Categories
บทความแปล

คุณเป็นพวกไม่ร้อนไม่เย็นหรือเปล่า?

water lit candle

คุณเคยกินอะไรเข้าไปแล้วรู้สึกผะอืดผะอมหรือเปล่า? นี่เป็นสิ่งที่พระเยซูรู้สึกเกี่ยวกับคนที่อุ่นๆ ไม่ร้อนไม่เย็น

พระเยซูตรัสถ้อยคำนี้ในหนังสือวิวรณ์ บทที่ 3 เมื่อพระองค์ตรัสกับคริสตจักรที่เมืองเลาดีเซีย

 ‘เรารู้จักแนวการกระทำของเจ้า  เจ้าไม่เย็นไม่ร้อน เราใคร่ให้เจ้าเย็นหรือร้อน เพราะเหตุที่เจ้าเป็นแต่อุ่นๆ  ไม่เย็นและไม่ร้อน เราจะคายเจ้าออกจากปากของเรา’ (วิวรณ์ 3:15-16)

 คริสตจักรบางแห่งทำให้พระเยซูกันแสง บางแห่งทำให้พระองค์ทรงพระพิโรธ คริสตจักรเลาดีเซียทำให้พระองค์คลื่นไส้

สิ่งนี้มีความหมายกับเราอย่างไร? จงตระหนักว่าถ้อยคำเหล่านี้มีสำหรับให้ผู้เชื่อในทุกวันนี้ คำถามคือ ชีวิตฝ่ายวิญญาณของคุณเป็นอย่างไร – ร้อนรน? เยือกเย็น? หรือ อุ่นๆ?  อย่ารีบตอบนะครับ เพราะคนที่อุ่นๆมักรู้ตัวเป็นคนสุดท้าย

ทำไมพูดถึงคนอุ่นๆ? จี. แคมพ์เบล มอร์แกน เขียนว่า “ยังมีความหวังสำหรับคนที่อยู่นอกคริสตจักรในความเยือกเย็นของพวกเขา มากกว่าคนที่อยู่ใกล้ความอบอุ่นจะเห็นคุณค่า และไกลเกินกว่าความร้อนรนของไฟที่พระเจ้าและมนุษย์ใช้การได้ ยังมีโอกาสสำหรับผู้ไม่เชื่อที่ยัง “ไม่ได้ยิน” พระกิตติคุณมากกว่าผู้เชื่อที่ไม่ยอมไปประกาศข่าวประเสริฐ”

ให้แน่ใจว่าชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราจะไม่เป็นแค่อุ่นๆนะครับ

อนุญาตโดย: Pastor Greg Laurie

Harvest Ministries with Greg Laurie

P.O. Box 4000, Riverside CA

 

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

เรื่องราวก่อนวันคริสตมาส

christmas dec

พระธรรม      มัทธิว 1:1-17

อ้างอิง           ลูกา 3:23-38;1พงศาวดาร 3:10-17;นางรูธ 4:18-22;2ซามูเอล 7:12-16;อิสยาห์ 9:6-7;11:1

บทนำ             มัทธิว เป็นพระกิตติคุณเล่มแรก เน้นการประสูติ การกระทำพันธกิจและการสอนของพระเยซูคริสต์ เน้นหลักการหรือหัวข้อมากกว่าการเล่าเรื่องตามลำดับเหตุการณ์  และมีการคัดลอกข้ออ้างอิงจากพระคัมภีร์เดิม ราว 50 ตอน  และอีก 75 ตอน อ้างถึงเหตุการณ์ในพระคัมภีร์เดิม มัทธิวเน้นให้เห็นว่า พระเยซูคริสต์คือ พระเมสิยาห์ ที่สืบเชื้อสายมาจากดาวิดตามพระสัญญาที่สืบเนื่องมาจากอับราฮัม (2ซมอ. 7:12-17;ปฐก. 12:3) และเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ในวันคริสตมาส!

บทเรียน

  1:1  “หนังสือลำดับพงศ์ของพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นเชื้อสายของดาวิด ผู้สืบตระกูลเนื่องมาจากอับราฮัม” 

        (A record of the genealogy of Jesus Christ the son of David, the son of Abraham)  

 1:2 “ อับราฮัมมีบุตรชื่ออิสอัค อิสอัคมีบุตรชื่อยาโคบ ยาโคบมีบุตรชื่อยูดาห์และพี่น้องของเขา”                 

     ( Abraham was the father of Isaac, Isaac the father of Jacob,Jacob the father of Judah and his brothers,)

1:3 “ยูดาห์มีบุตรชื่อเปเรศกับเศราห์เกิดจากนางทามาร์ เปเรศมีบุตรชื่อเฮสโรน เฮสโรนมีบุตรชื่อราม”

(Judah the father of Perez and Zerah, whose mother was Tamar, Perez the father of Hezron,  Hezron the father of Ram,)

1:4 “ รามมีบุตรชื่ออัมมีนาดับ อัมมีนาดับมีบุตรชื่อนาโชน นาโชนมีบุตรชื่อสัลโมน”

 (Ram the father of Amminadab,Amminadab the father of Nahshon, Nahshon the father of  Salmon,)

1:5  “สัลโมนมีบุตรชื่อโบอาสเกิดจากนางราหับ โบอาสมีบุตรชื่อโอเบดเกิดจากนางรูธ โอเบดมีบุตรชื่อเจสซี”

(Salmon the father of Boaz, whose mother was Rahab,Boaz the father of Obed, whose mother was Ruth,Obed the father of Jesse,)

1:6  “เจสซีมีบุตรชื่อดาวิดผู้เป็นกษัตริย์ ดาวิดมีบุตรชื่อซาโลมอนเกิดจากนางซึ่งแต่ก่อนเป็นภรรยาของอุรียาห์”

(and Jesse the father of King David. David was the father of Solomon, whose mother had been  Uriah’s wife,)

1:7 “ซาโลมอนมีบุตรชื่อเรโหโบอัม เรโหโบอัมมีบุตรชื่ออาบียาห์ อาบียาห์มีบุตรชื่ออาสา”                           

    (Solomon the father of Rehoboam, Rehoboam the father of Abijah, Abijah the father of Asa,)

1:8  “อาสามีบุตรชื่อเยโฮชาฟัท เยโฮชาฟัทมีบุตรชื่อโยรัม โยรัมมีบุตรชื่ออุสซียาห์”

(Asa the father of Jehoshaphat,Jehoshaphat the father of Jehoram,Jehoram the father of  Uzziah,)

1:9  “อุสซียาห์มีบุตรชื่อโยธาม โยธามมีบุตรชื่ออาหัส อาหัสมีบุตรชื่อเฮเซคียาห์”

  (Uzziah the father of Jotham,Jotham the father of Ahaz,Ahaz the father of Hezekiah,)

1:10  “เฮเซคียาห์มีบุตรชื่อมนัสเสห์ มนัสเสห์มีบุตรชื่ออาโมน อาโมนมีบุตรชื่อโยสิยาห์”

       (Hezekiah the father of Manasseh,Manasseh the father of Amon,Amon the father of Josiah,)

1:11 “ โยสิยาห์มีบุตรชื่อเยโคนิยาห์กับพวกพี่น้องของท่าน เกิดเมื่อคราวต้องถูกกวาดไปเป็นเชลยยังกรุงบาบิโลน”

     (and Josiah the father of Jeconiah and his brothers at the time of the exile to Babylon.)

1:12 “ ครั้นต้องถูกกวาดไปยังกรุงบาบิโลนแล้ว เยโคนิยาห์ก็มีบุตรชื่อเชอัลทิเอล เชอัลทิเอลมีบุตรชื่อเศรุบบาเบล”

(After the exile to Babylon:Jeconiah was the father of Shealtiel,Shealtiel the father of  Zerubbabel,)

1:13  “เศรุบบาเบลมีบุตรชื่ออาบียุด อาบียุดมีบุตรชื่อเอลียาคิม เอลียาคิมมีบุตรชื่ออาซอร์”

(Zerubbabel the father of Abiud,Abiud the father of Eliakim, Eliakim the father of Azor,)

1:14  “อาซอร์มีบุตรชื่อศาโดก ศาโดกมีบุตรชื่ออาคิม อาคิมมีบุตรชื่อเอลีอูด”

 (Azor the father of Zadok, Zadok the father of Akim, Akim the father of Eliud,)

1:15 “ เอลีอูดมีบุตรชื่อเอเลอาซาร์ เอเลอาซาร์มีบุตรชื่อมัทธาน มัทธานมีบุตรชื่อยาโคบ”

     (Eliud the father of Eleazar, Eleazar the father of Matthan, Matthan the father of Jacob,)

1:16  “ยาโคบมีบุตรชื่อโยเซฟ สามีของนางมารีย์ พระเยซูที่เรียกว่าพระคริสต์ก็ทรงบังเกิดมาจากนางมารีย์นี้”

(and Jacob the father of Joseph, the husband of Mary, of whom was born Jesus, who is    called Christ.)

  1:17  “ดังนั้นตั้งแต่อับราฮัมลงมาจนถึงดาวิดจึงเป็นสิบสี่ชั่วคน และนับตั้งแต่ดาวิดลงมา  จนถึงต้องถูกกวาดไปเป็นเชลยยังกรุงบาบิโลน เป็นเวลาสิบสี่ชั่วคน และนับตั้งแต่ต้องถูกกวาดไปเป็นเชลย ยังกรุงบาบิโลนจนถึงพระคริสต์เป็นสิบสี่ชั่วคน

( Thus there were fourteen generations in all from Abraham to David, fourteen from David to the exile to Babylon, and fourteen from the exile to the Christ.)

 ข้อมูลมีประโยชน์

1:1       “ผู้เป็นเชื้อสายของดาวิด” (the son of David)

= นามของพระเมสิยาห์  ผู้ซึ่งกำลังเสด็จกลับมา (มธ. 9:27;12:23;20:30;21:9;22:44-45)

           “ผู้สืบตระกูลเนื่องจากอับราฮัม” (the son of Abraham)

= เพราะมัทธิวเขียนถึงชาวยิว จึงจำเป็นต้องแสดงตัวของพระเยซูว่า มาจากเชื้อสายของอับราฮัม

1:3,5,6 “ทามาร์” (Tamar) –น่าสนใจที่มัทธิวอ้างนามของ “สตรี”หลายคน โดยเริ่มจาก ทามาร์ (ข.3; ปฐก. 32:24- 30), ราหับ (ข.5,ยชว.2:1;ฮบ. 11:31), รูธ (ข.51, นรธ.1:4), บัธเชบา มารดาของซาโลมอน (ข.16,2ซมอ.12:24) และมารีย์ (ข.16)  เพราะทามาร์ และราหับต่างทำตัวเป็นหญิงโสเภณี, รูธเป็นหญิงต่างด้าวชาวโมอับ, บัธเชบาเป็นหญิงมีสามีที่ดาวิดเป็นชู้ด้วย

1:4       “อัมมีนาดับ” (Amminadab) –เป็นพ่อตาของอาโรน (อพย. 6:23)

1:8       “โยรัม” ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Jehoram”

ในข้อนี้ภาษาไทยเขียนว่า  “โยรัมมีบุตรชื่ออุสซียาห์” แต่ในภาษาต้นฉบับจะเขียนว่า .. “Jehoram the father of Uzziah”

แต่คำว่า “father” ในที่นี้ ไม่ได้หมายความถึง “พ่อ” (father) จริง ๆ แต่หมายถึง “บรรพบุรุษ” (forefather) ดังที่ 2 พงศาวดาร 21:4-26:23 บันทึกไว้ว่ามีหลายช่วงสมัย  (อาหัสยาห์, โยอาช, อามาชิยาห์) ก่อนจะถึงสมัยของ อุสซียาห์

1:11     “โยสิยาห์มีบุตร” (Josiah the father) –ก็เช่นเดียวกันกับในข้อ 8

ในตอนนี้ โยสิยาห์ถูกเรียกว่า “บิดา” ของ เยโคนิยาห์ (เยโฮยาคีน)  ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วพระองค์เป็นบิดาของเอลียาคิม (เยโฮยาคิม) กับเยโฮอาหาส  แต่เป็นปู่ของเยโฮยาคีน (2พศด. 36:1-9;1พศด 3:16)

1:12     “เชอัลทิเอลมีบุตร” (shealtiel the father..)

= ในตอนนี้กล่าวว่า เชอัลทิเอล มีบุตรชื่อ เศรุบบาเบล  แต่ที่จริงแล้ว พระองค์เป็นปู่ของเศรุบบาเบล (1พศด.3:17-18)

1:16     “โยเซฟ สามีของนางมารีย์” (Joseph the husband of Mary)

= น่าสนใจที่มัทธิวไม่ได้พูดว่า โยเซฟเป็นบิดาของพระเยซู เพียงแต่พูดว่า เขาเป็นสามีของมารีย์ และพระเยซูบังเกิดจากเธอ

ในลำดับพงศ์พันธ์นี้ มัทธิวแสดงให้เห็นว่า แม้พระเยซูคริสต์ไม่ได้เป็นบุตรทางกายภาพของโยเซฟ แต่พระองค์ก็เป็นบุตรที่ชอบธรรมตามกฎหมาย

จึงนับ ได้ ว่า เป็นเชื้อสายของดาวิด

1:17     “สิบสี่ชั่วคน…สิบสี่ชั่วคน”  (fourteen generations…… fourteen …….fourteen)

= การแบ่งพงศ์พันธุ์ในลักษณะนี้ สะท้อนให้เห็นลักษณะเฉพาะตัวของพระธรรมมัทธิว ดังนี้

1)      มัทธิว ชอบเล่าเรื่องตัวเลข

2)      มัทธิว สนใจการจัดเรื่องราวให้เป็นระบบ

หมายเลข 14 นั้นเข้าใจว่า มาจาก หมายเลข 7×2 ซึ่งปกติ  7 เป็นเลขแห่งความสมบูรณ์ และยังเป็นจำนวนมูลค่ารวมของตัวอักษรในคำว่า “ดาวิด” อีกด้วย (วว. 13:18) อย่างเช่น มัทธิว ไม่ได้บันทึกชื่อคนทุกคน ในพงศ์พันธุ์ระหว่างอับราฮัม และดาวิด (ข.2-6), ระหว่างดาวิดถึงช่วงอพยพ (ข.6-11)  และระหว่างการอพยพถึงพระเยซู (ข.12-16) –การนับคนในตระกูลของชาวยิวไม่จำเป็นต้องนับชื่อทุกคน

อย่างไรก็ตาม รายชื่อพงศ์พันธุ์ของมัทธิว ตอบคำถามสำคัญมากที่ชาวยิวมักจะถาม  นั่นคือ  คนที่อ้างตนว่าเป็นกษัตริย์นั้นเป็นลูกหลานของดาวิดตามเชื้อสายที่มีสิทธิครอบครองบัลลังก์หรือไม่?

และมัทธิวตอบชัดเจนว่า พระเยซูคือเชื้อสายอันชอบธรรมของดาวิด!

คำถามนำอภิปราย

  1. ทำไมมัทธิว จึงโยงลำดับพงศ์พันธ์ของพระเยซูคริสต์ ไปโดยตรงที่ “ดาวิด” แทนที่จะเป็นที่ “อับราฮัม” ?
  2. ทำไมมัทธิว จึงเน้นตัวเลข “14 “ ในการจัดลำดับพงศ์พันธ์เชื้อสายของพระเยซูคริสต์?
  3. ในลำดับพงศ์พันธ์ของพระเยซูคริสต์ มีรายนามของผู้หญิงกี่คน?   ใครบ้าง?  คนเหล่านั้นมีความเป็นมาและสำคัญอย่างไร?  ทำไมพระเจ้าทรงเรียกและใช้พวกเธอ?
  4. คุณได้รับบทเรียนอะไรจากการที่พระเจ้าทรงเลือกพวกเธอให้เป็นบรรพบุรุษของพระเยซูคริสต์ และมัทธิวเองก็ เอ่ยถึงนามของพวกเธอในบทนี้?

4.1 มัทธิว ไม่เขียนว่า “โยเซฟ มีบุตรชื่อพระเยซู” หรือ “พระเยซูเป็นบุตรของโยเซฟ” แต่ใช้คำเพียงว่า “โยเซฟ สามีของมารีย์….พระเยซู….ก็ทรงบังเกิดมาจากนางมารีย์”  คุณคิดว่า ทำไมมัทธิวจึงเขียนเช่นนั้น เขามีเจตนาอะไรเป็นพิเศษหรือไม่?   อย่างไร?

4.2 ทำไมพระเจ้าจึงยอมให้ชนชาติอิสราเอลต้องทนทุกข์จากการถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่บาบิโลนด้วย?  ทำไมพระองค์ไม่ช่วยเหลือปกป้องพวกเขาในฐานะที่เป็นชนชาติของพระองค์?

5. คุณได้รับบทเรียนอะไรจากเรื่องนี้บ้าง?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทความแปล

นำความหวังไป

ความยากจนในเคนยา

เท้าของผู้นำข่าวดีมา ก็งามสักเท่าใดที่บนภูเขา ผู้โฆษณาสันติภาพ ผู้นำข่าวดีของเรื่องดี ผู้โฆษณาความรอด ผู้กล่าวแก่ศิโยนว่า “พระเจ้าของเจ้าทรงครอบครอง”  (อิสยาห์ 52:7)

ฉันยืนอยู่กลางทุ่งพร้อมศิษยาภิบาลชาวเคนยาสองท่าน  เรายืนพักกันหลังจากเดินทางมาไกล

เป็นเวลาห้าวันที่เราเดินไปกระท่อมแล้วกระท่อมเล่า แบ่งปันความจริงของพระเยซูคริสต์ที่เปลี่ยนชีวิต เราอธิษฐาน ฟังกันและกัน ฉันถึงกับหลั่งน้ำตาเมื่อเห็นความยากจนแสนสาหัสของที่นั่น

ด้วยเวลาน้อยนิดที่ใช้ด้วยกัน ศิษยาภิบาลสองท่านนี้สอนนิยามใหม่เรื่องความกล้าหาญให้กับฉัน  ความกล้า ความเมตตาสงสารเพื่อให้ชาวบ้านพวกนี้ได้รู้จักพระเจ้า หลายครั้งพวกเขาต้องเดินไกลกว่าสามสิบไมล์เพื่อไปแบ่งปันเรื่องราวของพระเยซูให้กับครอบครัวเดียว ตัวฉันเองบางครั้งยังไม่อยากทักทายเพื่อนบ้านที่อยู่ห่างแค่สามสิบฟุต ทั้งๆที่รู้ว่าพวกเขาต้องการพระเจ้า

ใช่ค่ะ บุคคลเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่มีชีวิตตามพระวจนะในอิสยาห์  52:7

นักวิชาการพระคัมภีร์บอกเราว่าผู้ส่งสารในพระวจนะตอนนี้กำลังนำข่าวดีไปยังชาวยิวที่ตกเป็นเชลยเป็นเวลานาน  ผู้คนมองเห็นคนส่งสารนั้นขณะวิ่งมาจากภูเขาที่อยู่ไกล เข้ามาหาคนที่เป็นเชลย มาพร้อมกับข่าวแห่งความหวังที่ยิ่งใหญ่ และความชื่นชมยินดี บอกว่าประชาชนเป็นอิสระแล้ว อิสระจากความสิ้นหวัง

ยังมีข่าวดีอื่นอีกที่กำลังถูกส่งต่อไปทั่วโลก รวมถึงคุณ และฉัน และเพื่อนพี่น้องในอัฟริกา และทั่วโลก : ข่าวดีแห่งการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์ องค์พระเยซูคริสต์ ข่าวดีเกี่ยวกับการประสูติ การสิ้นพระชนม์ และการฟื้นคืนพระชนม์ เป็นสิ่งที่ให้ความหวังแก่โลกนี้ในสภาพทารกน้อยที่เกิดมาในโลก สิ้นชีวิตเมื่อเป็นผู้ใหญ่ และฟื้นคืนกลับมาในฐานะพระผู้ช่วยให้รอด นำชีวิตนิรันดร์มามอบให้เรา  เป็นข่าวเดียวกับที่ชายชาวอัฟริกันทั้งสองเดินทางไกลไปประกาศทั่วประเทศเคนยา

หลายวันทีเดียวหลังจากกลับบ้าน ความรักที่ฉันมีให้ศิษยาภิบาลสองท่านนั้นติดตรึงอยู่ในความคิด ดึงการทรงเรียกให้ไปประกาศพระวจนะที่แอบซ่อนอยู่ในใจออกมา – ไม่เพียงแต่คนไกลตัวในประเทศอื่นเท่านั้น. แต่คนใกล้ตัวที่ฉันเจออยู่ทุกวันด้วย

ฉันเรียนรู้มากมายจากเพื่อนชาวเคนยา ฉันอาจไม่สามารถเดินเท้าไปหลายร้อยไมล์ นำข่าวประเสริฐไปสู่ผู้คน แต่ฉันสามารถขับรถไปอีกฝั่งของเมืองเพื่อช่วยหลือคนยากไร้ สามารถเดินข้ามถนนในหมู่บ้านไปหาเพื่อนบ้าน เพื่อบอกพวกเขาว่าพระเยซูทรงปลดเราให้เป็นอิสระจากความว้าวุ่นในใจได้ และแบ่งปันสันติสุขที่ทุกคนมองหาออกไป

ผ่านไปเป็นสัปดาห์ เดือน และเป็นปีที่ฉันจากเคนยามา ความทรงจำที่เห็นศิษยาภิบาลสองท่านเดินเท้าหลายร้อยไมล์ไปทั่วประเทศเพื่อแบ่งปันข่าวประเสริฐยังอยู่ในใจ กระตุ้นเตือนให้ฉันมีความมุ่งมั่นออกจากความสะดวกสบายไปทำหน้าที่ผู้ประกาศข่าวประเสริฐตามที่พระวจนะพูดถึงในอิสยาห์  52:7

เท้าของผู้นำข่าวดีมา ก็งามสักเท่าใดที่บนภูเขา ผู้โฆษณาสันติภาพ ผู้นำข่าวดีของเรื่องดี ผู้โฆษณาความรอด ผู้กล่าวแก่ศิโยนว่าพระเจ้าของเจ้าทรงครอบครอง

ใครจะไปบ้างคะ?

โดย : Nicki Koziarz

Encouragement for today : www.crosswalk.com

Categories
บทความแปล

อิสระที่จะเลือก

 

เลือกได้

ผู้ใดเล่าที่เป็นคนยำเกรงพระเจ้า พระองค์จะทรงสั่งสอนผู้นั้นในทางที่เขาควรเลือกได้ (สดุดี 25:12)

คุณมีอิสระที่จะเลือก แต่คุณ “ไม่มี”อิสระ ที่จะเลือกหลังจากที่ได้เลือกไปแล้ว  เพราะสิ่งที่คุณเลือกจะเลือกให้คุณแทน

มีผลตามมาต่อทุกการเลือกของคุณ “เสมอ”

ถ้าคุณเลือกที่จะกระโดดจากหลังคาตึกสิบชั้น คุณก็หมดสิทธิที่จะเลือกผลที่ตามมาจากการเลือกของคุณ เพราะการเลือกของคุณได้เลือกผลให้คุณแล้ว

และถ้าคุณเลือกไม่ดีล่ะ? พระเจ้าจะตอบสนองอย่างไร? ประการแรก พระองค์ทรงควบคุมอยู่ การเลือกของคุณไม่ทำให้พระองค์ประหลาดพระทัย  ขอบคุณพระเจ้า พระองค์ทรงจัดการกับตัวเลือกแย่ๆของเราได้ นำเรากลับคืนสู่สภาพดีเพื่อให้มีสามัคคีธรรมกับพระองค์ได้อีก

คุณเคยเลือกผิดพลาดในอดีตจนผลของมันตามาหลอกหลอนคุณจนทุกวันนี้หรือไม่? แบ่งปันสิ่งที่คุณเรียนรู้จากการเลือกให้กับคนที่มีความเชื่อน้อย เพื่อช่วยเขาให้เลือกได้อย่างถูกต้อง

โดย : Pastor Adrian Rogers’ daily devotional

อนุญาตโดย : Love worth finding Ministries: www.lwf.org

Categories
สารจากศบ.

สารจากศิษยาภิบาล

ImageHandler

15 ธันวาคม 2013

สวัสดีพี่น้องที่รักทุกท่าน

ขอต้อนรับทุกท่านด้วยความยินดี!

ขอต้อนรับเข้าสู่เดือนที่มีบรรยากาสคริสตมาสอันสุขสันต์

ขอให้เราส่งยิ้มและทักทายกันด้วยคำพูดที่ให้กำลังใจอันสุภาพอ่อนหวาน

ขอให้เราอธิษฐานเผื่อกันและกันด้วยความรักห่วงใย

ดังนั้น อย่ากลับบ้านโดยยังไม่ได้อธิษฐานร่วมกับผู้หนึ่งผู้ใดนะครับ!

อย่าลืมว่า  งานคริสตมาส CJ ของเราจะมีในวันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม เวลา 17.00 – 20.30 น. ณ สนามบาสเก็ตบอล โรงเรียนนานาชาติตรินิตี้ สุขุมวิท 36 จะพาเพื่อนฝูงหรือครอบครัวไปด้วยกี่คนก็ได้  ขอเพียงแต่ให้ช่วยดูแลพวกเขาได้ก็แล้วกัน

ขอให้เรามีสติและมีความรักให้แก่กันอยู่เสมอ อย่าให้ “ความเกลียดชัง” ครอบงำจิตใจของเราในช่วงบรรยากาศแห่ง “ความรัก” นี้และขอให้ “การช่วยกู้” และ “การให้อภัย” ของพระเจ้ามีต่อคนบาปอย่างพวกเราอย่างเหลือล้น

ขอให้เราใส่ใจที่จะพาญาติมิตรมารู้จักพระคริสต์นะครับ (หากว่าเรารักพวกเขาอย่างจริงใจ) อย่าให้เราขาดการมาประชุมนมัสการที่คริสตจักรหรือมาที่โบสถ์เพียงลำพังอย่างต่อเนื่องยาวนาน แต่ขอให้เราตั้งเป้ากันว่า เราจะนำคนที่เรารักมาคริสตจักรด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นวันอาทิตย์หรือในวันอื่น ๆ อาทิ เช่น วันอังคาร (ที่ บ.LoveIs), วันพฤหัส (ที่ CJ) และวันอื่น ๆ ที่มีกลุ่มแคร์ตามบ้าน (ทั้งวันพุธ และวันศุกร์)

ขอให้ปีหน้าฟ้าใหม่จะมีคนที่เรารักรู้จัก ต้อนรับพระคริสต์และรับบัพติศมาเพิ่มขึ้นนะครับ!

                  อนึ่ง ผู้ใดต้องการเรียนพระคัมภีร์ในวันธรรมดากับผม กรุณาติดต่อที่คุณโบ หรือ ผม ได้นะครับ!

                  ถ้าต้องการได้รับคำหนุนใจหรือข้อพระธรรม ดูได้ที่ thongchaibsc/facebook.com หรือ thongchaibsc/twitter.com            หรือ thongchaibsc/instagram

                   ขอพระเจ้าอวยพร อ.กฤษฎา และทุกท่านที่มาในวันนี้ด้วย

                     ด้วยรักจากใจเสมอ      

                     (ธงชัย  ประดับชนานุรัตน์) ศิษยาภิบาล

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

หลักการของสถานการณ์ (The Situation Principle)

แมวคิด

ดร.จอห์น ซี แม็กซ์ เวลล์ กล่าวไว้ว่า…

            “อย่าปล่อยให้สถานการณ์มีความสำคัญมากกว่าความสัมพันธ์!

            (Never let the situation mean more than the relationship)

การสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้นับเป็นสิ่งที่คู่ควรกับการได้รางวัลมากยิ่งกว่าความสามารถในการสลายความสัมพันธ์!

เราต้องมีท่าทีที่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า เราต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า เราจะไม่ยอมปล่อยให้สถานการณ์ใด ๆ มามีความสำคัญมากยิ่งไปกว่าความสัมพันธ์ที่เรามีต่อกัน   แล้วเราจะรักษาสถานการณ์เหล่านั้นด้วยมุมมองที่เหมาะสมอย่างไร?

            ดร. จอห์น แม็กซ์เวลล์ แนะนำให้เราเรียนรู้จักถามคำถามตัวเอง 5 คำถาม ดังนี้

1. ฉันมองดูภาพใหญ่หรือมองดูแค่เพียงแค่ภาพแย่? (Do I see the Big Picture – or Just the Bad Picture?)

ไม่ว่าคนที่เรารักจะผิดพลาดหรือตกต่ำลงมากอย่างไร เราต้องตระหนักว่า ไม่มีสิ่งใดจะมีค่าพอที่จะแลกเปลี่ยนกับคนเหล่านั้นได้ ดังนั้น จงมองภาพรวมและเตือนสติตนเองไว้เสมอว่า ไม่ว่าสถานการณ์จะย่ำแย่ขนาดไหน ก็จะไม่ยอมให้สิ่งใดมีความสำคัญมากกว่าคนเหล่านั้นในชีวิตของเรา

2.   ฉันสื่อสารภาพใหญ่ควบคู่ไปกับภาพแย่ด้วยหรือไม่?  (Do I communicate the Big Picture Along with the Bad One?)

ไม่ว่าบุคคลใด(ที่เรารัก) จะกระทำผิดหรือพลาดที่สมควรจะได้รับการแก้ไขหรือการลงวินัย เราต้องยืนยันความรักของเราต่อพวกเขาอยู่เสมอ ในขณะที่เรากำลังแก้ไขพวกเขา แม้ว่าเขาพวกอาจยังไม่เข้าใจในตอนนี้ แต่ในระยะยาวพวกเขาจะรู้สึกซาบซึ้งอย่างแน่นอน

3. สิ่งนี้เป็นสถานการณ์แบบเกิดขึ้นครั้งเดียวหรือเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า? (Is this a One-Time situation or an Oft-Repeated One?)

หากเป็นสถานการณ์(ย่ำแย่) ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ก็อาจเอาชนะแก้ไข และรื้อฟื้นความสัมพันธ์ได้ โดยไม่ยากแต่หากว่าเป็นปรากฏการณ์เกิดขึ้นที่ซ้ำซากอยู่เรื่อย ๆ เราทั้ง 2 ฝ่ายต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังในการเปลี่ยนแปลงการกระทำบางอย่างเพื่อรักษาความสัมพันธ์ให้คงอยู่

4. ฉันทำให้หลาย ๆ สถานการณ์กลายเป็นประเด็นแบบเอาเป็นเอาตายมากเกินไปหรือไม่? (Do I make too many situations a life – or – Death Issue?)

เรามักเครียดและหัวเสียกับบางสถานการณ์หรือไม่? เราชอบขึ้นเสียงเวลาพูดกับคนอื่นหรือไม่?   บ่อยแค่ไหนที่เราต่อสู้เพื่อสิทธิส่วนตัวของเราเองมากกว่าสิ่งที่ถูกต้อง  อย่าให้สิ่งเหล่านี้มาทำลายความสัมพันธ์ที่มีคุณค่าไป

5.  ฉันแสดงความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขในช่วงระหว่างช่วงเวลายากลำบากเหล่านั้นหรือไม่?  (Do I show My Unconditional Love During Difficult Situations?)

จงวางความสัมพันธ์ที่เรามีต่อกันไว้เหนือหรืออยู่ข้างหน้าสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตของเราและเราควรพัฒนาความไว้วางใจในความสัมพันธ์ระหว่างกันให้ลึกซึ้งยิ่ง ๆ ขึ้น แล้วความสัมพันธ์ที่มีนั้นจะขยับขึ้นสู่ระดับความสัมพันธ์ใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม แล้วเราจะไม่เสียใจในภายหลัง!

พี่น้องที่รัก  ขอให้เราจดจำไว้เสมอว่า  แม้ว่าสถานการณ์ที่เราเผชิญอยู่อาจจะไม่ได้ดีดังหวัง  แต่ก็จงจำไว้ว่า ไม่มีสถานการณ์ใดจะมีความสำคัญหรือมีค่ามากยิ่งไปกว่าความสัมพันธ์ที่เรามีกับคนที่เรารักหรือคนที่รักเรา!

ดังนั้น จงรักษาความสัมพันธ์ที่มีอยู่นั้นไว้ให้เหนียวแน่นด้วยความรัก!

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

 

 

Categories
บทความแปล

ไม่ร้อน ไม่เย็น – คือการดูหมิ่น

Ephesus church

แต่เรามีข้อที่จะต่อว่าเจ้าบ้าง  คือว่าเจ้าละทิ้งความรักดั้งเดิมของเจ้า (วิวรณ์ 2:4)

ในวิวรณ์  2:1-7 เราอ่านพบว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกล่าวตำหนิคริสตจักรที่เมืองเอเฟซัส พวกเขาได้ละทิ้งความรักดั้งเดิมเสียแล้ว

ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ได้รักพระเยซู เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่ได้รักพระองค์เหมือนอย่างที่เคยรัก

ถ้ามีเวลาใดที่คุณเคยรักพระเยซูมากกว่าที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้ คุณก็ลื่นไถลไปข้างหลังแล้ว จี. แคมพ์เบล มอร์แกน กล่าวว่า ความอุ่นๆ หรือไม่ร้อน ไม่เย็น เป็นการดูหมิ่นพระเจ้าที่ร้ายที่สุด ผมเชื่อว่าท่านพูดถูก

ไม่ร้อน – ไม่เย็น เป็นเหมือนกำลังบอกพระเจ้าว่า “พระเจ้าครับ ผมเชื่อในพระองค์ แต่พระองค์ไม่น่าตื่นเต้นอีกต่อไปแล้ว” น่าเสียดายถ้าเราไม่ได้อยู่ในความรักขององค์พระเยซูคริสต์อีกต่อไป

คุณละทิ้งความรักดั้งเดิมไปหรือยัง?

ความรักที่เคยมีให้พระเยซูอุ่นไปหรือเปล่า?

อ่านคำอธิษฐานในสดุดี 26:2 และแสวงหาพระพักตร์พระองค์กันอีกครั้ง

 

โดย : Pastor Adrian Rogers’ daily devotional

Love worth finding ministries: www.lwf.org