;1พกษ.15:12;2พกษ.23:7;ฮชย.4:14

14:25   “ปีที่ 5 แห่งกษัตริย์เรโหโบอัม” (fifth year of King Rehoboam) = ปี 926 ก.ค.ศ

“ชิชักกษัตริย์อียิปต์” (Shishak king of Egypt) –3:1;11:40

“ขึ้นมารบกับกรุงเยรูซาเล็ม” (came up against Jerusalem) –การรุกรานของชิชักมีรายละเอียดอยู่ใน    2พศด.12:2-4 และมีการยืนยันด้วยการจารึกถึงชัยชนะบนกำแพงในวิหารของอามุน ที่เธเบส (ซึ่งมีรายชื่อเมืองกว่า 15 แห่งที่ชิชักปล้นสะดมในยูดาห์ และอิสราเอล

-ใน 2 พศด.12:5-8, ระบุถึงความกลัวการรุกรานที่กำลังจะมาถึงทำให้เกิดการกลับใจแบบชั่วคราวในยูดาห์

14:26   “โล่ทองคำทั้งหมดที่ซาโลมอนทรงสร้างไว้” (the shields of gold that Solomon had made) -10:16

14:27   “โล่ทองสัมฤทธิ์” (shields of bronze) –เรโหโบอัมสูญเสียโล่ทองคำจึงสร้างโล่ทองสัมฤทธิ์ขึ้นมาทดแทน

บ่งบอกว่า เป็นความตกต่ำลงนับจากสมัยของซาโลมอนเป็นต้นมา (10:21,23,27)

14:30   “มีสงคราม…ตลอดรัชสมัย” (was war …continually) = มีสงครามรบพุ่งกันไม่ขาด –ข.19;12:24

14:31   “ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ” (slept with his fathers ) -1:21

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยมีคนที่คุณรักล้มป่วยลงจนน่าวิตกกังวลบ้างหรือไม่?   เป็นใคร?  เป็นอะไร?  แล้วคุณจัดการอย่างไร? ผลเป็นอย่างไร?
  2. คุณเคยต้องแอบปลอมตัวเพื่อทำบางสิ่งบางอย่างบ้างหรือไม่?  ในเรื่องอะไร?  และทำไมต้องทำเช่นนั้น? แล้วผลเป็นอย่างไร?
  3. คุณเคยได้รับการเปิดเผยหรือสำแดงในเรื่องอะไรจากพระเจ้าบ้างหรือไม่?  อย่างไร?
  4. คุณเคยคาดหวังทางออกหรือทางรอดในบางเรื่อง แต่สุดท้ายกลับผิดหวังและสิ้นหวังในเรื่องนั้น ๆ บ้างหรือไม่? และเรื่องนั้นส่งผลอะไรต่อคุณบ้าง?
  5. คุณเคยเห็นการลงโทษของพระเจ้าต่อบุคคลใด กลุ่มใด หรือชนชาติใด บ้างหรือไม่? เพราะอะไร? และสิ่งนั้นสอนอะไรคุณบ้าง?
  6. คุณได้เรียนรู้บทเรียนอะไรบ้างจากการที่คนอิสราเอลและคนยูดาห์สู้รบกันเองตลอดเวลายาวนาน?
  7. คุณคิดว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้คนอิสราเอลและคนยูดาห์ที่เป็นชนชาติที่พระเจ้าเลือกจึงทำบาปชั่วได้ตลอดมา? แล้วคุณเองมีอะไรที่แตกต่างจากพวกเขาบ้าง?
  8. คุณได้รับบทเรียนอะไรบ้างจากการที่ชิชักกษัตริย์อียิปต์บุกขึ้นมาโจมตีเยรูซาเล็มและนำเอาโล่ทองคำทั้งหมดที่ซาโลมอนสร้างขึ้นไป?

ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

 

Categories
บทความแปล

สู่ชีวิตหลังความตายด้วยความมั่นใจ

To eternity

เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา (โรม 6:23)

นักบวชในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองเล่าให้ฟังถึงทหารหนุ่มคนหนึ่งที่ท่านได้พบ หลังการสู้รบที่ดุเดือดผ่านไป ทหารหนุ่มคนนั้นบาดเจ็บสาหัส และกำลังจะจากไป ทหารคนนั้นมองไปที่นักบวชด้วยน้ำตานองหน้าถามว่า “ท่านครับ ผมจะรอดมั้ย?”

นักบวชรู้ว่าไม่มีหวัง แต่ไม่รู้จะปลอบอย่างไร จึงพูดกับทหารนั้นว่า “ลูกเอ๋ย ลูกเชื่อในพระเยซูคริสต์หรือเปล่า?” เขาตอบว่า “เชื่อครับ วันที่ผมมาเป็นคริสเตียนเป็นวันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต”

นักบวชท่านนั้นมองตรงไปที่ทหารหนุ่มพูดว่า “ถ้าเช่นนั้น ลูกจะมีชีวิตต่อไป”

จนกว่าพระเยซูคริสต์เสด็จกลับมา แต่ละวันของเราจะนำเราสู่เส้นทางจากชีวิตนี้สู่ชีวิตหน้า และในวันนั้นไม่สำคัญว่าคุณมีเงินทองเท่าไร ทำงานเก่งแค่ไหน หรือมาจากครอบครัวใด สิ่งสำคัญที่สุดคือคุณตอบรับหรือตอบปฏิเสธต่อคำเชิญชวนของพระเยซูคริสต์

ปลายทางนิรันดรขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเลือกของคุณ ไม่เพียงแต่คุณเท่านั้น แต่ทุกคนที่คุณรู้จักและรัก อย่าปล่อยให้อีกวันผ่านไปโดยพลาดไปจากหนทางนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ สรรเสริญและขอบพระคุณพระเจ้าที่พระเยซูลงมาตายแทนคุณ ทรงแบกรับเอาโทษบาปไปจากคุณแล้ว และทรงประทานชีวิตนิรันดร์ให้โดยทางความเชื่อในพระองค์ เมื่อคุณทำเช่นนั้นแล้ว คุณก็จะก้าวเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ด้วยความมั่นใจ !

ก้าวสู่ชีวิตนิรันดร์ด้วยความมั่นใจ โดยรับเอาพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากโทษบาป วางใจและวางชีวิตคุณไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์

อนุญาตโดย : Pastor Jack Graham

Jack Graham Power Point Ministry : www.powerpoint.org

Categories
บทความแปล

กล้าเสี่ยง

first step

แต่ทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้สั่งฟีลิปว่า “จงลุกขึ้น ไปยังทิศใต้ตามทางที่ลงไปจากกรุงเยรูซาเล็มถึงเมืองกาซา” (ซึ่งเป็นทางเปล่าเปลี่ยว) – กิจการ 8:26

เมื่อฟีลิปถูกสั่งให้ “จงลุกขึ้น ไปยังทิศใต้ตามทางที่ลงไปจากกรุงเยรูซาเล็มถึงเมืองกาซา” (กิจการ 8:26) คงง่ายที่จะแย้ง ท่านกำลังทำพันธกิจที่เกิดผลอยู่ในสะมาเรีย แต่พระเจ้ากลับสั่งให้ไปยังที่เปลี่ยว มันไม่สมเหตุผลเลย แต่สิ่งที่ฟีลิปทำคือเชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า

พระเจ้าทรงเตรียมทั้งผู้ฟังและผู้พูดสำหรับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น พระองค์เตรียมบุรุษท่านหนึ่งจากเอธิโอเปียเดินทางไปเยรูซาเล็ม cและไม่พบในสิ่งที่แสวงหา และพระองค์ทรงเตรียมฟีลิปให้ไปในทะเลทรายที่เปลี่ยวเมื่อบุรุษท่านนั้นมาถึง

พระเจ้าไม่ได้ให้รายละเอียดถึงแผนการที่ต้องการให้เราทำเสมอไป แต่จะขอให้เรากล้าก้าวไปในความเชื่อ และมีความเสี่ยงอยู่ด้วย คำถามคือ คุณเต็มใจจะเชื่อฟังหรือไม่? ทางของพระเจ้าจะเปลี่ยนเป็นเรียบง่ายทันทีที่เรากล้าเดินไป ความกล้าจะเปิดเผยความจริงของสิ่งที่ยังไม่เปิดเผย

บางทีพระเจ้ากำลังให้คุณก้าวแรกออกไปก่อนจะเปิดเผยให้เห็นก้าวที่สอง คุณเต็มใจจะเสี่ยงมั้ย? ถ้าคุณตอบว่า “ไม่ ไม่ดีกว่า” พระเจ้าก็จะไปหาคนอื่นที่กล้าก้าวออกไปแทน แต่จะดีกว่ามั้ยถ้าเป็นคุณ?

หลายครั้งพระเจ้าทรงเปิดโอกาสให้ผมแบ่งปันพระกิตติคุณขณะที่กำลังทำภารกิจประจำวัน แต่ผมจะถูกกระตุ้นโดยพระวิญญาณ แล้วพระอง์จะแสดงให้เห็นขั้นต่อไป แล้วผมก็ก้าวตามไป —แล้วก็ก้าวตามไป

ถ้าคุณต้องการแบ่งปันข่าวประเสริฐ คุณจำต้องกล้าเปิดตัวและเชื่อฟังการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์

อนุญาตโดย: Pastor Greg Laurie

Harvest Ministries with Greg Laurie

P.O. Box 4000, Riverside CA

Categories
สารจากศบ.

สารจากศิษยาภิบาล

ImageHandler

1 ธันวาคม 2013

สวัสดีครับ

ขอพระเจ้าทรงอวยพระพรทุกท่านที่มา CJ ในวันนี้

พระเจ้ากำลังกระทำกิจยิ่งใหญ่ในประเทศไทยในหลายช่องทาง โดยที่คริสตจักรแห่งความสุข (Church of Joy) หรือ CJ” ของเราเป็นเพียงแค่ส่วนเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งในแผนการอันเลิศล้ำของพระเจ้าสำหรับประเทศไทย

ทำไมคริสตจักรของเราซึ่งเป็นคริสตจักรเล็ก ๆ จึงเป็นพรต่อแผ่นดินไทยได้อย่างมากมาย ก็เพราะว่าเรามีผู้นำและสมาชิกที่มีคุณภาพ และมีใจร้อนรนเพื่อพระเจ้า!

ผมภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว CJ นี้ แล้วคุณล่ะ?

ผมขอเชิญชวนพี่น้อง CJ เข้าร่วมกิจกรรมที่ CJ ของเรากำลังกระทำ เพราะผมเชื่อว่าจะเป็นพรต่อตัวของสมาชิกและคนส่วนใหญ่

รายการที่ขอเชิญชวนให้ร่วมอย่างจริงจัง คือ

  1. การนมัสการพระเจ้าและการศึกษาพระคัมภีร์วันอาทิตย์ – ขอให้ทุกท่านมาร่วมประชุมอย่างต่อเนื่อง (อาทิตย์ใดผมมาเทศนาผมจะสอนพระคัมภีร์ในช่วง 9.15-10.15 น.)
  2. การศึกษาพระคัมภีร์วันพฤหัส –ขอหนุนใจให้พี่น้องมาเรียนพระคัมภีร์ทุกวันพฤหัสเย็น

18.00 – 19.00 น. –อาหารเย็น

19.00 – 19.30 น. – สามัคคีธรรม (เพลงและอธิษฐาน)

19.30 – 21. 00 น. – ศึกษาพระคัมภีร์ “2 พงศ์กษัตริย์”

ไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับผู้ที่ต้องการเรียนพระคัมภีร์

และกิจกรรมพิเศษอื่น ๆ อาทิคริสตมาส CJ วันอาทิตย์ที่ 22 ธ.ค. เวลา 17.00 น.  ณ  โรงเรียนนานาชาติตรีนิตี้ สุขุมวิท ซอย 36  สมาชิกพาเพื่อนที่สนใจพระเจ้ามาร่วมได้คนละ 1-2 คน!

วันนี้ขอขอบคุณ อ.นิกร ที่ได้มาแบ่งปันพระวจนะของพระเจ้า

ขอพระเจ้าทรงนำให้ทุกท่านนมัสการพระเจ้าด้วยความสุขใจ!

ด้วยรักจากใจจริง

(ธงชัย ประดับชนานุรัตน์) ศิษยาภิบาล

 

 

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

หลักการของการเผชิญหน้า (The Confrontation Principle)

Confrontation

“การห่วงใยในคนอื่นควรนำหน้าการเผชิญหน้ากับบุคคลคนนั้น!”

(Caring For People Should Precede Confronting People.)

 

จอห์น แม็กซ์เวลล์ กล่าวไว้ว่า …

“ความขัดแย้งเป็นดุจมะเร็ง การตรวจพบแต่เนิ่น ๆ จะเพิ่มความเป็นไปได้ในการรักษาและก่อเกิดสุขภาพที่ดี!” (Conflict is like cancer; early defection increases the possibility of a healthy outcome.)

ความจริงที่เราควรรู้เกี่ยวกับ “ความขัดแย้ง” ก็คือ

  1. ความขัดแย้งเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ (Conflict is Unavoidable.)
  2. การเผชิญหน้ากับความขัดแย้งเป็นเรื่องยาก (Confrontation is Difficult)
  3. วิธีที่เราใช้จัดการกับความขัดแย้งเป็นตัวกำหนดความสำเร็จของเราในสถานการณ์ยากลำบาก(How We Handle Conflict Determines Our Success in Tough Situations.)

วิธีที่คนเรามักใช้จัดการกับความขัดแย้งมีหลากหลาย  อาทิ

1)       วิธีชนะเท่านั้น เท่าไรไม่ว่า =แพงเท่าไรไม่ว่า ต้องเป็นฝ่ายชนะเท่านั้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะโหดร้ายและต้องทำลายอีกฝ่ายหนึ่ง

2)       วิธีเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ = เพิกเฉยกับปัญหาและความขัดแย้งราวกับว่า มันไม่เคยเกิด ไม่เคยมีหรือซุกไว้ใต้พรมเพื่อหลอกตัวเอง

3)       วิธีบ่นว่า  = วิธีนี้ไม่ได้ช่วยให้ตัวเองชนะ แต่ทำให้คนอื่น ๆ รำคาญ และไม่ได้แก้ปัญหาความขัดแย้งใด ๆ

4)       วิธีแก้แค้น หรือจดจำความผิด = วิธีนี้ไม่ทำให้ชีวิตสามารถเริ่มต้นความสดใหม่หรือความสดใสได้อีกครั้ง

5)       วิธีใช้อำนาจจัดการ = วิธีนี้ ไม่ได้แก้ปัญหาความขัดแย้งจริง ๆ เพียงแค่กดไว้ หรือเลื่อนเวลาในการจัดการกับมันออกไปหรือรอเวลาปะทุขึ้นมาใหม่

6)       วิธียกธงขาว = ยอมแพ้ เลิก ลาออกและจากไป เป็นวิธีแก้ปัญหาแบบถาวรกับปัญหาที่ชั่วคราว

จะสังเกตได้ว่า ไม่มีวิธีใดข้างต้นที่จะช่วยให้ “บุคคลนั้น” สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยวิถีที่สร้างสรรค์ที่จะก่อเกิดผลดีโดยรวมเลย

วิถีในการเผชิญหน้ากันอย่างสร้างสรรค์

1.       จงเผชิญหน้ากับบุคคลนั้น ก็ต่อเมื่อคุณห่วงใยบุคคลนั้นจริง ๆ เท่านั้น

-การเผชิญหน้ากันเพื่อเอาชนะกันหรือเรียกร้องให้อีกฝ่ายเป็นฝ่ายผิด คงไม่ใช่บรรยากาศที่เหมาะกับการปรับความเข้าใจหรือแก้ไขความขัดแย้ง

-เราต้องส่งเสริมบรรยากาศที่แต่ละฝ่ายคิดเหมือนกันนั่นคือ ให้ชนะกันทั้ง 2 ฝ่าย (หรืออย่างน้อยก็ขอให้อีกฝ่ายหนึ่งชนะไปก่อน)

2.        จงพบปะกันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้(เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้น)  -ปกติเมื่อเกิดความขัดแย้ง คนเรามักเลือกวิธีหลีกเลี่ยง เลื่อนการจัดการกับมันออกไป หรือขอให้  คนอื่นแก้ไขปัญหาแทนเรา แต่วิธีเหล่านั้นมีแต่ทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลง! อย่าให้เราหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบหรือเรียกหาแค่บรรยากาศที่สะดวกสบายในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง แต่เราควรรีบพบปะกันในทันทีแบบหน้าต่อหน้า (อย่าผ่านทางอื่น)

3.   จงแสวงหาความเข้าใจกัน โดยไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกัน   มีคำเตือนสติว่า …“คนที่แสดงความคิดเห็นก่อนที่เขาเข้าใจ เป็นคนปกติ แต่คนที่ประกาศคำตัดสินก่อนที่เขาเข้าใจ เป็นคนเขลา!” (The Person who gives an opinion before he understands is human, but the person who gives a judgment before he understands is a fool.)

ชาร์ล เอฟ เคทเธอริง   เคยกล่าวว่า… “มีความแตกต่างกันอย่างใหญ่หลวง ระหว่าง การรู้และการเข้าใจคุณอาจรู้มากมายเกี่ยวกับบางสิ่งแต่คุณไม่เข้าใจในสิ่งนั้นจริง ๆ เลย!” (There is a great difference between knowing and understanding; you can know a lot about something and not really understand.)

4.        จงคิดถึงโครงเรื่องของสิ่งที่จะคุยกัน

1) จงบอกถึงการรับรู้ของคุณ (โดยไม่ด่วนสรุปหรือตัดสินแรงจูงใจของอีกฝ่ายหนึ่ง –เพียงแต่บอกว่า คุณเห็นอะไร และพรรณนาถึงปัญหาที่คุณคิดว่า มันจะก่อขึ้น)

 2)   จงบอกว่า สิ่งนี้ทำให้คุณรู้สึกอย่างไร? -พูดความรู้สึกออกมาให้ชัดเจน (ไม่ว่าจะโกรธหรือเศร้า) โดยไม่จำเป็นต้องกล่าวหาหรือตัดสินกันก่อน

3)  จงอธิบายว่า ทำไมสิ่งนี้จึงสำคัญต่อคุณ ขอให้ทุกขั้นตอนนี้กระทำโดยปราศจากการใช้อารมณ์รุนแรงหรือความขมขื่นผ่านคำพูดใด ๆ

5.        จงหนุนใจให้เกิดการสนองตอบ -อย่าเผชิญหน้ากันโดยไม่ยอมให้อีกฝ่ายหนึ่งได้ตอบสนอง ถ้าคุณใส่ใจหรือห่วงใยในคนนั้นจริง ๆ

คุณจะต้องการฟังเขาพูดให้จบอย่างตั้งใจ แต่จงระวัง เพราะว่า -บ่อยครั้งในขณะที่เราคิดว่าคนอื่นคือตัวปัญหา แต่แท้จริงแล้วตัวเราเองนั่นต่างหากที่เป็นตัวปัญหา!

-การหนุนใจอีกฝ่ายหนึ่งให้สนองตอบอย่างจริงใจ จะช่วยให้เราเข้าใจปัญหาได้ดีขึ้น

6.  จงตกลงในแผนการปฏิบัติร่วมกัน   -คนส่วนใหญ่เกลียดการเผชิญหน้า แต่รักการแก้ปัญหาด้วยความรัก วิธีเดียวที่จะแก้ปัญหาได้คือ เลือกหาการปฏิบัติเชิงบวก โดยร่วมกันพัฒนา และตกลงร่วมกันในแผนนั้นต้องเน้นไปที่อนาคต ไม่ใช่จดจ่ออยู่กับอดีต

แผนการปฏิบัติการที่ดีควรครอบคลุมหัวข้อเหล่านี้

1)       นิยามประเด็นปัญหาให้ชัดเจน

2)       ตกลงว่าจะแก้ประเด็นปัญหานั้น

3)       ชัดเจนในขั้นตอนที่แสดงออกถึงปัญหาที่ได้รับการแก้ไข

4)       กำหนดสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ เช่น กรอบเวลาและบุคคลที่รับผิดชอบ

5)       เส้นตายสำหรับการทำให้เสร็จเรียบร้อย

6)       การอุทิศตนของทั้ง 2 ฝ่ายที่จะร่วมกันแก้ประเด็นปัญหาในอดีตนั้นให้หมดสิ้นไป

ขอย้ำอีกครั้งว่า หากเราทุกคนที่เกี่ยวข้องรีบช่วยกันแก้ไขปัญหาขัดแย้งที่มีด้วยความรักความห่วงใยในคู่กรณีพร้อมให้อภัย ควบคู่ไปกับความจริงและความจริงใจ โดยเห็นแก่พระเจ้า ผลที่จะตามมาก็คือ ความสุขความยินดี และพระพรจากพระเจ้าที่พร้อมจะเทลงมาสำหรับบรรดาผู้ที่ยำเกรงพระองค์!

 “เหนือ​สิ่ง​อื่นใด​ก็​คือ จง​รัก​กัน​และ​กัน​ให้​มาก เพราะ​ความ​รัก​ให้​อภัย​บาป​มากมาย​ได้” (1เปโตร 4:8)

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

Categories
บทความแปล

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับประเทศของเรา

global_christianity_1152620065_856205

พระเจ้าทรงครอบครอง จงให้แผ่นดินโลกเปรมปรีดิ์  ให้แผ่นดินชายทะเลมากมายนั้นยินดี (สดุดี 97:1)

หลายปีมาแล้ว ผมได้ยินคนออกแถลงการณ์ว่าศาสนาคริสต์จะหมดไปจากโลกในปี 2000 ถึงจะมีความจริงว่าผู้ที่อ้างตนเป็นผู้เชื่อตามที่ต่างๆทั่วโลกจะห่างหายไป แต่ที่น่าทึ่งยุคหลังๆนี้คริสตจักรทั่วโลกกลับเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

ตัวอย่างเช่นในประเทศจีน มีตัวเลขสำรวจเฉลี่ยแล้วราว 20,000 คนในแต่ละวันที่เข้ามาเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดบาป ในอัฟริกา คริสตจักรท้องถิ่นแต่ละที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับอเมริกาใต้ และทั่วทวีปเอเซีย พื้นที่เหล่านี้ หรือที่เรียกกันว่าโลกด้านใต้ กำลังตอบสนองต่อพระกิตติคุณกันอย่างตื่นเต้น

สิ่งเหล่านี้บอกอะไรเรา? บอกว่าผู้คนที่อยู่โลกด้านบนมีหน้าที่ๆต้องช่วยเหลือสนับสนุนการแพร่ขยายของข่าวประเสริฐไปสู่ที่ต่างๆให้ครอบคลุมทั่วโลก  และพวกเขาควรเปิดใจเรียนรู้จักพี่น้องในพระคริสต์ตามที่ต่างๆทั่วโลกโดยไม่หวงหรือคิดว่าพระกิตติคุณมีไว้สำหรับบางพื้นที่เท่านั้น

เป็นเวลาดีที่จะขอบคุณพระเจ้าสำหรับประเทศของเราในเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้านี้ และอย่าลืมว่าพระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก จงมีส่วนในการแบ่งปันพระกิตติคุณออกสู่ทั่วโลกด้วยการอธิษฐาน ถวายทรัพย์สนับสนุนผ่านหน่วยงานและองค์กรต่างๆเพื่อให้พระนามของพระเจ้าเป็นที่รู้จักในท่ามกลางประชาขาติ

จงสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้กับคริสเตียนทั่วโลกในพระกายของพระคริสต์ด้วยการอธิษฐาน ถวายทรัพย์ และสนับสนุนการงานของพระเจ้าให้แพร่ขยายออกไป

อนุญาตโดย : Pastor Jack Graham

Jack Graham Power Point Ministry: www.powerpoint.org

วันนี้คุณอธิษฐานขอบคุณพระเจ้าสำหรับประเทศไทยหรือยัง?