Categories
บทความแปล

ความกล้าอีกแบบ

brave mouse

ท่านทั้งหลายจงระมัดระวัง จงมั่นคงในความเชื่อของท่าน จงเป็นลูกผู้ชายแท้ จงเข้มแข็ง (1โครินธ์ 16:13)

อะไรคือความกล้า? มีคนนิยามความกล้าว่ามีใจกล้าหาญ และยังมีการนิยามด้วยว่าคือความกลัวในคำอธิษฐาน มาร์ค ทเวน กล่าวว่า “ความกล้าเป็นเจ้านายของความกลัว ไม่ใช่ความกลัวหายไป” คนที่มีความกล้าไม่ใช่คนที่ไม่มีความกลัว (เพราะนั่นคือคนโง่) คนกล้าคือบางคนที่สามารถควบคุมความกลัวของตนเองได้ และทำในสิ่งที่ถูกต้อง คือเอาชนะความกลัวตามธรรมชาติของเรา

แน่นอนเรามองเห็นความกล้าที่แสดงออกจากคนที่ต้องตอบสนองเป็นพวกแรก ทหารกล้าปฏิบัติหน้าที่รับใช้ชาติแสดงความกล้าให้เราเห็นอยู่ทุกวัน  เราอ่านเจอเป็นระยะๆถึงการกระทำเยี่ยงวีรบุรุษ ผมน่าจะอ่านถึงพวกเขาให้มากขึ้น เพราะพวกเขาแสดงความกล้าอยู่ตลอดเวลา

แต่ยังมีความกล้าในแบบอื่นอีกด้วย ความกล้าด้านศีลธรรม จริยธรรม ซึ่งก็คือความสามารถทำสิ่งที่ถูกต้องต่อหน้าการต่อต้านหรือความท้อใจ มีความกล้าด้านศีลธรรมคือคนที่ซื่อสัตย์ หมายถึงโปร่งใส ตรวจสอบได้  ไม่โกงข้อสอบ ไม่โกงภาษี ซื่อสัตย์ต่อสามีหรือภรรยา ความกล้าด้านศีลธรรมคือซื่อสัตย์ต่อคำสาบานที่ให้ไว้ในพิธีสมรส  “ไม่ว่าจะดีขึ้น หรือเลวลง ร่ำรวย หรือยากจน เจ็บป่วย หรือสุขภาพดี จะรัก และทนุถนอม…”

และการติดตามพระเยซูคริสต์ต้องใช้ความกล้า เรากำลังอยู่ในโลกที่ “อะไรก็ได้เว้นแต่พระเยซู” ผู้คนยอมรับสิ่งที่คุณเชื่อ จนคุณพูดว่า “ฉันเชื่อในพระเยซูคริสต์ เชื่อในพระคัมภีร์ ว่าเป็นพระวจนะที่มาจากพระเจ้า” ดีที่สุดที่คุณเป็นได้คือ บุคคลที่ไม่พึงปรารถนา ร้ายที่สุดคือศัตรูสาธารณะอันดับหนึ่ง ต้องใช้ความกล้ายืนหยัดเพื่อพระเยซู ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เราจำเป็นต้องมีความกล้าด้านศีลธรรมให้มากขึ้น ในทุกๆวัน

อนุญาตโดย: Pastor Greg Laurie

Harvest Ministries with Greg Laurie

P.O. Box 4000, Riverside CA

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ (บทเรียนที่ 19)

ศึกสายเลือด!

 

พระธรรม        1พงศ์กษัตริย์ 15:1-34

อ้างอิง             1พกษ.14:10;11:3;14:24;2ซมอ.11:1-27;2พศด.13:3-21;15:8-15

บทนำ               เมื่อใดที่คนในชาติหรือในครอบครัวขัดแย้งและสู้รบกันเอง ที่นั่นมีแต่หายนะและความเจ็บปวด!

และสาเหตุที่ทำให้เกิดการฟาดฟันหรือกัดและกินเนื้อซึ่งกันและกันนั้นมักจะมาจากความบาปแห่งการไม่เชื่อฟัง  พระบัญญัติแห่งความรักของพระเจ้า!

บทเรียน

15:1 “ในปีที่สิบแปดแห่งรัชกาลเยโรโบอัมบุตรเนบัท อาบียัมทรงครองยูดาห์

           (Now in the eighteenth year of King Jeroboam the son of Nebat, Abijam began to reign over Judah.)

15:2 “พระองค์ทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็มสามปีพระนามของพระราชมารดาคือ มาอาคาห์บุตรหญิงของอาบีชาโลม

       (He reigned for three years in Jerusalem. His mother’s name was Maacah the daughter of Abishalom.)

15:3 “พระองค์ ทรงดำเนินตามบาปทุกอย่าง ซึ่งพระราชบิดาของพระองค์ทรงทำต่อพระพักตร์พระองค์และพระทัยของ​ พระองค์ก็ไม่ภักดีต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของ พระองค์ ไม่เหมือนอย่างพระทัยของดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์

  (And he walked in all the sins that his father did before him, and his heart was not wholly true to the  Lord his God, as the heart of David his father. )

15:4 “อย่างไรก็ดี เพราะเห็นแก่ดาวิด พระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์ได้ประทานประทีปอันหนึ่งแก่ อาบียัมในกรุงเยรูซาเล็ม คือทรงตั้งพระราชโอรสแทน และทรงสถาปนากรุงเยรูซาเล็ม

(Nevertheless, for David’s sake the Lord his God gave him a lamp in Jerusalem, setting up his son  after him, and establishing Jerusalem, )

15:5 “เพราะว่าดาวิดทรงทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ และไม่ได้หันไปจากสิ่งใด ซึ่งพระเจ้าทรงบัญชา​ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ นอกจากเรื่องอุรียาห์คนฮิตไทต์

 (because David did what was right in the eyes of the Lord and did not turn aside from anything that he commanded him all the days of his life, except in the matter of Uriah the Hittite. )

15:6 “มีสงครามระหว่างเรโหโบอัมกับเยโรโบอัม ตลอดพระชนม์ชีพของอาบียัม

        (Now there was war between Rehoboam and Jeroboam all the days of his life. )

15:7 “พระราชกิจอื่นๆ ของอาบียัม และทุกสิ่งที่ทรงทำ ได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์ไม่ใช่หรือ?และมีสงครามระหว่างอาบียัมและเยโรโบอัม

       (The rest of the acts of Abijam and all that he did, are they not written in the Book of the Chronicles  of the Kings of Judah? And there was war between Abijam and Jeroboam. )

15:8 “อาบียัมก็ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาได้ฝังพระศพของพระองค์ไว้ในนครดาวิด และอาสา​พระราชโอรสของพระองค์ก็ขึ้นครองราชย์แทน

(And Abijam slept with his fathers, and they buried him in the city of David. And Asa his son reigned   in his place. )

15:9 “ในปีที่ยี่สิบแห่งรัชกาลเยโรโบอัมพระราชาแห่งอิสราเอล อาสาได้ขึ้นครองราชย์เป็นพระราชาแห่งยูดาห์

        (In the twentieth year of Jeroboam king of Israel, Asa began to reign over Judah, )

15:10 “และทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็ม 41 ปี พระอัยกีของพระองค์มีพระนามว่ามาอาคาห์บุตรหญิงของอาบีชาโลม

       (and he reigned forty-one years in Jerusalem. His mother’s name was Maacah the daughter of  Abishalom.)

15:11 “อาสาทรงทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ เหมือนอย่างดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์

        (And Asa did what was right in the eyes of the Lord, as David his father had done. )

15:12 “พระองค์ทรงกวาดล้างพวกเทวทาสเสียจากแผ่นดิน และรื้อถอนรูปเคารพทั้งสิ้น ซึ่งบรรพบุรุษของพระองค์ทำไว้

         (He put away the male cult prostitutes out of the land and removed all the idols that his fathers   had made.)

15:13 “และพระองค์ทรงถอดมาอาคาห์พระอัยกีจากตำแหน่งพระราชชนนี เพราะพระนางทำรูปเคารพน่าเกลียดน่าชังเพื่อ​พระอาเช-ราห์ และอาสาทรงทำลายรูปเคารพของพระนาง และทรงเผาเสียที่ลำธารขิดโรน

  (He also removed Maacah his mother from being queen mother because she had made an abominable image for Asherah. And Asa cut down her image and burned it at the brook Kidron. )

15:14 “แต่ปูชนียสถานสูงต่างๆ ยังไม่ได้ถูกกำจัด ถึงอย่างนั้น พระทัยของอาสาก็ภักดีต่อพระยาห์เวห์ตลอดรัชสมัยของ​พระองค์

  (But the high places were not taken away. Nevertheless, the heart of Asa was wholly true to the  Lord all his days. )

15:15 “พระองค์ทรงนำของที่พระราชบิดาของพระองค์ และของที่พระองค์เองทรงอุทิศถวาย เข้าไปในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ได้แก่ เงิน ทองคำ และเครื่องใช้ต่าง ๆ

  (And he brought into the house of the Lord the sacred gifts of his father and his own sacred  gifts, silver, and gold, and vessels. )

15:16 “มีสงครามระหว่างอาสากับบาอาชาพระราชาแห่งอิสราเอล ตลอดสมัยของพระองค์ทั้งสอง

         (And there was war between Asa and Baasha king of Israel all their days. )

15:17 “บาอาชา พระราชาแห่งอิสราเอลได้ทรงขึ้นมาต่อสู้กับยูดาห์ และได้สร้างเมืองรามาห์ เพื่อไม่ให้ใครเข้าไปเฝ้าหรือ​ออกมาจากอาสาพระราชาแห่งยูดาห์

    (Baasha king of Israel went up against Judah and built Ramah, that he might permit no one to go out or come in to Asa king of Judah. )

15:18 “แล้วอาสาทรงเอาเงินและทองคำทั้งหมด ซึ่งเหลืออยู่ในคลังแห่งพระนิเวศของพระยาห์เวห์และในคลังแห่งพระราช‍วังของพระราชา มอบไว้ในมือของข้าราชการของพระองค์ และกษัตริย์อาสาทรงใช้พวกเขาไปเฝ้าเบนฮาดัด​ พระราชโอรสของทับริมโมน ผู้เป็นพระราชโอรสของเฮซีโอนกษัตริย์แห่งซีเรีย ผู้ประทับในเมืองดามัสกัส ทูลว่า

(Then Asa took all the silver and the gold that were left in the treasures of the house of the Lord and the treasures of the king’s house and gave them into the hands of his servants. And King Asa sent them to Ben-hadad the son of Tabrimmon, the son of Hezion, king of Syria, who lived In Damascus, saying, )

15:19 “ขอให้มีสนธิสัญญาระหว่างข้าพเจ้ากับท่าน ดังที่มีอยู่ระหว่างพระราชบิดาของข้าพเจ้าและของท่าน นี่แน่ะข้าพเจ้า​ ส่งบรรณาการเป็นเงินและทองคำมายังท่าน ขอท่านจงไปยกเลิกสนธิสัญญาของท่านที่มีกับบาอาชาพระราชา แห่งอิสราเอลเสีย เพื่อเขาจะถอยทัพไปจากข้าพเจ้า

   (“Let there be a covenant between me and you, as there was between my father and your father.   Behold, I am sending to you a present of silver and gold. Go, break your covenant with Baasha  king of Israel, that he may withdraw from me.” )

15:20 “แล้วเบนฮาดัดก็ทรงฟังกษัตริย์อาสา และส่งบรรดาผู้บัญชาการกองทัพของพระองค์ไปสู้กับเมืองต่างๆ ของ​ อิสราเอล และเขาได้โจมตีเมืองอิโยน เมืองดาน เมืองอาเบลเบธมาอาคาห์ และดินแดนคินเนโรททั้งหมด และดิน แดนนัฟทาลีทั้งหมด

 (And Ben-hadad listened to King Asa and sent the commanders of his armies against the cities of Israel and conquered Ijon,Dan,Abel-beth-maacah, and all Chinneroth, with all the land of Naphtali.)

15:21 “เมื่อบาอาชาทรงทราบเรื่อง พระองค์ก็ทรงหยุดสร้างเมืองรามาห์ และพระองค์ประทับที่เมืองทีรซาห์

         (And when Baasha heard of it, he stopped building Ramah, and he lived in Tirzah.)

15:22 “แล้วกษัตริย์อาสาทรงประกาศไปทั่วยูดาห์ ไม่ยกเว้นใครเลย และเขาทั้งหลายขนหินของเมืองรามาห์และไม้ของ​เมืองนั้นซึ่งบาอาชาทรงใช้สร้างอยู่นั้น กษัตริย์อาสาก็ทรงเอามาสร้างเมืองเกบาแห่งเบนยามินและเมืองมิสปาห์

  (Then King Asa made a proclamation to all Judah, none was exempt, and they carried away the  stones of Ramah and its timber, with which Baasha had been building, and with them King Asa  built Geba of Benjamin and Mizpah. )

15:23 “พระราชกิจ อื่นๆ ทั้งหมดของอาสา รวมทั้งพระราชอำนาจทั้งสิ้นของพระองค์ และทุกสิ่งซึ่งทรงกระทำและเมือง​ต่างๆ ซึ่งพระองค์ทรงสร้าง ได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์ไม่ใช่หรือ? แต่เมื่อทรงพระชราแล้ว ก็เกิดพระโรคขึ้นที่พระบาท

  (Now the rest of all the acts of Asa, all his might, and all that he did, and the cities that he built, are they not written in the Book of the Chronicles of the Kings of Judah? But in his old age he was  diseased in his feet. )

15:24 “และอาสาก็ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังพระศพไว้กับบรรพบุรุษของพระองค์ในนคร​ดาวิดบรรพชนของพระองค์ และเยโฮชาฟัทพระราชโอรสของพระองค์ก็ขึ้นครองราชย์แทน

(And Asa slept with his fathers and was buried with his fathers in the city of David his father, and Jehoshaphat his son reigned in his place. )

15:25 “นาดับพระราชโอรสของเยโรโบอัม ทรงครองอิสราเอลในปีที่สองแห่งรัชกาลอาสาพระราชาแห่งยูดาห์ และทรง​ครองอิสราเอลสองปี

(Nadab the son of Jeroboam began to reign over Israel in the second year of Asa king of Judah,  and he reigned over Israel two years. )

15:26 “พระองค์ทรงทำชั่วในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ และทรงดำเนินในทางของพระราชบิดาของพระองค์และใน​บาปซึ่งทรงทำให้อิสราเอลทำบาปด้วย

  (He did what was evil in the sight of the Lord and walked in the way of his father, and in his sin  which he made Israel to sin. )

15:27 “บาอาชาบุตรอาหิยาห์เชื้อสายของยิสสาคาร์คิดกบฏต่อพระองค์และบาอาชาประหารพระองค์เสียที่เมืองกิบเบโธน ซึ่งเป็นของฟีลิสเตีย เพราะนาดับและคนอิสราเอลทั้งสิ้นกำลังล้อมเมืองกิบเบโธนอยู่

(Baasha the son of Ahijah, of the house of Issachar, conspired against him. And Baasha struck him down at Gibbethon, which belonged to the Philistines, for Nadab and all Israel were laying siege to  Gibbethon. )

15:28 “ดังนั้นบาอาชาจึงฆ่าพระองค์เสียในปีที่สามแห่งรัชกาลอาสากษัตริย์แห่งยูดาห์ และขึ้นครองราชย์แทน

   (So Baasha killed him in the third year of Asa king of Judah and reigned in his place. )

15:29 “พอทรงเป็นกษัตริย์ ก็ประหารราชวงศ์ของเยโรโบอัมเสียสิ้น ไม่มีใครรอดมาได้สักคนเดียวเลย พระองค์ทรงทำลาย​เสียสิ้นตามพระดำรัสของพระยาห์เวห์ ซึ่งตรัสโดยผู้รับใช้ของพระองค์คืออาหิยาห์ชาวชีโลห์

(And as soon as he was king, he killed all the house of Jeroboam. He left to the house of Jeroboam   not one that breathed, until he had destroyed it, according to the word of the Lord that he spoke by his servant Ahijah the Shilonite. )

15:30 “เป็นเพราะบาปต่างๆ ของเยโรโบอัมที่ได้ทรงกระทำ และซึ่งพระองค์ได้ทรงทำให้อิสราเอลทำบาปด้วย และเพราะ​พระองค์ทรงทำให้พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลทรง พระพิโรธ

 (It was for the sins of Jeroboam that he sinned and that he made Israel to sin, and because of the  anger to which he provoked the Lord, the God of Israel. )

15:31 “ส่วนพระราชกิจอื่นๆ ของนาดับ และทุกสิ่งซึ่งทรงกระทำ ได้บันทึกในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งอิสราเอลไม่ใช่หรือ?”
(Now the rest of the acts of Nadab and all that he did, are they not written in the Book of the  Chronicles of the Kings of Israel?)

15:32 “มีสงครามระหว่างอาสากับบาอาชาพระราชาแห่งอิสราเอล ตลอดสมัยของทั้งสองพระองค์

           (And there was war between Asa and Baasha king of Israel all their days. )

15:33 “ในปีที่สามแห่งรัชกาลอาสาพระราชาแห่งยูดาห์ บาอาชาบุตรอาหิยาห์ทรงครองอิสราเอลทั้งหมดที่เมืองทีรซาห์ ​ เป็นเวลา 24 ปี”

   (In the third year of Asa king of Judah, Baasha the son of Ahijah began to reign over all Israel at Tirzah, and he reigned twenty-four years. )

15:34 “พระองค์ทรงทำชั่วในสายพระเนตรพระยาห์เวห์ และดำเนินในทางของเยโรโบอัม และในบาปของพระองค์ซึ่งทรงทำให้อิสราเอลทำบาปด้วย

        (He did what was evil in the sight of the Lord and walked in the way of Jeroboam and in his sin  which he made Israel to sin. )

ข้อมูลมีประโยชน์

15:1     “อาบียัม”(Abijam) =เรียกอีกชื่อว่า “อาบียาห์” (14:1) ทั้งเรโหโบอัมและเยโรโบอัมต่างมีบุตรชื่อเดียวกันนี้

“ในปีที่ 18 แห่งรัชกาลเยโรโบอัม” (in the eighteenth year of King Jeroboam) = เป็นครั้งแรกใน 1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ ซึ่งมีการ เชื่อมโยงการครองราชย์ของกษัตริย์ฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ และจะมีการกล่าวถึงเช่นนี้ต่อไปอีกหลายครั้ง (ข.9,25,33;16:8,15,29)

15:2     “3 ปี” (three years) = 913-910 ก.ค.ศ  “มาอาคาห์บุตรหญิงของอาบีซาโลม” (   Maacah the daughter of Abishalom)  – ใน 2พศด.13:2 บอกว่า มารดาของอาบียาห์ เป็นบุตรสาวของอุรีเอลแห่งกิเบอาห์

-เป็นไปได้ว่า แท้จริงมาอาคาห์ เป็นหลานสาวของอับซาโลม และเป็นบุตรสาวที่เกิดจากการแต่งงานของทามาร์ (2ซมอ.14:27) และอุรีเอล – แม่ของอับซาโลมก็มีชื่อ มาอาคาห์ เช่นกัน (2ซมอ.3:3)

15:3     “บาปทุกอย่างของพระราชบิดา” (all the sins that his father   )  -14:22-24

“ไม่ภักดีต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์” ( not wholly true to the Lord his God) = ไม่เหมือนดาวิดที่แม้จะทำบาปร้ายแรง แต่จิตใจของพระองค์ไม่เคยหันเหจากการนมัสการพระเจ้าไปนมัสการพระใด ๆ

15:4     “ประทีปอันหนึ่งแก่อาบียัมในกรุงเยรูซาเล็ม”  (  a lamp in Jerusalem) -11:36

15:7     “พระราชกิจอื่น ๆ ของอาบียัม” (The rest of the acts of Abijam            ) –2พศด.13

“หนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์”( the Book of the Chronicles of the Kings of Judah) -14:29

“สงครามระหว่างอาบียัมและเยโรโบอัม” (war between Abijam and Jeroboam  ) –ปท. ข้อ 6;14:30;2พศด.13

-จะเห็นได้ชัดว่า ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีที่เรื้อรังได้ปะทุกลายเป็นสงครามสู้รบกันอย่างจริงจัง โดยอาบียาห์ได้พิชิตเยโรโบอัม และยึดเมืองไปหลายเมือง รวมถึงเบธเอลด้วย (2พศด.13:19)

15:8     “อาบียัมก็ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ” (Abijam slept with his fathers) -1:21

15:9     “ปีที่ยี่สิบแห่งรัชกาลเยโรโบอัม” (In the twentieth year of Jeroboam) = 910 ก.ค.ศ. (14:20)

15:10   “(อาสา)ครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็ม 41 ปี” (he reigned forty-one years in Jerusalem) =910-869 ก.ค.ศ

“พระอัยกี…มีพระนามว่า มาอาคาห์บุตรหญิงของอาบีซาโลม” (His mother’s name was Maacah the daughter of Abishalom) = เสด็จย่าของพระองค์คือ มาอาคาห์ (ข.2)

15:12   “เทวทาส” (the male cult prostitutes) = โสเภณีชายประจำเทวสถาน (14:24)

“รื้อถอนรูปเคารพทิ้งสิ้น” (removed all the idols) -14:23;ลนต.26:30

15:13   “ถอดมาอาคาห์ พระอัยกีจากตำแหน่งพระราชชนนี” (removed Maacah his mother from being queen mother) = ถอดเสด็จย่า

–2พศด.14:1-15:16 ได้บรรยายความคืบหน้าการปฏิรูปของอาสาหลายปี อาสาทำลายรูปเคารพและแท่นบูชาต่างชาติ ตั้งแต่ช่วงต้นรัชกาล (2พศด.14:2-3)

จากนั้นหลังมีชัยต่อเศราห์ชาวคูช (2พศด.14:8-15) และหลังจากการประชุมเพื่อฟื้นฟูพันธสัญญาในเยรูซาเล็ม ในปี 15 ของรัชกาล (2พศด.15:10) พระองค์ปลดย่าเนื่องจากนับถือรูปเคารพ (2พศด.15:16)

“พระนางทำรูปเคารพน่าเกลียดน่าชังเพื่อพระอาเชราห์” (she had made an abominable image for Asherah) = สร้างเสาเจ้าแม่อาเซราห์อันน่ารังเกียจ -14:15

-มาอาคาห์คงตั้งใจทำเช่นนี้เพื่อประชดประชันการปฏิรูปของอาสา

15:14   “แต่ปูชนียสถานสูงต่าง ๆ ยังไม่ได้ถูกกำจัด” (But the high places were not taken away) –2พศด.

15:17- อ้างถึงสถานบูชาบนที่สูงที่ใช้ในการ (3:2), ใน 2พศด.14:3 อาสารื้อสถานบูชาบนที่สูงซึ่งเป็นศูนย์กลางการนมัสการพระต่างชาติของคนคานาอัน (2พศด.17:6;20:33)     วลีดังกล่าวนี้ยังถูกกล่าวถึงในสมัยของกษัตริย์ยูดาห์อีก 5 องค์ คือในสมัยของ

  1. เยโฮยาฟัท (22:43) ;2. โยอาช (2พกษ.12:3); 3. อามาชิยาห์ (2พกษ.14:4); 4. อาซาริยาห์ (2พกษ.15:4) ; 5. โยธาม (2พกษ.15:35)

15:15   “เงิน ทองคำ และเครื่องใช้ต่าง ๆ” (silver, and gold, and vessels) = ส่วนใหญคือทรัพย์สินที่อาบิยาห์ยึดมาได้จากการทำสงครามกับเยโรโบอัม (2พศด.13) และจากเศราห์ชาวคูช (2พศด.14:8-15)

15:16   “มีสงครามระหว่างอาสากับบาอาชา พระราชาแห่งอิสราเอลตลอดสมัยของพระองค์ทั้งสอง”

(was war between Asa and Baasha king of Israel all their days.)

–อ้างอิงถึงความเป็นปรปักษ์ต่อกันที่มีมาตั้งแต่ก่อนจะแบ่งแยกอาณาจักร (ข.7,12:24;2พศด.15:19)

15:17   “สร้างเมืองรามาห์” (built Ramah) = สร้างป้อมปราการที่เมืองรามาห์ บาอาชาได้ชิง ดินแดนที่อาบียาห์แย่งไปจากเยโรโบอัมกลับมา (ข.7;2พศด.13:19) เนื่องจากรามาห์อยู่ทางใต้ของเบธเอลและประมาณ 8 กม.เหนือเยรูซาเล็ม

“เพื่อไม่ให้ใครเข้าไปเฝ้าหรือออกมาจากอาสาพระราชายูดาห์” (permit no one to go out or come in to Asa king of Judah   ) = ปิดทางเข้าออกสู่เขตแดนของกษัตริย์อาสา (2พศด.15:9-10)

15:18   “เอาเงินและทองคำทั้งหมด” (all the silver and the gold) = ที่เหลือจากการที่ชิชักแห่งอียิปต์ปล้น

สะดมจากเยรูซาเล็ม  (14:25)

15:19   “ขอให้มีสนธิสัญญาระหว่างข้าพระเจ้ากับท่าน ดังที่มีอยู่ระหว่างพระราชบิดาของข้าพเจ้าและของท่าน“ (be a covenant between me and you, as there was between my father and your father)

= ขอให้เราเป็นพันธมิตรกันเหมือนพระราชบิดาของเราทั้งสอง

= การอ้างถึงการเป็นพันธมิตรของอาบียาห์และทับริมโมน แห่งอารัมที่ไม่เคยกล่าวถึงก่อนหน้านี้ เมื่อทับริมโมนเสียชีวิต บาอาชาประสบความสำเร็จในการผูกมิตรไมตรีกับเบนฮาดัดผู้สืบทอด อาสาเห็นว่าไม่มีทางชนะบาอาชาได้ หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากอารัม แม้ท่านจะทำสำเร็จ แต่ฮานานีผู้ทำนายก็ตำหนิว่า เป็นการกระทำที่โง่เขลา และปฏิเสธพระเจ้า (2พศด.16:7-10) ในการเชื่อวางใจให้พระองค์ปกป้องและคุ้มครอง (1ซมอ.17:11) ต่อมาอาหัสก็จะทำตามอย่างอาสาโดยขอความช่วยเหลือจากอัสซีเรีย เมื่อถูกอิสราเอลและอารัมโจมตี (2พกษ.16:5-9;อสย.7)

15:20   “นัฟทาลี” (Naphtali) = เมืองที่เบนฮาดัดพิชิตซึ่งมีความสำคัญเป็นพิเศษเพราะเส้นทางการค้าหลัก ๆ จากดามัสกัสไปยังไทระทางด้านตะวันตกและไปที่ราบชายฝั่งและอียิปต์ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ ผ่านที่ราบยิสราเอลนั้น มาตัดกันในบริเวณนี้

-ต่อมาภายหลังพื้นที่นี้ถูกทิกลักปิเลเซอร์ที่ 3 แห่งอัสซีเรียยึดครอง (2พกษ.15:29)

15:21   “เมืองทีรซาร์” (Tirzah) -14:17

15:22   “ประกาศไปทั่วยูดาห์ไม่ยกเว้นใครเลย” (proclamation to all Judah, none was exempt  )

= เกณฑ์ทุกคนในยูดาห์ เป็นพฤติกรรมของอาสาที่คล้ายๆ กับที่ซาโลมอนเกณฑ์แรงงาน (5:13-14;11:28)

“เกบา…มิสปาห์” (Geba of Benjamin and Mizpah) = อาสาสร้างป้อมชายแดนไว้ 2 ป้อมเพื่อป้องกันไม่ให้บาอาชาขยายเขตแดนมาทางใต้  เกบาอยู่ทางตะวันออกของรามาห์ และมิสปาห์ อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของรามาห์

15:23   “พระราชกิจอื่น ๆ ทั้งหมดของอาสา” (all the acts of Asa) 2พศด.14:2-16:14

“ทรงประชวร…พระโรคขึ้นที่พระบาท” (he was diseased in his feet.) –2พศด.16:12

15:24   “เยโฮชาฟัทพระราชโอกาสของพระองค์ขึ้นครองราชย์แทน” (ehoshaphat his son reigned in his place.) -22:41-50;2พศด.17:1-21:1

15:25   “ปีที่สอง” (second year ) – ดูข้อ 1, ปีที่ 2 ของรัชกาลอาสาแห่งยูดาห์ตรงกับปีที่ 22 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของ   เยโรโบอัมแห่งอิสราเอล (ข.9,14:20)

“สองปี” (two years) = ปี 909-908 ก.ค.ศ.

15:26   “ในบาปซึ่งทรงทำให้อิสราเอลทำบาปด้วย” (his sin which he made Israel to sin) -14:16

แม้อาบียาห์แห่งยูดาห์จะครอบครองเบธเอล ในช่วงรัชกาลของเยโรโบอัม (ข.7) แต่เป็นไปได้ว่าการนมัสการพระต่างชาติที่เยโรโบอัมได้เริ่มต้นไว้ยังคงดำเนินต่อไปในที่อื่นๆ จนกะะทั่งบาอาชายึดเบธเอลกลับคืนไปได้

15:27   “เมืองกิเบโธน” (Gibbethon) = เมืองที่ตั้งอยู่ระหว่างเยรูซาเล็มและยัฟฟา (คงห่างจากเกเซอร์ไปทางตะวันตกเพียงไม่กี่กิโลเมตร ในเขตแดนที่ดั้งเดิมถูกจัดสรรให้แก่เผ่าดาน (ยชว.19:43-45)

-เมืองคนเลวีเมืองนี้(ยชว.21:23) คงจะตกเป็นของฟิลิสเตียในช่วงที่ฟิลิสเตียขยายอาณาจักรในยุคผู้วินิจฉัย

15:28   “ปีที่สามแห่งรัชกาลอาสา” (the third year of Asa) = ปี 908 ก.ค.ศ. บาอาชาน่าจะเป็นแม่ทัพในกองทัพของนาดับ และได้รับการสนับสนุนจากกองทัพให้ก่อการยึดบัลลังก์

15:29   “ตามพระดำรัสของพระยาห์เวห์” (the word of the Lord ) = ตามที่พระเจ้าตรัสผ่านทางอาหิยาห์ใน 14:10-11

15:30   “บาปต่าง ๆ ของเยโรโบอัมที่ได้ทรงกระทำ” (sins of Jeroboam that he sinned  )= บาปของเยโรโบอัมเป็นที่เกลียดชังของพระเจ้า เพราะไม่เพียงแค่ท่านกระทำ แต่ยังนำคนอื่นให้กระทำตามด้วย (14:16)

15:32   “มีสงครามระหว่างอาสากับบาอาชา…ตลอดสมัยของทั้งสองพระองค์” (was war between Asa and Baasha king of Israel all their days.) = การล่มสลายของราชวงศ์เยโรโบอัม ไม่ได้ช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 อาณาจักรดีขึ้น

15:33   “ในปีที่สามแห่งรัชกาลอาสา” (In the third year of Asa) = ปี 908  ก.ค.ศ.

          “เป็นเวลา 24 ปี” (twenty-four years) = ปี 908-886 ก.ค.ศ.

ปีครองรายช์อย่างเป็นทางการนั้นนับเป็น 24 ปี แม้ว่าจริง ๆ แล้วจะครองเพียง 23 ปี (16:8)

15:34   “ในบาปของพระองค์ ซึ่งทรงทำให้อิสราเอลทำบาปด้วย” (in his sin which he made Israel to sin.)

-14:16 = คำตัดสินว่า การครองราชย์ของบาอาชา ไม่ได้ดีไปกว่าการครองราชย์ของนาดับก่อนหน้านี้เลย (ข.26)

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยรู้สึกผิดหวังกับการที่ผู้ปกครองหรือผู้นำประเทศกระทำผิดบาปบ้างหรือไม่?  ในสมัยของใครในช่วงใด? และเรื่องอะไร?
  2. คุณรู้สึกเบื่อหน่ายกับการขัดแย้งหรือการต่อสู้กันเองระหว่างคนในชาติหรือไม่? โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเหตุการณ์อะไร? และสิ่งนี้สอนอะไรคุณบ้าง?
  3. มีเหตุการณ์ใดบ้างที่เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้คุณชื่นใจจากการกระทำของผู้ปกครอง(รัฐบาล/สถาบันกษัตริย์)? ในเรื่องอะไร? ทำไมจึงทำให้รู้สึกพึงพอใจ?
  4. มีเหตุการณ์ใดที่คุณภาคภูมิใจกับความกล้าหาญในการจัดการหรือกำจัดบุคคล(ผู้มีอำนาจ/อิทธิพลสูง) หรือสิ่งที่น่ารังเกียจในแผ่นดินไทย?  ใครเป็นผู้กระทำ และกระทำต่อผู้ใด? ในเรื่องอะไร? ผลที่เกิดขึ้นคืออะไร?
  5. มีเหตุการณ์ใดบ้างที่ประเทศไทยต้องจ่ายราคาสูงจากการเป็นพันธมิตรกับบางประเทศเพื่อรักษาเสถียรภาพของประเทศ? คุณคิดว่าคุ้มหรือไม่?   ทำไม?
  6. มีบาปอะไรบ้างที่คนไทยทำต่อเนื่องกันมาอย่างยาวนานที่นำภัยและปัญหามาสู่ประเทศชาติของเรา? และเราควรจะมีส่วนร่วมแก้ไขหรือกำจัดบาปเหล่านั้นได้อย่างไรบ้าง?
  7. คุณได้เห็นหรือได้รับบทเรียนอะไรเป็นพิเศษจากพระธรรมในตอนนี้ (15:1-34)?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทความแปล

อย่าลืมขอบพระคุณ

เยโฮชาฟัทรบโมอับ อัมโมน

ให้เขาขอบพระคุณพระเจ้า  เพราะความรักมั่นคงของพระองค์  เพราะการอัศจรรย์ของพระองค์ที่มีต่อบุตรของมนุษย์ (สดุดี 107:8)

ในพระคัมภีร์เดิม มีเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับกษัตริย์เยโฮชาฟัทที่ทรงใช้วิธีไม่ธรรมดาในการรับมือกับศัตรูที่มาสู้รบกับพระองค์ แทนที่จะส่งกองทัพนำหน้าไป พระองค์กลับส่งคณะนักร้องและนักดนตรีไปแทน

ลองนึกภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น : “เอาหละพวกท่าน นี่เป็นแผนการสำหรับวันนี้ มีกองทัพศัตรูอาวุธครบครัน มุ่งมาทำสงครามกับเรา ดังนั้นเราจะส่งคณะนักร้องและนักดนตรีออกไป” ถ้าผมอยู่ในคณะนักร้อง หรือเป็นนักดนตรี ผมคงคิดว่าพระราชาคงไม่โปรดเพลงของพวกผมแล้ว

แต่พระเจ้าทรงสั่งเยโฮชาฟัทให้ใช้กลยุทธที่เหลือเชื่อนี้ไปต่อสู้ พระคัมภีร์บันทึกว่าเยโฮชาฟัททรงแต่งตั้งคนที่จะไปร้องเพลงถวายแด่พระเจ้า แต่งกายด้วยเครื่องบริสุทธิ์  และนำหน้ากองทัพไปร้องสรรเสริญว่า “จงถวายโมทนาแด่พระเจ้า เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์” (2พงศาวดาร 20:21)

พวกเขาก็ทำเช่นนั้น พระคัมภีร์บอกเราว่าเมื่อพวกเขาเริ่มร้องเพลงและสรรเสริญพระเจ้า พระเจ้าทรงจัดกองซุ่มไปโจมตีพวกศัตรู และพวกศัตรูก็แตกพ่ายไป คนของพระเจ้าสามารถเผชิญหน้ากับสถานการณ์นี้ได้ด้วยการขอบพระคุณ เพราะพระองค์ทรงควบคุมอยู่

เมื่อเราเข้าเฝ้าพระเจ้า ทูลขอพระพรใหม่ๆ เราต้องไม่ลืมขอบพระคุณพระองค์สำหรับพระพรที่ได้ประทานให้เราก่อนหน้าแล้ว

คุณได้ทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า และพระองค์ประทานให้คุณเมื่อเร็วๆนี้หรือเปล่า? คุณกลับมาแล้วขอบพระคุณพระองค์หรือยัง?

ถ้าเราจะหยุดและคิดถึงคำอธิษฐานทูลขอที่พระเจ้าทรงตอบเรา กี่ครั้งกันที่เรากลับมาและขอบพระคุณพระองค์ มันทำให้เรานึกได้ว่าน้อยครั้ง ดังนั้นเราควรขอบพระคุณพระเจ้าให้มากกว่าการอธิษฐานทูลขอและได้รับคำตอบเท่านั้นนะครับ

 

โดย: Pastor Greg Laurie

อนุญาตโดย  Harvest Ministries with Greg Laurie

PO Box 4000,Riverside,CA92514

 

Categories
บทความแปล

คนที่ช่วยคุณออกมาจากความตาย

drowning

“เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ (ยอห์น 3:16)

นึกภาพคุณมองไปที่สระว่ายน้ำที่เต็มไปด้วยผู้คน แล้วทันใดนั้นคุณเห็นเด็กตัวเล็กๆยู่ตรงด้านลึกที่สุด ว่ายน้ำไม่เป็นและกำลังจมลงก้นสระ คุณรีบโบกมือและตะโกนบอกเด็ก สอนเขาถึงวิธีว่ายน้ำกลับไปที่ด้านตื้นของสระ

มันใช่มั้ยครับ? จะมีใครที่จิตปกติยืนอยู่บนขอบสระแล้วตะโกนสอนเด็กที่กำลังจมน้ำ? แน่นอนไม่มี! ทุกคนที่สติดีต้องกระโดดลงไปช่วยเด็กนั้น

เมื่อตกอยู่ในบาป เราก็เหมือนเด็กกำลังจมน้ำนั้น เราไม่มีทางรอดพ้นความตายได้ด้วยตัวเราเอง ในขณะที่ศาสนาต่างๆของโลกโบกมือและตะโกนบอกถึงวิธีเอาตัวเราหนีให้พ้นจากความตาย พระเยซูคริสต์กลับเป็นผู้เดียวที่ลงน้ำไปเพื่อช่วยเรา

เมื่อเราเดินหน้าเข้าสู่เทศกาลคริสตมาส ให้จับจ้องความคิดและจิตใจของเราไปที่ภารกิจที่พระเยซูคริสต์ได้ทำเพื่อเรา – ผู้เดียวที่เสด็จเข้ามาในโลก มายอมตายเพื่อบาปของเรา และช่วยเราให้พ้นจากหุบเหวแห่งหายนะนิรันดร์ จงสรรเสริญพระเจ้าเพราะพระองค์ทรงรักคุณมากมายเหลือเกิน!

สรรเสริญพระเจ้าที่พระองค์ไม่ได้ให้แต่คำสั่งในการดำเนินชีวิตเท่านั้น

อนุญาตโดย : Pastor Jack Graham

Jack Graham Power Point Ministry : www.powepoint.org

Categories
สารจากศบ.

สารจากศิษยาภิบาล

ImageHandler

8 ธันวาคม 2013

สวัสดีพี่น้อง CJ ที่รัก

ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่การนมัสการพระเจ้าร่วมกัน ด้วยจิตวิญญาณและความจริง !

หลังจากที่เราได้เฉลิมฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือ “พ่อหลวง” ของแผ่นดินไทยไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่เราจะเตรียมตัวฉลองวันพระราชสมภพขององค์พระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นพระบิดานิรันดร์ และองค์สันติราชจากฟ้าสวรรค์ในวันคริสตมาสนี้!

พี่น้องที่รัก!  ขอให้เราแต่ละคนรู้จักหน้าที่ของเรา และจงทำงานให้สมฐานะหน้าที่เพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมและความมั่นคงของชาติ ตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา

วันนี้มีประกาศคือ

1.   CJ เราฉลองคริสตมาสเย็นวันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม นี้ ตั้งแต่เวลา 17.00 – 20.30 น.  ณ สนามบาสเกตบอล โรงเรียนนานาชาติทรีนิตี้ สุขุมวิท 36    ขอเชิญสมาชิกทุกท่านร่วมงานและรับประทานอาหาร ฟรี!   คริสตจักรเปิดโอกาสให้สมาชิก CJ เชิญญาติมิตรมาได้ แต่ไม่ควรเกินท่านละ 2 คน (จะได้ดูแลกันได้ทั่วถึง)  รายละเอียดของงานจะมีการประกาศแจ้งข่าวเป็นระยะๆ งบประมาณในการจัดงานครั้งนี้จะอยู่ในราว ๆ  1 แสนกว่า ๆ หากสมาชิกท่านใดประสงค์จะมีส่วนร่วมถวายเงินเพื่อรองรับญาติมิตรของเราในงานครั้งนี้ ติดต่อถวายได้ที่คุณแดง หรือใส่ซองถวายแล้วเขียนว่า ”เพื่องานคริสตมาส”

2.    CJ จะมีพิธีบัพติศมารุ่นสุดท้าย(รุ่นที่ 4) ของปีนี้ ในวันอาทิตย์ที่ 22 ธ.ค. นี้ เช่นกัน

-ผู้เชื่อท่านใดประสงค์จะรับบัพติศมาในเวลา 12.00 น. ขอแจ้งชื่อได้ที่คุณเอ๋ (ฟั่น) โดยด่วน  

3.    CJ งดกลุ่มแคร์ ที่ บ. LoveIs ในวันอังคาร (10 ธ.ค.) ที่จะถึงนี้ 1 ครั้งครับ! และจะเริ่มอีกครั้งวันที่ 17 ธ.ค.

4.    CJ มีชั้นเรียนพระคัมภีร์ปกติวันพฤหัสที่ 12 ธ.ค. นี้ อย่าลืมมาเรียนนะครับ!

5 .   CJ ขอแสดงความยินดีกับคู่สมรสใหม่เพิ่งแต่งงานเมื่อวาน (7 ธ.ค.) ที่ผ่านมาคือ คู่ของคุณเปิ้ล( อัจฉรา) และคุณต้น (ตระการ) ขอให้ครองรักครองเรือนอย่าง มีความสุขตลอดไป  (และขอยินดีย้อนหลังกับคู่ของคุณหนิง (พัชราภา) และคุณป๊อบ (นาวาเอก ปณิธิ) ในวันเสาร์ที่ 30 พ.ย. ที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน)

ขอพระเจ้าคุ้มครองและอวยพรทุกท่านท่ามกลางสถานการณ์บ้านเมืองที่วุ่นวายพอสมควร ขอให้เรามีจุดยืนอยู่ที่ “องค์พระผู้เป็นเจ้า” และตามวิถีแห่ง “พระวจนะของพระองค์” แล้วชีวิตของเราจะมีสันติสุข ท่ามกลางความสับสนได้อย่างเกินความเข้าใจ

ด้วยรักในพระคริสต์

(ธงชัย  ประดับชนานุรัตน์) ศิษยาภิบาล

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

คริสเตียนออกไปแสดงจุดยืน(ทางการเมือง)ได้หรือไม่?

above the cliff

อันที่จริงคริสเตียนเราแสดงออกในเรื่องจุดยืนได้ทุกเรื่อง       เพียงแต่ว่าจำเป็นหรือไม่เท่านั้น!

ถ้าจำเป็น และเร่งด่วนเราต้องทำ คือ จงรีบแสดงจุดยืน(ที่ดี) ที่มีประสิทธิภาพเพื่อสื่อสารและแสดงพลัง!

ถ้าจำเป็น แต่ไม่เร่งด่วน เราสามารถรอได้ ก็จงรอจังหวะหรือโอกาสแล้วค่อยแสดงจุดยืนที่มีอย่างเปิดเผย

ถ้าจำเป็น แต่ไม่แน่ใจ เราก็ควรรีบหาข้อมูลให้ครบถ้วน และวิเคราะห์ประเมินให้ถูกต้องแล้วจึงค่อยประกาศจุดยืนนั้นออกมา!

อย่ารีบร้อนผลีผลามประกาศจุดยืนหรือทำอะไรที่ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียง ชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือส่วนรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากกระทบต่อพระนามของพระเจ้า (ไม่ว่าจะถูกคนข้างตัวหรือคนรอบตัวกดดันมากสักเพียงใดก็ตาม)

แน่นอนว่า เราทุกคนต้องมีจุดยืน  แต่จุดยืนของเรานั้นต้องอยู่บนความจริงและความรัก!

เพราะว่านั่นคือจุดยืนของพระเจ้า!

ความยุติธรรมที่เราเรียกร้องนั้นต้องตั้งอยู่บนความจริงและความรัก!

เมื่อใดก็ตามที่เราประกาศจุดยืนของเราด้วยความทะนงและคิดว่าเราเป็นฝ่ายถูกต้องแต่ฝ่ายเดียว และอีกฝ่ายผิดหมดทุกเรื่อง  เรากำลังนำตัวเราเองและคนที่ตามเราให้เข้าสู่ปัญหาที่ไม่จำเป็น

เมื่อใดก็ตามที่เราด่วนสรุปว่า คนอื่นผิดและเราถูก โดยที่ยังไม่ได้รับฟังความจากทุกฝ่ายให้รอบด้าน เรามีโอกาสผิดพลาดในข้อสรุปของเรามากกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว เพราะทุก ๆ เรื่องมักจะมีอย่างน้อย 2 ด้าน และความจริงก็คือ ไม่มีใครถูกต้อง 100 % หรือ ผิด 100 % !

สิ่งหนึ่งที่ต้องเตือนสติซึ่งกันและกันก็คือ เมื่อใดก็ตามที่เราเห็น “ปัญหา” หรือ “ประเด็น” ที่ต้องแก้ไขนั้นมีความ สำคัญมากยิ่งกว่า “คน” ที่ต้องแก้ไข เรากำลังก้าวห่างไกลออกไปจากพระทัยของพระเจ้า

ไม่ว่าประเด็นปัญหาจะใหญ่โตมากสักแค่ไหน เราต้องให้ความสำคัญกับ “คน” ที่ “เป็น” ปัญหา หรือ “สร้าง” ปัญหานั้นอยู่เสมอ อย่าให้เรา “ทำร้าย” “บุคคล” ใดเพราะความขัดแย้งในประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้น!

ดุจดังที่  บารบารา จอห์นสัน (Barbrara Johnson) ได้เตือนสติว่า…

“อย่าปล่อยให้ “ปัญหา” ที่เราต้องแก้ไข ให้มีความสำคัญมากยิ่งกว่า “คน” ที่เราต้อง “รัก”  

     (Never let a problem to be solved become more important than a person to be loved.)

ใช่ครับ พระเจ้ามอบ “ปัญหา” มาให้เราแก้ และทรงมอบ “คน” มาให้เรารัก!
อย่าให้การแสดงจุดยืนในเรื่องใดของเรา “ลด” หรือ “ทำลาย” คุณค่าของ “บุคคล” ที่พระเจ้าประสงค์จะให้เรารัก!

      คริสเตียนต้องเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ทั้งหลายในโลก (รวมทั้งในประเทศไทย) ของเรา!

และเราควรจะสังวรไว้อยู่ตลอดเวลาว่า พระเจ้าที่เราเชื่อนั้น คือ พระเจ้าแห่งความรัก

“ฉะนั้น​เรา​จึง​รู้ และ​วาง‍ใจ​ใน​ความ​รัก​ที่​พระ‍เจ้า​ทรง​มี​ต่อ​เรา พระ‍เจ้า​ทรง​เป็น​ความ​รัก และ​ผู้​ที่​อยู่​ใน​ความ​รัก​ก็​อยู่​ใน​พระ‍เจ้า และ​พระ‍เจ้า​ก็​ทรง​อยู่​ใน​คน​นั้น” (1ยอห์น 4:6)

(We are from God. Whoever knows God listens to us; whoever is not from God does not listen to us. By this we know the Spirit of truth and the spirit of error.)

      ฉะนั้น หากว่าเราเชื่อพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ผู้เป็นพระเจ้าแห่งความรักนี้จริง ๆ จุดยืนของเราจะต้องเป็นจุดยืนแห่งความรักเท่านั้น!

หากจุดยืนของเรา (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางการเมือง) ทำให้เราพูดหรือ กระทำสิ่งใดโดยปราศจากความรัก จุดยืนของเราก็ไร้ค่า!

       “แม้​ข้าพเจ้า​จะ​พูดภาษาแปลกๆ ที่​เป็น​ภาษา​มนุษย์​หรือ​ทูตสวรรค์​ได้ แต่​ไม่มี​ความ​รัก ข้าพเจ้า​เป็น​เหมือน​ฆ้อง​หรือ​ฉาบ​ที่​กำลัง​ส่ง​เสียง แม้​ข้าพเจ้า​จะ​เผยพระวจนะ​ได้ จะ​รู้​ความ​ล้ำลึก​ทุกอย่าง​และ​มี​ความ​รู้​ทั้งสิ้น และ​แม้​จะ​มี​ความ​เชื่อ​มาก​ยิ่ง​ที่​จะ​ย้าย​ภูเขา​ไป​ได้ แต่​ไม่‍มี​ความ​รัก ข้าพ‌เจ้า​ก็​ไม่‍มี​ค่า​อะไร​เลย แม้​ข้าพเจ้า​จะ​บริจาค​สิ่งของ​ของ​ข้าพเจ้า​ทุกอย่าง​หรือ​ยอม​ให้​เอา​ตัว​ไป​เผา​ไฟ แต่​ไม่‍มี​ความ​รัก ก็​จะ​ไม่​เป็น​ประ‌โยชน์​กับ​ข้าพ‌เจ้า  (1โครินธ์ 13:1-3)

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc,

twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

 

Categories
บทความแปล

แต่ฉันมีสิทธิที่จะโกรธ

ฉันมีสิทธิโกรธ

ดูก่อนพี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงทราบข้อนี้ จงให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ เพราะว่าความโกรธของมนุษย์ไม่ได้กระทำให้เกิดความชอบธรรมแห่งพระเจ้า (ยากอบ 1:19-20)

ฉันเคยได้ยินคำโกหก เคยถูกหักหลัง และเคยเจ็บปวด ฉันโกรธและรู้สึกว่ามีสิทธิที่จะโกรธ ความโกรธบดขยี้ความต้องการให้อภัยของฉัน แม้จะขอให้พระเจ้าเติมใจด้วยความปราณี ฉันก็ยังอ่านรายการความยุติธรรมที่ทำให้โกรธกลับไปกลับมาอยู่ในความคิด คำอธิษฐานจึงมีแต่ความว่างเปล่า

คำสนทนาข้างในใจมีแต่คำโต้แย้ง เสียงหนึ่งพยายามบอกว่าโกรธต่อไปได้ อีกเสียงพยายามชักชวนว่าความปราณีเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง เป็นเดือนๆ เสียงดังที่สุด คือเสียงที่บอกให้คงอารมณ์เดิม : ใช่ ฉันมีสิทธิโกรธ ใครๆก็ต้องเห็นด้วย

ฟังเสียงของความขมขื่น และการไม่ให้อภัย ฉันมักระงับอารมณ์และความไม่พอใจไว้ไม่อยู่ อาจเสแสร้งทำเป็นคริสเตียนที่ดีได้ระยะสั้นๆ แต่ถ้ามีสิ่งมากระตุ้นอารมณ์ที่กักเก็บไว้ ความขุ่นมัว และไม่พอใจจะพุ่งขึ้นสู่ผิวหน้าทันที

เช้าวันหนึ่งเมื่ออ่านพระวจนะ รู้สึกว่าพระเจ้าขอให้พิจารณาทิศทางความโกรธที่กำลังนำหน้าและจ้องทำลายฉัน เมื่อได้อ่านยากอบบทที่ 1 สังเกตเห็นคำว่า “ทุกคน” จงช้าในการพูด และช้าในการโกรธ ความจริงจากพระวจนะข้อนี้ไม่เหลือที่ว่างให้ฉันอ้างได้ หรือคิดว่าตัวเองชอบธรรมอีกต่อไป แม้รู้สึกว่ายังไม่ยุติธรรม สองข้อต่อจากนั้นบอกว่า “แต่ท่านทั้งหลายจงเป็นคนที่ประพฤติตามพระวจนะนั้น ไม่ใช่เป็นแต่เพียงผู้ฟังเท่านั้น ซึ่งเป็นการลวงตนเอง” (ยากอบ 1:22)

จากมุมมองของโลก ฉันรู้ว่าฉันมีสิทธิที่จะโกรธ แต่ในมุมมองของพระเจ้า ความโกรธมีแต่จะเพิ่มให้เกิดบาปในแต่ละสถานการณ์ การที่ปฏิเสธไม่ยอมมอบความปราณีและการอภัยอย่างที่พระเจ้าให้ เป็นสิ่งที่กันฉันออกจากการทำตามพระวจนะของพระองค์

จากพระวจนะในยากอบ พระเจ้าทรงลดจิตใจที่แข็งกระด้างลง ยอมรับว่าถึงแม้จะกล่าวให้อภัยคนๆนั้นไปแล้ว แต่ในใจยังไม่ใช่ – ถึงเวลาที่ฉันต้องทำแล้ว และเดินหน้าต่อ

ในทุกพื้นที่ของชีวิต รวมถึงจัดการกับอารมณ์ที่มีอำนาจมากที่สุดของเรา พระเจ้าบอกให้เราไวในการฟัง (พระองค์และฟังคนอื่นๆ) ช้าในการพูด และช้าในการโกรธ  เมื่อเรานำสิ่งเหล่านี้มาปฏิบัติในความสัมพันธ์กับผู้อื่น เราก็เป็นผู้ทำตามพระวจนะนั้น ไม่ใช่แค่ผู้ฟัง และนี่จะนำไปสู่ความชอบธรรมอย่างที่พระเจ้าต้องการ

โดย: Tracie  Miles

Encouragement for today : www.crosswalk.com