ข้าพเจ้ายังจำวันแรกที่ไปโบสถ์ได้ คุณพ่อคุณแม่ทราบว่า ข้าพเจ้าแต่งตัวอย่างดี เนื่องจากท่านทั้งสองเป็นนักเรียนอังกฤษ และคนอังกฤษในสมัยนั้นจะแต่งตัวอย่างดีที่สุดเพื่อไปโบสถ์ในวันอาทิตย์ ในวันนั้นอกจากข้าพเจ้าแล้ว ยังมีผู้มาโบสถ์เป็นครั้งแรกอีกผู้หนึ่ง เป็นคนขายลูกชิ้นปิ้ง การแต่งกายของเราสองคนต่างกันอย่างมาก อย่างไรก็ตาม อ.ขจร วิโรจน์ธนังกูร ซึ่งมีหน้าที่สอนพระคัมภีร์ในวันนั้นได้ต้อนรับเราทั้งสองอย่างเท่าเทียมกัน นั่งเรียนพระคัมภีร์ด้วยกัน นี่เป็นความประทับใจแรก อย่างน้อยคนของพระเจ้าก็ไม่ได้มองคนที่ฐานะ ไม่ได้ให้ความสำคัญของมนุษย์แบบที่โลกนี้มอง
ข้อพระคัมภีร์ที่ใช้สอนในวันนั้น คือ
“เราเป็นเถาองุ่นแท้ ท่านทั้งหลายเป็นแขนง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นจะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้ว ท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย”
ข้าพเจ้าไม่เชื่อพระคัมภีร์ข้อนี้แม้แต่น้อย ข้าพเจ้ามีชีวิตมา 30 ปี ประสบความสำเร็จมากมายโดยไม่รู้จักพระเจ้า ขณะนั้นข้าพเจ้ารู้สึกว่า อ.ขจร และพวกที่โบสถ์คงจะเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง ด้วยความรู้สึกว่า อ.ขจร เป็นคนดี และอยากช่วยอาจารย์พ้นจากความงมงาย ข้าพเจ้าตั้งใจจะเปลี่ยนความเชื่อของท่าน และมีอยู่วิธีเดียวที่จะทำได้ คือต้องพิสูจน์ให้ อ.ขจร เห็นว่า พระคัมภีร์ไม่จริง
ข้าพเจ้าจึงลงมือศึกษาพระคัมภีร์อย่างจริงจังเพื่อจับผิด และอ่านหนังสือประกอบอีกมากมาย ทั้งที่เขียนโดยคนที่เชื่อ และไม่เชื่อในพระเจ้า ข้าพเจ้ากลับค้นพบว่า หนังสือมหัศจรรย์ที่รอดพ้นการทำลายครั้งแล้วครั้งเล่าเล่มนี้ ได้เปิดเผยเรื่องราวความจริงที่ข้าพเจ้าเฝ้าค้นหามาตลอด
ในแง่ประวัติศาสตร์ พระคัมภีร์ได้บันทึกถึงเมืองโบราณต่าง ๆ ก่อนหน้าปี 1850 ผู้คนรู้จักอัสซีเรียจากพระคัมภีร์เท่านั้น ต้องขอบคุณนักโบราณคดี 2 ท่าน คือ Austin Henry Layard และ Hormuzd Rassam ผู้เผยวันเวลาที่หายไปของชาวอัสซีเรีย กลับมาให้ชาวโลกได้ประจักษ์ และเมือง Ur อันเก่าแก่ ถูกค้นพบในปี 1912 หลังจากสูญหายไปจากประวัติศาสตร์โลกกว่า 6500 ปี ในช่วงเวลานั้นมีเพียงพระคัมภีร์เท่านั้นที่ยืนยันการมีอยู่จริงของเมือง Ur
การขุดค้นเมืองเยรีโคเมื่อไม่นานมานี้ (1930) พบว่า กำแพงเมืองที่แข็งแรง และหนามากของเมืองได้พังทลายลงโดยแบะออกตรงตามพระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ นอกจากนี้ยังพบธัญพืชจำนวนมากบรรจุอยู่ในภาชนะในสภาพที่เกือบเต็ม อันแสดงว่า เมืองดังกล่าวอยู่ในสภาวะสงครามในช่วงสั้น ๆ เท่านั้น ซึ่งตรงตามพระคัมภีร์ที่กล่าวว่า เยรีโคถูกล้อมอยู่เพียง 7 วัน และชาวยิวที่เอาชนะเมืองนี้ได้ ไม่ได้แตะต้องสมบัติในเมืองจริง ๆ (ในสมัยนั้นธัญพืชถือว่าเป็นสมบัติที่มีค่ามาก เนื่องจากใช้เป็นอาหาร และเป็นพันธุ์เพื่อการหว่านในปีต่อ ๆ ไป) นอกจากนี้ยังมีการค้นพบเมืองโสโดม โกโมราห์ นีนะเวห์ และอื่น ๆ
ข้าพเจ้าพบว่า พระคัมภีร์เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ที่น่าเชื่อถือมากที่สุดเล่มหนึ่ง ทางด้านการแพทย์ แม้ข้าพเจ้าเป็นนักเรียนแพทย์ ข้าพเจ้ารู้สึกอัศจรรย์ต่อร่างกายมนุษย์ สัตว์ที่ยืน 2 ขา ตัวตรงชนิดเดียวในโลก สิ่งนี้ต้องแลกด้วยการออกแบบกระดูกเชิงกรานใหม่เพื่อให้รับน้ำหนักได้ ขณะเดียวกันต้องมีลักษณะพิเศษเพื่อให้ผู้หญิงสามารถคลอดบุตรได้ สมองส่วนควบคุมการทรงตัวต้องมีประสิทธิภาพสูง ระบบประสาทอัตโนมัติต้องแม่นยำเพื่อรักษาอัตราไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงสมองให้คงที่ ไม่ว่ามนุษย์จะอยู่ในท่านั่ง นอน ยืน และวิ่ง จะเห็นว่า เฉพาะเรื่องการยืน 2 ขาอย่างเดียว ก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากแล้ว การใช้มือ การใช้ภาษา การใช้เหตุผล อารมณ์ ก็มีเพียงมนุษย์ที่มีความสามารถอย่างซับซ้อน ข้าพเจ้าคิดเสมอว่า ธรรมชาติช่างเก่งกาจจริง ๆ ที่สร้างสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนเช่นนี้ได้ แต่พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์
ตอนแรกข้าพเจ้าไม่เชื่อเรื่องนี้ จนข้าพเจ้าได้อ่าน From Nothing to Nature ซึ่งเขียนโดยศาสตราจารย์ท่านหนึ่งซึ่งไม่เชื่อพระเจ้า ท่านพยายามสร้างรหัสพันธุกรรมพื้นฐานง่าย ๆ จากอนินทรีย์สาร โดยให้สภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุด ทั้งอุณหภูมิ ความชื้น ความเป็นกรด-ด่าง ประจุไฟฟ้า หลังจากการทดลอง 20 ปี ท่านล้มเหลวในการเปลี่ยนอนินทรีย์สาร ให้เป็นอินทรีย์สาร ท่านสรุปว่า เป็นไปได้ที่จะบอกว่า มนุษย์เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่จะง่ายกว่ามากถ้าจะบอกว่า ใครบางคนได้สร้างมนุษย์ขึ้นมา ท่านได้ยกตัวอย่างประกอบว่า ถ้าเราพบลูกบอลสีแดงในสนามหลังบ้าน แล้วท่านบอกเราว่า มันเกิดขึ้นเอง โดยมีมะพร้าวลูกหนึ่ง ถูกแมลงเจาะจนเป็นรู หลังจากนั้นมะพร้าวลูกนั้นกลิ้งไปใต้ต้นยางพารา บังเอิญกิ่งยางหัก น้ำยางจึงไหลลงมาในรูนี้พอดี ฝุ่นสีแดงก็ตกลงไปผสมกับน้ำยาง แล้วมะพร้าวลูกนี้กลิ้งออกมา และนกคาบมาทิ้งไว้ที่สนามหน้าบ้าน เราคงไม่เชื่อ เราคงบอกว่า ใครบางคนเอามันโยนไว้
ทำนองเดียวกัน รหัสพันธุกรรมของมนุษย์ซึ่งประกอบด้วยรหัสพื้นฐานเพียง 4 ชนิด (A,T,C,G) ต้องเรียงสลับไปมาอย่างถูกต้อง โดยผิดไม่ได้แม้แต่ตัวเดียว กว่า 15,000 ล้านรหัส ยากที่จะบอกว่า เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ใครบางคนที่มีความสามารถเป็นเลิศเป็นผู้สร้างมนุษย์ขึ้นมา
1 reply on “คำพยานจาก นท.นพ. ภากร จันทนมัฎฐะ รน.”
ได้ฟังคำพยาน..ของคุณหมอที่โบสถ์สืบฯ…เป็นคำพยานที่ดีมากดีใจที่ได้เห็นพิมพ์ออกมาเป็นบทความให้อ่าน..ขออนุญาติ forward mail ต่อนะค่ะ 😀