Categories
บทความแปล

จะฝากลูกไว้กับมือที่ปลอดภัยที่สุดอย่างไร?

ฝากลูกไว้ในมือใคร

ฝ่ายท่านผู้เป็นบิดา อย่ายั่วบุตรของตนให้เกิดโทสะ แต่จงอบรมบุตรด้วยการสั่งสอน และการเตือนสติตามหลักขององค์พระผู้เป็นเจ้า (เอเฟซัส 6:4)

เมื่อไม่นานมานี้ผมกลับจากท่องเที่ยวอิสราเอล นำกลุ่มนักท่องเที่ยวไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ เป็นการเดินทางที่ตื่นตาตื่นใจ เราไปดูซากปรักหักพังของยุคโบราณ ในท่ามกลางซากเหล่านั้นมีแท่นและที่บูชาของพวกพระต่างชาติ มีแท่นหนึ่งสำหรับบูชาพระโมเลค และเป็นแท่นที่สมัยโบราณพ่อแม่จะนำลูกคนแรกมาวางเพื่อบูชายันต์

ความคิดผมวนกลับมาที่ประเทศของเราทุกวันนี้  พระยุคโบราณแบบนั้นแทบไม่เหลือแล้ว แต่คนก็ยังเอาทารกมาบูชายันต์บนแท่นแห่งความสนุกชั่วครู่ ทุกปีมีทารกถูกทำแท้งกว่าล้านห้าแสนคน … เพื่อถวายบูชาแก่พระเจ้าแห่งความเพลิดเพลินใจ และความสบายตัวที่ไม่ต้องรับผิดชอบ

ไม่เพียงเท่านั้น บางคนยังนำลูกไปบูชายันต์บนแท่นบูชาแห่งวัฒนธรรมของตัวเอง ปล่อยให้เด็กดู ฟัง เล่น และมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ต้องการได้ตามใจชอบ โดยอ้างคำว่า “เด็กก็คือเด็ก” แต่ความจริงคือพ่อแม่พวกนี้กำลังกรอกยาพิษฝ่ายวิญญาณให้ลูกของตัวเอง

ลูกของเรามีค่ามาก อย่านำพวกเขาไปวางบนแท่นบูชาใด นอกจากแท่นที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้ เมื่อลูกถือกำเนิดมา จงเลี้ยงดูพวกเขาในทางของพระเจ้า เมื่อคุณมอบถวายลูกให้พระองค์อย่างหมดใจ แน่ใจได้ว่าเขาจะอยู่ในมือที่ดีที่สุด

มอบถวายลูกคุณให้พระเจ้า มั่นใจว่าพระองค์จะทรงนำพวกเขาไปสู่ชีวิตตามที่ทรงตั้งพระทัยไว้

อนุญาตโดย : Pastor Jack Graham

Jack Graham Power Point Ministry: www.powerpoint.org

Categories
บทความแปล

พิบัติที่ใกล้เข้ามา

วันสิ้นโลก

ด้วยว่าในคราวนั้นจะเกิดความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่ง อย่างที่ไม่เคยมีตั้งแต่เริ่มโลกมาจนถึงทุกวันนี้ และในเบื้องหน้าจะไม่มีต่อไปอีก” (มัทธิว 24:21)

ท่านนายพลโอมาร์ แบรดลี่ย์ พูดถึงคนในยุคของเราว่า :

· เรารู้เรื่องสงครามดีกว่ารู้เรื่องสันติภาพ
· เรารู้เรื่องการฆ่าดีกว่าการใช้ชีวิต

นี่คือสิ่งที่ศตวรรษที่ 20 กล่าวอ้างว่ากำลังพัฒนาไป

– ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ แซงความสามารถในการควบคุม
· เรามีชายและหญิงแห่งเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์มากมาย แต่ชายและหญิงของพระเจ้าน้อยคนนัก
· โลกได้รับความสำเร็จในเรื่องความเก่งกล้าสามารถ แต่ขาดสติปัญญา

–  ผู้คนมีอำนาจแต่ขาดจิตสำนึก
· เราคือโลกยักษ์ใหญ่แห่งนิวเคลียร์ และลูกมดแห่งจริยธรรม

ผมคิดว่าได้พูดไปมากพอแล้ว พระเยซูตรัสว่าจะมีเวลาที่ไม่มีใครเคยเห็น และไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ – ภัยพิบัติและทุกข์ลำบากครั้งยิ่งใหญ่ ทุกสิ่งที่พัฒนาและก้าวหน้าไปจะไปจบลงที่เดียวเท่านั้น  – องค์พระเยซูคริสต์

คุณจะไปอยู่ที่ไหนในวันแห่งความทุกข์ลำบากนั้น?

คุณอยากจะไปอยู่ที่ไหนครับ?  

โดย : Pastor Adrian Rogers’ daily devotional

อนุญาตโดย : Love worth finding ministries: www.lwf.org

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ (บทเรียนที่ 23)

เมื่อผู้รับใช้พระเจ้าท้อแท้!

 

พระธรรม        1พงศ์กษัตริย์ 19:1-21

อ้างอิง              1พกษ.16:31;18:4,22,30;19:11,16,21;2พกษ.2:1;3:11;8:7-14;9:1-6;10:32;12:17;13:3,7,22

บทนำ           ไม่ว่าเราจะเก่งกล้าสามารถมากสักเพียงใดก็อาจจะมีช่วงเวลาของชีวิตที่จิตตกและวิญญาณอ่อน ทำให้หมดเรี่ยวหมดแรงและคิดเพี้ยน ออกนอกลู่นอกทางของพระเจ้าไปได้ ฉะนั้น เราต้องไม่ประมาท และพึ่งพระเจ้าใกล้ชิดติดสนิทกับพระเจ้าไว้ตลอดเวลา

บทเรียน

19:1 “อาหับ​จึง​บอก​เยเซเบล​ทุก​สิ่ง​ที่​เอลียาห์​ได้​ทำ รวม​ทั้ง​เรื่อง​ที่​ท่าน​ฆ่า​ผู้​เผย​พระวจนะ​ทั้งสิ้น​ของ​พระ​บาอัล​ด้วย​ดาบ”

        (Ahab told Jezebel all that Elijah had done, and how he had killed all the prophets with the sword.)

19:2 “แล้ว​เยเซเบล​ก็​ส่ง​ผู้​สื่อสาร​ไป​บอก​เอลียาห์​ว่า “ถ้า​พรุ่งนี้ เวลา​นี้ เรา​ไม่ได้​ทำ​ชีวิต​ของ​เจ้า​ให้​เหมือน​อย่าง​ชีวิต​ของ​คน​เหล่า​นั้น​แล้ว ก็​ให้​พระ​ทั้งหลาย​ทำ​อย่าง​นั้น​กับ​เรา และ​ทำ​ให้​หนัก​กว่า

       (Then Jezebel sent a messenger to Elijah, saying, “So may the gods do to me and more also, if I do not  make your life as the life of one of them by this time tomorrow.” )

19:3 “เมื่อ​ท่าน​ทราบ​ก็​ลุกขึ้น​หนี​เอา​ชีวิต​รอด และ​มา​ถึง​เบเออร์เชบา​เขต​ยูดาห์ แล้ว​ท่าน​ละ​คนใช้​ของ​ท่าน​ไว้​ที่นั่น”

(Then he was afraid, and he arose and ran for his life and came to Beersheba, which belongs to Judah, and left his servant there. )

19:4 “แต่​ตัว​ท่าน​เอง​เดิน​เข้า​ถิ่น​ทุรกันดาร​ไป​เป็น​ระยะ​ทาง​วัน​หนึ่ง ท่าน​มา​นั่ง​อยู่​ใต้​ต้นซาก​ที่​มี​เพียง​ต้น​เดียว และ​ทูลขอ​ให้​ตัวท่าน​ตาย​เสีย​ที​ว่า “พอ​กัน​ที ข้า​แต่​พระยาห์เวห์ บัดนี้​ขอ​เอา​ชีวิต​ข้า​พระองค์​ไป​เสีย เพราะ​ข้า​พระองค์​ก็​ไม่​ดี​ไป​กว่า​บรรพบุรุษ

       (But he himself went a day’s journey into the wilderness and came and sat down under a broom tree.    And he asked that he might die, saying, “It is enough; now, O Lord, take away my life, for I am no  better than my fathers.” )

19:5 “และ​ท่าน​ก็​เอน​กาย​ลง​หลับ​ใต้​ต้นซาก​ต้น​เดียว​นั้น นี่แน่ะ มี​ทูตสวรรค์​องค์​หนึ่ง​มา​แตะต้อง​ท่าน และ​พูด​กับ​ท่าน​ว่า “ลุกขึ้น​รับประทาน​สิ

       (And he lay down and slept under a broom tree. And behold, an angel touched him and said to him,  “Arise and eat.” )

19:6 “และ​ท่าน​มองดู นี่แน่ะ ตรง​ศีรษะ​ของ​ท่าน​มี​ขนม​ปัง​ที่​ปิ้ง​บน​ก้อนหิน​ร้อน และ​มี​ไหน้ำ​ลูก​หนึ่ง ท่าน​ก็​รับประทาน​และ​ดื่ม​แล้ว​นอน​ลง​อีก”

       (And he looked, and behold, there was at his head a cake baked on hot stones and a jar of water. And  he ate and drank and lay down again. )

19:7 “และ​ทูต​ของ​พระยาห์เวห์​ก็​มา​อีก​เป็น​ครั้ง​ที่​สอง ถูกต้อง​ท่าน แล้ว​ว่า “ลุกขึ้น​รับประทาน​สิ มิฉะนั้น​การ​เดิน​ทาง​จะ​เกิน​กำลัง​ของ​ท่าน

(And the angel of the Lord came again a second time and touched him and said, “Arise and eat, for the journey is too great for you” )

19:8 “และ​ท่าน​ก็​ลุกขึ้น​รับประทาน​และ​ดื่ม และ​เดิน​ไป​ด้วย​กำลัง​ของ​อาหาร​นั้น สี่สิบ​วัน​สี่สิบ​คืน​ถึง​โฮเรบ​ภูเขา​ของ​พระเจ้า”

     (And he arose and ate and drank, and went in the strength of that food forty days and forty nights to  Horeb, the mount of God. )

19:9 “ที่นั่น​ท่าน​มา​ถึง​ถ้ำ​แห่ง​หนึ่ง​และ​เข้า​พัก​อยู่ และ​นี่แน่ะ พระวจนะ​ของ​พระยาห์เวห์​มา​ถึง​ท่าน และ​พระองค์​ตรัส​กับ​ท่าน​ว่า “เอลียาห์​เอ๋ย เจ้า​ทำ​อะไร​อยู่​ที่นี่?”

    (There he came to a cave and lodged in it. And behold, the word of the Lord came to him, and he said  to him, “What are you doing here, Elijah?” )

19:10 “ท่าน​ทูล​ว่า“ข้า​พระองค์​หวงแหน​แทน​พระยาห์เวห์​พระเจ้า​จอมทัพ​ยิ่ง​นัก เพราะ​ประชาชน​อิสราเอล​ได้​ทอดทิ้ง​พันธสัญญา​ของ​พระองค์ ได้​พัง​แท่น​บูชา​ของ​พระองค์ และ​ประหาร​ผู้​เผย​พระวจนะ​ของ​พระองค์​เสีย​ด้วย​ดาบ และ​ข้า​พระองค์ ข้า​พระองค์​แต่​ผู้เดียว​เหลือ​อยู่ และ​เขา​ทั้งหลาย​มุ่ง​เอา​ชีวิต​ข้า​พระองค์

 (He said, “I have been very jealous for the Lord, the God of hosts. For the people of Israel have   forsaken your covenant, thrown down your altars, and killed your prophets with the sword, and I, even  I only, am left, and they seek my life, to take it away.” )

19:11 “และ​พระองค์​ตรัส​ว่า “จง​ออก​ไป​เถิด ไป​ยืน​อยู่​บน​ภูเขา​เฉพาะ​พระพักตร์​พระยาห์เวห์”และ​นี่แน่ะพระยาห์เวห์​กำลัง​ทรง​ผ่าน​ไป และ​ลม​พายุ​รุนแรง​ได้​พัด​พัง​ภูเขา และ​ทำ​ให้​หิน​แตก​เป็น​เสี่ยงๆ เฉพาะ​พระพักตร์​พระยาห์เวห์แต่​พระยาห์เวห์​ไม่ได้​สถิต​ใน​ลม​นั้น ภายหลัง​ลม​ก็​เกิด​แผ่นดิน​ไหว แต่​พระยาห์เวห์​ไม่ได้​สถิต​ใน​แผ่นดิน​ไหว​นั้น”

   (And he said, “Go out and stand on the mount before the Lord.” And behold, the Lord passed by, and  a great and strong wind tore the mountains and broke in pieces the rocks before the Lord, but the Lord  was not in the wind. And after the wind an earthquake, but the Lord was not in the earthquake.)

19:12 “ภายหลัง​แผ่นดิน​ไหว​ก็​เกิด​ไฟ แต่​พระยาห์เวห์​ไม่ได้​สถิต​ใน​ไฟ​นั้น ภายหลัง​ไฟ​ก็​มี​เสียง​เบาๆ”

   (And after the earthquake a fire, but the Lord was not in the fire. And after the fire the sound of a low  whisper. )

19:13 “และ​เมื่อ​เอลียาห์​ได้​ยิน ท่าน​ก็​เอา​เสื้อคลุม​ปิด​หน้า​ไว้ ออก​ไป​ยืน​อยู่​ที่​ปาก​ถ้ำ และ​นี่แน่ะ มี​เสียง​มา​ถึง​ท่าน​ว่า  “เอลียาห์​เอ๋ย เจ้า​ทำ​อะไร​อยู่​ที่นี่?”

  (And when Elijah heard it, he wrapped his face in his cloak and went out and stood at the entrance of  the cave. And behold, there came a voice to him and said, “What are you doing here, Elijah?” )

19:14 “ท่าน​ทูล​ว่า “ข้า​พระองค์​หวงแหน​แทน​พระยาห์เวห์​พระเจ้า​จอมทัพ​ยิ่ง​นัก เพราะ​ว่า​ประชาชน​อิสราเอล​ได้​ทอดทิ้ง​ พันธสัญญา​ของ​พระองค์ ได้​พัง​แท่น​บูชา​ของ​พระองค์​ลง​เสีย และ​ประหาร​ผู้​เผย​พระวจนะ​ของ​พระองค์​เสีย​ด้วย​ดาบ  และ​ข้า​พระองค์ ข้า​พระองค์​แต่​ผู้​เดียว​เหลือ​อยู่ และ​เขา​ทั้งหลาย​มุ่ง​เอา​ชีวิต​ข้า​พระองค์

 (He said,”I have been very jealous for the Lord, the God of hosts. For the people of Israel have  forsaken your covenant, thrown down your altars, and killed your prophets with the sword, and I,   even I only, am left, and they seek my life, to take it away.” )

19:15 “และ​พระยาห์เวห์​ตรัส​กับ​ท่าน​ว่า “ไป​เถอะ จง​กลับ​ไป​ตาม​ทาง​ของ​เจ้า​ถึง​ถิ่น​ทุรกันดาร​ดามัสกัส และ​เมื่อ​เจ้า​ไป​ถึง​แล้ว จง​เจิม​ฮาซาเอล​ให้​เป็น​กษัตริย์​ปกครอง​ซีเรีย”

     (And the Lord said to him, “Go, return on your way to the wilderness of Damascus. And when  you  arrive, you shall anoint Hazael to be king over Syria.)

19:16 “และ​เยฮู​บุตร​นิมซี​นั้น จง​เจิม​ให้​เป็น​กษัตริย์​ปกครอง​อิสราเอล และ​เอลีชา​บุตร​ชาฟัท​ชาว​อาเบลเมโฮลาห์ จง​เจิม​ให้​ เป็น​ผู้​เผย​พระวจนะ​แทน​เจ้า”

 (And Jehu the son of Nimshi you shall anoint to be king over Israel, and Elisha the son of Shaphat of  Abel-meholah you shall anoint to be prophet in your place. )

19:17 “และ​ผู้​ที่​รอด​จาก​ดาบ​ของ​ฮาซาเอล เยฮู​จะ​ฆ่า​เสีย และ​ผู้​ที่​รอด​จาก​ดาบ​ของ​เยฮู เอลีชา​จะ​ฆ่า​เสีย”

    (And the one who escapes from the sword of Hazael shall Jehu put to death, and the one who  escapes from the sword of Jehu shall Elisha put to death. )

19:18 “แต่​เรา​จะ​เหลือ 7,000 คน​ไว้​ใน​อิสราเอล คือ​ทุก​คน​ที่​ไม่ได้​คุก​เข่า​ลง​ต่อ​พระบาอัล และ​ไม่ได้​จูบ​พระ​นั้น

   (Yet I will leave seven thousand in Israel, all the knees that have not bowed to Baal, and every mouth that has not kissed him.” )

19:19 “เอลียาห์​ก็​ออก​จาก​ที่นั่น​และ​พบ​เอลีชา​บุตร​ชาฟัท ผู้​กำลัง​ไถ​นา​อยู่​ด้วย​วัว​คู่​หนึ่ง มี​วัว​อื่น​อีก​สิบเอ็ด​คู่​ที่​เดิน​อยู่​ข้างหน้า  และ​ท่าน​อยู่​กับ​วัว​คู่​ที่​สิบสอง เอลียาห์​ก็​ผ่าน​ไป​โยน​เสื้อ​คลุม​ลง​บน​ท่าน”

    (So he departed from there and found Elisha the son of Shaphat, who was plowing with twelve yoke of  oxen in front of him, and he was with the twelfth. Elijah passed by him and cast his cloak upon him. )

19:20 “ท่าน​ก็​ละ​วัว​เหล่า​นั้น วิ่ง​ตาม​เอลียาห์​ไป​และ​กล่าว​ว่า “ขอ​ให้​ข้าพเจ้า​ไป​จูบ​ลา​บิดา​มารดา​ของ​ข้าพเจ้า​ก่อน และ​ข้าพเจ้า​จะ​ติดตาม​ท่าน​ไป” เอลียาห์​จึง​กล่าว​กับ​เอลีชา​ว่า “ไป​เถิด แล้ว​กลับ​มา​อีก เพราะ​เรา​ได้​ทำ​อะไร​แก่​ท่าน?​”

    (And he left the oxen and ran after Elijah and said, “Let me kiss my father and my mother, and then I will follow you.” And he said to him, “Go back again, for what have I done to you?” )

19:21 “และ​เอลีชา​ก็​ละ​เอลียาห์​ไว้ ท่าน​กลับ​ไป​และ​จับ​วัว​คู่​นั้น​ฆ่า​เสีย เอา​เครื่อง​แอก​ต้ม​เนื้อ​วัว และ​ให้​แก่​ประชาชน และ​พวกเขา​ก็​รับประทาน แล้ว​เอลีชา​ก็​ลุกขึ้น ตาม​เอลียาห์​ไป​และ​ปรนนิบัติ​ท่าน”

   (And he returned from following him and took the yoke of oxen and sacrificed them and boiled their  flesh with   the yokes of the oxen and gave it to the people, and they ate. Then he arose and went after Elijah and assisted him. )

 ข้อมูลมีประโยชน์

19:1     “เยเซเบล” (Jezebel) = มเหสีของอาหับชื่อของเธอแปลว่า “สะอาดบริสุทธิ์, ปราศจากมลทิน”  และ นมัสการพระบาอัลเมลคาร์ท ซึ่งเป็นพระของฟินีเซีย (16:25,31-32;18:13)

19:2     “ก็ให้พระทั้งหลายทำอย่างนั้นกับเรา และให้หนักกว่า” (So may the gods do to me and more also) = เป็นสำนวนของคำสาปแช่งให้รับผลอย่างสาหัส ถ้าผิดสัญญา (1ซมอ.3:17)

19:3     “ลุกขึ้นหนีเอาชีวิตรอด” (arose and ran for his life) = แม้เอลียาห์จะมีชัยชนะยิ่งใหญ่ในการท้าพิสูจน์ที่ภูเขาคารเมล และสำแดงอย่างชัดเจนว่า พระเจ้าของเขาเป็นพระเจ้าเหนือฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ทรงเป็นแหล่งพระพรของอิสราเอล แต่พระนางเยเซเบลไม่เกรงขาม อาหับก็ไม่สามารถขัดขวางอะไร พระนางขู่เล่นงานเอลียาห์ ทำให้ชีวิตของเขาอยู่ในอันตราย

          “เบเออร์เชบา” (Beersheba) = เมืองทางใต้สุดของยูดาห์ (ปฐก.21:31;อมส.5:5;วนฉ.20:1)

19:4     “ต้นซาก” (broom tree) = เป็นไม้ในพุ่มทะเลทราย บางครั้งมีขนาดใหญ่พอที่จะบังแสงแดดได้

“ทูลขอให้ตัวท่านตายเสียที” (asked that he might die) –ปท.กับโยนาห์ (ยนา 4:3,8)

-เอลียาห์สรุปว่างานของเขาไม่เกิดผล ชีวิตจึงไม่มีค่าอีกต่อไป เขาสูญเสียความมั่นใจในชัยชนะ และต้องการถอนตัวออกจากสมรภูมิแห่งความขัดแย้ง

19:7     “ทูตของพระยาห์เวห์”(angel of the Lord) –ปฐก.16:7 –ถูกส่งมาเพื่อเลี้ยงดู และช่วยผู้รับใช้ที่กำลังท้อใจ

“การเดินทางจะเกินกำลังของท่าน” (the journey is too great for yo) = เห็นได้ชัดว่า เอลียาห์ตั้งใจเดินทางไปภูเขาโฮเรบ ซึ่งเป็นที่พระเจ้าสถาปนาพันธสัญญากับประชากรของพระองค์ ทั้ง ๆ ที่พระเจ้าไม่ได้สั่งให้ไป ไม่เหมือนที่พระเจ้าสั่งให้เขาไปที่เครีท (17:2-3) ที่ศาราฟัท (17:8-9); และไปพบอาหับ (18           19:8     “สี่สิบวันสี่สิบคืน” (forty days and forty nights) = เช่นเดียวกับที่พระเจ้าดูแลโมเสสในขณะที่อยู่บนภูเขาซีนาย (อพย.24:18;34:28) และที่พระเยซูถูกทดลองอยู่ในถิ่นทุรกันดาร (มธ.4:2-11)

“โฮเรบภูเขาของพระเจ้า” (Horeb, the mount of God) = อาจเป็นอีกชื่อหนึ่งของภูเขาซีนาย (อพย.3:1;

19:1-3)  ตั้งอยู่ในถิ่นทุรกันดารประมาณ 402 กิโลเมตร ทางใต้ของเบเออร์เชบา

19:9     “เอลียาห์เอ๋ย เจ้าทำอะไรอยู่ที่นั่น?” (What are you doing here, Elijah?) = คำถามที่สื่อว่า เอลียาห์มาที่ภูเขาซีนายด้วย เหตุผลผิดของตัวเอง ไม่ใช่เป็นเพราะพระเจ้าสั่งให้มา

19:10   “ข้าพระองค์หวงแหนพระยาห์เวห์ พระเจ้าจอมทัพยิ่งนัก” (I have been very jealous for the Lord, the God of hosts) = เอลียาห์ไม่ได้ตอบคำถามของพระเจ้าตรง ๆ เขากล่าวโทษชนชาติอิสราเอลที่ละเมิดพันธสัญญาและทำบาป ทิ้งพระเจ้า (อพย.32:11-13) เขาบ่นอย่างขมขื่นเกี่ยวกับการรับใช้ที่ไม่เกิดผลของตัวเอง ,  “ข้าพระองค์แต่ผู้เดียวเหลืออยู่”  (I, even I only       ) –18:22

19:12   “มีเสียงเบาๆ” (sound of a low whisper.) = เสียงกระซิบอันอ่อนโยน ดูเหมือนจะเป็นสัญลักษณ์ แม้เอลียาห์จะกล่าวโทษอิสราอลและเรียกร้องให้พระเจ้าลงโทษพวกเขา ด้วยพายุ แผ่นดินไหวและไฟ แต่พระเจ้ามิได้ประสงค์จะกระทำเช่นนั้น  แต่ประสงค์ให้เอลียากลับไปกระทำพันธกิจตามพระประสงค์ของพระเจ้า รวมทั้งการเตรียมคนสืบทอดงานต่อไป (ข.16)

19:13   “เอลียาห์เอ๋ย เจ้าทำอะไรอยู่ที่นี่?” (What are you doing here, Elijah?) –พระเจ้าให้โอกาสแก่เอลียาห์อีกครั้งในการตอบคำถามเดิม (ข.9-10)

19:14   “ข้าพระองค์หวงแหนแทนพระยาห์เวห์” (I have been very jealous for the Lord,…) = เอลียาห ตอบคำถามแบบเดิม แสดงว่าเขาไม่เข้าใจความสำคัญของสิ่งที่พระเจ้าเพิ่งเปิดเผยให้เห็นเลย

19:15   “พระยาห์เวห์ตรัสกับท่านว่า” (the Lord said to him) = พระเจ้าบัญชาให้เอลียาห์ให้เป็นตัวแทนของพระเจ้าในการสำแดงฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่ของพระเจ้า เหนือชนทุกชาติและแม้พระเจ้าจะพิพากษาอิสราเอลผ่านทางฮาซาเอล เยฮู และเอลีชาแต่พระองค์ก็ยังคงรักษาคนจำนวนหนึ่งที่ยังสัตย์ซื่อไว้ในหมู่ประชาชน

          “ไปตามทางของเจ้าถึงถิ่นทุรกันดารดามัสกัส”(return on your way to the wilderness of Damascus)

= เอลียาห์คงกลับไปโดยใช้เส้นทางด้านตะวันออกของทะเลตาย และแม่น้ำจอร์แดน –ปรากฏว่า การเจิม 3 ครั้ง เกิดขึ้นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน และเอลีชาเป็นผู้ยืนยันการเจิมกษัตริย์ 2 องค์แทนท่าน

“จงเจิม” (shall anoint) =  เจิมตั้ง หมายความว่า = เลือกผู้ที่พระเจ้าแต่งตั้ง  โดยผู้ที่เจิมตั้งนี้คือ เอลีชาผู้สืบทอดต่อจากเอลียาห์ (2พกษ.8:7-15)

“ฮาซาเอล” (Hazael) = ผู้เป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรงของอิสราเอลในรัชกาลโยรัม เยฮู และเยโฮอาหาส (2พกษ.8:28-29;10:32-33;12:17-18;13:3,22)

19:16   “เยฮู บุตรนิมซี” (Jehu the son of Nimshi) =เยฮูเป็นแม่ทัพรับใช้อาหับ และโยรัมผู้เป็นบุตรชายของ     อาหัส (2พกษ.9:5-6) เขาได้รับการเจิมตั้งเป็นกษัตริย์อิสราเอล โดย “ผู้เผยพระวจนะคนหนึ่ง” ตามคำสั่งของเอลีชา (2พกษ.9:1-16) พร้อมกับคำสั่งให้ทำลายวงศ์วานของอาหับ

          “เอลีชาบุตรชาฟัท” (Elisha the son of Shaphat )  = ชื่อของเอลีชาหมายความว่า “พระเจ้าคือความรอด” หรือ “พระเจ้าทรงช่วย” = เป็นหัวใจของพันธกิจของเขา ชื่อของเขาสะท้อนชื่อของโยชูวาที่หมายความว่า “พระยาห์เวห์ทรงช่วย”

-เอลียาห์มีคนมาช่วยทำให้สำเร็จเหมือนโมเสสมีโยชูวา

-เอลีชานำพระพรแห่งพันธสัญญาของพระเจ้ามาสู่คนที่ซื่อสัตย์ในอิสราเอล เช่นเดียวกับที่โยชูวานำอิสราเอลเข้าสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา(2พกษ.2:19-8:15;9:1-3;13:14-20)

ในพันธสัญญาใหม่ ยอห์นผู้ให้บัพติศมา (มธ.11:14;17:12-13) ก็มาก่อนพระเยซู (ซึ่งชื่อมีความหมายเช่นเดียวกับโยชูวา –มธ.1:21) เพื่อกระทำให้พระราชกิจแห่งการช่วยกู้สำเร็จ

“ชาฟัท” (Shaphat )  = “พระองค์ทรงพิพากษา”

19:17   “ผู้ที่รอดจากดาบของฮาซาเอล เยฮูจะฆ่าเสีย” (who escapes from the sword of Hazael shall Jehu put to death) –2พกษ.9:24

“ผู้ที่รอดจากดาบของเยฮู เอลีชาจะฆ่าเสีย” (who escapes from the sword of Jehu shall Elisha put to death.) –2พกษ.2:24;8:1;ฮชย.6:5

19:18   “เหลือ 7000 คนไว้ในอิสราเอล” (leave seven thousand in Israel) = เป็นตัวเลขถ้วน ๆ เป็นสัญลักษณ์สื่อถึงความสมบูรณ์หรือความครบถ้วนของคนชอบธรรมที่เหลืออยู่ซึ่งพระเจ้าทรงรักษาไว้ (รม.11:2-4) แต่เอลียาห์กลับเข้าใจผิดคิดว่าเหลือแต่เขาเพียงผู้เดียวที่ซื่อสัตย์ภักดีต่อพระเจ้ (19:10,14;18:22)

“ไม่ได้จุบพระนั้น” (not kissed him) = ไม่ได้จุบพระบาอัล (ฮชย.13:2)

19:19   “โยนเสื้อคลุมลงบนท่าน” (cast his cloak upon him.)  = เหวี่ยงเสื้อคลุมห่มให้เอลีชา

= เป็นการกำหนดว่า เอลีชาจะเป็นผู้สืบทอดหน้าที่ต่อจากเอลียาห์ (ข.16)

19:21   “จับวัวคู่นั้นฆ่าเสีย เอาเครื่องแอกต้มเนื้อวัว” (took the yoke of oxen and sacrificed them and  boiled their flesh with the yokes of the oxen) = เป็นการประกาศตัวขาดจากอาชีพเดิมของเอลีชาอย่างสมบูรณ์ –ดูจากหลักฐานบ่งชี้ว่าเขามาจากครอบครัวที่มีฐานะดี

“ปรนนิบัติท่าน”(assisted him.)= รับใช้เป็นผู้ช่วย คำ ๆ นี้ในภาษาฮีบรูมีสถานภาพเดียวกับความสัมพันธ์ของโยชูวาและโมเสส (อพย.24:13;33:11)

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยมีประสบการณ์กับความ “น่ากลัว” ของ “ผู้หญิง” บางคนบ้างหรือไม่? เรื่องราวเป็นอย่างไร?
  2. คุณเคยตกใจกลัวจนต้องรีบหนีเอาตัวรอด เพราะคำขู่ของใครบางคน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก “ผู้หญิง”) บ้างหรือไม่?  อย่างไร?
  3. คุณเคยท้อแท้แบบสุด ๆ หรือไม่?  เมื่อใด?  เพราะอะไร?
  4. คุณเคยมีประสบการณ์กับการหนุนกำลังทางกายและทางใจในยามหมดเรี่ยวแรงบ้างหรือไม่?  จากใคร? และอย่างไร? ใช้เวลานานหรือไม่กว่าจะกลับคืนสู่สภาพปกติ (ขอแบ่งปัน)
  5. คุณเคยอยู่ผิดที่ผิดทางบ้างหรือไม่ในชีวิตของคุณ?  อย่างไร? และทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
  6. พระเจ้าทรงช่วยคุณอย่างไรบ้างในสภาวะหมดเรี่ยวหมดแรงและการอยู่ผิดที่ผิดทางของคุณ?
  7. คุณเคยคิดว่ามีแต่คุณคนเดียวเท่านั้นที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อความถูกต้องเพื่อองค์กรหรือเพื่อพระเจ้า แต่สุดท้าย

ปรากฎความจริงว่า มีคนมากมายที่ยืนหยัดเช่นเดียวกับคุณบ้างหรือไม่?  (แบ่งปัน)

  1. คุณเคยเลือก เตรียมหรือฝึกฝนผู้ใดให้ทำหน้าที่แทนตัวของคุณต่อไปบ้างหรือไม่?  ด้วยวิธีใดและได้ผลหรือไม่?  อย่างไร?

ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทความแปล

ความจริงเบื้องหลังผู้ไม่เชื่อ ‏

การทรงสร้าง

คนโง่รำพึงอยู่ในใจของตนว่า “ไม่มีพระเจ้า” เขาทั้งหลายก็เลวทรามลง กระทำกิจการที่น่าเกลียดน่าชัง ไม่มีสักคนเดียวที่ทำดี (สดุดี 14:1)

บางทีคุณอาจเคยสังเกตเห็นว่าในพระคัมภีร์แต่ละหน้า ไม่มีตรงไหนเลยที่มีคำพูดโต้แย้งว่าไม่มีพระเจ้า และที่จริงพระวจนะวันนี้เป็นถ้อยคำเดียวที่ย้ำชัดเจนถึงเรื่องนี้ และยังบอกให้รู้อีกว่ามุมมองเบื้องหลังของคนที่ไม่เชื่อเช่นนี้ ผิดพลาดแน่นอน

ครับตามมุมมองของคนไม่เชื่อ บอกเราว่า นานแสนนานมาแล้ว มีความบังเอิญและประจวบเหมาะบางอย่างเกิดขึ้น ทำให้สิ่งมีชีวิตอุบัติขึ้นในโลก และเมื่อผ่านเหตุการณ์ ความเปลี่ยนแปลง และสาเหตุอื่นๆนับไม่ถ้วนเป็นเวลาล้านๆ ล้านๆปี สิ่งมีชีวิตนั้นก็ปรับเปลี่ยนสภาพไปจนเป็นแบบที่เราเห็นหรือเป็นกันทุกวันนี้

ผมไม่ทราบว่าคุณคิดอย่างไร สำหรับผม นั่นคือความโง่เขลา แต่เหตุผลที่ยังมีคนยึดตามความเชื่อนี้ เพราะข้อโต้แย้งนั้นฟังดูน่าเชื่อถือ แต่เบื้องหลังแนวคิดเช่นนี้คือจิตวิญญาณที่กบฎไม่ต้องการให้มีพระเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะว่าถ้าไม่มีพระเจ้า ก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไรเลย

แต่สิ่งที่เป็นตรรกะที่สุด คือเรารู้ว่าสรรพสิ่งต่างๆเกิดขึ้นได้ต้องมีผู้สร้างที่เหนือกว่า และผู้สร้างนั้น ผมเชื่อมั่นว่าคือพระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์ เรารู้จักพระเจ้าผ่านทางความสัมพันธ์ที่เรามีต่อพระบุตรของพระองค์คือพระเยซู ดังนั้นจงยอมรับในพระผู้สร้างของคุณโดยทางความเชื่อในพระเยซูพระบุตรของพระองค์

มุมมองของผู้ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้านั้นโง่เขลา จงน้อมรับพระเจ้าว่าเป็นพระผู้สร้างของคุณ โดยเข้ามาเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์

อนุญาตโดย : Pastor Jack Graham

Jack Graham Power Point Ministry: www.powerpoint.org

 

Categories
บทความแปล

ฉันต้องทำอะไร?

โค่นมะกอกเทศลง

“ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า” (ฟีลิปปี 4:13)

ขณะยืนบนภูเขาโล่งในดินแดนโบราณ ฉันรู้สึกตัวลีบ ฉันและสามีค้างคืนกันที่หมู่บ้านเล็กๆในเขตเวสท์แบ็งค์ บริเวณที่ปกครองโดยรัฐบาลอิสราเอล แต่เป็นที่อาศัยของชุมชนปาเลสไตน์ เราไปดูงานการต่อสู้กับความยากจน นำความสุขสงบ และเยียวยาบาดแผลทางใจของมูลนิธิเวิลด์วิชั่นให้กับชุมชนที่ถูกโดดเดี่ยวนี้

ภูเขาอีกด้านที่ครั้งหนึ่งปกคลุมหนาแน่นไปด้วยต้นมะกอกเทศ แต่กองกำลังของอิสราเอลเปลื่ยนพื้นที่ให้เป็นกำแพงความมั่นคงแทน ผู้สนับสนุนอ้างว่าเพื่อเป็นการป้องกัน แต่มันตัดผ่ากลางชุมชน แยกเพื่อนบ้านออกจากกัน จากงาน จากโรงเรียน และจากการไปมาหาสู่กัน แนวมะกอกเทศที่เคยมีเป็นเพียงภาพความเสียหายของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น

ทางชุมชนจัดหาต้นไม้มาทดแทน แต่ปลูกอยู่ในกระถางพลาสติก แทนที่จะปลูกลงดิน เพราะคิดว่าย้ายหนีได้ง่ายกว่าถ้ารถก่อสร้างตะลุยเข้ามา

เช้าก่อนหน้า ฉันเดินไปสำรวจไม้กระถางกับราวาห์ นักเรียนที่กำลังเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัย ขณะเดินไปเธอเล่าความฝันให้ฟัง เป็นอนาคตสดใสที่เยาวชนทั่วไปฝันถึง

ชาวบ้านส่วนใหญ่ถามว่า “เรียนไปทำไม?” คนหนึ่งถามฉันว่า “ลูกหลานเราไม่มีอนาคต พวกเขาเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อจบกลับมาหางานที่ไม่มีทำ ต้องไปเป็นมัคคุเทศก์พาเที่ยวแทนที่จะได้ขึ้นเป็นผู้นำระดับโลก”

ที่นี่ ดูเหมือน อนาคตเด็กๆไม่ปลอดภัยพอๆกับต้นมะกอกเทศ

ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์นั้นซับซ้อนมาก ฝังรากมาเป็นพันๆปี ตั้งแต่อิสราเอลยุคใหม่เกิดขึ้น ความสัมพันธ์ยิ่งร้าวฉาน และไม่ต้องประหลาดใจ คนอ่อนแอก็ต้องทนทุกข์มากที่สุด

และฉันก็กำลังยืนอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งนั้น พบปะผู้คนที่ชีวิตถูกคุกคามโดยการต่อสู้ยาวนานจากอดีตอันไกลโพ้น ยิ่งใหญ่และซับซ้อนเกินกว่าพวกเราจะเข้าใจได้

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ใหญ่เกินจะรับไหว หรืออึดอัดใจที่เห็นความอยุติธรรมกำลังเกิดขึ้นต่อหน้า ฉันมักจะบอกตัวเองว่า “ไม่ใช่เรื่องที่ฉันจะไปแก้ไข”

บางครั้งมันช่วยให้ฉันจำได้ว่า ฉันไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบทำให้มัน “ถูกต้อง” อย่างไรก็ดีนี่เป็นแค่ข้ออ้างเพื่อจะได้ “ไม่ต้องทำอะไร” … คุณเคยรู้สึกแบบนี้บ้างมั้ย? ปัญหาที่กำลังรุมเร้าโลก รุมเร้าชุมชนของคุณ หรือแม้แต่ครอบครัวคุณเอง ใหญ่เกินกว่าที่คุณจะยื่นมือคุณออกไปช่วยเหลือหรือ?

กลับไปที่พระวจนะ และสิ่งที่ อ.เปาโลเตือนเราในฟีลิปปี 4:13 “ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลัง ข้าพเจ้า”  พระเจ้าประทานกำลังเพียงพอให้เราทำได้ และทำในสิ่งที่พระองค์เรียกร้องให้ทำ

ด้วยพระปัญญา และพระกำลังของพระองค์ ฉันกำลังเรียนรู้ที่จะทูลถามว่า “ฉันต้องทำอะไร?”

สำหรับฉัน คำตอบคือช่วยเข้าไปในความขัดแย้งนั้น แน่นอน ฉันเองไม่สามารถนำสันติภาพไปสู่ตะวันออกกลางและที่อื่นๆในโลกได้ แต่ฉันช่วยให้คนเข้าใจได้ถึงชีวิตที่แท้จริงของหญิงและชาย เด็กและผู้ใหญ่ ที่อยู่ทั้งสองด้านของความขัดแย้ง – นั่นคือสิ่งที่ฉันทำได้

อย่าถูกดูดเข้าไปในความหลอกลวงว่าทำอะไรไม่ได้หรอก เพราะคนเราทำทุกสิ่งไม่ได้ พระเจ้าไม่ได้เรียกให้เรามาแก้ทุกๆปัญหา แต่ทรงเรียกเรามาทำบางสิ่ง ค้นหาดูว่าคือสิ่งใด และในพระกำลังของพระองค์ จงทำด้วยสุดจิตสุดใจ

“ข้าแต่พระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์ โลกของเรากำลังเสื่อมสลาย แต่พระองค์มอบอำนาจให้เราแต่ละคนทำบางสิ่งที่เยียวยาโลกนี้ในพระนามของพระองค์ เราไม่อาจทำทุกสิ่งได้ แต่เราสามารถทำในสิ่งที่ทรงมอบหมายให้ได้ ขอทรงช่วยเราค้นพบหน้าที่ที่ทรงมอบหมายให้เราทำ พระกำลังที่ช่วยให้เราทำได้จนสำเร็จ ในพระนามของพระเยซูคริสต์ อาเมน”

โดย: Renee Stearns

Encouragement for today : www.crosswalk.com

Categories
สารจากศบ.

สารจากศิษยาภิบาล

ImageHandler

12 มกราคม 2014

สวัสดีครับชาว CJ และผู้มาเยี่ยม

ขอพระเจ้าทรงโปรดให้พี่น้องทุกท่านมีความสุข และมีใจกว้างแบ่งปันความสุขออกไปให้กับคนรอบข้าง แบบไม่ตระหนี่ ขอให้เรารักกันและรักคริสตจักรมากขึ้นนะครับ !

ขอยินดีกับทุกท่านที่มีความสุขและขอพระเจ้าทรงช่วยทุกท่านที่กำลังประสบกับความทุกข์ร้อนกายใจในชีวิต และขอให้พระองค์ทรงช่วยให้ทุกท่านมีใจหิวกระหายที่จะเป็นคนอย่างที่พระองค์ทรงประสงค์

CJ ของเรามีเป้าหมายถวายพี่น้องทุกคนให้เป็น “สาวกแท้” ของพระคริสต์ในปลายปีนี้!

หวังว่าทุกท่านจะเต็มใจเป็นของขวัญที่พระเจ้าปรารถนามากที่สุด! อย่าลืมอธิษฐานมาก ๆ นะครับ

คริสตจักรของเรากำลังมีการปรับรวมกลุ่มพันธกิจ CJ ให้กระชับและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในการทำหน้าที่ครอบครัวย่อยที่ดูแลเอาใจใส่และร่วมกันรับใช้กันเป็นทีม(ทุกอาทิตย์) โดยผลัดกันเป็นเจ้าภาพหลักในแต่ละอาทิตย์ ดังนี้

 ชื่อกลุ่ม                             หัวหน้า                                   วันที่รับผิดชอบ

1.มัทธิว                               คุณณพิชญ์ (แดง)                     อาทิตย์ที่ 12 ม.ค. 2014

2.มาระโก                            คุณหทัยรัตน์(เอ๋)                      อาทิตย์ที่ 19 ม.ค. 2014

3. ลูกา                                 อาจารย์ธงชัย                            อาทิตย์ที่ 26 ม.ค. 2014

4.ยอห์น                               คุณภาวิน (เฮียฝา)                    อาทิตย์ที่ 2 ก.พ.  2014
 5.กิจการ                             คุณสุรัตนาวี (โบ)                      อาทิตย์ที่ 9 ก.พ.  2014
ขอพี่น้องที่มีใจปรารถนาที่จะร่วมชีวิต ร่วมรับใช้และเสริมสร้างซึ่งกันขึ้นจริง ๆ กรุณาติดต่อหัวหน้ากลุ่มแต่ละกลุ่มได้เลยนะครับ!ขอย้ำอีกครั้งว่า ปีนี้คริสตจักรของเรามีเป้าหมายถวายสมาชิกของเราให้เป็นสาวกแท้ขององค์พระเยซูคริสต์ โดยให้มีคุณสมบัติและความสามารถใน 12 ประการต่อไปนี้
  1. การอธิษฐาน
  2. การเฝ้าเดี่ยว
  3. การเป็นพยานและการประกาศ
  4. การสามัคคีธรรม
  5. การนมัสการพระเจ้า
  6. การปรนนิบัติและรับใช้
  7. การถวาย 10 ลดและอื่น ๆ
  8. การเป็นพี่เลี้ยงและสร้างสาวก
  9. การมีชัยเหนือปัญหา
  10. การมีจุดยืนหลักในชีวิต
  11. การเป็นแบบอย่างที่ดี(มีความรัก)
  12. การถวายสาวกที่สร้าง

โดยในอาทิตย์ที่แล้วเราได้เน้นให้สมาชิกทุกคนของ CJ ตระหนักถึงความสำคัญเรื่องการอธิษฐาน และควรที่จะอธิษฐานเป็นนิสัยของชีวิต!

ในวันนี้ เราจะเน้นให้ สมาชิก CJ ทุกคนให้ความสำคัญกับการใช้เวลาแต่ละเช้ากับพระเจ้าที่เรียกว่า  “เฝ้าเดี่ยว”

ผมเชื่อมั่นว่าถ้าสมาชิก CJ ทุกคนเฝ้าเดี่ยวเป็นและเฝ้าเดี่ยวจริง ชีวิตทั้งหมดของสมาชิกและคริสตจักรจะเปลี่ยนไปอย่างเหลือเชื่อ!

ดังนั้น ขอให้เรามาช่วยกันทำตัวของเราเองและช่วยผู้อื่นให้เติบโตขึ้นในฝ่ายจิตวิญญาณด้วยความรักนะครับ!

ขอพระเจ้าอวยพร

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์  (ศิษยาภิบาล)

หมายเหตุ  สำหรับสมาชิกที่ต้องการได้รับคำหนุนใจจากผมทุกวัน กรุณาเข้าไป add ไปที่ Line ของ “สมาชิกCJ” หรือที่     twitter หรือ facebook หรือ instagram ของผมคือ  “thongchaibsc”

 

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

จะยืนหยัดเพื่อช่วยฉุด!

เพื่อนช่วยเพื่อน

 “จงกล้าเข้าไปในความมืดมิด เพื่อดึงคนบางคนให้ออกมาสู่ความสว่าง

จงจำไว้ว่า คนเข้มแข็งนั้น ไม่เพียงแค่ยืนหยัดเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่เขายังยืนหยัดเพื่อคนอื่นด้วย!”

(Dare to reach into the darkness, to pull someone into the light..

Remember strong people not only stand up for themselves, they stand up for others too.)

      คนเรามักเลือกที่จะอยู่สบาย ๆ ตามใจตัวเอง คนจำนวนมากจึงมีคติชีวิต…

“ฉันไม่ยุ่งกับใคร และอย่าให้ใครมายุ่งกับฉัน”

คนหลายคนคิดว่า เขาไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่คนอื่นก็พอแล้ว และเขาไม่จำเป็นต้องทำดีอะไรกับใครอื่นอีก คนประเภทนี้ ให้ความสำคัญกับ “ความเป็นส่วนตัว” (privacy) ของตนสูงมากยิ่งกว่าความต้องการของผู้ใดทั้งสิ้น!

แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว พระองค์ไม่เคยมีแผนการในการสร้างมนุษย์ขึ้นมาเพื่อให้พวกเขาต่างคนต่างอยู่หรืออยู่โดยแยกออกไปจากพระเจ้า!

มนุษย์เราไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อที่จะไม่ทำชั่ว แต่เราถูกสร้างขึ้นมาเพื่อที่จะกระทำดี!

“เพราะ​ว่า​เรา​เป็น​ฝีพระหัตถ์​ของ​พระองค์​ที่​ทรง​สร้าง​ขึ้น​ใน​พระเยซูคริสต์​เพื่อ​ให้​ทำ​การ​ดี ซึ่ง​เป็น​สิ่ง​ที่​พระเจ้า​ทรง​จัดเตรียม​ไว้​ก่อน​แล้ว​เพื่อ​ให้​เรา​ดำเนิน​ตาม”     (เอเฟซัส 2:10)

ดังนั้น เราจึงไม่ทำดีไม่ได้เลย!                ถ้าเราไม่ทำดี เราก็ไม่ใช่มนุษย์!

เพราะความเป็น “คน” หรือ “มนุษย์” ของเรานั้นวัดกันที่การทำดีตามพระประสงค์ของพระเจ้า!

น่าเศร้าที่มนุษย์ในโลกของเราจำนวนมากเลือกเดินไปในทิศตรงข้ามกับพระทัยของพระเจ้า พวกเขากำลังเดินมุ่งหน้าไปสู่ความหายนะนิรันดร์ แต่ด้วยความรัก พระเจ้าทรงประสงค์จะช่วยมนุษย์ทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนเหล่านั้นที่กำลังหลงหายอยู่ในบาปที่มืดมิด พระเจ้าทรงเรียกหา “ผู้กล้า” ที่กล้าก้าวออกไปในความมืดมิดนั้น และดึงคนออกมาสู่ความสว่างแห่งความรอดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ฉะนั้น คุณจงจำไว้เสมอว่า คุณไม่ได้ถูกเรียกมาให้ยืนหยัดเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่เพื่อคนอื่นด้วย เวลานี้มีใครคนใดคนหนึ่งบ้างหรือไม่ที่คุณรักและเขากำลังอยู่ในความมืดบาป โดยปราศจากผู้ใดช่วยเหลือให้ออกมาสู่ความสว่างแห่งความรอด  คุณพร้อมจะเป็น “คน ๆ นั้น” ที่พระเจ้าทรงเรียกหาเพื่อมาปฏิบัติภารกิจฉุดคนให้รอดจากความมืดบาปและความตายนั้นหรือไม่?

ขอกรุณาตอบที!

“และ​จง​มี​ใจ​เมตตา​คน​ที่​ยัง​สงสัย​อยู่ จง​ช่วย​คน​ให้​รอด​ด้วย​การ​ฉุด​เขา​ออก​จาก​ไฟ และ​จง​เมตตา​ผู้​อื่น​ด้วย​ความ​ยำเกรง​พระเจ้า และ​จง​รังเกียจ​แม้​แต่​เสื้อผ้า​ที่​เปรอะเปื้อน​ด้วย​กาย​ที่​เป็น​มลทิน”   (ยูดา 22-23)

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์