Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ (บทที่ 6)

ปัญญาเริ่มฉายแสง

พระธรรม        1พงศ์กษัตริย์ 3:16-28

อ้างอิง               สดด.102:13;อสย.49:15;63:15;ยรม.3:12;31:20;ฮชย.11:8

บทนำ           พระเจ้าทรงประทานสติปัญญาให้กับกษัตริย์ซาโลมอน ตามที่พระองค์ทรงสัญญา ใน 1 พงศ์กษัตริย์ 3:12

และซาโลมอนใช้สติปัญญาที่ได้รับนั้นจัดการแก้ไขปัญหาที่ยุ่งยากซับซ้อน ดังในกรณีหญิงโสเภณี 2 คน แย่งลูกดังในบทเรียนวันนี้

บทเรียน

          3:16 “แล้วหญิงโสเภณีสองคนมาเฝ้าพระราชา และยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์

       (Then two prostitutes came to the king and stood before him.)

3:17 “หญิง คนหนึ่งทูลว่า “เจ้านายของข้าพระบาท ข้าพระบาทและผู้หญิงคนนี้อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน และข้าพระบาทก็คลอดบุตรคนหนึ่ง ขณะที่นางอยู่ในบ้าน

       (The one woman said, “Oh, my lord, this woman and I live in the same house, and I gave birth to  a child while she was in the house.)

3:18 “เมื่อ ข้าพระบาทคลอดบุตรได้สามวันแล้ว หญิงคนนี้ก็คลอดบุตรด้วย และข้าพระบาททั้งสองอยู่ด้วยกัน ไม่มี​  ใครอยู่กับพวกข้าพระบาทในบ้านนั้น ข้าพระบาททั้งสองเท่านั้นอยู่ในบ้านนั้น

       (Then on the third day after I gave birth, this woman also gave birth. And we were alone. There  was no one else with us in the house; only we two were in the house. )

3:19 “แล้วบุตรของหญิงคนนี้ได้ตายในเวลากลางคืน เพราะนางนอนทับ

        (And this woman’s son died in the night, because she lay on him.)

3:20 “พอ เที่ยงคืนนางลุกขึ้น และเอาบุตรของข้าพระบาทไปจากข้างกายข้าพระบาท ขณะที่สาวใช้ของฝ่าพระบาทนอนหลับอยู่ และวางเขาไว้ในอกของนาง และนางเอาบุตรของนางที่ตายแล้วนั้นไว้ในอกของข้าพระบาท

       (And she arose at midnight and took my son from beside me, while your servant slept, and laid  him at her breast, and laid her dead son at my breast.)

3:21 “เมื่อ ข้าพระบาทตื่นขึ้นในตอนเช้า เพื่อให้บุตรของข้าพระบาทกินนม นี่แน่ะ เขาตายแล้ว แต่เมื่อข้าพระบาทพินิจดูในตอนเช้า ดูสิ เด็กนั้นไม่ใช่บุตรที่ข้าพระบาทได้คลอดออกมา

       (When I rose in the morning to nurse my child, behold, he was dead. But when I looked  at him  closely in the morning, behold, he was not the child that I had borne.”

3:22 “แต่ หญิงอีกคนหนึ่งพูดว่า “ไม่ใช่ เด็กที่มีชีวิตเป็นลูกของข้า ส่วนเด็กที่ตายเป็นของเจ้า” หญิงคนที่หนึ่งพูดว่า  “ไม่ใช่ เด็กที่ตายเป็นของเจ้า และเด็กที่มีชีวิตเป็นของข้า” เขาทั้งสองพูดเถียงกันดังนี้ต่อพระพักตร์พระราชา

       (But the other woman said, “No, the living child is mine, and the dead child is yours.” The first  said, “No, the dead child is yours, and the living child is mine.” Thus they spoke before the king.)

3:23 “แล้ว พระราชาตรัสว่า “คนหนึ่งพูดว่า ‘เด็กที่มีชีวิตอยู่นี้เป็นลูกของข้า ส่วนลูกของเจ้าตายเสียแล้ว’ และอีกคน​หนึ่งพูดว่า ‘ไม่ใช่ ลูกของเจ้าตายเสียแล้ว และลูกของข้ายังมีชีวิตอยู่’ ”

      (Then the king said, “The one says, “This is my son that is alive, and your son is dead”; and the  other says, “No; but your son is dead, and my son is the living one.”)

3:24 “และพระราชาตรัสว่า “จงเอาดาบมาให้เราเล่มหนึ่ง” พวกเขาจึงเอาดาบมาไว้ต่อพระพักตร์พระราชา

       (And the king said, “Bring me a sword.” So a sword was brought before the king.)

3:25 “และพระราชาตรัสว่า “จงแบ่งเด็กที่มีชีวิตนั้นออกเป็นสองท่อน และให้หญิงคนหนึ่งครึ่งหนึ่ง และอีกคนหนึ่งครึ่งหนึ่ง

      (And the king said, “Divide the living child in two, and give half to the one and half to the other.”)

3:26 “แล้ว หญิงคนที่บุตรของตนยังมีชีวิตอยู่นั้นทูลพระราชา เพราะว่าจิตใจของนางสงสารบุตรของนาง นางจึง​กราบทูลว่า “เจ้านายของข้าพระบาท โปรดมอบเด็กที่มีชีวิตนั้นให้เธอไป อย่าฆ่าเขาเลย” แต่หญิงอีกคนหนึ่ง​ว่า “อย่าให้เด็กนั้นเป็นของข้าหรือของเจ้า ขอทรงแบ่งเถิดเพคะ

(Then the woman whose son was alive said to the king, because her heart yearned for her son, “Oh, my lord, give her the living child, and by no means put him to death.” But the other said, “He shall be neither mine nor yours; divide him.”)

3:27 “แล้วพระราชาตรัสตอบว่า “จงให้เด็กที่มีชีวิตนั้นแก่หญิงคนแรก อย่าฆ่าเด็กเลย นางเป็นแม่ของเด็กนั้น

(Then the king answered and said, “Give the living child to the first woman, and by no means put him to death; she is his mother.”)

3:28 “เมื่อ คนอิสราเอลทั้งสิ้นทราบเรื่องการพิพากษา ซึ่งพระราชาทรงวินิจฉัยนั้น เขาทั้งหลายก็เกรงกลัวพระราชา  เพราะเขาเห็นว่า พระปัญญาของพระเจ้าอยู่ในพระองค์ ที่จะทรงวินิจฉัยให้ความยุติธรรม

      (And all Israel heard of the judgment that the king had rendered, and they stood in awe of the  king, because they perceived that the wisdom of God was in him to do justice. )

 

ข้อมูลมีประโยชน์

 3:16     “หญิงโสเภณี 2 คน” (two prostitutes)-ในสุภาษิตกล่าวถึงเรื่อง หญิงโสเภณีไว้หลายครั้ง  ในสุภาษิต 1-9 ในฐานะที่เป็นผู้หญิงซึ่งผู้ชายควรหลีกห่าง –และเตือนสติให้ผู้ชายใส่ใจและเลือกเข้าใกล้ชิดกับหญิงที่มีชื่อว่า “ปัญญา” (Lady Wisdom)  ซึ่งจะช่วยพวกเขาให้สามารถเห็นอุบายหรือคำล่อลวงของหญิงโสเภณีเหล่านั้นแล้วจะปลีกตัวออกมาได้อย่างปลอดภัย (ปท. สุภาษิต 6:20-29)

“มาเฝ้าพระราชา” (came to the king) = ปกติชาวอิสราเอลรวมทั้งผู้ที่อาศัยอยู่ที่นั่น (2พกษ.8:3 ; 2ซมอ.16:2) สามารถเข้าเฝ้าพระราชาได้โดยไม่ต้องผ่านเจ้าหน้าที่ระดับล่าง (ฉธบ.16:18)  -กดว.27:2

3:17     “อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน” (live in the same house) =ซ่องโสเภณี มีอยู่ทั่วไปในเมืองแถบตะวันออกใกล้ ในยุคนั้น

3:18     “3 วัน” (the third day) = ในขณะที่ลูกของหญิงโสเภณีคนหนึ่ง อายุได้ 3 วัน หญิงโสเภณีอีกคนก็คลอดลูกออกมาเช่นกัน

3:19     “ตายในเวลากลางคืน” (died in the night) = ลูกของหญิงคนที่ 2 ตายภายในคืนเดียวกันกับวันที่เกิด

3:23     “คนหนึ่งพูดว่า…และอีกคนหนึ่งพูดว่า…”  (The one says…and the other says…)  = ปัญหานี้ ซับซ้อนสับสนจนยากจะตัดสิน เพราะต่างก็ยืนยันกันคนละอย่าง

3:24     “จงเอาดาบมาให้เราเล่มหนึ่ง” (Bring me a sword.)  ปท. สดุดี 45:2-4    = ซาโลมอนผู้ที่ประกอบด้วยสติปัญญามองทะลุเห็นความจริงหรือสามารถวินิจฉัยมีวิธีหาความจริงผ่านความสับสนยุ่งยากได้ในทันที แม้ว่าจะไม่มีผู้เป็นพยานให้การเข้าข้างฝ่ายใดเลยก็ตาม ซึ่งเป็นปัจจัยที่จำเป็นอย่างมากในการตัดสินความตามธรรมบัญญัติ (ฉธบ.19:15)

-เพราะหากว่าขาดพยานไปกระบวนการการตัดสินความก็ดำเนินต่อไม่ได้ ในเวลานั้นกษัตริย์อิสราเอลเป็นตัวแทนของศาลสูงสุดในการพิจารณาคำอุทธรณ์ และเป็นรากฐานของการบริหารจัดการและกระบวนการยุติธรรม (ปท.1พกษ.3:28)

3:25     “จงแบ่งเด็กที่มีชีวิตนั้นออกเป็น 2 ท่อน” (Divide the living child in two) = คำบัญชาซึ่งประกอบด้วยสติปัญญาของซาโลมอนสามารถตัดสินแก้ไขปัญหาอันซับซ้อนของหญิงโสเภณี 2 คนนั้นได้ในฉับพลัน แต่น่าเศร้าที่ปัญญาที่เคยมีนี้หมดสิ้นไปในภายหลังเมื่อซาโลมอนกระทำบาปและเป็นเหตุให้พระเจ้าตัดสินแบ่งอาณาจักรออกเป็น 2 ท่อน เหมือนดังที่ซาโลมอนตรัสออกมาในครั้งนี้ โดยที่อาณาจักรส่วนหนึ่ง (ส่วนใหญ่) มอบให้แก่ เรโหโบอัม บุตรชายของซาโลมอน และอีกส่วนหนึ่งมอบให้แก่เยโรโบอัม (11:9-13) นับจากนั้นมา อาณาจักรเหนือใต้ทั้ง 2 ส่วนนั้นมักถูกผู้เผยพระวจนะในยุคต่อ ๆ มานำมาเปรียบเทียบกับหญิงโสเภณี (ยรม.3:6-12;อสค.16:15-46;23:3-5;ฮชย.1:2)

3:26     “จิตใจของนางสงสารบุตรของนาง” (her heart yearned for her son,) -สดด.102:13;อสย.49:15; 63:15;ยรม.3:12;31:20;ฮชย.11:8

3:27    “จงให้เด็กที่มีชีวิตนั้นแก่หญิงคนแรก…นางเป็นแม่ของเด็กนั้น” (“Give the living child to the first woman, …she is his mother.”)   = พระเจ้าประทานสติปัญญาให้ซาโลมอนเข้าใจและแยกแยะธรรมชาติของความเป็นแม่ที่ซับซ้อนได้ (และตระหนักว่า พระเจ้าประทานสติปัญญาให้ท่านตามที่ทูลขอใน 1พกษ.3:9,12)

3:28     “พระปัญญาของพระเจ้าอยู่ในพระองค์” (that the wisdom of God was in him)

= พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของซาโลมอนที่ทูลขอความคิดความเข้าใจจากพระเจ้าใน -1พกษ.3:8-9;10-14   ปท. อสร.7:25

คำถามนำอภิปราย

  1. หากคุณเป็นกษัตริย์ซาโลมอนคุณจะตัดสินคดีดังกล่าวอย่างไร ในเมื่อหญิงโสเภณี 2 คนต่างแย่งลูกกัน โดยไม่มีพยานหลักฐาน?  ทำไม?
  2. คุณเคยประสบกับปัญหาที่ยากในการตัดสินความหรือคดีบ้างหรือไม่?  มีเรื่องใดที่เป็นเรื่องที่ยากที่สุดในชีวิตของคุณ?  และคุณตัดสินใจอย่างไร?   ได้ผลดีหรือผลเสียอย่างไรบ้าง?
  3. คุณเคยประทับใจหรือทึ่งในการตัดสินคดีความหรือข้อขัดแย้งที่ประกอบด้วยสติปัญญาของผู้ใดบ้าง? เรื่องอะไร?  และผลที่ตามมาคืออะไร?
  4. คุณเคยประทับใจในความรักหรือความสงสารที่บุคคลใดมีต่อลูกของตัวเอง ที่เขาหรือเธอยอมทนทุกข์กายใจเป็นฝ่ายเสียเปรียบหรือยอมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้(ทั้ง ๆ ที่เขาหรือเธอเป็นฝ่ายถูกหรือมีสิทธิ์โดยชอบธรรม) ?  (แบ่งปัน)
  5. มีเหตุการณ์ตอนใดในชีวิตของคุณหรือเรื่องราวหรือข้อพระธรรมตอนใดในพระคัมภีร์ที่ทำให้คุณเกิดความ       ยำเกรงในพระเจ้า เพราะพระสติปัญญาของพระองค์บ้าง?  ทำไม?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.