Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

เรื่องราวของคริสต์มาส โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (12)

คอลัมน์ : “ส ด แ ต่ เ ช้ า”  ปี 2 (261)

ที่ปรึกษามหัศจรรย์ !

“ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา และการปกครองจะอยู่บนบ่าของท่าน และเขาจะขนานนามของท่านว่า
“ที่ปรึกษามหัศจรรย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ และองค์สันติราช”” ~อิสยาห์ 9:6 THSV11

“For to us a child is born, to us a son is given, and the government will be on his shoulders. And he will be called Wonderful Counselor, Mighty God, Everlasting Father, Prince of Peace.” ~Isaiah 9:6 NIV

พระคริสต์แห่งวันคริสต์มาส ได้รับพระนามเรียกขานว่า “ที่ปรึกษามหัศจรรย์!”( Wonderful Counselor)

คำถามคือ พระองค์เป็น “ที่ปรึกษามหัศจรรย์” อย่างไร?
ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ตอบอย่างชัดเจนเลยว่า

“เรื่องนี้ก็มาจากพระยาห์เวห์จอมทัพ ด้วยพระองค์ทรงอัศจรรย์นักในการให้คำปรึกษา และวิเศษในเรื่องสติปัญญา” -อิสยาห์ 28:29 THSV11

“All of this has come from the Lord of Armies. His counsel is wonderful, and his wisdom is great.” ~Isaiah 28:29 GW

นอกจากนี้ในพระธรรมอิสยาห์ บทที่ 11:1-5 ยังอธิบายไว้อีกว่า

“จะมี

  1. หน่อหนึ่งแตกออกจากตอ*ของเจสซี **และ
  2. กิ่ง***หนึ่งที่งอกจากรากของเขานั้นจะเกิดผล ****

( *= คำทำนายว่าพระเมสสิยาห์จะเป็นดุจหน่อ หรือกิ่งที่งอกขึ้นมาจะตอของราชวงศ์ดาวิด หลังจากที่กองทัพอัสซีเรียบุกโจมตียูดาห์ แต่จุดจบของอาณาจักรยูดาห์คือการไปเป็นเชลยที่บาบิโลนในปี 586 ก.ค.ศ. ดังที่เขียนไว้ว่า

“…และพระยาห์เวห์ทรงกวาดคนออกไปไกล และที่ที่ถูกทิ้งร้างท่ามกลางแผ่นดินนั้นมีมากมาย และแม้ว่ายังมีเหลืออยู่ในนั้นสักหนึ่งในสิบ ก็จะต้องถูกไฟเผาอีกเหมือนต้นสนหรือต้นโอ๊ก ซึ่งเหลืออยู่แต่ตอ เมื่อถูกโค่น” …ตอของมันคือเมล็ดพันธุ์บริสุทธิ์” ~อิสยาห์ 6:12-13 THSV11

**เจสซี =บิดาของดาวิด ~1ซมอ.16:10-13
***กิ่ง =

  1. อีกฉายาของพระเมสสิยาห์ เหมือนหน่อ (11:1;53:2) ที่สืบทอดมาจากดาวิด ~ยรม.23:5;33:15;ศคย.3:8;6:12 หรือ
  2. ยูดาห์ **** เกิดผล = จะเป็นเกียรติแก่อิสราเอล กิ่งหรือหน่อ หรือพระเมสสิยาห์จะเป็นเกียรติ ศักดิ์ศรี ความรุ่งเรือง หรือความภาคภูมิใจของอืสราเอล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผลอันอุดมสมบูรณ์จากแผ่นดิน ซึ่งเป็นลักษณะการปกครองของพระเมสสิยาห์ ในฐานะที่ปรึกษามหัศจรรย์ หรือเป็นกษัตริย์ (ปท.มคา.7:9) ซึ่งปกครอง ตัดสินใจ และดำเนินกิจการหรือราชกิจใดๆ )

“และพระวิญญาณ*ของพระยาห์เวห์จะทรง (ประทับ) อยู่บนท่าน
(The Spirit of the Lord will rest on him) 

คือ
1.พระวิญญาณแห่ง

  • 1).ปัญญาและ
  • 2).ความเข้าใจ (the Spirit of wisdom and of understanding)

2.พระวิญญาณแห่ง

  • 1).คำปรึกษา**และ
  • 2).อานุภาพ (the Spirit of counsel and of might)

3.พระวิญญาณแห่ง

  • 1).ความรู้และ
  • 2).ความยำเกรงพระยาห์เวห์ (the Spirit of the knowledge and fear of the Lord)

*พระเมสสิยาห์จะได้รับฤทธานุภาพโดยพระวิญญาณ~อสย.61:1 เช่นเดียวกับดาวิด แต่มากยิ่งกว่า

** พระวิญญาณจะประทานสติปัญญาและฤทธิ์อำนาจ เพื่อพระองค์จะให้คำปรึกษาในเรื่องเป้าหมาย และ การทำให้สำเร็จตามเป้าหมายนั้นได้อย่างอัศจรรย์ (9:6)

ความชื่นชอบของท่านคือความยำเกรงพระยาห์เวห์
(and he will delight in the fear of the Lord. )

(เหมือนพระเยซูคริสต์ในสภาพมนุษย์ ทรงยำเกรงและทำตามชอบพระทัยของพระเจ้าพระบิดา 

“และพระองค์ผู้ทรงใช้เรามาก็สถิตอยู่กับเรา พระองค์ไม่ได้ทรงทิ้งเราไว้ตามลำพัง เพราะว่าเราทำตามชอบพระทัยพระองค์เสมอ”” ~ยอห์น 8:29 THSV11)

“ 1.ท่านจะไม่

  • 1).พิพากษาตามสิ่งที่ตาท่านได้เห็น หรือ
  • 2).ตัดสินตามสิ่งที่หูท่านได้ยิน แต่

2.ท่านจะ

  • 1).พิพากษาคนจนด้วยความชอบธรรม* และ
  • 2).ตัดสินให้กับคนต่ำต้อยของแผ่นดินด้วยความเที่ยงธรรม
  • 3.ท่านจะตีแผ่นดินโลกด้วยตะบอง**จากปากของท่าน และ
  • 4.ท่านจะประหารคนอธรรมด้วยลมจากริมฝีปากท่าน
  • 5.ท่านจะมีความชอบธรรมเป็นสายคาดเอวของท่าน และ
  • 6.ท่านจะมีความซื่อสัตย์เป็นผ้าคาดที่บั้นเอว***ของท่าน”
    (อิสยาห์ 11:1-5 )”

*”ความชอบธรรม …ความเที่ยงธรรม” = คุณสมบัติที่ผู้ปกครองบ้านเมืองในสมัยของอิสยาห์ไม่มี~1:17;5:7
** “ตะบอง” =“ไม้เรียว” ~อัสซีเรียเป็นดุจไม้เรียวของพระเจ้า ~อสย.10:5,24
*** “ผ้าคาดที่บั้นเอว” =คนจะคาดสายคาดเอว เหมือนเข็มขัด เพื่อให้เสื้อผ้าที่รุ่มร่ามทะมัดทะแมงพร้อมลงมือทำบางอย่างได้ด้วยความกระฉับกระเฉง

พี่น้องที่รัก

จากวันนี้ไป ขอให้

  1. พระ(คริสต์)เจ้าเป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ (อสย.9:6;สดด.32:8)
  2. พระวจนะของพระเจ้าเป็นคำปรึกษาที่มหัศจรรย์ (สดด.129:24)
  3. ผู้มีสติปัญญาที่พระเจ้าแต่งตั้งไว้ร่วมเป็นที่ปรึกษาอันชาญฉลาด (สภษ.15:22)

สำหรับ

  • 1).ในชีวิต
  • 2).ในครอบครัว
  • 3).ในอาชีพการงานธุรกิจ
  • 4).ในพันธกิจของเรา

…จะดีไหมครับ?

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (18 ธันวาคม 2022)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

เรื่องราวของคริสต์มาส โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (11)

คอลัมน์ : “ส ด แ ต่ เ ช้ า” ปี 2 (260)

เด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา?

“ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา และการปกครองจะอยู่บนบ่าของท่าน และเขาจะขนานนามของท่านว่า
“ที่ปรึกษามหัศจรรย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ และองค์สันติราช”” -อิสยาห์ 9:6 THSV11

“For to us a child is born, to us a son is given, and the government will be on his shoulders. And he will be called Wonderful Counselor, Mighty God, Everlasting Father, Prince of Peace.” ~Isaiah 9:6 NIV

Max Lucado กล่าวว่า

“เมื่อพระคริสต์มาบังเกิด ความหวังของเราก็เกิดขึ้น!”
(When Christ was born, so was our hope.)

คริสต์มาสนี้ เป็นช่วงเวลาที่ให้ความหวังแก่ประชากรของพระเจ้า
ตามคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์อิสยาห์ที่ว่า: 

1.พระเจ้าจะทรงกำจัดความทุกข์ระทม และความโศกเศร้าของคนของพระองค์

“แต่เมืองนั้นที่อยู่ในสภาพโศกเศร้าจะไม่ทุกข์ระทมอีก”

2.พระเจ้าจะประทานความรุ่งโรจน์ให้แก่คนของพระองค์

“ในกาลก่อนพระองค์ทรงให้ 

  • ~แคว้นเศบูลุน และ
  • ~แคว้นนัฟทาลี* เป็นที่ดูหมิ่น แต่ในภายหลัง พระองค์จะทรงทำ
  • ~หนทางฝั่งทะเล และ
  • ~ดินแดนฟากตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน คือกาลิลี**ของบรรดาประชาชาตินั้นให้รุ่งโรจน์”

*“นัฟทาลี” = เผ่าอิสราเอลตอนเหนือ ที่ต้องทนทุกข์อย่างหนัก เมื่อทิกลัทปิเลเสอร์ที่สามแห่งอัสซีเรียบุกโจมตีในปี 734 และ 732 ก.ค.ศ.
(2พกษ.15:29)

** “กาลิลี…ให้รุ่งโรจน์” = เป็นจริงเมื่อพระเยซูคริสต์ทรงเชิดชูกาลิลี เมื่อทรงใช้กาลิลีเป็นศูนย์กลางในการกระทำพระราชกิจของพระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองคาเปอรนาอุมซึ่งอยู่ใกล้กับทางหลวงจากอียิปต์ไปสู่เมืองดามัสกัส ที่เรียกว่าเส้นทางสู่ทะเล ในมธ. 4:13-15

3.พระเจ้าจะประทานความสว่างให้แก่ชนชาติที่ดำเนินอยู่ในความมืดมน

“ชนชาติที่ดำเนินในความมืด เห็นความสว่างยิ่งใหญ่ * บรรดาคนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินแห่งเงามัจจุราช แสงสว่างส่องมาบนเขาทั้งหลาย”

* “ความสว่างยิ่งใหญ่” = พระเยซูและความรอดของพระองค์จะเป็น “แสงสว่าง” แก่คนต่างชาติทั้งหลาย (อสย.42:6;49:6; ปท. มธ. 4:15-16; ลก.2:32)

4.พระเจ้าจะทรงทวีจะทรงเพิ่มคนและทวีความชื่นบานให้แก่บรรดาคนของพระองค์

“พระองค์ทรงทวีจำนวนคนในชาตินั้นขึ้น พระองค์ทรงเพิ่มพูนความชื่นบานของพวกเขา เขาทั้งหลายเปรมปรีดิ์เฉพาะพระพักตร์พระองค์  ดั่งความชื่นบานในฤดูเกี่ยวเก็บ ดั่งคนยินดีเมื่อเขาแบ่งของริบให้แก่กัน”

5.พระเจ้าจะทรงทำลายแอก ภาระหนัก และทุกการบีบบังคับที่มีต่อคนของพระองค์ลง

“เพราะว่าแอก *อันเป็นภาระหนักของเขาก็ดี ไม้พลองที่ตีบ่าเขาก็ดี
ไม้ตะบองของผู้บีบบังคับเขาก็ดี พระองค์ทรงหักเสียเหมือนอย่างในวันของคนมีเดียน** เพราะรองเท้า***ทหารทุกคู่ที่กระทืบจนสั่นสะเทือน และเสื้อคลุมทุกตัวที่เกลือกอยู่ในโลหิตจะถูกเผาเป็นเชื้อเพลิงใส่ไฟ”

  1. * “แอก” = สัญลักษณ์ของการกดขี่บังคับและภาระหนัก ใน อสย.10:26-27 ~อิสยาห์พยากรณ์ว่าพระเจ้าจะทรงทำลาย
  2. กองทัพอัสซีเรีย และ
  3. เเอกแห่งการกดขี่ของพวกเขา เหตุการณ์ที่เป็นจริงในปี 701 ก.ค.ศ.
    (อสย. 37:36-38)

** “ในวันของคนมีเดียน” =วันแห่งชัยชนะเหนือมีเดียน คือวันที่ กิเดโอนชนะกองกำลังของชาวมีเดียนและช่วยชาวอิสราเอลให้พ้นจากอำนาจครอบงำของพวกเขา (วนฉ.7:22-25)

*** “รองเท้า…เสื้อคลุม” =ข้าวของเครื่องใช้ของทหารจะไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป (อสย. 2:2-4; มคา. 5:10-15)

6.พระเจ้าจะประทานกษัตริย์ที่แสนมหัศจรรย์และทรงมหิทธิฤทธิ์มาช่วยและปกครองคนของพระองค์

“ด้วยมีเด็กคนหนึ่ง*เกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา และการปกครองจะอยู่บนบ่าของท่าน และเขาจะขนานนามของท่านว่า
ที่ปรึกษามหัศจรรย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ และองค์สันติราช**” 

การเพิ่มพูนขึ้นของการปกครองและสันติภาพของท่าน จะไม่มีที่สิ้นสุด
บนพระที่นั่งของดาวิด ***และเหนือราชอาณาจักรของพระองค์ เพื่อจะสถาปนาและเชิดชูมันไว้ ด้วยความยุติธรรมและความชอบธรรม ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนนิรันดร์กาล

* “เด็กคนหนึ่ง…บุตรชายคนหนึ่ง” = ราชโอรส (ผู้สืบเชื้อสายจากกษัตริย์ ดาวิด) (อสย. 9:7; 2ซมอ. 7:14; สดด. 2:7; มธ. 1:1;3:17; ลก. 1:32; ยน.3:16)

** “ที่ปรึกษามหัศจรรย์…องค์สันติราช” = ทั้ง 4 ชื่อที่พรรณนาถึงพระผู้ช่วยให้รอด (พระเมสสิยาห์)ผู้จะปกครองคนของพระองค์

1.“ที่ปรึกษามหัศจรรย์” =พระเมสสิยาห์ ในฐานะกษัตริย์ (มคา.4:9) เป็น

  • 1).ผู้ตัดสินใจ
  • 2).ผู้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง (อสย. 14:27) พระเมสสิยาห์ ผู้ทรงมาจากเชื้อวงศ์ของดาวิด จะมาทำราชกิจที่ทำให้คนทั้งโลกอัศจรรย์ใจ (ราชกิจนั้นเป็นอย่างไร ได้เริ่มถูกกล่าวไว้ใน อสย.11 และชัดเจนขึ้นใน อสย. 24-27 โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 25:1) ~พระเจ้าทรงเป็นผู้ให้คำปรึกษาที่ยอดเยี่ยม ~อสย. 28:29; วนฉ. 13:18

2. “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์” =เน้นฤทธานุภาพของพระเจ้าในฐานะนักรบผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ~อสย. 10:21

3. “พระบิดานิรันดร์” =เน้น การเป็นผู้จัดเตรียม และผู้ปกป้องผู้เปี่ยมด้วยความเมตตาเอ็นดูของพระองค์เสมอไป(ปท. อสย.40:9-11)

4. “องค์สันติราช” =เน้น การปกครองของพระเมสสิยาห์ ที่จะนำความผาสุกและสวัสดิภาพมาสู่แต่ละคน สู่สังคมและประเทศชาติ (อสย. 11:6-9)

*** “บนพระที่นั่งของดาวิด” = บัลลังก์ของดาวิด ทั้งๆที่ในเวลาที่เขียนพระธรรมตอนนี้ ยังมีกษัตริย์ที่บาปอย่างอาหัสปกครองอยู่ แต่ก็มีคำพยากรณ์ว่าพระเมสสิยาห์ หรือพระคริสต์ จะมาจากเชื้อสายของดาวิด ที่ปกครองด้วยความชอบธรรมตราบนิรันดร์ (อสย. 11:3-5; 2ซมอ. 7:12-13, 16; ยรม. 33:15, 20-22)

7.พระเจ้าจะทำการของพระองค์นี้ด้วยความกระตือรือร้นจนกว่าทุกสิ่งจะสำเร็จเป็นจริง

“ความกระตือรือร้น*ของพระยาห์เวห์จอมทัพจะทำการนี้”

* “ความกระตือรือร้น” =พระเจ้าทรงรักและหวงแหนคนของพระองค์ และจะไม่ทอดทิ้งคนของพระองค์ ~อิสยาห์ 9:1-7 THSV11

เรื่องราวแห่งคำพยากรณ์ทั้งหมดตามแผนการของพระเจ้านั้น เริ่มต้นเป็นจริงในวันคริสต์มาส เมื่อพระคริสต์เจ้าจากสวรรค์ เสด็จลงมาบังเกิดเป็นเด็กทารกคนหนึ่ง ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบมาจนทุกวันนี้ ก่อนที่จะสำเร็จสมบูรณ์ในวันที่ พระคริสต์จะเสด็จกลับมารับเราอีกครั้งหนึ่ง!

Thomas Merton กล่าวไว้ดีว่า

“พระคริสต์มาบังเกิดเพื่อเราในวันนี้ ก็เพื่อให้พระองค์ปรากฎต่อโลกนี้ ผ่านทางเรา!”

(Christ is born to us today, in order that he may appear to the whole world through us. )

ดังนั้นพี่น้องที่รัก ขอให้ วันนี้ คริสต์มาสและปีใหม่ เราจะมีความสุขและความยินดีกับการที่พระคริสต์

1.ทรงบังเกิดเพื่อเรา

2.ทรงกระทำ

  • 1).เพื่อเรา
  • 2).ในเรา
  • 3).กับเรา และ

3.ผ่านเรา

จะดีไหมครับ?
 
ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (17 ธันวาคม 2022)

Categories
สารจากศบ.

สารประจำสัปดาห์จากศิษยาภิบาล

18 ธันวาคม 2022

สุขสันต์วันคริสต์มาสครับ ชาว CJ

คริสต์มาสคือเดือนนี้ แท้จริงคือทุกเดือน และ ควรเป็นทุกวันในชีวิตของเรา

วันนี้ เราได้ส่งความสุขในวันคริสต์มาสให้แก่ใครแล้วหรือยัง? ถ้ายัง รีบทำเลยครับ! อย่างน้อยก็อธิษฐานเฝื่อใครสักคนหนึ่งแล้วบอกเขาว่าเราขอส่งความสุขวันคริสต์มาสมาให้แก่เขาผ่านทางคำอธิษฐานของเรา

แต่หากอยากมีของขวัญราคาประหยัดก็ส่งหนังสือคริสต์มาสไปให้ได้ สนใจติดต่อ ครูเอ๋  คุณแดง คุณโบ หรือ คุณปู (087-6998517) โดยตรงก็ได้ครับ

คริสต์มาสเป็นเวลาแห่งการให้ ดังนั้นจงทำคริสต์มาสของคุณให้สมบูรณ์โดยเร็วนะครับ!

Ruth Carter Stapleton กล่าวได้ดี เมื่อเธอพูดว่า

“คริสต์มาสเป็นคริสต์มาสที่แท้จจริงมากที่สุด เมื่อเราเฉลิมฉลอง          โดยการมอบแสงสว่างแห่งความรักให้แก่คนที่ต้องการมากที่สุด!

“Christmas is most truly Christmas when we celebrate it by giving the light of love to those who need it most.”

อย่าปล่อยให้วันนี้ ของคุณผ่านไปโดยไม่ได้ให้รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ หรือคำไพเราะเสนาะหูที่หนุนใจหรือให้กำลังใจแก่คนบางคนนะครับ

ขอบคุณพระเจ้าที่ให้เรามีวันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม ในปีนี้ ทำให้ทุกคนได้สามารถชวนญาติมิตรมาร่วมรับ และแบ่งปันความสุขของวันคริสต์มาสที่โบสถ์ของเรา 

ขอบคุณสำหรับผู้รับผิดชอบในการจัดงานและสมาชิกทุกท่านที่มีส่วนร่วมทำให้เกิดขึ้นมาได้

ขอบคุณพระเจ้าที่คริสตจักร CJ ของเราได้รับเกียรติให้ไปร่วมส่งความสุขคริสต์มาส ในช่วงก่อนคอนเสิร์ตของคุณ Boyd Kosiyabong ที่สนามกอล์ฟศรีราชา ในวันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม นี้ ขออธิษฐานเผื่อด้วยเช่นกันครับ

ขอพระเจ้าทรงอวยพรให้มีคนมากมายจะได้รับข่าวดีวันคริสต์มาส ความสุขและพระพรในวันนั้นอย่างเต็มล้น

และน่าดีใจครับที่ในวันที่ 25 ธันวาคม 2022 นี้เราจะมีพิธีบัพติศมาสำหรับพี่น้องต่อไปนี้คือ

  1. คุณอมตะ หลูไพบูลย์ (บี)
  2. คุณปัญญ์วรุตม์ กิตติเสาวภาคย์ (เต้)   
  3. คุณอริญชัย เรืองศรี (ปอนด์)
  4. คุณ ธนกฤต คำสงค์ (เบน)
  5. คุณ รสริน สว่างศรี (นุก)
  6. คุณ โรชิดา มุทิตานนท์ (เม)
  7. คุณ หทัยกาญจน์ ราชกิจ (หนึ่ง)
  8. คุณ นวพร บวรศิวมนต์ (เล็ก) 
  9. คุณ กันฏ์ระพี พิริยพูล (พู่กัน)
  10. คุณ จนิฎตา จินานุวัฒนา (แจน)
  11. คุณ สุรศักดิ์​ คำฉอ้อน(เปาโล)
  12. คุณชลก​ฤ​ษ​ฎ์​ สุ​ร​พงษ์​ชาญ​เดช ​(แคนดี้)

ขอพี่น้องทุกท่านได้กรุณาจัดเวลามาร่วมแสดงความยินดีกันอย่างเต็มที่นะครับ ใครมีของขวัญอะไรมามอบให้ ยินดีเลยครับ!

สำหรับปีใหม่ 2023 คริสตจักรของเราได้ มีตารางเทศนาพร้อมหัวข้อในแต่ละวันอาทิตย์ มอบให้แก่สมาชิกทุกท่านเป็นข้อมูลในแต่ละอาทิตย์ตลอดปีหน้าแล้ว          

อนึ่ง หากผู้ใดประสงค์จะถวายทรัพย์ เพื่อ
          

  • 1. การก่อสร้างอาคารของคริสตจักร
  • 2. การกระทำภารกิจต่างๆ ของคริสตจักร
  • 3. การถวายพิเศษเพื่อองค์กรที่ร่วมรับใช้กับคริสตจักร เช่น BSC     ท่านสามารถถวายได้ที่ คริสตจักรแห่งความสุข  ธนาคารไทยพาณิชย์  สาขาเพลินจิต บัญชีออมทรัพย์เลขที่ 216-221419-9 หรือทาง QRCode  

ขอพระเจ้าทรงอวยพรทุกท่าน ด้วยสิ่งดีที่ล้ำเลิศจากสวรรค์

สุขสันต์วันคริสต์มาส

 (ธงชัย ประดับชนานุรัตน์) ในนามทีมศิษยาภิบาล

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม :  ”พระคัมภีร์สอนอะไรบ้างเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตโดยความเชื่อ?”

คำตอบ:

1. เราต้องมีความเชื่อในพระเจ้า พระเจ้าจึงจะรับรองเรา
 “โดยความเชื่อนี้เองคนสมัยก่อนจึงได้รับการรับรองจากพระเจ้า” ~ฮีบรู 11:2 THSV11

2. เราต้องมีความชอบธรรมที่มาจากพระเจ้า ที่ได้มาโดยความเชื่อในพระคริสต์ ไม่ใช่จากพระบัญญัติ
“และจะได้เห็นว่าข้าพเจ้าอยู่ในพระองค์ ไม่มีความชอบธรรมที่ได้มาจากธรรมบัญญัติ มีแต่ที่ได้มาโดยความเชื่อในพระคริสต์ คือความชอบธรรมที่มาจากพระเจ้าโดยความเชื่อ”  ~ฟีลิปปี 3:9 THSV11

“แต่เดี๋ยวนี้ความชอบธรรมของพระเจ้านั้นปรากฏนอกเหนือธรรมบัญญัติ ความชอบธรรมดังกล่าวก็ได้รับการยืนยันจากหมวดธรรมบัญญัติและพวกผู้เผยพระวจนะ คือความชอบธรรมของพระเจ้า ซึ่งปรากฏโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์แก่ทุกคนที่เชื่อ โดยไม่ทรงถือว่าเขาแตกต่างกัน” ~โรม 3:21-22 THSV11

3. เราต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า เราเป็นบุตรของพระเจ้าด้วยความเชื่อ
“เพราะว่าพวกท่านทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้าโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์”  ~กาลาเทีย 3:26 THSV11

4. เราต้องเป็นคนชอบธรรมที่ดำเนินชีวิตโดยความเชื่อและตั้งเป้าจะเป็นคนที่พระเจ้าพอพระทัย
“เพราะฉะนั้นเรามั่นใจอยู่เสมอและรู้แล้วว่า ขณะที่อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เราอยู่ห่างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะว่าเราดำเนินโดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยสิ่งที่มองเห็น และเรามั่นใจและพอใจที่จะไปจากร่างกายนี้และอาศัยอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่า ฉะนั้นเราตั้งเป้าว่าจะอาศัยอยู่ในกายนี้ก็ดีหรือจะจากไปก็ดี เราก็จะเป็นคนที่พระเจ้าพอพระทัย เพราะว่าเราทุกคนจำเป็นต้องปรากฏตัวต่อหน้าบัลลังก์ของพระคริสต์ เพื่อแต่ละคนจะได้รับสิ่งที่สมกับการกระทำในกายนี้ ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว” ~2 โครินธ์ 5:6-10 THSV11

“เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมซึ่งเกิดมาจากพระเจ้าก็ได้สำแดงออกโดยความเชื่อ และเพื่อความเชื่อตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า “คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ””  ~โรม 1:17 THSV11

5. เราต้องให้พระคริสต์ประทับในใจของเราโดยทางความเชื่อและหยั่งรากตั้งมั่นอยู่ในความรัก
“ให้พระคริสต์ประทับในใจของท่านโดยทางความเชื่อ ให้ท่านได้หยั่งรากและตั้งมั่นอยู่ในความรัก” ~เอเฟซัส 3:17 THSV11

6. เราต้องมีความกล้าและความมั่นใจในการเข้าเฝ้าพระเจ้าโดยทางความเชื่อในพระคริสต์
“ในพระองค์นั้นเราจึงมีความกล้าและความมั่นใจที่จะเข้าเฝ้าพระเจ้าโดยทางความเชื่อในพระคริสต์” ~เอเฟซัส 3:12 THSV11

7.เราต้องให้พระคริสต์มีชีวิตอยู่ในเราและให้เราเองดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อในพระองค์

“ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกาย  ขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า”  ~กาลาเทีย 2:20 THSV11

8. เราต้องดำเนินชีวิตให้สมกับข่าวประเสริฐของพระคริสต์และยืนหยัดต่อสู้เพื่อความเชื่อ
“ขอเพียงให้พวกท่านดำเนินชีวิตสมกับข่าวประเสริฐของพระคริสต์ เพื่อที่ว่าไม่ว่าข้าพเจ้าจะมาหาและได้เห็นหน้าท่าน หรือไม่มาหา ข้าพเจ้าก็จะได้ยินข่าวเกี่ยวกับพวกท่านว่า ท่านยืนหยัดมั่นคงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ร่วมกันสู้ด้วยจิตใจเดียวกันเพื่อความเชื่อที่มาจากข่าวประเสริฐ”  ~ฟีลิปปี 1:27 THSV11

9. เราต้องพร้อมทนทุกข์ชั่วขณะหนึ่งและต่อต้านมารด้วยใจมั่นคงในความเชื่อ
“จงต่อต้านมันด้วยใจมั่นคงในความเชื่อ โดยรู้ว่าพวกพี่น้องของพวกท่านทั่วโลก ก็ประสบความทุกข์ลำบากอย่างเดียวกัน” ~1 เปโตร 5:9 THSV11

“และหลังจากพวกท่านทนทุกข์ชั่วเวลาหนึ่งแล้ว พระเจ้าแห่งพระคุณทั้งสิ้น ผู้ได้ทรงเรียกให้พวกท่านเข้าในศักดิ์ศรีนิรันดร์ของพระองค์ในพระ[เยซู]คริสต์ พระองค์เองก็จะทรงฟื้นฟู จะทรงค้ำจุนให้มั่นคง จะทรงเสริมเรี่ยวแรง และจะทรงให้พวกท่านตั้งมั่นอยู่ ขออานุภาพ จงมีแด่พระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์ อาเมน” ~1 เปโตร 5:10-11 THSV11

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

เรื่องราวของคริสต์มาส โดย ศจ ธงชัย ประด้บชนานุรัตน์ (10)

คอลัมน์ :”ส ด แ ต่ เ ช้ า” ปี 2 (258)

ข่าวดี เราตายแล้ว!

“ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า” ~กาลาเทีย 2:20 THSV11

“I have been crucified with Christ and I no longer live, but Christ lives in me. The life I now live in the body, I live by faith in the Son of God, who loved me and gave himself for me.” ~Galatians 2:20 NIV

ข่าวด่วน! เราตายแล้ว!

ใช่ครับ

  • 1.เราไม่มีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว
  • 2.เราไม่ได้อยู่ใต้บังคับของกฏบัญญัติใดๆแล้ว
  • 3.เราถูกตรึงร่วมกับพระคริสต์แล้ว

ตอนนี้ ผู้ที่มีชีวิตอยู่ในเรา คือ องค์พระเยซูคริสต์ ต่างหาก! ร่างกายยังเป็นร่างกายของเราแต่ผู้ที่สถิตและดำเนินชีวิตในร่างกายนี้ เป็น …องค์พระคริสต์แห่งวันคริสต์มาส!

1.เรามีหน้าที่เพียงให้พระองค์ทรงครอบครองร่างกายและทุกอย่างที่

  • 1).อยู่ใน และ
  • 2).อยู่กับร่างกายนี้

2.เราเพียงรับผิดชอบ

  • 1).ให้บริการพระองค์ หรือ
  • 2).ให้พระองค์ทรงใช้เรา  ก.ตามพระทัย และ  ข.ตามพระประสงค์ของพระองค์

ใช่ครับ บัดนี้ เราได้ตัดสินใจ ยอมมอบสัมปทานใน

  • ก).การจัดการและ
  • ข).การบริหารชีวิตของเรา อย่างสิ้นเชิงให้กับพระคริสต์แล้ว จนกว่าจะถึงเวลาที่พระองค์จะทรงเปลี่ยนแปลงกายนี้ให้มีเกียรติสิริในวันที่พระองค์เสด็จกลับมารับเรา

เหมือนตอนที่นางฮันนาห์มอบถวายสัมปทานตลอดชีวิตของซามูเอล บุตรชายของนางให้แก่พระเจ้า

“เพราะฉะนั้นดิฉันเองถวายเขาแด่พระยาห์เวห์ เขาถูกถวายแด่พระยาห์เวห์ตลอดชีวิตของเขา!” ~1 ซามูเอล 1:28 THSV11

“So now I give him to the Lord.  For his whole life he will be given over to the Lord.” ~1 Samuel 1:28 NIV

พี่น้องที่รัก

ไม่มีใครเป็นคนชอบธรรมได้ โดยการมีชีวิตทำตามธรรมบัญญัติได้ 100% ทั้งๆที่ธรรมบัญญัตินั้น

  • 1.บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์
  • 2.ชอบธรรม(ยุติธรรม) และ
  • 3.ดีงาม

“เพราะฉะนั้น ธรรมบัญญัติจึงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และบัญญัตินั้นก็ศักดิ์สิทธิ์ ยุติธรรมและดีงาม” ~โรม 7:12 THSV11

“So then, the law is holy, and the commandment is holy, righteous and good.” ~Romans 7:12 NIV

อย่าให้เราถือเอา การปฏิบัติตามกฏ บัญญัติต่างๆมาเป็นฐานเพื่อรับ

  • 1.การยอมรับ หรือ
  • 2.การโปรดปรานจากพระเจ้า จนกระทั่ง
  • 1).เราเกิดความหลงตน เย่อหยิ่ง เปรียบเทียบคนอื่นกับความชอบธรรมของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อตัวเราเคร่งครัดในการรักษาธรรมบัญญัติเหล่านั้นได้ดีกว่าผู้อื่น หรือ
  • 2).เราเกิดความท้อใจ สิ้นหวัง เมื่อเปรียบเทียบกับความชอบธรรมของคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่เราดำเนินชีวิตห่างไกลจากมาตรฐานของธรรมบัญญัติเหล่านั้น

ดังนั้น ข่าวดีคือ ในวันคริสต์มาสนี้ พระเยซูคริสต์องค์พระผู้ช่วยให้รอด เสด็จลงมารับสภาพมนุษย์ และประทานตัวพระองค์เอง เพื่อ ไถ่เราให้รอดพ้น

  • 1.จากโทษของการไม่ทำตามธรรมบัญญัติอันศักดิ์สิทธิ์ และ
  • 2.จากโทษของการทำบาปที่ต้องตายนิรันดร์

เราจึงได้รับการอภัยบาป และการจ่ายหนี้บาปแทนจากพระเยซูคริสต์แบบหมดสิ้นแล้ว 100% เมื่อเราเชื่อและรับการไถ่บาปแทนของพระคริสต์

เราจึงรอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และ

  • 1).ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์
  • 2).ได้รับการประกาศ หรือถูกนับว่า เป็นผู้ชอบธรรมแล้วจากพระเจ้า (แม้มนุษย์ยังไม่ยอมรับก็ตาม)

นี่คือข่าวดีสุดยอด ที่เรียกว่า “ข่าวประเสริฐ” หรือที่คนสมัยก่อนเรียกว่า “พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์!”

ดังนั้น หากเราได้รับความรอด (บาปและโทษจากการทำบาป) โดยพระคุณเพราะความเชื่ออันยอดเยี่ยมนี้แล้ว ก็อย่าให้เรากลับไปเอา ระบบการทำตัวให้ชอบธรรมโดยการทำตามธรรมบัญญัติมาปะปนผสมกับพระคุณนี้ จนสับสนวุ่นวายไปหมด!

จงจำไว้เสมอว่า

# ยึดระบบบัญญัติ+ พระคุณ = ทำให้กางเขนถูกเย้ยหยัน

เพราะเป็น

  • 1. บิดเบือนพระคุณของพระเจ้าทางพระเยซูคริสต์ และ
  • 2.ทำให้การเสด็จมาสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่บาปมนุษย์ของพระเยซูคริสต์ต้องเสียไปเปล่าๆ

แต่กระนั้น เราก็ต้องระวัง เช่นกันว่า

# การรับพระคุณ + การทิ้งธรรมบัญญัติ + การทำตามเนื้อหนัง = ทำให้พระคุณของพระเจ้าเป็นโมฆะ

ดังนั้นวันนี้ หากเรากลับใจจากบาป หันมาเชื่อ และรับพระคุณของพระคริสต์แห่งวันคริสต์มาสนี้แล้ว ขอให้เราตระหนักและยึดความจริงนี้ไว้เสมอว่า

1.พระคริสต์ตายเพื่อไถ่บาปเราแล้ว

2.เราก็ตายร่วมกับพระองค์แล้ว เราไม่ได้มีชีวิตขึ้นอยู่ หรือ

  • 1).ตามบัญญัติ หรือ
  • 2).ตามใจของเรา อีกต่อไป

3.พระคริสต์ที่เป็นขึ้นมาจากตาย ต่างหากมีชีวิตอยู่ในเรา และนำชีวิตของเราในเวลานี้

4.เราต้องยอมให้ความร่วมมือกับพระองค์ในการใช้

  • 1).ร่างกายของเรา
  • 2).ทุกสิ่งที่อยู่กับ หรือ อยู่ภายใต้การดูแลของร่างกายนี้ .ตามพระทัย และ .ตามพระประสงค์ของพระคริสต์ผู้รับสัมปทาน
    ในการใช้ร่างกายนี้ ตลอดไปจนกว่ากายนี้ จะใช้ไม่ได้อีกต่อไป

5.เราจะดำเนินชีวิตที่เหลือในร่างกายนี้ โดยความเชื่อในพระคริสต์ ผู้

  • 1).ได้ทรงรักเรา และ
  • 2).ได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อเรา เพื่อเป็นประโยชน์ต่อพระเจ้า และสังคมต่อไป

เหมือนดังที่ John Piper กล่าวว่า

“เมื่อข้าพเจ้าเชื่อในพระเยซู ข้าพเจ้าได้ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์แล้ว เพราะฉะนั้น สิ่งใดที่พระองค์ได้กระทำหรือได้มาก็ล้วนกลายเป็นของข้าพเจ้าด้วยเช่นกัน โดยการหลอมรวมกับพระองค์ผ่านทางความเชื่อเท่านั้น ชีวิตอันชอบธรรมของพระองค์จึงอยู่ภายในตัวข้าพเจ้าแล้ว
สิ่งที่พระคริสต์ได้กระทำสำเร็จแล้ว ก็ถือว่าเป็นของข้าพเจ้าด้วย!”

(When I believe in Jesus, I am united to Christ. Therefore, what he did and achieved becomes mine by this union through faith alone. His righteous life is imputed to me. What Christ achieved is counted as mine.)

พี่น้องที่รัก

…คุณเชื่อเช่นนี้ ไหมครับ?

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (15 ธันวาคม 2022)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

เรื่องราวของคริสต์มาส โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (9)

คอลัมน์ : “ส ด แ ต่ เ ช้ า” ปี 2 (256)

เสียงร่ำไห้ในคริสต์มาส?

1.พวกนักปราชญ์จากไปหลังจาก

  • 1).ได้เข้าเฝ้าพระเยซูคริสต์แล้ว
  • 2).ได้รับการเตือนในความฝัน ไม่ให้กลับไปพบเฮโรด

2.ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็ปรากฏแก่โยเซฟในความฝัน และสั่งว่า

“จงลุกขึ้น พาพระกุมารกับมารดาหนีไปประเทศอียิปต์ และคอยอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกเจ้าให้กลับมา เพราะว่าเฮโรดกำลังจะค้นหาพระกุมาร เพื่อจะประหารชีวิตเสีย” 

(ทูตสวรรค์นี้ น่าจะหมายถึง กาเบรียล ~ลก.1:11,19,26;2:9; มธ.1:20, 24;2:13,19 ปท.ปฐก.16:7)

3.โยเซฟจึงลุกขึ้น ในเวลากลางคืน (คืนนั้น) พา

  • 1).พระกุมารกับ
  • 2).(มารีย์) มารดาไปยังประเทศอียิปต์

4.โยเซฟ มารีย์ และพระเยซูได้อยู่ที่อียิปต์นั่น (จนกว่าเฮโรดจะสิ้นพระชนม์) 

~ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จเป็นไปตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งได้ตรัสผ่านทางผู้เผยพระวจนะว่า 

“เราได้เรียกบุตรของเราให้ออกมาจากอียิปต์!”

(ข้อความตรงนี้ อ้างจาก ฮชย.11:1 ซึ่งเดิมหมายถึงการที่พระเจ้าทรงเรียกคนอิสราเอลออกมาจากอียิปต์ในสมัยโมเสส แต่โดยการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์

  • 1).มัทธิวใช้พระธรรมตอนนี้ หมายถึงพระเยซูคริสต์ด้วย
  • 2).มัทธิวฉายซ้ำประวัติศาสตร์อิสราเอล ก.ในฐานะบุตรของพระเจ้า
    ข.ในสมัยที่ยังแบเบาะดุจเด็กน้อยเล็กๆที่ไปอยู่ในอียิปต์ ก่อนที่พระเจ้าจะนำพวกเขาออกมาจากอียิปต์

พระเจ้าก็ทรงกระทำเช่นกัน ในการนำพระเยซูคริสต์พระบุตร ก).เข้าไปอยู่ และ ข).ออกมาจากอียิปต์ เช่นกัน 

5. เฮโรดทรง (ตระหนัก) เห็นว่าพวกนักปราชญ์ (โหราจารย์) หลอกพระองค์

  • 1).ก็กริ้วยิ่งนัก
  • 2).จึงทรงบัญชาสั่งคนไป(ประหาร)ฆ่าเด็กผู้ชายทั้งหมด ก.ในบ้านเบธเลเฮม และ ข.ในบริเวณใกล้เคียงที่มีอายุตั้งแต่สองขวบลงมา
    โดยคะเนนับตามระยะเวลาตามที่ท่านทรงทราบจากพวกนักปราชญ์

ครั้งนั้นก็สำเร็จตามพระวจนะที่ตรัสผ่านทางเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะ
(ในเยเรมีย์ 31:15) ว่า

“ได้ยินเสียง (หนึ่ง) ในหมู่บ้านรามาห์ เป็นเสียงโอดครวญและร่ำไห้เสียงดัง (เสียงสะอึกสะอื้นคร่ำครวญ) คือ

  • 1).นางราเชลร้องไห้คร่ำครวญเพราะบรรดาบุตรของตน
  • 2).นางราเชลไม่รับฟังคำปลอบ (โยน) ใจใดๆ เพราะบุตรทั้งหลายไม่อยู่ (จากไป) แล้ว”

# รามาห์ อยู่ห่างจากเยรูซาเล็มไปทางเหนือราว 8 กม. เป็นเมืองหนึ่งที่คนอิสราเอลเดินทางผ่านเมื่อไปเป็นเชลยที่บาบิโลน (ยรม.40:1 ปท. อสย.10:29; ฮชย.5:8)

# ราเชล คือภรรยาคนที่ยาโคบรัก (ปฐก.29:30) และเป็นย่าของเอฟราอิม และมนัสเสห์ ซึ่งเป็น 2 เผ่าที่ทรงอำนาจที่สุดในอิสราเอล (อาณาจักรเหนือ) ชื่อราเชลในพระธรรมเยเรมีย์ตอนนี้จึงหมายถึง อาณาจักรหรือชนชาติอิสราเอล

6.เฮโรดสิ้นพระชนม์ (ในปี 4 ก.ค.ศ.)

7.ทูตสวรรค์มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันที่ประเทศอียิปต์ กล่าวสั่งว่า

“จงลุกขึ้นพาพระกุมารกับมารดามายังแผ่นดินอิสราเอล เพราะพวกที่เป็นภัยต่อชีวิตของพระกุมาร (พยายามเอาชีวิตพระกุมาร) นั้นตายแล้ว”

8.โยเซฟจึงลุกขึ้นพาพระกุมารกับมารดามายังแผ่นดินอิสราเอล

  • 1).เขาได้ยินว่าอารเคลาอัสครอบครองแคว้นยูเดียแทนเฮโรดผู้เป็นพระบิดา

# อารเคลาอัส ก.เป็นบุตรของเฮโรดขึ้นปกครองยูเดียและสะมาเรีย อยู่ 10 ปี (4 ก.ค.ศ. ~ค.ศ. 6) ข.เป็นทรราชที่โหดร้าย จึงถูกโรมปลดจากตำแหน่งเพราะถูกร้องเรียนจากประชาชน เป็นเหตุให้ยูเดียกลายเป็นแคว้นหนึ่งของโรมัน ปกครองโดยผู้ว่าการ หรือเจ้าเมืองที่ได้รับการแต่งตั้งจากจักรพรรดิโรม

  • 2).เขาจึงไม่กล้าไปที่นั่น และเมื่อ
  • 3).เขาได้รับคำเตือนในความฝัน
  • 4).เขาจึงเลยไปยังแคว้นกาลิลี
  • 5).เขาไปอาศัยในเมืองหนึ่งชื่อนาซาเร็ธ

เพื่อจะสำเร็จเป็นจริงตามพระวจนะ ซึ่งตรัสผ่านทางผู้เผยพระวจนะว่า

“ท่านจะได้ชื่อว่าชาวนาซาเร็ธ” -มัทธิว 2:13-23

# น่าแปลกใจ ที่ชื่อเมืองนาซาเร็ธ นี้ ไม่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์เดิมเลย แต่ในสมัยของพระเยซูคริสต์ คำว่า “นาซาเร็ธ” มีความหมายเดียวกับคำว่า “ถูกดูหมิ่น” (ดังตัวอย่าง ใน ยน.1:45-46) จึงตีความว่าคงหมายถึงคำทำนายหลายตอนที่กล่าวถึงว่า ผู้เผยพระวจนะและพระเมสสิยาห์ จะถูกดูหมิ่น (สดด.22:6;อสย.53:3)

บางคนคิดว่า คำว่า นาซาเร็ธ มาจากคำว่า “เนเซอร์” ในภาษาฮีบรู หมายความว่า “กิ่ง” (อสย.11:1 ซึ่งทำนายถึงพระเมสสิยาห์จะบังเกิดมาจากเจสซี และวงศ์วานของดาวิด)

พี่น้องที่รัก

คริสต์มาสนี้ สอนให้เราตระหนักเสมอว่า ชีวิตของเราในการดำเนินชีวิต และในการติดตามรับใช้นั้น อาจคละเคล้าด้วย

  • 1.เสียงเพลง เสียงหัวเราะ และเสียงร้องไห้คร่ำครวญ
  • 2.ข่าวดีจากทูตสวรรค์และข่าวร้ายจากทูตมรณะ
  • 3.ของขวัญ (ที่ได้มา) และคนรัก (ที่สูญเสียไป)
  • 4.ความรัก และความเกลียดชัง
  • 5.ความรอดและความตาย

ดังนั้น อย่าให้เราแปลกใจสำหรับเรื่องที่ไม่คาดฝัน

1.ขอให้เรามีพระเยซูคริสต์เป็นพระเมสสิยาห์ หรือพระผู้ช่วยให้รอดในทุกสถานการณ์ของชีวิตของเราทุกคน ไม่ว่าจะเจอะเจอกับ

  • 1).เฮโรดผู้โหดร้ายสักกี่คน หรือ
  • 2).โศกนาฏกรรมอีกสักกี่เรื่องในชีวิตของเราก็ตาม

2.ขอให้มีความศรัทธาที่จะติดตามพระเจ้า และการทรงนำของพระองค์ต่อไปอย่างไม่หวั่นไหว ไม่ว่าจะอยู่ท่ามกลางรอยยิ้ม หรือ น้ำตา ด้วยท่าทีที่ว่า

“Expect for the Best,Prepare for the Worst!” (คาดหวังสำหรับสิ่งที่ดีเยี่ยมที่สุด แต่ก็เตรียมตัวสำหรับสิ่งที่ย่ำแย่ที่สุด!)

…จะดีไหมครับ?
 
ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (13 ธันวาคม 2022)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

เรื่องราวของคริสต์มาส โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (8)

คอลัมน์ : “ส ด แ ต่ เ ช้ า”  ปี 2 (255)

นมัสการ อย่างไหนที่พระเจ้าชอบ?

“พระกุมารผู้ที่ทรงบังเกิดมาเป็นกษัตริย์ของชนชาติยิวนั้นอยู่ที่ไหน?
เราได้เห็นดาวของท่านทางทิศตะวันออก และเราจึงมาเพื่อจะนมัสการท่าน” ~มัทธิว 2:2 THSV11

And asked, “Where is the one who has been born king of the Jews? We saw his star when it rose and have come to worship him.” ~Matthew 2:2 NIV

ประสบการณ์ของนักปราชญ์ หรือโหราจารย์ในวันคริสต์มาสคงเป็นจริงอย่างที่ A. W. Tozer ที่กล่าวไว้ว่า

“เราต้องไม่หยุดพัก จนกว่าทุกๆสิ่งภายในของเราได้นมัสการพระเจ้า!”
(We must never rest until everything inside us worships God.)

พวกเขาจึงเดินทางไกล มาเพื่อนมัสการพระเยซูคริสต์ กษัตริย์จากสวรรค์ ผู้มาบังเกิดในวันคริสต์มาส!

เรื่องราวของวันคริสต์มาสกับนักปราชญ์ มีดังนี้

1.พระเยซูได้ทรงบังเกิดที่บ้านเบธเลเฮมแคว้นยูเดียในรัชกาลของกษัตริย์เฮโรด

(“เบธเลเฮม “= หมู่บ้านห่างจากเยรูซาเล็มไปทางใต้ราว 8 กม. ไม่ใช่ เมืองที่มีชื่อเดียวกัน ซึ่งห่างจากนาซาเร็ธไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ ราว 11 กม.)

2. พวกนักปราชญ์จากทิศตะวันออกมายังกรุงเยรูซาเล็ม ถามว่า

“พระกุมารผู้ที่ทรงบังเกิดมาเป็นกษัตริย์ของชนชาติยิวนั้นอยู่ที่ไหน?
เราได้เห็นดาวของท่านทางทิศตะวันออก และเราจึงมาเพื่อจะนมัสการท่าน” 

(คนยิวคาดหวังว่า พระเมสสิยาห์จะมาบังเกิดที่เบธเลเฮมจากพงศ์พันธุ์ของดาวิด-ยน.7:42

นักปราชญ์อาจเป็นโหราจารย์ หรือนักดาราศาสตร์จากเปอร์เชียหรืออาราเบีย พวกเขาตระหนักว่าพระเยซูเป็นกษัตริย์ตั้งแต่เกิด ไม่ใช่จะมาเป็นในภายหลัง

“ดาว” =อาจเป็นดาวพฤหัสกับดาวเสาร์โคจรมาใกล้กัน หรือเป็นปรากฏการณ์บางอย่างบนท้องฟ้า)

3.กษัตริย์เฮโรดทรงได้ยินดังนั้นแล้วก็วุ่นวายพระทัย

(เฮโรด ในที่นี้คือ เฮโรดมหาราช (37-4 B.C) ไม่ใช่ยิวแต่เป็นชาวอิดูเมอา ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์แห่งยูเดียโดยสภาสูงของโรมในปี  40 ก.ค.ศ. และครองราชย์ ในปี 37 ก.ค.ศ.

เฮโรด ฆ่าภรรยา บุตรชาย 3 คน แม่ยาย พี่เขย ลุง ของตัวเอง และคนอื่นๆ รวมทั้งเด็กทารกในเบธเลเฮม (2:16)

เฮโรดสร้างผลงานมากมาย แต่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือสร้างพระวิหารในกรุงเยรูซาเล็มขึ้นมาใหม่ โดยเริ่มสร้างในปี 20 ก.ค.ศ. แต่เสร็จหลังพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ไปแล้วถึง 68 ปี)

4.ชาวกรุงเยรูซาเล็มก็พลอยวุ่นวายใจไปด้วย

5.กษัตริย์เฮโรด

  • ทรงให้ประชุมพวกหัวหน้าปุโรหิตกับพวกธรรมาจารย์ของประชาชน
  • ตรัสถามพวกเขาว่า “พระคริสต์จะทรงบังเกิดที่ไหน?”

6.พวกเขาทูลว่า

ที่บ้านเบธเลเฮมแคว้นยูเดีย เพราะว่าผู้เผยพระวจนะได้เขียนไว้ดังนี้ว่า ‘บ้านเบธเลเฮม ในแผ่นดินยูเดีย จะไม่เป็นบ้านที่เล็กน้อยที่สุดในสายตาของพวกผู้ครองแผ่นดินยูเดีย เพราะว่าเจ้านายองค์หนึ่งจะออกมาจากท่าน ผู้ซึ่งจะครอบครองอิสราเอล ชนชาติของเรา’

7.เฮโรดจึง

  • 1).ทรงเชิญพวกนักปราชญ์เข้ามาอย่างลับๆ
  • 2).ทรงสอบถามพวกเขาจนได้ความถี่ถ้วนถึงเวลาที่ดาวนั้นได้ปรากฏขึ้น
  • 3).ทรงให้พวกนักปราชญ์ไปยังบ้านเบธเลเฮมรับสั่งว่า

“จงไปค้นหาพระกุมารนั้นเถิด เมื่อพบแล้วจงกลับมาแจ้งแก่เราเพื่อเราจะไปนมัสการท่านด้วย”

8.พวกนักปราชญ์จึงไปตามรับสั่ง

9.ดาวซึ่งพวกเขาได้เห็นทางทิศตะวันออกนั้นได้นำหน้าพวกเขาไป
จนมาหยุดอยู่เหนือสถานที่ซึ่งพระกุมารอยู่นั้น

10.พวกนักปราชญ์

  • 1).ได้เห็นดาวนั้นแล้วก็มีความยินดียิ่งนัก
  • 2).เข้าไปในบ้านก็พบพระกุมารกับนางมารีย์มารดา
  • 3). จึงก้มลงนมัสการพระกุมารนั้น
  • 4).เปิดหีบสมบัติของพวกเขา
  • 5).ถวายเครื่องบรรณาการแด่พระกุมาร คือ ก.ทองคำ ข.กำยาน และ ค.มดยอบ

(“บ้าน” = ไม่ใช่ที่รางหญ้า พวกเขาคงเดินทางหลายเดือนจนมาถึงบ้าน ซึ่งเวลานั้นพระเยซูพ้นวัยทารกมาแล้ว คนมักคิดว่ามีนักปราชญ์ 3 คนมาเฝ้าพระเยซู แต่พระคัมภีร์ไม่เคยระบุจำนวนเลย)

11.พวกนักปราชญ์ได้รับคำเตือนในความฝัน ไม่ให้กลับไปเฝ้าเฮโรด พวกเขาจึงกลับไปยังเมืองของพวกตนทางอื่น ~มัทธิว 2:1-12 THSV11

พี่น้องที่รัก

ขอให้เรื่องราวของนักปราชญ์ในวันคริสต์มาสนี้ เป็นต้นแบบในเรื่องการนมัสการพระเจ้าที่ถูกต้องสำหรับเรา

เหมือน Sam Storms ที่กล่าวว่า

“ถ้าคุณนมัสการพระเจ้าด้วยเหตุผลอื่นใดก็ตามนอกเหนือจากความชื่นชมยินดี และความเพลิดเพลินใจที่พบได้ในพระเจ้า นั่นก็เท่ากับว่าคุณไม่ได้ถวายพระเกียรติต่อพระองค์เลย …ความปีติยินดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระเจ้าก็คือความปีติยินดีของคุณที่มีในพระองค์!”

(If you come to worship for any reason other that the joy and pleasure and satisfaction that are to be found in God, you dishonor Him …God’s greatest delight is your delight in Him.)

วันนี้ คุณกำลังนมัสการพระเจ้าอย่างแท้จริง

  1. ในทุกวัน หรือ
  2. ในทุกวันสะบาโต ของคุณด้วยจิตวิญญาณ และความจริง ดังเช่นที่พวกนักปราชญ์เหล่านี้กระทำอยู่หรือไม่?

…ตอบที!

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (12 ธันวาคม 2022)