เอลียาห์ อีกา และหญิงม่าย
พระธรรม 1พงศ์กษัตริย์ 17:1-24
อ้างอิง 1พกษ.8:36;17:1,18,22:16;2พกษ.4:2;33-34;มลค.4:5;มธ.11:14;17:3;ลก.4:26;กจ.20:10
บทนำ ในวาระของพระเจ้า พระองค์จะส่งผู้รับใช้ของพระองค์ออกมาปรากฏ และกระทำกิจตามที่ทรงประสงค์โดยที่คนของพระเจ้าไม่จำเป็นต้องกระวน กระวายในการดำรงชีวิต เพราะพระเจ้าจะทรงเลี้ยงดูด้วยหลากหลายช่องทาง และไม่ต้องกลัวในการรับใช้ เพราะเมื่อพระองค์ทรงใช้ พระองค์จะทรงนำและสนับสนุนอยู่เสมอ แม้เราจะไม่ทราบและไม่เห็นการจัดเตรียมของพระองค์ก็ตาม!
บทเรียน
17:1 “เอลียาห์ชาวทิชบีอาศัยอยู่ในกิเลอาด ได้ทูลอาหับว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลผู้ซึ่งข้าพระบาทปรนนิบัติทรง พระชนม์อยู่แน่ฉันใด จะไม่มีน้ำค้างหรือฝนในปีเหล่านี้ฉันนั้น นอกจากตามคำของข้าพระบาท”
(Now Elijah the Tishbite, of Tishbe in Gilead, said to Ahab, “As the Lord, the God of Israel, lives, before whom I stand, there shall be neither dew nor rain these years, except by my word.” )
17:2 “แล้วพระวจนะของพระยาห์เวห์มายังท่านว่า”
(And the word of the Lord came to him: )
17:3 “จงออกจากที่นี่ไปทางตะวันออก และซ่อนตัวข้างลำธารเครีท ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน”
(“Depart from here and turn eastward and hide yourself by the brook Cherith, which is east of the Jordan.)
17:4 “เจ้าจะดื่มน้ำจากลำธาร และเราได้สั่งฝูงกาให้เลี้ยงเจ้าที่นั่น”
(You shall drink from the brook, and I have commanded the ravens to feed you there.” )
17:5 “ท่านจึงไปและทำตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ ท่านไปอาศัยอยู่ข้างลำธารเครีท ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน
(So he went and did according to the word of the Lord. He went and lived by the brook Cherith that is east of the Jordan. )
17:6 “ฝูงกาก็นำขนมปังและเนื้อมาให้ท่านในเวลาเช้า และนำขนมปังและเนื้อมาในเวลาเย็น และท่านก็ดื่มน้ำจากลำธาร”
(And the ravens brought him bread and meat in the morning, and bread and meat in the evening, and he drank from the brook. )
17:7 “และต่อมาอีกหลายวัน ลำธารก็แห้ง เพราะไม่มีฝนในแผ่นดิน”
(And after a while the brook dried up, because there was no rain in the land. )
17:8 “แล้วพระวจนะของพระยาห์เวห์มายังเอลียาห์ว่า”
(Then the word of the Lord came to him, )
17:9 “จงลุกขึ้นไปยังเมืองศาเรฟัท ซึ่งขึ้นกับเมืองไซดอน และอาศัยอยู่ที่นั่น นี่แน่ะ เราได้สั่งหญิงม่ายคนหนึ่งที่นั่นให้เลี้ยงเจ้า”
(“Arise, go to Zarephath, which belongs to Sidon, and dwell there. Behold, I have commanded a widow there to feed you.” )
17:10 “ท่านจึงลุกขึ้นไปยังเมืองศาเรฟัท และเมื่อมาถึงประตูเมือง นี่แน่ะ หญิงม่ายคนหนึ่งที่นั่นกำลังเก็บฟืน ท่านจึงเรียกนางว่า “ขอเอาน้ำใส่ภาชนะมาให้ฉันสักหน่อย เพื่อฉันจะได้ดื่ม”
(So he arose and went to Zarephath. And when he came to the gate of the city, behold, a widow was there gathering sticks. And he called to her and said, “Bring me a little water in a vessel, that I may drink.” )
17:11 “ขณะเมื่อนางจะไปเอาน้ำมา ท่านก็เรียกนางแล้วบอกว่า “ขอนำขนมปังใส่มือมาให้ฉันสักหน่อยหนึ่ง”
(And as she was going to bring it, he called to her and said, “Bring me a morsel of bread in your hand.” )
17:12 “และนางตอบว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ดิฉันไม่มีขนมปังเลย มีแต่แป้งสักกำมือหนึ่งในหม้อ และน้ำมันเล็กน้อยในไห ดูสิ ดิฉันกำลังเก็บฟืนสองสามอัน เพื่อจะเข้าไปทำขนมสำหรับตัวเองและลูกชาย เพื่อเราจะได้กินแล้วก็ตาย”
(And she said, “As the Lord your God lives, I have nothing baked, only a handful of flour in a jar and a little oil in a jug. And now I am gathering a couple of sticks that I may go in and prepare it for myself and my son, that we may eat it and die.”)
17:13 “แต่เอลียาห์บอกนางว่า “อย่ากลัวเลย จงไปทำตามที่เธอพูด แต่จงทำขนมก้อนเล็กให้ฉันก่อน แล้วเอามาให้ฉัน ภายหลังจึงทำสำหรับตัวเธอและลูกของเธอ”
(And Elijah said to her, “Do not fear; go and do as you have said. But first make me a little cake of it and bring it to me, and afterward make something for yourself and your son. )
17:14 “เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘แป้งในหม้อนั้นจะไม่ขาด และน้ำมันในไหนั้นจะไม่หมดจนกว่าจะถึงวันที่พระยาห์เวห์ทรงส่งฝนลงมายังพื้นดิน’”
(For thus says the Lord, the God of Israel, “The jar of flour shall not be spent, and the jug of oil shall not be empty, until the day that the Lord sends rain upon the earth.” )
17:15 “นางก็ไปทำตามคำของเอลียาห์ แล้วนางและครอบครัวกับเอลียาห์ก็รับประทานอยู่หลายวัน”
(And she went and did as Elijah said. And she and he and her household ate for many days. )
17:16 “แป้งในหม้อก็ไม่ขาด และน้ำมันในไหก็ไม่หมด ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งตรัสทางเอลียาห์”
(The jar of flour was not spent, neither did the jug of oil become empty, according to the word of the Lord that he spoke by Elijah. )
17:17 “และต่อมาหลังจากนี้ บุตรชายของหญิงนั้นผู้เป็นเจ้าของบ้านก็ล้มป่วย และมีอาการสาหัสมากจนไม่มีลมหายใจเหลืออยู่แล้ว”
(After this the son of the woman, the mistress of the house, became ill. And his illness was so severe that there was no breath left in him. )
17:18 “นางจึงกล่าวแก่เอลียาห์ว่า “โอ คนของพระเจ้า ดิฉันทำอะไรให้ท่าน? ท่านจึงมาหาดิฉัน เพื่อฟื้นความผิดของดิฉัน และทำให้ลูกของดิฉันตาย”
(And she said to Elijah, “What have you against me, O man of God? You have come to me to bring my sin to remembrance and to cause the death of my son!” )
17:19 “แต่ท่านพูดกับนางว่า “เอาลูกของเธอมาให้ฉันเถิด” ท่านก็นำเขาไปจากอ้อมอกของนาง อุ้มขึ้นไปที่ห้องชั้นบนที่ท่านพักอยู่ และวางเขาบนที่นอนของท่านเอง”
(And he said to her, “Give me your son.” And he took him from her arms and carried him up into the upper chamber where he lodged, and laid him on his own bed. )
17:20 “และท่านร้องทูลพระยาห์เวห์ว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ พระองค์ทรงนำเหตุร้ายมาเหนือหญิงม่ายที่ ข้าพระองค์อาศัยอยู่ ด้วยทีเดียวหรือ? โดยทรงประหารบุตรของนางเสีย”
(And he cried to the Lord, “O Lord my God, have you brought calamity even upon the widow with whom I sojourn, by killing her son?” )
17:21 “แล้วท่านก็เหยียดตัวลงทับเด็กนั้นสามครั้ง และร้องทูลพระยาห์เวห์ว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ขอชีวิตของเด็กคนนี้มาเข้าในตัวเขาอีก”
(Then he stretched himself upon the child three times and cried to the Lord, “O Lord my God, let this child’s life come into him again.” )
17:22 “และพระยาห์เวห์ทรงฟังเสียงของเอลียาห์ และชีวิตของเด็กนั้นมาเข้าในตัวเขาอีก และเขาก็มีชีวิตอีก”
(And the Lord listened to the voice of Elijah. And the life of the child came into him again, and he revived.)
17:23 “และเอลียาห์ก็อุ้มเด็กนั้น นำลงมาจากห้องชั้นบนเข้าไปในบ้าน และมอบเขาให้มารดาของเด็กและเอลียาห์บอกว่า “ดูซิ ลูกของเธอมีชีวิตอยู่”
(And Elijah took the child and brought him down from the upper chamber into the house and delivered him to his mother. And Elijah said, “See, your son lives.” )
17:24 “และหญิงนั้นพูดกับเอลียาห์ว่า “ตอนนี้ดิฉันทราบแล้วว่าท่านเป็นคนของพระเจ้า และพระวจนะของพระยาห์เวห์จากปากของท่านเป็นความจริง”
(And the woman said to Elijah, “Now I know that you are a man of God, and that the word of the Lord in your mouth is truth.” )
ข้อมูลมีประโยชน์
17:1 “เอลียาห์” (Elijah) –ใน 1พกษ.17:1-2 กล่าวถึงพันธกิจของเอลียาห์และเอลีชา รวมทั้งผู้เผยพระวจนะคนอื่น ๆ ตั้งแต่ช่วงสมัยของอาหับ/อาสา ไปจนถึง โยรัม/เยโฮชาฟัท
ชื่อ “เอลียาห์” หมายความว่า “พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าของฉัน” ซึ่งชื่อนี้มีความสำคัญยิ่งนักต่อความคิด ความเชื่อของท่าน (18:21,39) ท่านถูกส่งไปต่อต้านการนมัสการพระบาอัลและผู้สนับสนุน
“ชาวทิชบีอาศัยอยู่ในกิเลอาด” (Tishbe in Gilead) –กิเลอาดอยู่ทางเหนือของดินแดนอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน
“ผู้ซึ่งข้าพระบาทปรนนิบัติ” (before whom I stand) = แปลตรงตัวได้ว่า “ผู้ที่ข้าพเจ้ายืนต่อหน้า” เป็นสำนวนที่สื่อถึงผู้ที่ยืนคอยปรนนิบัติรับใช้กษัตริย์ กษัตริย์และปุโรหิตได้รับการเจิมแต่งตั้งในฐานะตัวแทนของพระเจ้าจอมกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ และเป็นผู้นำอิสราเอลไปในวิถีแห่งความชอบธรรม และในการกระทำตามพันธสัญญาของพระเจ้า เนื่องจากในสมัยของเยโรโบอัม อาณาจักรเหนือไม่มีปุโรหิตทำหน้าที่เช่นนี้ (12:31) และบรรดากษัตริย์ก็ไม่ซื่อสัตย์
“จะไม่มีน้ำค้างหรือฝน” (there shall be neither dew nor rain) = ความแห้งแล้วที่จะเกิดขึ้นเป็นทั้งการลงโทษของพระเจ้าต่อประชาชนที่หันไปนมัสการรูปเคารพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระบาอัล ซึ่งถือว่า เจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ (ลนต.26:3-4; ฮชย.2:5,8)
17:3 “จงออกจากที่นี่ไป” (Depart from here) = คำสั่งของพระเจ้าเพื่อนำผู้เผยพระวจนะให้ละจากแผ่นดินและ ประชาชนเป็นการย้ำระดับโทษที่รุนแรงขึ้น
17:4 “เราได้สั่งฝูงกาให้เลี้ยงเจ้าที่นั่น” (I have commanded the ravens to feed you there)
–เอลียาห์ผู้รับใช้ผู้ซื่อสัตย์ ได้รับการเลี้ยงดูอย่างอัศจรรย์ (เหมือนอิสราเอลในถิ่นทุรกันดาร) ในขณะที่ประชาชนอิสราเอลจะหิวโหย
17:6 “นำขนมปังและเนื้อมาให้ท่าน” (the ravens brought him bread and meat) = เนื่องด้วยกาเป็นสัตว์ที่คนรับประทานไม่ได้ (ลนต.11:15;ฉธบ.14:14) –เนื้อที่กากินเป็นอาหารก็ต้องห้ามเช่นกัน (ลนต.7:4; ฉธบ.14:21;อสค.4:14)
“ในเวลาเช้า…ในเวลาเย็น” (in the morning… in the evening) –การได้รับประทานเนื้อนับเป็นเรื่องพิเศษ เพราะว่าเนื้อมักจะเก็บไว้กินในโอกาสพิเศษ มีแต่กษัตริย์ที่มีเนื้อกินทุกวัน (1พกษ.4:23)
แต่ในตอนนี้เอลียาห์ได้เนื้อไว้กินทุกวันวันละ 2 ครั้ง ดุจภาพของผู้รับใช้ร่วมโต๊ะเสวยของจอมกษัตริย์แห่งสวรรค์ (อพย.29:38-40;กดว.28:4-8;2พกษ.4:42; ปท.1พกษ.18:19)
17:9 “เมืองเศเรฟัท” (Zarephath) = เมืองชายฝั่งอยู่ระหว่างไทระและโซดอน ในเขตปกครองของเอ็ทบาอัล บิดา ของเยเชเบล (16:31) -เอลียาห์ ถูกบัญชาให้ไปพักอาศัยในใจกลางดินแดนที่นมัสการพระบาอัล
“เราได้สั่งหญิงม่ายคนหนึ่งที่นั่นให้เลี้ยงเจ้า” (I have commanded a widow there to feed you)
= พระเจ้าเลี้ยงดูผู้รับใช้ผู้นำสารของพระองค์ผ่านมือมนุษย์ แต่เป็นมนุษย์ที่ยากจนใกล้ตายอย่างหญิงม่าย
(ข.2) และเป็นคนต่างชาติที่ไม่ได้อยู่ในหมู่ชนชาติของพระเจ้าด้วย (ลก.4:25-26)
17:10 “ท่านจึงลุกขึ้นไป…” (he arose…) = แบบอย่างของการเชื่อฟังและวางใจพระเจ้าที่แสดงออกมาให้เห็นของเอลียาห์ในตอนนี้
17:12 “พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด” (“As the Lord your God lives)
= คำทักทายของหญิงผู้นี้แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจของเธอต่อความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าและความสัมพันธ์ที่มีต่อชาวอิสราเอล (5:7;10:9)
17:13 “แต่จงทำขนมก้อนเล็กให้ฉันก่อน” (But first make me a little cake of it )= หญิงนี้ถูกเรียกร้องให้มอบทั้งหมดที่เธอมีให้กับพระเจ้าและคนของพระองค์ก่อน อันเป็นหัวใจสำคัญในข้อกำหนดของพันธสัญญาระหว่างพระเจ้ากับประชากรของพระองค์
17:14 “พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสว่า” (says the Lord, the God of Israel,) = เอลียาห์ ปลอบหญิงม่ายไม่ให้กลัว (ข.13) เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้เรียกร้องโดยปราศจากพันธสัญญาและพระเจ้าไม่เรียกร้องเรามากกว่าที่พระองค์จะประทานให้
17:15 “นางก็ไปทำตามคำของเอลียาห์” (she went and did as Elijah said.)
= ไปทำตามที่เอลียาห์สั่ง โดยความเชื่อ -น่าสนใจที่คนอิสราเอลไม่ซื่อสัตย์ละทิ้งพันธสัญญาหันไปติดตามพระบาอัลและเจ้าแม่อาเชราห์ แต่แม่ม่ายชาวต่างชาติกลับเชื่อฟังพระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อ
17:16 “แป้งในหม้อก็ไม่ขาด” (The jar of flour was not spent, ) = พระเจ้าทรงเลี้ยงดูหญิงต่างชาติ และครอบครัวของเธออย่างอัศจรรย์ เพราะเธอเชื่อและเสี่ยงชีวิตทำตามในขณะที่ชนชาติของพระองค์ที่ไม่ซื่อสัตย์กลับถูกยับยั้งอาหารจากพระองค์ในดินแดนพันธสัญญา คำเตือนใน ฉธบ.32:21 กำลังเป็นจริง (รม.10:19;11:11,14)
17:18 “เพื่อฟื้นความผิดของดิฉัน และทำให้ลูกดิฉันตาย” (come to me to bring my sin to remembrance and to cause the death of my son!) = หญิงม่ายผู้นี้สรุปเอาเองว่า การที่เอลียาห์มาปรากฏตัวที่บ้าน ทำให้พระเจ้าสนใจบาปของเธอและประหารลูกของเธอเป็นการลงโทษ
17:21 “ท่านก็เหยียดตัวลงทับเด็กนั้นสามครั้ง” (he stretched himself upon the child three times) = แม้จะตีความได้ว่า เอลียาห์กำลังใช้วิธีสัมผัสกายในความอบอุ่นกระตุ้นเด็กชายให้ฟื้น แต่เป็นที่ชัดเจนว่า แท้ที่จริงท่านหวังให้เด็กกลับมีชีวิต ไม่ใช่จากการสัมผัสทางกาย แต่เป็นการตอบคำอธิษฐานของพระเจ้า
“ข้าแต่พระยาห์เวห์…ขอชีวิตของเด็กคนนี้มาเข้าในตัวเขาอีก” (“O Lord my God, let this child’s life come into him again.”) เอลียาห์อธิษฐานด้วยความเชื่ออย่างเดียวกันอับราฮัม (รม.4:17;ฮบ.11:19) ท่านอธิษฐานขอชีวิตเด็กชายกลับมา เพื่อสำแดงความสัตย์จริงและความเชื่อถือได้ของพระวจนะของพระเจ้า
17:22 “เขาก็มีชีวิต” (he revived) = การฟื้นคืนชีวิตรายแรกที่บันทึกในพระคัมภีร์เป็นการช่วยกู้ให้พ้นจากอำนาจของความตายที่เกิดขึ้นกับคนที่ไม่ใช่คนอิสราเอล เป็นพรที่เกิดกับหญิงม่ายและบุตรชาย ผู้เป็นความหวังเดียวของเธอในสังคมยุคโบราณ (2พกษ.4:14;นรธ.1:11-12;4:15-17;ลก.7:12)
17:24 “ท่านเป็นคนของพระเจ้า” (you are a man of God) –1ซมอ.2:27 , ก่อนหน้านี้ หญิงม่ายเคยกล่าวแล้วว่า เอลียาห์เป็นคนของพระเจ้า (ข.18) แต่ตอนนี้เธอได้เรียนรู้และมีประสบการณ์ด้วยตัวเอง (12:22)
“พระวจนะของพระยาห์เวห์จากปากของท่านเป็นความจริง” (that the word of the Lord in your mouth is truth.) –พระเจ้าใช้ประสบการณ์นี้เพื่อทำให้หญิงม่ายชาวฟินิเซียนี้เชื่อมั่นว่า พระวจนะของ พระเจ้านั้นเชื่อถือได้อย่างบริบูรณ์ น่าเศร้าที่คำประกาศความเชื่อของเธอเช่นนี้กลับไม่ได้เกิดขึ้นจากปากของคนในชนชาติที่พระเจ้าทรงเรียกเอง
คำถามนำอภิปราย
- พระเจ้าเคยใช้คุณให้พูดถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นหรือเตือนให้รู้ถึงผลเสียของการกระทำของผู้มีอำนาจบ้างหรือไม่? เรื่องราวเป็นอย่างไร?
- พระเจ้าเคยบัญชาให้คุณหลบหรือหนีบ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร? (แบ่งปัน)
- คุณเคยมีประสบการณ์กับการที่พระเจ้าทรงเลี้ยงดูคุณในสภาพแวดล้อมหรือในสถานการณ์ที่ไม่น่าเป็นไปได้บ้างหรือไม่? อย่างไร?
- คุณเคยถูกขอให้ทำหรือให้ยอมมอบอะไรซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อคุณแก่ “คนอื่น” (โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนของพระเจ้า) ก่อนบ้างหรือไม่? แล้วคุณตอบสนองอย่างไร? และผลเป็นอย่างไร?
- คุณเคยอยู่ในสภาพที่สิ้นหวังสุด ๆ แต่พระเจ้ากลับทดสอบคุณโดยให้คุณยอมสละสิ่งที่คุณมีเหลืออยู่น้อยนิดให้กับพระเจ้าก่อนบ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร? แล้วคุณสนองอย่างไร? มีอะไรเกิดขึ้นตามมา?
- คุณมีประสบการณ์กับการทรงเลี้ยงดูของพระเจ้าที่เกินความเข้าใจ หรือ เกินจินตนาการของคุณบ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร? อย่างไร?
- คุณเคยทุกข์โศกเศร้าหรือเกือบสิ้นหวัง เพราะคนบางคนที่คุณรักหรือสำคัญต่อคุณมาจากไปบ้างหรือไม่?
- พระเจ้าทรงปลอบประโลมหรือทรงช่วยคุณอย่างไรบ้างในสถานการณ์เช่นนั้น?
- คุณเคยเห็นผู้ใดที่ตายแล้วฟื้นขึ้นมาใหม่บ้างหรือไม่? เรื่องราวเป็นอย่างไร?
ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์