แมคคาบีส์ (Maccabees)
ประเทศกรีกภายใต้การนำของอเล็กซานเดอร์ มหาราช เรืองอำนาจขึ้นอย่างรวดเร็ว จนพิชิตมหาอำนาจอย่างเปอร์เชียได้ และกลายเป็นมหาอำนาจที่เข้มแข็งที่สุดของโลก (ก.ค.ศ. 333) จากนั้นก็ขยายอำนาจครอบคลุมตั้งแต่กรีกทางตะวันตกไปจนถึงอินเดียทางตะวันออก ทำให้วัฒนธรรม ศิลปะ ปรัชญา การศึกษา การกีฬา สาธารณสุข และภาษากรีก แพร่หลายและมีอิทธิพลต่อความคิดและชีวิตของชาวโลก (มาจนถึงในปัจจุบัน)
เรียกว่า อารยธรรมแบบกรีกรุ่งเรืองถึงขีดสุดยอด!
แต่เมื่อ อเล็กซานเดอร์ฯ สิ้นพระชนม์ อาณาจักรกรีกก็แตกเป็นส่วน ๆ (ดนล.11:2-4) ก.ค.ศ. 301 แบ่งเป็น 3 เขตการปกครองใหญ่
1. ทางตะวันตก – มี 1 เขต กรีกเป็นศูนย์กลางปกครอง
2. ทางตะวันออก – มี 2 เขต
คือ
1) ซีเรียทางเหนือ
2) อียิปต์ ทางใต้
ในช่วงนี้ชาวยิว 70 คน แปลพระคัมภีร์ภาษาฮีบรูออกมาเป็นภาษากรีก แม้แต่ชาวยิวก็พูดภาษากรีกได้ กษัตริย์กรีกที่ปกครองเขตอียิปต์รุ่นต่อมากดขี่ชาวยิวมากขึ้น เมื่ออาณาจักรอียิปต์พ่ายแพ้ต่ออาณาจักรซีเรียใน ก.ค.ศ. 198 อิสราเอลก็ตกอยู่ใต้การปกครองของกษัตริย์กรีกในเขตซีเรีย (ดนล.11:14-16) ที่มีเมืองหลวงชื่อเมือง อันทิโอก (กจ.11:20)
แต่แล้วกษัตริย์กรีกซึ่งปกครองเขตซีเรียกลับกดขี่ชาวยิวที่อยู่ที่นั่นอย่างหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าเดิม กษัตริย์เกือบทุกพระองค์ที่สืบเชื้อสายมาจากกรีกจะใช้พระนามว่า “แอนทิโอคัส”
ปาเลศไตน์ อยู่ใต้ปกครองของกรีกราวร้อยกว่าปี ธรรมเนียมวัฒนธรรมของชาวกรีกจึงเข้ามาแทรกซึมในศาสนายิวบ้าง ยิวที่เคร่งสายอนุรักษ์จึงออกมาต่อต้านวัฒนธรรมกรีก ผลคือ พวกยิวเองก็เกิดโต้แย้งกันแตกแยก แต่พวกที่ลำเอียงไปทางกรีกก็ได้รับความโปรดปรานและได้รับตำแหน่งสำคัญ ๆ ในศาสนายิวมาครอง เช่น เป็นปุโรหิตหรือนายธรรมศาลา
วันหนึ่ง ในปี 168 ก.ค.ศ. แอนทิโอคัส ที่ 4 อีพิฟาเนส กษัตริย์ชาวกรีกซึ่งปกครองซีเรียได้ขายตำแหน่งมหาปุโรหิตให้แก่ผู้ที่ประมูลให้ค่าตอบแทนราคาสูง แต่กลับถูกปฏิเสธจากพวกยิว พระองค์จึงทรงโกรธมาก ส่งกองทัพมาฆ่าฟันชาวยิวเป็นพัน ๆ คน และนำที่เหลือไปเป็นทาส จากนั้นก็เก็บพระคัมภีร์มาเผาทิ้งและบังคับให้ชาวยิวรับประทานอาหารที่ผิดพระบัญญัติ อีกทั้งห้ามยิวทำพิธีสุหนัต ห้ามยิวหยุดพักงานวันสะบาโต แต่ที่กระทบกระเทือนใจชาวยิวมากที่สุด คือแอนทิโอคัสได้ตั้งรูปเคารพของกรีกบนแท่นบูชาแบบศาสนากรีกไว้ในพระวิหารของชาวยิว แล้วเอาหมู (ซึ่งยิวถือว่าเป็นสัตว์สกปรกที่สุด) มาทำเป็นเครื่องถวายบูชาบนแท่นนั้น ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำซึ่งยิวถือว่า น่าสะอิดสะเอียนที่สุด (ดนล.11:31)
ผลก็คือ ปุโรหิตยิวชราคนหนึ่งนามว่า ยูดาส มัทธาทิอัส แมคคาบี ( Judas Mattathias Maccabees) ลุกขึ้นมาฆ่ายิวคนหนึ่งที่มาถวายเครื่องบูชาบนแท่นบูชา และเจ้าหน้าที่ชาวซีเรียที่มาดูแล พร้อมทั้งปลุกระดมประกาศเชิญชวนให้ชาวยิวที่ร้อนรนเข้าร่วมเป็นกองกำลัง (ในการปกป้องศาสนา) พร้อมกับลูกชาย 5 คน คือ ยอห์น ซีโมน ยูดาส เอลีเอเชอร์ และโยนาธาน โดยหนีไปตั้งฐานยังภูเขา และเริ่มต้นขบวนการกู้ชาติกู้ศาสนา ที่เรียกว่า กบฏ “แมคคาบี” (Maccabean revolt) ขึ้นมา
พวกเขาสู้กับพวกกรีกราว 3 ปี และได้ชนะในที่สุด จึงพากันกวาดล้างปุโรหิตที่ขายชาติ และชำระพระวิหาร (ก.ค.ศ 165) นับจากนั้นก็มีการฉลองวันยิ่งใหญ่นี้ทุกปี! จากนั้น พวกตระกูลแมคคาบี ก็ทำสงครามต่อสู้กับกรีกตลอดมาอีก 20 ปี เพื่อจะได้เอกราชทางการเมืองและในที่สุดก็ได้ชัยชนะเป็นเอกราช (ก.ค.ศ. 143)
แต่น่าเศร้าที่หลังจากนั้น พวกแมคคาบีกลับเหลิงอำนาจ แต่งตั้งคนมั่งมีอำนาจ เย่อหยิ่งขึ้นเป็นมหาปุโรหิตและผู้ใหญ่ทางศาสนาและนับว่าเป็นการเริ่มต้นของพวกสะดูสีผู้มีอิทธิพล จนพวกฟาริสีซึ่งเป็นของพวกคนส่วนใหญ่ธรรมดาที่ไม่มีอำนาจและแสดงความไม่พอใจ คัดค้านแต่ไม่สำเร็จ พวกสะดูสีจึงครองตำแหน่งในการปกครองประเทศได้หมด ทั้งทางทหารและทางศาสนา
แต่หลังจากนั้นหลายสิบปีต่อมามีราชินีองค์หนึ่งเข้าข้างฟาริสี เมื่อพระนางสิ้นพระชนม์แล้วบรรดาราชบุตรทั้งหลายกลับตกลงกันไม่ได้ว่า จะให้ใครเป็นกษัตริย์พวกเขา จึงไปขอร้องให้แม่ทัพโรมมาไกล่เกลี่ย ผลที่ตาม มาก็คือ โรมกลับยึดอำนาจการปกครอง ยูเดียจึงเสียเอกราชและตกอยู่ใต้การปกครองของโรมในปี กคศ. 63
-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-
twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/
lifeanswer, facebook.com/lifeanswer