Categories
บทความแปล

อะไรคือสิทธิในการอธิษฐานของคุณ?

ดาเนียลอธิษฐาน

ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังพูด กำลังอธิษฐานและสารภาพบาปของข้าพเจ้า และบาปของอิสราเอล ประชากรของข้าพเจ้า และเสนอคำวิงวอนของข้าพเจ้าต่อพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของข้าพเจ้า เพื่อภูเขาบริสุทธิ์แห่งพระเจ้าของข้าพเจ้าอยู่นั้น เออ ขณะเมื่อข้าพเจ้ากล่าวคำอธิษฐานอยู่ ชายที่ชื่อ กาเบรียล ซึ่งข้าพเจ้าได้เห็นในนิมิตครั้งแรกนั้น ได้บินอย่างเร็วมาใกล้ข้าพเจ้าในเวลาถวายเครื่องบูชาตอนเย็น (ดาเนียล 9:20-21)

อะไรคือถวายเครื่องบูชาตอนเย็น? ดาเนียลกำลังอธิษฐานอยู่ในบาบิโลน ที่นั่นไม่มีพระวิหารหรือแท่นบูชา ไม่มีการถวายเครื่องบูชา ที่จริงมันเกือบเจ็ดสิบปีแล้วตั้งแต่การถวายบูชาครั้งสุดท้าย ในพระวิหารเวลาสำหรับถวายเครื่องบูชาตอนเย็นคือระหว่างบ่ายสามโมงถึงสี่โมงเย็น เป็นเวลาที่สัตว์ถูกฆ่านำมาถวายบูชา และยังเรียกอีกชื่อว่า “ชั่วโมงที่เก้า”

ดาเนียลกล่าวว่า “ข้าพเจ้ากล่าวคำอธิษฐานอยู่…ในเวลาถวายเครื่องบูชาตอนเย็น” หมายความว่าท่านกำลังอธิษฐานตามแบบดั้งเดิมในการถวายบูชาเมี่อนานมาแล้ว และกำลังเชื่อมโยงคำอธิษฐานนั้นเข้ากับพิธีถวายบูชา

ผมอยากจะบอกว่า พระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์ในเวลาเดียวกันพอดี “ครั้นประมาณบ่ายสามโมง พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า “เอลี เอลี ลามาสะบักธานี”  แปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย” (มัทธิว 27:76) เป็นเวลาเดียวกับที่ดาเนียลอธิษฐาน เพียงแต่ท่านอธิษฐานห่างจากพิธีถวายบูชาตอนบ่ายมานานมาก และหลายร้อยปีก่อนพระเยซูสิ้นพระชนม์

คำอธิษฐานของดาเนียล เช่นเดียวกับคำอธิษฐานอื่นที่มีต่อพระเจ้า จะไปถึงสวรรค์ได้โดยการหลั่งเลือดถวายบูชา ไม่ว่าจะเป็นการถวายบูชาก่อนหน้าดาเนียลเจ็ดสิบปี หรือสองพันกว่าปีในกรณีของพวกเรา เราจำเป็นต้องเชื่อมโยงคำอธิษฐานของเราเข้ากับไม้กางเขนที่โกละโกธาครับ .

โดย : Pastor Adrian Rogers’ daily devotional

อนุญาตโดย  Love worth finding Ministries : www.lwf.org

Categories
บทความแปล

พระเจ้าตรัสถึงร่างกายคุณว่าอย่างไร

บ้านของพระเจ้า

ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง พระเจ้าได้ทรงซื้อท่านไว้แล้ว ด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้น ท่านจงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายของท่านเถิด  (1โครินธ์ 6:19-20)

บ่อยครั้ง ผมได้ยินพ่อแม่ที่พาลูกมาโบสถ์ดุลูก เด็กนั้นอาจดื้อหรือกำลังแผลงฤทธิ์อยู่ในบริเวณโบสถ์ พ่อหรือแม่จะพูดว่า “ทำตัวอย่างนี้ได้ยังไง? ไม่รู้หรือว่าลูกกำลังอยู่ในบ้านของพระเจ้า?”

ต้องบอกว่าทุกครั้งที่ได้ยินคนพูดถึงโบสถ์ว่าเป็น “บ้านของพระเจ้า” แล้วรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ไม่ได้เป็นเพราะมีอำนาจพิเศษในอิฐ หิน หรือซีเมนต์ที่สร้างตัวอาคารโบสถ์

แล้วอะไรคือบ้านของพระเจ้า? แล้วพระเจ้าประทับที่ตรงไหน?

ครับ ในพระคัมภีร์เดิม พระวิหารในกรุงเยรูซาเล็มรู้จักกันว่าเป็นพระนิเวศหรือบ้านของพระเจ้า เพราะในอภิสุทธิสถานเป็นที่พระสิริของพระองค์ประทับอยู่ แต่เมื่อพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ ม่านในพระวิหารถูกฉีกสองท่อนตลอดบนลงล่าง (มัทธิว 27:51) ซึ่งแปลว่าที่ประทับของพระเจ้าไม่ได้ถูกกำหนดไว้เจาะจงในที่ใด

บ้านหรือวิหารของพระเจ้าในพระวจนะวันนี้ คือร่างกายของเราเมื่ออยู่ในพระคริสต์ เพราะในนาทีที่เรารับเชื่อ พระวิญญาณของพระเจ้าจะเข้ามาในใจ และประทับอยู่ในชีวิตเรา

ตัวอาคารโบสถ์ไม่ใช่เป็นบ้านของพระเจ้า ผู้เชื่อของคริสตจักรต่างหากที่เป็นบ้านของพระเจ้า ดังนั้นถ้าคุณถูกล่อลวงให้ทำบาป จงจำไว้ว่ามีใครประทับอยู่ในคุณ และทำให้คุณมีอำนาจต่อต้านได้
เมื่อถูกล่อลวงให้ทำบาป จำไว้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในคุณ และประทานอำนาจให้คุณมีชัยชนะได้

อนุญาตโดย : Pastor Jack Graham

Jack Graham Power Point Ministry : www.powerpoint.org

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2 พงศ์กษัตริย์ (บทเรียนที่ 2)

อ้ายหัวล้าน!

 

พระธรรม        2พงศ์กษัตริย์ 2:1-25

อ้างอิง               ฉธบ.21:17;2พกษ.13:14

บทนำ                ทุกคนมีวาระของตนเองในชีวิต รวมทั้งวาระสุดท้าย! หากวันนี้ถึงกำหนดวาระที่คุณต้องจากโลกนี้ไป คุณจะรู้สึกเสียใจหรือไม่? ทำไม?  คุณได้มอบสิ่งใดที่ล้ำค่าแก่โลกนี้บ้าง?

บทเรียน

2:1 “ต่อ​มา​เมื่อ​ถึง​เวลา​ที่​พระยาห์เวห์​จะ​ทรง​รับ​เอลียาห์​ไป​ยัง​ฟ้า​ สวรรค์​ด้วย​พายุ เอลียาห์​และ​เอลีชา​กำลัง​เดิน​ทาง​จาก​กิลกาล”

      (Now when the Lord was about to take Elijah up to heaven by a whirlwind, Elijah and Elisha were on their way from Gilgal.)

2:2 “เอลียาห์​พูด​กับ​เอลีชา​ว่า “จง​คอย​อยู่​ที่นี่ เพราะ​พระยาห์เวห์​ทรง​ใช้​เรา​ไป​เบธเอล”แต่​เอลีชา​ตอบ​ว่า“พระยาห์เวห์​ ทรง​พระชนม์​อยู่​และ​ท่าน​เอง​มี​ชีวิต​อยู่​แน่​ฉัน​ใด ข้าพเจ้า​จะ​ไม่​ไป​จาก​ท่าน​ฉัน​นั้น” ดังนั้น​เขา​ทั้งสอง​ก็​ลง​ไป​ เบธเอล”

  (And Elijah said to Elisha, “Please stay here, for the Lord has sent me as far as Bethel.” But  Elisha said, “As the Lord lives, and as you yourself live, I will not leave you.” So they went down  to Bethel.)

2:3 “และ​เหล่า​ผู้​เผย​พระวจนะ​ผู้​อยู่​ใน​เบธเอล​ได้​ออก​มา​หา​เอลีชาและ​บอก​ท่าน​ว่า“ท่าน​ทราบ​ไหม​ว่า วันนี้​พระยาห์‍เวห์​จะ​ทรง​รับ​อาจารย์​ของ​ท่าน​ไป​จาก​ท่าน?” ท่าน​ตอบ​ว่า “ข้าพเจ้า​ทราบ​แล้ว เงียบๆ ไว้

    (And the sons of the prophets who were in Bethel came out to Elisha and said to him, “Do you  know that today the Lord will take away your master from over you?” And he said, “Yes, I know it;  keep quiet.”)

2:4 “เอลียาห์​พูด​กับ​ท่าน​ว่า “เอลีชา จง​คอย​อยู่​ที่นี่ เพราะ​พระยาห์เวห์​ทรง​ใช้​เรา​ไป​เมือง​เยรีโค” แต่​ท่าน​ตอบ​ว่า “พระยาห์เวห์​ทรง​พระชนม์​อยู่​และ​ท่าน​เอง​มี​ชีวิต​อยู่​แน่​ฉัน​ใด ข้าพเจ้า​จะ​ไม่​ไป​จาก​ท่าน​ฉัน​นั้น” ดังนั้น​เขา​ทั้งสอง​ ก็​มา​ยัง​เมือง​เยรีโค”

     (Elijah said to him, “Elisha, please stay here, for the Lord has sent me to Jericho.” But he said, “As  the Lord lives, and as you yourself live, I will not leave you.” So they came to Jericho. )

2:5 “และ​เหล่า​ผู้​เผย​พระวจนะ​ผู้​อยู่​ใน​เมือง​เยรีโค​เข้า​มา​ใกล้​เอลีชา ​และ​พูด​กับ​ท่าน​ว่า “ท่าน​ทราบ​ไหม​ว่า วันนี้​ พระยาห์เวห์​จะ​ทรง​รับ​อาจารย์​ของ​ท่าน​ไป​จาก​ท่าน?” ท่าน​ตอบ​ว่า “ข้าพเจ้า​ทราบ​แล้ว เงียบๆ ไว้

    (The sons of the prophets who were at Jericho drew near to Elisha and said to him, “Do you know  that today the Lord will take away your master from over you?” And he answered, “Yes, I know it;  keep quiet.”)

2:6 “เอลียาห์​พูด​กับ​ท่าน​ว่า “จง​คอย​อยู่​ที่นี่ เพราะ​พระยาห์เวห์​ทรง​ใช้​เรา​ไป​ที่​แม่น้ำ​จอร์แดน” แต่​ท่าน​ตอบ​ว่า  “พระยาห์เวห์​ทรง​พระชนม์​อยู่​และ​ท่าน​เอง​มี​ชีวิต​อยู่​แน่​ฉัน​ใด ข้าพเจ้า​จะ​ไม่​ละทิ้ง​ท่าน​ฉัน​นั้น” แล้ว​เขา​ทั้งสอง​ก็​เดิน​ต่อไป”

   (Then Elijah said to him, “Please stay here, for the Lord has sent me to the Jordan.” But he said,   “As the Lord lives, and as you yourself live, I will not leave you.” So the two of them went on. )

2:7 “คน 50 คน​จาก​กลุ่ม​ผู้​เผย​พระวจนะ​ก็​ไป​ด้วย​เช่น​กัน และ​ยืน​อยู่​ไกล​ออก​ไป ส่วน​ท่าน​ทั้งสอง​ยืน​อยู่​ริม​แม่น้ำ​จอร์แดน”

  (Fifty men of the sons of the prophets also went and stood at some distance from them, as they  both were standing by the Jordan. )

2:8 “แล้ว​เอลียาห์​เอา​เสื้อ​คลุม​ของ​ท่าน​ม้วน​เข้า​แล้ว​ฟาด​ลง​ที่​น้ำ​นั้น น้ำ​ก็​แยก​ออก​ไป​สอง​ข้าง ท่าน​ทั้งสอง​ก็​เดิน​ข้าม​ไป​บน​ดินแห้ง”

   (Then Elijah took his cloak and rolled it up and struck the water, and the water was parted to the  one side and to the other, till the two of them could go over on dry ground.)

2:9 “เมื่อ​ข้าม​ไป​แล้ว เอลียาห์​พูด​กับ​เอลีชา​ว่า “ท่าน​อยาก​ให้​เรา​ทำ​อะไร​ให้ ก็​จง​ขอ​เถิด ก่อน​ที่​เรา​จะ​ถูก​รับ​ไป​จาก​ท่าน” และ​เอลีชา​ตอบ​ว่า “โปรด​ให้​ข้าพเจ้า​ได้​รับ​ฤทธิ์เดช​ของ​ท่าน​สอง​ส่วน

  (When they had crossed, Elijah said to Elisha, “Ask what I shall do for you, before I am taken  from you.” And Elisha said, “Please let there be a double portion of your spirit on me.” )

2:10 “และ​เอลียาห์​ตอบ​ว่า “ท่าน​ขอ​สิ่ง​ที่​ยาก​นัก แต่​ถ้า​ท่าน​เห็น​เรา​ถูก​รับ​ไป​จาก​ท่าน ท่าน​ก็​จะ​ได้​อย่าง​นั้น แต่​ถ้า​ท่าน​ไม่​เห็นท่าน​ก็​จะ​ไม่ได้

  (And he said, “You have asked a hard thing; yet, if you see me as I am being taken from you, it shall be so for you, but if you do not see me, it shall not be so.”)

2:11 “เมื่อ​ท่าน​ทั้งสอง​ยัง​เดิน​สนทนา​กัน​ต่อไป ดูสิ รถรบ​เพลิง​คัน​หนึ่ง​และ​พวก​ม้าเพลิง​ได้​แยก​เขา​ทั้งสอง​ออก​จาก​กัน และ​เอลียาห์​ได้​ขึ้น​ไป​สวรรค์​์โดย​พายุ”

  (And as they still went on and talked, behold, chariots of fire and horses of fire separated the two  of them. And Elijah went up by a whirlwind into heaven. )

2:12 “เอลีชา​เห็น และ​ร้อง​ว่า “พ่อ​ของ​ข้า พ่อ​ของ​ข้า รถรบ​แห่ง​อิสราเอล และ​ทหารม้า​ประจำ​รถ” และ​ท่าน​ก็​ไม่ได้​เห็น​เอลียาห์​อีก​เลย แล้ว​ท่าน​จับ​เสื้อ​ของ​ตน​ฉีก​ออก​เป็น​สอง​ท่อน”

   (And Elisha saw it and he cried, “My father, my father! The chariots of Israel and its horsemen!”   And he saw him no more.Then he took hold of his own clothes and tore them in two pieces.)

2:13 “เอลีชา​ก็​หยิบ​เสื้อคลุม​ของ​เอลียาห์ ที่​ตก​ลง​มา​จาก​เอลียาห์​นั้น และ​กลับ​ไป​ยืน​อยู่​ที่​ฝั่ง​แม่น้ำ​จอร์แดน”

      (And he took up the cloak of Elijah that had fallen from him and went back and stood on the bank  of the Jordan. )

2:14 “แล้ว​ท่าน​ก็​เอา​เสื้อคลุม​ของ​เอลียาห์​ที่​ตก​ลง​มา​นั้น ฟาด​ลง​ที่​น้ำ กล่าว​ว่า “พระยาห์เวห์​พระเจ้า​ของ​เอลียาห์​ สถิต​ที่​ใด?” และ​เมื่อ​ท่าน​ฟาด​ลง​ที่​น้ำ น้ำ​ก็​แยก​ออก​ไป​สอง​ข้าง และ​เอลีชา​ก็​เดิน​ข้าม​ไป”

   (Then he took the cloak of Elijah that had fallen from him and struck the water, saying, “Where is  the Lord, the God of Elijah?” And when he had struck the water, the water was parted to the one  side and to the other, and Elisha went over.)

2:15 “เมื่อ​เหล่า​ผู้​เผย​พระวจนะ​ที่​อยู่​เมือง​เยรีโค​เห็น​ท่าน​อยู่​แต่​ไกล เขา​ทั้งหลาย​พูด​ว่า “ฤทธิ์​เดช​ของ​เอลียาห์​อยู่​กับ​เอลีชา” และ​เขา​ทั้งหลาย​มา​พบ​ท่าน แล้ว​โน้ม​ตัว​ลง​ถึง​ดิน​คำ​นับ​ท่าน”

 (Now when the sons of the prophets who were at Jericho saw him opposite them, they said, “The spirit of Elijah rests on Elisha.” And they came to meet him and bowed to the ground before him.)

2:16 “เขา​ทั้งหลาย​พูด​กับ​ท่าน​ว่า “มี​ชาย​ฉกรรจ์ 50 คน​อยู่​กับ​ผู้รับใช้​ของ​ท่าน โปรด​ให้​พวกเขา​ไป​เสาะ​หา​อาจารย์​ของ​ท่าน บางที​พระวิญญาณ​ของ​พระยาห์เวห์​ได้​รับ​ท่าน​ไป​แล้ว​เหวี่ยง​ท่าน​ ลง​มา​ที่​ภูเขา​ลูก​หนึ่ง​หรือ​หุบเขา​แห่ง​หนึ่ง” และ​ท่าน​ว่า “อย่า​ใช้​พวกเขา​ไป​เลย

  (And they said to him, “Behold now, there are with your servants fifty strong men. Please let them   go and seek your master. It may be that the Spirit of the Lord has caught him up and cast him   upon some mountain or into some valley.” And he said, “You shall not send.” )

2:17 “แต่​เมื่อ​พวกเขา​รบเร้า​ท่าน​จน​ท่าน​ละอาย แล้ว​ท่าน​จึง​พูด​ว่า “ใช้​ไป​ซี” เพราะ​ฉะนั้น เขา​จึง​ใช้​ห้าสิบ​คน​ไป พวก‌เขา​เสาะหา​เอลียาห์​อยู่​สาม​วัน​แต่​ไม่​พบ​ท่าน”

    (But when they urged him till he was ashamed, he said, “Send.” They sent therefore fifty men.   And for three days they sought him but did not find him. )

2:18 “พวกเขา ​ก็​กลับ​มา​หา​เอลีชา ขณะ​ที่​ท่าน​พัก​อยู่​ที่​เมือง​เยรีโค และ​ท่าน​พูด​กับ​พวกเขา​ว่า “เรา​บอก​พวกท่าน​ แล้ว​ไม่​ใช่​หรือ​ว่า อย่า​ไป​เลย

     (And they came back to him while he was staying at Jericho, and he said to them, “Did I not say to you, ‘Do not go’?”)

2:19 “ผู้​คน​ใน​เมือง​นั้น​ พูด​กับ​เอลีชา​ว่า “ดูสิ ทำเล​เมือง​นี้​ร่มรื่น​ดี เหมือน​อย่าง​ที่​เจ้านาย​ของ​ข้าพเจ้า​ได้​เห็น​แล้ว แต่​น้ำ​ไม่​ดี​และ​แผ่นดิน​นั้น​ก็​ไม่​เกิด​ผล​”

  (Now the men of the city said to Elisha, “Behold, the situation of this city is pleasant, as my lord  sees, but the water is bad, and the land is unfruitful.” )

2:20 “ท่าน​พูด​ว่า “จง​เอา​ชาม​ใหม่​มา​ใบ​หนึ่ง ใส่​เกลือ​ใน​นั้น” แล้ว​เขา​ทั้งหลาย​ก็​หา​มา​ให้”

        (He said, “Bring me a new bowl, and put salt in it.” So they brought it to him. )

2:21 “แล้ว​ท่าน​ก็​ไป​ที่​น้ำพุ โยน​เกลือ​ลง​ใน​นั้น​และ​กล่าว​ว่า “พระยาห์เวห์​ตรัส​ดังนี้​ว่า เรา​ทำ​น้ำ​นี้​ให้​ดี​แล้ว ตั้งแต่​นี้​ไป​ จะ​ไม่มี​ความ​ตาย​หรือ​การ​ไม่​เกิด​ผล​เพราะ​น้ำ​นี้​อีก

     (Then he went to the spring of water and threw salt in it and said, “Thus says the Lord, I have  healed this water; from now on neither death nor miscarriage shall come from it.” )

2:22 “ดังนั้น น้ำ​นั้น​จึง​ดี​มา​จน​ถึง​ทุก​วันนี้ ตาม​ถ้อยคำ​ที่​เอลีชา​กล่าว​นั้น”

    (So the water has been healed to this day, according to the word that Elisha spoke.)

2:23 “ท่าน​ได้​ขึ้น​ไป​จาก​ที่นั่น​ถึง​เมือง​เบธเอล และ​ขณะ​ขึ้น​ไป​ตาม​ทาง มี​กลุ่ม​เด็กชาย​เล็กๆ ​ออก​มา​จาก​เมือง​ล้อเลียน​ท่าน​ว่า “อ้าย​หัวล้าน ไป​ให้​พ้น อ้าย​หัวล้าน ไป​ให้​พ้น

     (He went up from there to Bethel, and while he was going up on the way, some small boys came  out of the city and jeered at him, saying, “Go up, you baldhead! Go up, you baldhead!” )

2:24 “ท่าน​ก็​หันมา​เห็น​พวกเขา จึง​แช่ง​พวกเขา​ใน​พระนาม​พระยาห์เวห์ และ​หมี​ตัวเมีย​สอง​ตัว​ออก​มา​จาก​ป่า ฉีก​เด็ก​พวก​นั้น​เสีย 42 คน

     (And he turned around, and when he saw them, he cursed them in the name of the Lord.  And  two she-bears came out of the woods and tore forty-two of the boys. )

2:25 “จาก​ที่นั่น​ท่าน​ขึ้น​ไป​ถึง​ภูเขา​คารเมล และ​จาก​ที่นั่น​ท่าน​ก็​กลับ​มา​ยัง​กรุง​สะมาเรีย”

           (From there he went on to Mount Carmel, and from there he returned to Samaria.)

ข้อมูลมีประโยชน์

2:1       “กิลกาล” (Gilgal) = น่าจะเป็นกิลกาลที่อยู่ประมาณ 3 กิโลเมตรเหนือเบธเอล

2:2       “ข้าพเจ้าจะไม่ไปจากท่าน” (I will not leave you  ) = เอลีชาตระหนักว่า พันธกิจของเอลียาห์ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว และเอลียาห์กำลังจะจากไป (ข.5) เอลีชาจึงตั้งใจที่จะอยู่กับเอลียาห์จนกระทั่งพระเจ้าทรงรับเอลียาห์ไป

-เอลีชาจึงทุ่มเทให้เอลียาห์และพันธกิจของเอลียาห์อย่างเต็มที่ (ข.9;1พกษ.19:21)

2:3       “เหล่าผู้เผยพระวจนะ” (the sons of the prophets)  แปลตรงตัว “บรรดาบุตรผู้เผยพระวจนะ” (1พกษ.20:35) –ในสมัยของเอลียาห์และเอลีชา มีกลุ่มผู้เผยพระวจนะเช่นนี้ในเบธเอล (ข.3) ในเยรีโค (ข.5) และในกิลกาล (4:38)

-เอลียาห์เดินทางตามคำสั่งของพระเจ้าไปยังกิลกาล (ข.1)  เบธเอล (ข.2) และเยรีโค (ข.4) เพื่อพบกับบรรดาผู้เผยพระวจนะเหล่านี้เป็นครั้งสุดท้าย

2:7       “คน 50 คน” (Fifty men) –ก่อนหน้าอาหัสยาห์บัญชาทหาร 50 คนไปหาเพื่อจัดการกับเอลียาห์  (1พกษ.1:9,11,13)  มี 50 คนที่ตามหาเอลียาห์ (1พกษ.2:16-17) (เปรียบเทียบกับผู้เผยพระวจนะแอบซ่อนในถ้ำ ๆ ละ 50 คน ในสมัยที่เยเชเบลไล่ล่า) แต่กลุ่ม 50 คน ในตอนนี้มาเป็นสักขีพยานในการข้ามแม่น้ำอย่างอัศจรรย์ของเอลียาห์และเอลีชา

2:8       “เอลียาห์เอาเสื้อคลุมของท่านม้วนเข้าแล้วฟาดลงที่น้ำนั้น” (Then Elijah took his cloak and rolled it up and struck the water) = เหมือนที่โมเสสใช้ไม้เท้าเพื่อทำให้น้ำแยกออกและชาวอิสราเอลเดินข้ามทะเลแดงไป        (อพย.14:16,21,26)

2:9       “โปรดให้ข้าพเจ้าได้รับฤทธิ์เดชของท่านสองส่วน” (Please let there be a double portion of your spirit on me) = เอลีชาไม่ได้ขอทำพันธกิจที่ใหญ่กว่าเอลียาห์เป็น 2 เท่า แต่สำนวนนี้มีความหมายตามกฎหมายการสืบทอดมรดกที่กำหนดให้บุตรหัวปีได้รับมรดกจากบิดาเป็น 2 เท่าของน้องคนอื่น ๆ          (ฉธบ.21:17)

= ในที่นี้หมายความว่า เอลีชาต้องการสืบทอดพันธกิจของเอลียาห์

2:10     “ท่านขอสิ่งที่ยากนัก” (You have asked a hard thing) = แม้ว่าก่อนหน้านี้เอลียาห์ได้รับคำบัญชาให้ตั้งเอลีชาเป็นผู้สืบทอด (1พกษ.19:16, 16-21)  แต่ท่านก็ทราบว่าเรื่องนี้อยู่กับพระประสงค์ของพระเจ้าเพียงพระองค์เดียว ตัวท่านเองจะสัญญาให้อะไรแก่ใครตามใจไม่ได้เลย

“แต่ถ้าท่านเห็นเราถูกรับไปจากท่าน ท่านก็จะได้อย่างนั้น” (if you see me as I am being taken from you) = เอลียาห์ขอให้พระเจ้าเป็นผู้ตอบคำขอของเอลีชา

2:11     “รถรบเพลิงคันหนึ่ง” (chariots of fire) = บรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้ามีส่วนร่วมและสนับสนุนพันธกิจของเอลียาห์ ดังที่สนับสนุนโมเสส (อพย.15:1-10) ตลอดมา และขณะนี้เอลียาห์กำลังจะจากไป เอลีชาจึงได้รับอนุญาตให้มองเห็นได้ (6:17)

“เอลียาห์ได้ขึ้นไปสวรรค์โดยพายุ” (Elijah went up by a whirlwind into heaven.) = เอลียาห์ได้ถูกรับขึ้นไปสู่สวรรค์โดยไม่ตายเช่นเดียวกับเอโนค (ปฐก.5:24)

= เอลียาห์ถูกรับขึ้นไปในขณะที่อยู่นอกดินแดนแห่งพันธสัญญาเหมือนโมเสส (ฉธบ.34:4-6)

2:12     “รถรบแห่งอิสราเอลและทหารม้าประจำรถ” (The chariots of Israel and its horsemen) = เอลีชาประกาศว่า เอลียาห์คือสัญลักษณ์ของพลังแห่งอำนาจที่แท้จริงของอิสราเอล

-พวกเขาทิ้งพระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าทิ้งพวกเขา (13:14)

“จับเสื้อของตนฉีกออกเป็นสองท่อน” (took hold of his own clothes and tore them in two pieces) –ปฐก.44:13

= เครื่องหมายของความทุกข์ใจและเศร้าโศกเสียใจ (ปฐก.37:29;37:34)
2:13     “เอลีชาก็หยิบเสื้อคลุมของเอลียาห์” (he took up the cloak of Elijah) –ข.-8, การเป็นเจ้าของเสื้อคลุมของเอลียาห์เป็นสัญลักษณ์ว่า เอลีชาเป็นผู้สืบทอดพันธกิจของเอลียาห์ (1พกษ.19:19)

2:14     “เอาเสื้อคุลมของเอลียาห์…ฟาดลงที่น้ำ…น้ำแยกออกไปสองข้าง” (took the cloak of Elijah …struck the water, … water was parted to the one side and to the other)  = พระเจ้ารับรองเอลีชาในฐานะผู้สืบทอดพันธกิจของเอลียาห์ และได้สำแดงว่าฤทธิ์เดชของพระเจ้าที่เคยอยู่กับเอลียาห์ในการกระทำพันธกิจบัดนี้สถิตอยู่กับเอลีชาด้วย

“เอลีชาก็เดินข้ามไป” (Elisha went over) = เหมือนกับตอนโยชูวาเดินข้ามแม่น้ำจอร์แดนในที่นี้ บัดนี้เอลีชาเป็นดุจ “โยชูวา” ของเอลียาห์

“เอลีชา” มีความหมายว่า “พระเจ้าทรงช่วย” และ “โยชูวา” หมายความว่า “พระยาห์เวห์ทรงช่วย”

2:15     “โน้มตัวลงถึงดินคำนับท่าน” (bowed to the ground before him ) = บ่งบอกว่า พวกเขายอมรับเอลีชาในการสืบทอดพันธกิจต่อจากเอลียาห์

= ประกาศว่าเอลีชาเป็นตัวแทนของพระเจ้าในดินแดน และในสมัยราชวงศ์ที่ละทิ้งพระเจ้าอย่างเป็นทางการแล้ว

2:16     “บางทีพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ได้รับท่านไปแล้วเหวี่ยงท่านลงมาที่ภูเขา” (It may be that the Spirit of the Lord has caught him up and cast him upon some mountain) = โอบาดีห์ก็เคยแสดงความเชื่อเช่นนี้เมื่อหลายปีก่อน (1พกษ.18:12)
“อย่าใช้พวกเขาไปเลย” (You shall not send) = รู้ว่าส่งไปก็ไร้ประโยชน์

2:17     “จนท่านละอาย” (he was ashamed) = จนขัดไม่ได้ เป็นคำภาษาฮีบรูคำเดียวกับใน วนฉ.3:25 ที่หมายถึง “จนรู้สึกวุ่นวายใจ”

-เอลีชาถูกผู้เผยพระวจนะกดดันจนต้องส่งคนออกไปตามหาเอลียาห์

“ใช้ไปซี” (Send) = จะไปก็ไป เมื่อพวกผู้เผยพระวจนะไม่ยอมฟังคำของเอลีชา ท่านก็อนุญาตให้พวกเขาไปหาเพื่อยืนยันสิทธิอำนาจและความจริงในคำพูดของท่าน

2:19     “แต่น้ำไม่ดีและแผ่นดินนั้นก็ไม่เกิดผล” (but the water is bad, and the land is unfruitful.) = ผู้ที่อาศัยอยู่ในเยรีโคกำลังประสบผลตามคำสาปแช่งในพันธสัญญา

-เปรียบเทียบความแตกต่างใน ฉธบ.28:15-18;อพย.23:25-26;ลนต.26:9;ฉธบ.28:1-4;1พกษ.16:34;

ยชว.6:26

2:20     “ชามใหม่” (new bowl) = เป็นเครื่องหมายว่า สิ่งที่จะนำมารับใช้พระเจ้าจะต้องไม่ใช่สิ่งที่เป็นมลทินจากการใช้มาก่อนหน้านี้ (ลนต.1:3,10;กดว.19:2;ฉธบ.21:3;1ซมอ.6:7)

“ใส่เกลือในนั้น” (put salt in it) = ใช้เกลือเป็นสัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์ของพระเจ้าตามพระสัญญา (กดว.18:19;2พศด.13:5)

= เกลือเป็นส่วนประกอบหนึ่งของเครื่องหอมพิเศษที่ใช้ในสถานนมัสการ (อพย.30:35) อาจเป็นเกลือที่ใช้ในอาหารสำหรับถวายบูชา มักใช้ควบคู่กับการทำพันธสัญญา (ปฐก.31:54;อพย.24:5-11;สดด.50:5)

2:21     “เราทำน้ำนี้ให้ดีแล้ว” (I have healed this water) =สั่งทำให้น้ำมีสภาพดีไม่ใช่เกลือ แต่ผู้ที่ทำให้น้ำหายจากสภาพไม่ดี คือ พระเจ้า

= นี่คือพันธกิจแรกของเอลีชาเป็นสัญลักษณ์ประกาศแก่ประชาชนว่า ถึงแม้พวกเขาจะไม่เชื่อฟัง แต่พระเจ้ายังทรงเมตตา และยื่นมือช่วยเหลือพวกเขาด้วยพระคุณ (13:23)

2:23     “อ้ายหัวล้าน ไปให้พ้น” (Go up, you baldhead!) = อาการหัวล้านเป็นสิ่งที่ไม่พบบ่อยนักในชนชาติยิวยุคโบราณ เพราะการมีผมหนา ยาว และแข็งแรงเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแรงและความมีพลัง (2ซมอ.14:26) = คำเรียกเอลีชาว่า “อ้ายหัวล้าน” จึงเป็นการแสดงให้เห็นถึงการดูหมิ่นเหยียดหยามตัวแทนของพระเจ้า และมองว่าผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าไม่มีน้ำยาหรืออำนาจใด ๆ

“ไปให้พ้น” (Go up) = อาจเป็นคำล้อเลียนให้เอลีชาไปสวรรค์เหมือนเอลียาห์หรือเป็นการต่อต้านไม่ให้เอลีชาสืบสานงานต่อจากเอลียาห์ ในการต่อต้านราชวงศ์ที่ละทิ้งพระเจ้า เพราะเบธเอลเป็นศูนย์กลางทางศาสนาของบรรดากษัตริย์แห่งอาณาจักรเหนือ (1พกษ.12:29;อมส.7:13)

2:24     “จึงแช่งพวกเขาในพระนามพระยาห์เวห์” (he cursed them in the name of the Lord) = คำสาปแช่งคล้ายคำสาปแช่งในพันธสัญญา (ลนต.26:21-22) เป็นการเตือนว่าชนชาตินี้จะถูกพิพากษา หากว่าพวกเขายังไม่กลับใจ (2พศด.36:16)

สิ่งที่เอลีชาทำในช่วงต้นพันธกิจของท่าน จึงเป็นการประกาศถึง

  1. พระพรตามพันธสัญญาของพระเจ้าสำหรับผู้ที่แสวงหาพระองค์ (2:19-22)
  2. คำสาปแช่งตามพันธสัญญาสำหรับผู้ที่หันหลังต่อสู้พระองค์ (1พกษ.19:17)

คำถามนำอภิปราย

  1. ทุกคนมีเวลาที่จะถูกรับไป(จากโลกนี้) หากวันนี้ถึงกำหนดที่คุณต้องจากไป คุณจะรู้สึกอย่างไร? ทำไม?
  2. หากคุณรู้ว่าคุณกำลังจะถูกรับไปเร็ว ๆ นี้ คุณจะปรับเปลี่ยนอะไรในชีวิตของคุณบ้าง? อย่างไร? และทำไม?
  3. คุณเคยอยู่ใกล้ชิดผู้รับใช้พระเจ้าคนใดที่คุณไม่อยากห่างไกลจากบุคคลนั้น? ทำไม? ทั้ง ๆ ที่คุณถูกห้ามไม่ให้ติดตามไป?
  4. หากเป็นไปได้ คุณอยากได้อะไรจากคนของพระเจ้า(หรือผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า) ? ทำไมต้องการเช่นนั้น?
  5. คุณเคยรู้สึกเสียใจกับการจากไปของ “บุคคลใด” มากที่สุด? (โดยเฉพาะอย่าง์ยิ่งผู้รับใช้ของพระเจ้า) ทำไม?
  6. คุณมีประสบการณ์อะไรกับฤทธิ์เดชของพระเจ้าที่สำแดงผ่านชีวิตของคุณบ้าง? เรื่องอะไร? อย่างไร และผลที่เกิดขึ้นคืออะไร?
  7. คุณเคยเป็นผู้นำ(หรือขึ้นมาเป็นผู้นำ)แล้ว(ผู้นำ)คนอื่น ๆ ไม่ยอมเชื่อฟังคุณบ้างหรือไม่? แล้วคุณทำอย่างไร?
  8. คุณเคยเห็นพระเจ้าทรงแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงอะไรหรือใครอย่างอัศจรรย์บ้าง? คุณมีส่วนอะไรในการเปลี่ยนแปลงนั้นบ้าง? อย่างไร?
  9. คุณเคยนำการสาปแช่งของพระเจ้าไปถึงผู้ใดบ้าง? อย่างไร?  และทำไม?
  10. คุณเคยเห็นการลงโทษของพระเจ้าต่อคนที่ดูหมิ่นผู้รับใช้ของพระเจ้าบ้างหรือไม่? อย่างไร?

ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทความแปล

ทำไมชีวิตคริสเตียนถึงยากนัก?

ทำไมยากนัก

ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยศรัทธาในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า (กาลาเทีย 2:20)

สุภาพสตรีท่านหนึ่งมาหาผมหลังนมัสการวันอาทิตย์พูดว่า “ท่านศิษยาภิบาลคะ อยากถามท่านบางสิ่ง ไม่นานมานี้ดิฉันเจอเรื่องท้าทายในชีวิตมากมายหลายเรื่อง ทำให้สงสัยว่า ทำไมชีวิตคริสเตียนถึงได้ยากนัก?”

ผมมองตาเธอและพูดว่า “ชีวิตคริสเตียนไม่ได้ยาก แต่เป็นชีวิตที่เป็นไปไม่ได้ครับ คุณไม่อาจดำเนินชีวิตไปได้ด้วยกำลังคุณเอง พยายามทำสิ่งต่างๆด้วยตัวเอง เพราะเป็นการออกแรงที่ไร้ผล ไม่มีทางที่คุณจะติดตามพระเยซูไปได้ด้วยตนเอง พระเจ้าที่อยู่ในคุณเท่านั้น ทรงทำให้เป็นไปได้”

ความจริงคือเมื่อคุณรู้จักพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด การดำเนินชีวิตติดตามพระองค์ เป็นเหมือนพระองค์ เป็นการงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ในคุณ คุณกำลังเปลี่ยนแปลงจากภายในออกสู่ภายนอก และการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้คุณสามารถเป็นเหมือนพระคริสต์ได้ทั้งในความคิดและการกระทำ

หยุดพยายามดำเนินชีวิตคริสเตียนด้วยตัวคุณเอง ให้พระวิญญาณของพระคริสต์เข้ามาควบคุม … ไม่ใช่เป็นเพียงผู้อยู่อาศัย แต่เป็นจอมเจ้านาย …  ไม่ใช่สถิตเฉยๆ แต่ทรงทำการผ่านคุณ นี่คือการเติมเต็มด้วยพระวิญญาณ ขยับความเป็นตัวตนของคุณออกไป และให้พระองค์เข้ามาควบคุมความคิดและการกระทำของคุณครับ

ดำเนินชีวิตคริสเตียนโดยยอมมอบตัวตนให้พระวิญญาณของพระเจ้าเข้ามาควบคุมความคิดและการกระทำของคุณนะครับ

อนุญาตโดย: Pastor Jack Graham

Jack Graham Power Point Ministry: www.powerpoint.org

Categories
บทความแปล

อันตรายจากการล่องลอยไป

นำเรือเทียบท่า

เหตุฉะนั้น เราจะต้องสนใจในข้อความเหล่านั้นที่เราได้ยินได้ฟังให้มากขึ้นอีก เพราะมิฉะนั้น เราจะห่างไกลไปจากข้อความเหล่านั้น  (ฮีบรู 2:1)

ชีวิตก็เป็นเหมือนมหาสมุทร ไร้ทิศทาง พัดไปตามกระแสลมกระแสน้ำและคลื่น พบเรือที่ไม่รู้จักในน่านน้ำ พบโอกาสมากมาย หัวใจที่อาจสลาย รอยยิ้ม น้ำตาและความหวาดกลัว ขณะลอยอยู่ในมหาสมุทร

นักวิชาการบอกว่า ฮีบรู  2:1 พูดถึงทะเล ผู้เขียนใช้ศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับทะเล เขาอาจอยู่ในทะเลเป็นเวลานาน เพราะคำว่า “สนใจในข้อความเหล่านั้น” และคำว่า “ห่างไกลไป” เป็นภาพการเอาเรือเข้าเทียบท่า ภารกิจที่ยาก และบางครั้งอันตราย อยู่ดีๆเรือจะลอยเข้าเทียบท่าเองไม่ได้ นักเดินเรือต้องมีความชำนาญในการนำเรือเข้าเทียบท่า  “ห่างไกลไป” หมายถึง ลอยห่างไป เราจึงต้องระวังเมื่อนำเรือเข้าเทียบท่า ว่าจะไม่กระแทกเข้ากับหินใต้น้ำ หรือลอยผ่านท่าเรือไป

สิ่งเลวร้ายสุดที่อาจเกิดกับเราในปีนี้คือปล่อยให้ชีวิตลอยผ่านไป — ไร้จุดหมาย — ปล่อยให้เรื่องต่างๆวิ่งเข้ามา “ชน” เอง แทนที่จะกำหนด และควบคุมเส้นทางเดินเรือ และให้พระเจ้าเลือกท่าเรือให้เข้าเทียบ สายลมแห่งโลก คลื่นแห่งสถานการณ์ และกระแสแห่งเรื่องเก่าๆเดิมๆตามธรรมชาติ เป็นเหมือนปัจจัยทำให้คุณล่องลอยห่างไป

คุณจะลอยห่างไป เว้นแต่คุณตัดสินใจไม่ให้มันลอยห่างไป คุณต้องมีสมอยึดไว้ ต้องมีทิศทางที่แน่นอน นี่เป็นเรื่องสำคัญ เพราะการล่องลอยไปเป็นเรื่องง่ายที่สุดที่เกิดขึ้นได้ในโลกนี้

โดย : Pastor Adrian Rogers’ daily devotional

อนุญาตโดย : Love worth finding Ministries : www.lwf.org

Categories
สารจากศบ.

สารจากศิษยาภิบาล

ImageHandler

16 กุมภาพันธ์ 2014

สวัสดีครับชาว CJ

ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่การนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง!
ขอให้ทุกท่านที่มากรุณาสงบใจ หยุดพูดคุยระหว่างนมัสการนอกจากผู้นำนมัสการขอให้ทำ
ขอให้ทุกท่านวางภาระ และวางความกังวลใจในเรื่องต่าง ๆ ลงตรงพระพักตร์ของพระเจ้า!
ขอให้ทุกท่านทักทายซึ่งกันและกัน และ อธิษฐานเผื่อกันก่อนกลับบ้านนะครับ
ขอให้ทุกท่านช่วยกันดูแลรักษาความสะอาด และ มีน้ำใจช่วยเก็บข้าวของให้สะอาดเรียบร้อย!
ขอให้ทุกท่านแต่งกายให้เรียบร้อยมิดชิดเหมาะกับการเข้านมัสการพระเจ้าเท่าที่ทำได้
ขอทุกท่านช่วยกันดูแลความปลอดภัย เป็นหูเป็นตา ระวังทรัพย์สินสิ่งของในระหว่างนมัสการ!
ขอทุกท่านที่ต้องการซื้อหาพระคัมภีร์ แจ้งได้ที่ คุณโบ และ อั้ม ผู้ที่เอาพระคัมภีร์ของโบสถ์ไปกรุณานำมาคืนด้วยครับ

ขอทุกท่านเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่คริสตจักรจัดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะมีประโยชน์อย่างมาก!
ขอทุกท่านเข้าศึกษาพระคัมภีร์ในทุกวันพฤหัสที่  CJ และกลุ่มแคร์ ตามวันต่าง ๆ
ขอทุกท่านเข้ากลุ่มพันธกิจใดก็ได้ใน 5 กลุ่ม   –สนใจแจ้งที่ คุณแดง  คุณโบ  คุณฝา  คุณเอ๋ และ ผม (081 835 7327)

ขอทุกท่านสมัครเข้าไลน์ของ “สมาชิกCJ”  โดยขอให้สมาชิกในกลุ่ม เป็นผู้เพิ่มชื่อเข้าไป
ขอทุกท่านเข้าเยี่ยมชมเวป ของคริสตจักร http://www.churchofjoy.net
ขอทุกท่านติดต่อกับคริสตจักรที่ churchofjoy@hotmail.com หรือติดต่อกับผมที่ bscbkk@gmail.com
ขอทุกท่านอธิษฐานเผื่อกันและกัน เผื่อคริสตจักรและเผื่อประเทศชาติของเราจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น!
ขอทุกท่านตั้งเป้าที่จะเป็น “สาวกแท้” ของพระคริสต์ -อธิษฐานเป็น เฝ้าเดี่ยวเป็นประจำ  เป็นพยาน และประกาศเป็นประจำ ร่วมสามัคคีธรรมสม่ำเสมอ ไม่ขาดการนมัสการวันอาทิตย์ ร่วมรับใช้เมื่อทำได้ และถวายทรัพย์ (ทั้ง 10 ลด และถวายพิเศษ) ด้วยความซื่อสัตย์!

ขอทุกท่านร่วมถวายเพื่อรายการทีวีคริสเตียน ‘คำตอบชีวิต’ และ ‘คริสตจักรในบ้าน’ ที่ CJ ดูแลอยู่
1. ถวายผ่านคริสตจักร
2. ถวายโดยตรงที่ “สื่อเพื่อชีวิต” ธนาคาร กรุงเทพ สาขารัชดา-ห้วยขวาง สะสมทรัพย์  เลขที่บัญชี 055 05517 17 แล้วแจ้งที่  081 995 7778

ขอทุกท่านติดตามข่าว หรือรับการหนุนใจที่  twitter.com/thongchai หรือ instagram ทาง thongchaibsc
ขอทุกท่านถวาย10 ลด อย่างซื่อสัตย์ เพื่อพระเจ้าจะอวยพรท่านมากมาย และผู้ต้องการใบเสร็จเพื่อลดหย่อนภาษีให้ถวายใส่ซองพร้อมแจ้งความประสงค์ให้ชัดเจน!

ขอขอบคุณ อาจารย์ เคลลี่ ที่แบ่งปันพระวจนะในวันนี้
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการนมัสการในวันนี้ ขอพระเจ้าโปรดทุกท่านให้เข้มแข็ง ปลอดภัยและมีความสุข!

ด้วยรัก

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (ศิษยาภิบาล)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ความรักที่ดีที่สุด

วาเลนไทน์ทุกๆวัน

“ความรักที่ดีที่สุด คือความรักที่ทำให้คุณเป็นคนที่ดีขึ้น โดยไม่ได้เปลี่ยนแปลงตัวของคุณให้กลายเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวของคุณเอง!”

(The best love is the one that makes you a better person,without changing you into someone other than yourself.)

 หากใครรักเราจริง ๆ  เขาจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เรามีความสุข และเป็นคนที่ดีขึ้น!

เช่นเดียวกัน หากว่าเรารักใครสักคน เราก็จะพยายามกระทำทุกอย่างเพื่อให้เขาเป็นคนที่ดีขึ้น มีอนาคตไกล และมีความสำเร็จ!

เราเห็นตัวอย่างเช่นนี้ได้ในชีวิตของคนที่เป็นพ่อแม่ …

พ่อแม่ตามธรรมชาติจะรักลูกและพยายามทำทุกอย่างให้ลูกของตนเป็นคนดี คนเก่ง และมีความสุข เพียงแต่มีพ่อแม่หลายคนที่มุ่งเน้นมากเกินไป และเคี่ยวเข็ญบังคับขืนใจลูก จนลูกหมดความสุข!

ดังนั้น แทนที่ลูกจะซาบซึ้งในความรักของพ่อแม่ ลูกกลับตีความว่า พ่อแม่ไม่ได้รักเขา แต่พ่อแม่รักตัวเอง (แบบผิดๆ)  ที่ใช้ลูกเป็นเครื่องมือ สนองตอบความฝันหรือความต้องการของตัวพ่อแม่เอง อย่างนี้เราเรียกว่า พ่อแม่รักลูกไม่ถูกวิธี!

หรือตรงกันข้าม เพื่อให้ลูกสบายใจและมีความสุข พ่อแม่บางคนจึงไม่กล้ากล่าวสอน ตักเตือนหรือควบคุมดูแลลูก แต่ตรงกันข้าม กลับตามใจปล่อยให้ลูกเกิดมีพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์หรือไม่มีวินัยในชีวิต ผลที่ตามมาก็คือ ลูกมีความสุขของลูก แต่คนรอบข้างกลับไม่มีความสุข อีกทั้งลูกก็ไม่ใช่คนดีที่น่าคบหาเพราะมีนิสัยที่เอาตัวเองเป็นใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน อย่างนี้เราเรียกว่า พ่อแม่รักลูกไม่ถูกทาง!

เช่นเดียวกับในความสัมพันธ์อื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นระหว่างสามีภรรยา ลูกพี่-ลูกน้อง(นายจ้าง– ลูกจ้าง) ครูกับศิษย์ ฯลฯ หากว่าความรักที่เรามีต่ออีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ช่วยให้เขาเป็นคนที่ดีขึ้น นั่นไม่ใช่ความรักที่ดี และเขาจะมีความสุขได้ไม่นาน!

ดังนั้น วันนี้ หากคุณรักใครสักคนหนึ่ง จงทำทุกอย่างเพื่อให้เขาเป็นคนที่ดีขึ้น โดยไม่พยายามเปลี่ยนแปลงเขาจนเขากลายเป็นคนที่ไม่ใช่ตัวของเขาเอง แต่ให้เราช่วยให้เขาเป็นตัวของเขาเองที่ดีขึ้นกว่าเดิม!

และหากว่าคุณรักใครสักคนจริงๆ คุณก็จะพยายามทำทุกอย่างให้เขาคนนั้นดีขึ้นกว่าเดิม โดยแนะนำให้เขาหรือเธอได้รู้จักกับองค์พระเจ้าผู้สร้างชีวิตของเขาและโน้มน้าวให้เขายอมให้พระองค์ทรงนำชีวิตของเขา(และของคุณ) !

ผลที่จะตามมาจากการรู้จักกับพระเจ้าก็คือการเปลี่ยนแปลงที่จะทำให้เรากลับไปเป็นคนอย่างที่เราพึงเป็น ดังที่พระเจ้าทรงออกแบบมาให้เราเป็นตามพระประสงค์ของพระองค์!

แน่นอนว่า หากคุณและคนที่คุณรักได้รู้จักกับพระคริสต์และเชื่อวางใจมอบชีวิตไว้ให้พระองค์ทรงนำ และทำตัวของคุณและของเขาให้เข้าสนิทอยู่ในพระคริสต์และพระคริสต์เข้าสนิทอยู่ในคุณและเขาทุก ๆ วัน ก็รับรองไดเลยว่า สิ่งใหม่ที่ดีกว่าจะเกิดขึ้นกับคุณทั้ง 2 และชีวิตของคุณและคนที่คุณรักจะดีขึ้นอย่างแน่นอน!

ดังที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า …

  “ฉะนั้น​ถ้า​ใคร​อยู่​ใน​พระคริสต์ เขา​ก็​เป็น​คน​ที่​ถูก​สร้าง​ใหม่​แล้ว สิ่ง​สารพัด​ที่​เก่าๆ ก็​ล่วง​ไป นี่แน่ะ​กลาย​เป็น​สิ่ง​ใหม่​ทั้ง​นั้น”    (2โครินธ์ 5:17)

 วันนี้ขอให้ “ความรัก” แท้จริงจากพระเจ้าจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงตัวของเรา (ทั้งคุณและเขา)  ให้กลายเป็น “คนที่ดีขึ้นกว่าเดิม”

จะดีไหมครับ?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์