Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ (บทเรียนที่ 13)

อย่ารุ่งแล้วเหลิง!

 พระธรรม        1พงศ์กษัตริย์ 9:1-28

อ้างอิง                2พศด.7:11-22;1พกษ.3:5,14,14:8;15:5;2พกษ.19:20;20:5;22:17;1ซมอ.9:16;2ซมอ.7:2

บทนำ                 พระเจ้าทรงอวยพรซาโลมอนและอิสราเอล แต่ก็ทรงเตือนพวกเขาให้ระลึกถึงพันธสัญญาที่มีต่อพระองค์ นั่นคือ หากพวกเขาเชื่อฟังและปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์ พวกเขาจะได้รับพร แต่หากว่าพวกเขาไม่เชื่อฟัง ไม่ติดตามพระองค์ เมื่อนั้นสิ่งที่พวกเขาจะได้รับคือ คำแช่งสาบ!

บทเรียน

9:1 “ต่อ​มา​เมื่อ​ซาโลมอน​ทรง​สร้าง​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์​และ​ พระราชวัง​ของ​กษัตริย์ รวม​ทั้ง​ทุก​สิ่ง​ที่​ซาโลมอน​ มี​พระประสงค์​จะ​สร้าง​นั้น​สำเร็จ​ แล้ว

    (As soon as Solomon had finished building the house of the Lord and the king’s house and all that  Solomon desired to build, )

9:2 “พระยาห์เวห์​ทรง​ปรากฏ​แก่​ซาโลมอน​เป็น​ครั้ง​ที่​สอง เหมือนอย่าง​ที่​ทรง​ปรากฏ​แก่​ท่าน​ที่​เมือง​กิเบโอน

    (the Lord appeared to Solomon a second time, as he had appeared to him at Gibeon. )

9:3 “และ​พระยาห์เวห์​ตรัส​กับ​ท่าน​ว่า “เรา​ได้​ยิน​คำ​อธิษฐาน​และ​คำ​วิงวอน​ของ​เจ้า ซึ่ง​เจ้า​ได้​อ้อนวอน​เรา​นั้น​แล้ว เรา​ได้​ทำ​นิเวศ​นี้​ซึ่ง​เจ้า​ได้​สร้าง​ไว้​ให้​บริสุทธิ์ และ​ได้​ใส่​นาม​ของ​เรา​ไว้​ที่นั่น​เป็น​นิตย์ ตา​ของ​เรา​และ​ใจ​ของ​เรา​จะ​อยู่​ที่‌นั่น​ตลอด​ไป

     (And the Lord said to him, “I have heard your prayer and your plea, which you have made before me. I have consecrated this house that you have built, by putting my name there forever. My eyes  and my heart will be there for all time.)

9:4 “และ​ส่วน​เจ้า ถ้า​เจ้า​ดำเนิน​ต่อ​หน้า​เรา​เหมือนอย่าง​ดาวิด​บิดา​ของ​เจ้า​ดำเนิน ด้วย​ใจ​ซื่อสัตย์ และ​ด้วย​ความ​ เที่ยงธรรม และ​ทำ​ทุก​อย่าง​ตาม​ที่​เรา​ได้​บัญชา​เจ้า​ไว้ อีก​ทั้ง​รักษา​กฎเกณฑ์​และ​กฎหมาย​ของ​เรา

     (And as for you, if you will walk before me, as David your father walked, with integrity of heart and  uprightness, doing according to all that I have commanded you, and keeping my statutes and my  rules,)

9:5 “แล้ว​เรา​จะ​สถาปนา​ราชบัลลังก์​ของ​เจ้า​เหนือ​อิสราเอล​เป็น​นิตย์ ดังที่​เรา​ได้​กล่าว​กับ​ดาวิด​บิดา​ของ​เจ้า​ว่า ‘เจ้า​จะ​ไม่​ขาด​ทายาท​ที่​จะ​นั่ง​บน​บัลลังก์​แห่ง​อิสราเอล’”

     (then I will establish your royal throne over Israel forever, as I promised David your father, saying,  “You shall not lack a man on the throne of Israel.” )

9:6 “แต่​ถ้า​เจ้า​ทั้งหลาย​หรือ​ลูก​หลาน​หัน​ไป​จาก​การ​ติดตาม​เรา และ​ไม่ได้​รักษา​บัญญัติ​และ​กฎเกณฑ์​ของ​เรา ซึ่ง​เรา​ได้​ตั้ง​ไว้​ต่อ​หน้า​พวกเจ้า แต่​ไป​ปรนนิบัติ​พระอื่นๆ และ​นมัสการ​พระ​เหล่านั้น

    (But if you turn aside from following me, you or your children, and do not keep my commandments  and my statutes that I have set before you, but go and serve other gods and worship them, )

9:7 “แล้ว​เรา​จะ​ตัด​อิสราเอล​ออก​เสีย​จาก​แผ่นดิน​ซึ่ง​เรา​ได้​ให้​แก่​ พวกเขา และ​เรา​จะ​เหวี่ยง​นิเวศ​ซึ่ง​เรา​ทำ​ให้​บริสุทธิ์​เพื่อ​นาม​ของ​เรา​ไป ​จาก​สายตา​ของ​เรา และ​อิสราเอล​จะ​เป็น​คำ​เปรียบ​เปรย และ​เป็น​ขี้ปาก​ใน​หมู่​ชนชาติ​ทั้ง‌หลาย

   (then I will cut off Israel from the land that I have given them, and the house that I have  consecrated for my name I will cast out of my sight, and Israel will become a proverb and a byword  among all peoples. )

9:8 “และ​นิเวศ​นี้​จะ​กลาย​เป็น​กอง​สิ่ง​ปรัก​หัก​พัง ทุก​คน​ที่​ผ่าน​ไป​จะ​ประหลาด​ใจ และ​จะ​เยาะเย้ย​และ​กล่าว​ว่า ‘ทำไม​พระยาห์เวห์​จึง​ทรง​ทำ​เช่นนี้​แก่​แผ่นดิน​นี้​และ​พระนิเวศ​ นี้?’”

    (And this house will become a heap of ruins. Everyone passing by it will be astonished and will  hiss, and they will say, “Why has the Lord done thus to this land and to this house?” )

9:9 “แล้ว​พวกเขา​จะ​ตอบ​ว่า ‘เพราะ​เขา​ทั้งหลาย​ละทิ้ง​พระยาห์เวห์​พระเจ้า​ของ​เขา ผู้​ทรง​นำ​บรรพบุรุษ​ของ​เขา​ออก​จาก​แผ่นดิน​อียิปต์ และ​ไป​ยึด​ถือ​พระอื่น อีก​ทั้ง​นมัสการ​และ​ปรนนิบัติ​พระ​เหล่านั้น เพราะ​ฉะนั้น พระยาห์เวห์​ทรง​นำ​เหตุร้าย​ทั้งหมด​นี้​มา​เหนือ​เขา​ทั้งหลาย’”

    (Then they will say, “Because they abandoned the Lord their God who brought their fathers out of the land of Egypt and laid hold on other gods and worshiped them and served them. Therefore the  Lord has brought all this disaster on them.” )

9:10 “ต่อ​มา​เมื่อ​สิ้น​ยี่สิบ​ปี ที่​ซาโลมอน​ได้​ทรง​สร้าง​อาคาร​สอง​หลัง คือ​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์ และ​พระราชวัง​ของ​กษัตริย์”

    (At the end of twenty years, in which Solomon had built the two houses, the house of the Lord and  the king’s house, )

9:11 “แล้ว​พระราชา​ซาโลมอน​ก็​ประทาน​เมือง 20 เมือง​ใน​แผ่นดิน​กาลิลี​แก่​ฮีราม​กษัตริย์​แห่ง​ไทระ เพราะ​ฮีราม​ได้​ส่ง​ไม้สน​สีดาร์ ไม้สน​สาม​ใบ​และ​ทองคำ​ให้​แก่​ซาโลมอน ตาม​ที่​พระองค์​มี​พระประสงค์

        (and Hiram king of Tyre had supplied Solomon with cedar and cypress timber and gold, as  much as he desired, King Solomon gave to Hiram twenty cities in the land of Galilee. )

9:12 “แต่​เมื่อ​ฮีราม​เสด็จ​จาก​เมือง​ไทระ​เพื่อ​ชม​เมือง​ที่​ซาโลมอน​ประทาน ​แก่​ท่าน เมือง​เหล่านั้น​ไม่​เป็น​ที่​พอพระทัย​ท่าน

      (But when Hiram came from Tyre to see the cities that Solomon had given him, they did not  please him. )

9:13 “เพราะ​ฉะนั้น​ท่าน​จึง​ว่า “น้อง​เอ๋ย เมือง​ที่​ท่าน​ให้​เรา​นั้น​เป็น​เมือง​อะไร​อย่างนี้?” ท่าน​จึง​เรียก​เมือง​เหล่า​นั้น​ว่าแผ่นดิน​คาบูล​จน​ทุก​วันนี้

      (Therefore he said, “What kind of cities are these that you have given me, my brother?” So they are called the land of Cabul to this day. )

9:14 “ฮีราม​ได้​ส่ง​ทองคำ​หนัก​สี่​ตัน​แก่​พระราชา

      (Hiram had sent to the king 120 talents of gold. )

9:15 “นี่​เป็น​เรื่อง​แรงงาน​เกณฑ์ ซึ่ง​พระราชา​ซาโลมอน​ได้​เกณฑ์​ให้​มา​สร้าง​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เว ห์ พระราชวัง​ของ​พระองค์ ป้อม​มิลโล กำแพง​กรุง​เยรูซาเล็ม เมือง​ฮาโซร์ เมือง​เมกิดโด เมือง​เกเซอร์

       (And this is the account of the forced labor that King Solomon drafted to build the house of the  Lord and his own house and the Millo and the wall of Jerusalem and Hazor and Megiddo and  Gezer )

9:16 “ฟาโรห์​กษัตริย์​อียิปต์​ได้​ทรง​ยก​ทัพ​ขึ้น​มา ยึด​เมือง​เกเซอร์​และ​เอา​ไฟ​เผา​เสีย อีก​ทั้ง​ได้​ฆ่า​คน​คานาอัน​ซึ่ง​อยู่​ใน​เมือง​นั้น และ​ได้​ยก​เมือง​นั้น​ให้​เป็น​ของขวัญ​แก่​พระธิดา​ของ​ท่าน ซึ่ง​เป็น​พระมเหสี​ของ​ซาโลมอน

      (Pharaoh king of Egypt had gone up and captured Gezer and burned it with fire, and had killed the Canaanites who lived in the city, and had given it as dowry to his daughter, Solomon’s wife; )

9:17 “ซาโลมอน​ทรง​สร้าง​เมือง​เกเซอร์​ขึ้น​ใหม่ และ​สร้าง​เมือง​เบธโฮโรน​ตอน​ล่าง

      (so Solomon rebuilt Gezer) and Lower Beth-horon )

9:18 “ทั้ง​เมือง​บาอาลัท​และ​เมือง​ทามาร์​ใน​ถิ่น​ทุรกันดาร ใน​แผ่นดิน​นั้น

       (and Baalath and Tamar in the wilderness, in the land of Judah, )

9:19 “ทั้ง​บรรดา​เมือง​คลัง​หลวง​ที่​ซาโลมอน​มี​อยู่ และ​เมือง​ทั้งหลาย​สำหรับ​รถรบ​ของ​พระองค์ และ​เมือง​ทั้งหลาย​สำ‍หรับ​ทหารม้า​ของ​พระองค์ และ​สิ่ง​ใดๆ ซึ่ง​ซาโลมอน​มี​พระประสงค์​จะ​สร้าง​ใน​กรุง​เยรูซาเล็ม ใน​เลบานอน และ​ทั่ว​แผ่นดิน​อยู่​ใน​อาณาจักร​ของ​พระองค์

       (and all the store cities that Solomon had, and the cities for his chariots, and the cities for his horsemen, and whatever Solomon desired to build in Jerusalem, in Lebanon, and in all the land of his dominion. )

9:20 “ประชาชน​ทั้งหมด​ที่​เหลือ​อยู่​และ​ไม่​ใช่​คน​อิสราเอล​ได้แก่ คน​อาโมไรต์ คน​ฮิตไทต์ คน​เปริสซี คน​ฮีไวต์ และ​คน​เยบุส

       (All the people who were left of the Amorites, the Hittites, the Perizzites, the Hivites, and the  Jebusites, who were not of the people of Israel)

9:21 “ลูก​หลาน​ของ​พวกเขา​ที่​เหลือ​อยู่​ใน​แผ่นดิน ซึ่ง​คน​อิสราเอล​ไม่​สามารถ​จะ​ทำลาย​ให้​สิ้น​ได้ ซาโลมอน​ก็​ทรง​เกณฑ์​ให้​เป็น​ทาส​แรงงาน​อยู่​จน​ทุก​วันนี้

(their descendants who were left after them in the land, whom the people of Israel were unable to devote to destruction—these Solomon drafted to be slaves, and so they are to this day. )

9:22 “แต่​คน​อิสราเอล​นั้น ซาโลมอน​ไม่ได้​ทรง​ทำ​ให้​เป็น​ทาส เพราะ​เขา​ทั้งหลาย​เป็น​ทหาร เป็น​ข้า​ราชการ เป็น​ผู้​บัง‌คับ​บัญชา เป็น​นายทหาร เป็น​ผู้​บังคับ​การ​รถรบ และ​เป็น​ทหารม้า​ของ​พระองค์

        (But of the people of Israel Solomon made no slaves. They were the soldiers, they were his  officials, his commanders, his captains, his chariot commanders and his horsemen. )

9:23 “เหล่านี้​เป็น​ข้าราชการ​ผู้ใหญ่​เหนือ​พระราชกิจ​ของ​ซาโลมอน จำนวน 550 คน พวกเขา​เป็น​ผู้ดูแล​ประชาชน​ที่​ทำงาน

        (These were the chief officers who were over Solomon’s work: 550 who had charge of the people who carried on the work. )

9:24 “แต่​พระธิดา​ของ​ฟาโรห์​ได้​เสด็จ​ขึ้น​จาก​นคร​ดาวิด มา​ยัง​พระตำหนัก​ของ​พระนาง​ซึ่ง​ซาโลมอน​ทรง​สร้าง​ถวาย แล้ว​พระราชา​จึง​สร้าง​ป้อม​มิลโล

    (But Pharaoh’s daughter went up from the city of David to her own house that Solomon had built  for her. Then he built the Millo. )

9:25 “ปี​ละ​สาม​ครั้งซาโลมอน​ทรง​ถวาย​เครื่อง​บูชา​เผา​ทั้ง​ตัว และ​เครื่อง​ศานติบูชา​บน​แท่น​บูชาซึ่ง​ทรง​สร้าง​ถวาย​พระยาห์เวห์ อีก​ทั้ง​ทรง​เผา​เครื่อง​หอม​เฉพาะ​พระพักตร์​พระยาห์เวห์ ดังนั้น​พระองค์​จึง​สร้าง​พระนิเวศ​จน​สำเร็จ

      (Three times a year Solomon used to offer up burnt offerings and peace offerings on the altar that  he built to the Lord, making offerings with it before the Lord. So he finished the house.)

9:26 “พระราชา​ซาโลมอน​ทรง​สร้าง​กอง​เรือ​ที่​เมือง​เอซีโอนเกเบอร์ ซึ่ง​อยู่​ใกล้​เมือง​เอโลท​บน​ฝั่ง​ทะเลแดง ใน​แผ่นดิน​เอโดม

       (King Solomon built a fleet of ships at Ezion-geber, which is near Eloth on the shore of the Red  Sea, in the land of Edom. )

9:27 “และ​ฮีราม​ได้​ส่ง​ข้า​ราชการ​และ​พลเรือ​ผู้​คุ้นเคย​กับ​ทะเล ไป​กับ​กอง​เรือ​พร้อม​กับ​ข้า​ราชการ​ของ​ซาโลมอน

       (And Hiram sent with the fleet his servants, seamen who were familiar with the sea, together with  the servants of Solomon.)

9:28 “เขา​ทั้งหลาย​ไป​ถึง​เมือง​โอฟีร์ และ​นำ​ทองคำ​จาก​ที่นั่น​จำนวน 14,000 กิโลกรัม มา​ถวาย​พระราชา​ซาโลมอน

       (And they went to Ophir and brought from there gold, 420 talents, and they brought it to King  Solomon. )

ข้อมูลมีประโยชน์

9:1       “…เมื่อซาโลมอนทรงสร้างพระนิเวศ…สำเร็จแล้ว” (…Solomon had finished building the house of the Lord)

= อย่างเร็วที่สุดก็จะเป็นปีที่ 24 (4+7+13 = 24) ในรัชกาลของซาโลมอน คือปี 946 B (6:1,37-38;7:1;9:10)

9:2       “เหมือนอย่างที่ปรากฏแก่ท่านที่เมืองกิเบโอน” (as he had appeared to him at Gibeon)  -3:4-15

9:3       “ได้ใส่นามของเราไว้ที่นั่นเป็นนิตย์” (putting my name there forever.) = สถาปนานามของพระเจ้า  -3:2:8:16

“ตาของเราและใจของเราจะอยู่ที่นั่นตลอดไป” (My eyes and my heart will be there for all time.) –8:29

9:4-5    “…ถ้าเจ้าดำเนินต่อหน้าเรา…ด้วยใจซื่อสัตย์ และด้วยความเที่ยงธรรม…”  (if you will walk before me… with integrity of heart and uprightness)  -–8:25;2:4

= พระเจ้าย้ำความสำคัญของการเชื่อฟังตามพันธสัญญาเพื่อจะได้รับการอวยพรจากพระเจ้า แทนการสาปแช่ง

“แล้วเราจะสถาปนาราชบัลลังก์ของเจ้าเหนืออิสราเอลเป็นนิตย์” ( I will establish your royal throne over Israel forever ) = สิ่งจำเป็นที่พระเจ้าต้องย้ำเตือนเพราะอาณาจักรซาโลมอนรุ่งเรือง มีอิทธิพล และมั่งคั่งเพิ่มขึ้น ทำให้ท่านมีแนวโน้มที่จะลืมหรือละเมิดพันธสัญญาที่ท่านมีกับพระเจ้า

–ฉธบ.8:12-14,17;31:20;32:15

9:6       “แต่ถ้าเจ้าทั้งหลายนหรือลูกหลานหันไปจากการติดตามเรา…แต่ไปปรนนิบัติพระอื่นๆ และนมัสการพระเหล่านั้น” (But if you turn aside from following me… but go and serve other gods and worship them) -11:4-8

9:7       “และอิสราเอลจะเป็นคำเปรียบเปรยและเป็นขี้ปากในหมู่ชนชาติทั้งหลาย” (Israel will become a proverb and a byword among all peoples.) = คำสาปแช่งตามพันธสัญญาใน ฉธบ.28:37

9:9       “เพราะฉะนั้นพระยาห์เวห์ทรงนำเหตุร้ายทั้งหมดนี้มาเหนือเขาทั้งหลาย” (Therefore the Lord has brought all this disaster on them.”) –ฉธบ.29:22-28;ยรม.22:8-30

9:11     “แล้วพระราชาซาโลมอนก็ประทานเมือง 20 เมืองในแผ่นดินกาลิลีแก่ฮีราม กษัตริย์แห่งไทระ” (King Solomon gave to Hiram twenty cities in the land of Galilee.)-เมื่อเปรียบเทียบระหว่างข้อ10-14  และ 5:1-12 จะเห็นว่า ในระหว่างโครงการก่อสร้าง 20 ปี ซาโลมอนเป็นหนี้ฮีรามมากกว่าที่คาดไว้ในข้อตกลงตอนแรก (5:9) ซึ่งเป็นค่าจ้างแรงงาน (5:6) และค้าไม้ (5:10-11) และจากข้อ 11,14 เห็นว่านอกจากไม้และแรงงานแล้ว ซาโลมอนยังได้ทองคำจำนวนมากจากฮีราม ดูเหมือนว่า ซาโลมอนจะมอบเมือง 20 เมืองบริเวณพรมแดนฟินิเซีย-กาลิลีเป็นตัวค้ำประกันการจ่ายทองคำ

ใน 2พศ.8:1-2 บ่งชี้ภายหลังเมือ ซาโลมอนมีทองคำสำรองเพิ่มขึ้น อาจเป็นช่วงหลังจากมีการเดินทางไปโอฟีร์ (1พกษ.9:26-28;10:11)  หรือหลังจากการมาเยือนของราชินีแห่งเชบา(10:1-13) ซาโลมอนก็จ่ายหนี้คืนให้ฮีรามและรับเมืองทั้ง 20 แห่งซึ่งเป็นหลักประกันกลับไป

9:13     “น้องเอ๋ย” (my brother) = สรรพนามที่ใช้ในการฑูตระหว่างประเทศบ่งบอกถึงความสัมพันธ์แบบพันธมิตรระหว่างผู้ที่เท่าเทียมกัน (20:32)

9:15     “นี่เป็นเรื่องแรงงานเกณฑ์” ( labor that King Solomon drafted) = แรงงานทาสแบบถาวรไม่ใช่พวกชาวอิสราเอลที่ถูกเกณฑ์แบบชั่วคราวใน 5:13-16

“ป้อมมิลโล” (the Millo) = ซาโลมอนอาจขยายเมืองเยรูซาเล็มไปทางเทือกเขาด้านเหนือของกรุง (2ซมอ.5:9)

“เมืองฮาโซร์” (Hazor) –การก่อสร้างที่ฮาโซร์ เมกิดโด และเกเซอร์ เป็นการเสริมความแข็งแกร่งของเมืองเก่าแก่เหล่านี้ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ

“ฮาโซร์” เป็นป้อมปราการที่สำคัญที่สุดในแถบกาลิลีตอนเหนือ ซึ่งคุมเส้นทางการค้าจากแม่น้ำยูเฟรติส สู่อียิปต์

          “เมกิดโด” –เป็นป้อมปราการบนเส้นทางการค้าที่สำคัญเชื่อมเหนือ-ใต้ โดยควบคุมทางผ่านภูเขาคารเมล จากที่ราบยิสเรเอล สู่ที่ราบชายฝั่งทะเลชาโรน –เกเซอร์ -3:1

9:16     “ฟาโรห์กษัตริย์อียิปต์” (Pharaoh king of Egypt) -3:1

“ฆ่าคนคานาอันที่อยู่ในเมืองนั้น” (had killed the Canaanites who lived in the city,) = แม้โยชูวาจะสังหารกษัตริย์ของเกเซอร์ในขณะที่มีชัยเหนือดินแดนนั้น (ยชว.10:33;12:12) แต่เผ่าเอฟราอิมก็ยังไม่สามารถขับไล่ผู้อาศัยในนั้นออกไปได้ (ยชว.16:10;วนฉ.1:29)

9:17     “เมืองเบธโฮโรนตอนล่าง” (Lower Beth-horon) = ตั้งอยู่ห่างจากเยรูซาเล็มไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 14.5 กม. เป็นทางเข้าสู่ที่ราบสูงยูดาห์และเยรูซาเล็มจากที่ราบชายฝั่ง

9:18     “เมืองบาอาลัท” (Baalath) -ยชว.15:24, อยู่ทางใต้ของเฮโบรน ในเผ่ายูดาห์ หรืออาจเป็นบาอาลัท ทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของเบธโฮโรน ในเผ่าดาน (ยชว.19:44)

“เมืองทามาร์” (Tamar) –อาจเรียกว่า “ทัดโมร์” ก็ได้ –2พศด.8:4;อสค.47:19

9:19     “เมืองทั้งหลายสำหรับรถรบของพระองค์และเมืองทั้งหลายสำหรับทหารม้าของพระองค์”

(the cities for his chariots, and the cities for his horsemen)  = เมืองที่อยู่ตามจุดยุทธศาสตร์ทั่วอาณาจักร แม้ซาโลมอนจะรักสันติ แต่ก็เตรียมพร้อมสำหรับสงคราม –ฉธบ.17:16-17

9:20     “คนอาโมไรต์…คนเยบุส” (the Amorites…the Jebusites) –ฉธบ.7:1;20:17;ปฐก.10:15-18;13:7;

15:16;23:9;ยชว.5:1;วนฉ.3:3;6:10;2ซมอ.21:2

9:22     “แต่คนอิสราเอลนั้นซาโลมอนไม่ได้ทรงทำให้เป็นทาส” (But of the people of Israel Solomon made no slaves.) ดูข้อ 15

9:25     “ปีละ 3 ครั้ง” (Three times)= ตามเทศกาลสำคัญประจำปี 3 เทศกาลคือ เทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ เทศกาลสัปดาห์ และเทศกาลอยู่เพิง (อพย.23:14-17;2พศด.8:13)

9:26     “ทางสร้างกองเรือ” (built a fleet of ships) = ใช้ทำธุรกิจสำคัญทางการค้า ในการสร้างความมั่งคั่งให้แก่ราชสำนักของซาโลมอน (ข.28;10:11)

          “เมืองเอซีโอนเกเบอร์” (Ezion-geber) = อยู่ริมด้านเหนือของอ่าวอาคาบา (24:48;กดว.33:35;ฉธบ.2:8)

“ฝั่งทะเลแดง” (the Red Sea) เป็นคำที่มาจากคำภาษาฮีบรูว่า “ยัมซุฟ” หมายถึง “ทะเลต้นกก” ซึ่งหมายถึง แหล่งน้ำที่ชนอิสราเอลเดินผ่านขณะที่กำลังอพยพ(ออกจากอียิปต์) –อพย.13:18;14:2

แต่อย่างไรก็ตาม คำนี้สามารถอ่านได้ว่า “ยิมโซฟ” เช่นกัน ที่หมายถึง “ทะเลปลายแผ่นดิน” ซึ่งน่าสอดคล้องมากกว่าอ้างถึงทะเลแดง

9:28     “เมืองโอฟีร์” (Ophir) –แหล่งทองคำ –2พศด.8:18;โยบ.28:16;สดด.45:9;อสย.13:12

–ยังเป็นแหล่งของไม้จันทน์, เพชรนิลจินดาล้ำค่ามากมาย (10:11) รวมถึงเงิน งาช้าง ,ลิง และนกยูง (10:22)

-ที่ตั้งของเมืองเป็นที่ถกเถียงกันในทุกวันนี้ว่า อาจหมายถึง อาระเบียตะวันออกเฉียงใต้, อาระเบียตะวันตกเฉียงใต้ ,ชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของอัฟริกา (พื้นที่ของโซมาเลีย), อินเดีย, ซิมบับเว

-ถ้าโอฟีร์ ตั้งอยู่ในอาระเบีย ก็น่าจะเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนสินค้าจากตะวันออกไกลและอัฟริกาตะวันออก  แต่กองเรือพานิชย์ของซาโลมอนใช้เวลาเดินทางถึง 3 ปี (10:22)

โอฟีร์ ในตอนนี้ จึงน่าจะอยู่ไกลกว่าชายฝั่งอาระเบีย

 คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยใช้เวลาก่อสร้างอะไรหรือทำโครงการใดที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของคุณนานแค่ไหน? และคุณได้รับประสบการณ์อะไรเป็นพิเศษหรือได้รับบทเรียนอะไรจากการกระทำสิ่งเหล่านั้น?
  1. คุณเคยมีประสบการณ์กับการที่พระเจ้าปรากฏหรือสำแดงพระองค์เป็นส่วนตัวกับคุณแบบ 2  ต่อ 2 บ้างไหม?  อย่างไร? และพระองค์เคยปรากฏกับคุณเป็นครั้งที่ 2 หรือไม่?  (แบ่งปัน)
  2. คุณคิดว่า “พระเนตร” (ตา) และ “พระทัย” (ใจ) ของพระเจ้าอยู่กับคุณในเวลานี้ในที่ ๆ คุณอยู่ (ที่บ้าน ที่ทำงานหรือที่โบสถ์ ฯลฯ) หรือไม่? ทำไมคุณคิดเช่นนั้น?
  3. หากคุณสำรวจดูตัวของคุณอย่างซื่อตรง คุณคิดว่าเวลานี้คุณดำเนินชีวิตและทำงานอยู่ต่อพระพักตร์ของ       พระเจ้าแบบใจซื่อสัตย์และเที่ยงธรรมสักกี่เปอร์เซนต์

…..1)  ต่ำกว่า 50 %

…..2) 60-70 %

…..3) 71-80 %

…..4) 81-90 %

…..5) 91-100 %

  1. คุณเคย “แวบ” หรือ “แฉลบ” ออกไปจากการติดตามพระเจ้าอย่างซื่อสัตย์บ้างหรือไม่?  อย่างไร?  และผลเป็นอย่างไร?
  2. คุณเคยทำข้อตกลงหรือร่วมมือ (ร่วมหุ้น) กับผู้ใด….แล้ว

1)      คุณเอาเปรียบเขา?

2)      เขาเอาเปรียบคุณ?  บ้างหรือไม่?

ผลเป็นอย่างไร?

  1. คุณเคยยืมหรือเป็นหนี้ผู้อื่นบ้างหรือไม่?

…..1) เท่าไร?  เรื่องอะไร?……………………………………….. (ทำไม)

…..2) คุณจ่ายคืนหมดแล้วหรือไม่?  อย่างไร?

หรือ

…..1) เคยมีคนมายืมคุณบ้างหรือไม่?  เท่าไร?

…..2) เขาจ่ายคืนหรือไม่?  อย่างไร?   (หรือทำไม?)

แล้วคุณสนองตอบอย่างไร?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.