“คุณไม่ได้รับการจ่ายเงินเป็นรายชั่วโมง หรือรายวัน
คุณได้รับการจ่ายเงินสำหรับคุณค่าของสิ่งที่คุณนำมาสู่ช่วงเวลาเหล่านั้น!”
(You don’t get paid for the hour. You get paid for the value you bring to the hour.)
-Jim Rohn-
ปกติคนเราทำงานก็มักหวังได้รับเงินป็นค่าตอบแทน คนบางคนทำงานให้อย่างคุ้มค่ากับเงินทองที่ผู้ว่าจ้างจ่ายให้ แต่บางคนตรงกันข้ามกลับทำงานใม่คุ้มค่าจ้างเลย!
ที่หนักหนายิ่งกว่านั้น ก็คือ คนบางคนเรียกร้องค่าตอบ แทนมากกว่าที่เขาควรได้รับ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ปรับปรุงพัฒนาตนเองให้เพิ่มผลผลิตให้แก่องค์กรหรือหน่วยงานที่ตนเองทำงานอยู่เลย!
แต่บางคนยิ่งหนักหนาสาหัสเข้าไปอีก เพื่อปลุกระดมเรียกร้องหรือสร้างความวุ่นวายจนเป็นเหตุที่ทำให้บริษัทหรือองค์กรนั้นต้องปิดตัวลง จนสร้างความเดือดร้อนให้กับทุกคนที่ถูกดึงเข้าไปร่วมกิจกรรม โดยไม่รู้ว่า ตนเองถูกหลอกใช้ให้เป็นเครื่องมือในการต่อรองเพื่อประโยชน์ของคนบางคนที่มีวาระแอบแฝง (hidden agenda) อยู่!
อันที่จริงการทำงานควรตั้งอยู่บนความยุติธรรม ทั้งต่อผู้ว่าจ้างและลูกจ้าง คงไม่มีนายจ้างคนใดจะยอมจ่ายเงินให้ลูกจ้างสูง ๆ โดยที่ตัวเองไม่ได้รับกำไรหรือไม่เหลืออะไรเลย เพราะคนทำธุรกิจต่างก็ทำงานเพื่อหวังกำไรทั้งนั้น!
และในทำนองเดียวกัน ก็คงไม่มีลูกจ้างคนใดอยากทำงานโดยที่ตนเองได้รับค่าจ้างต่ำเกินไป โดยปล่อยให้นายจ้างได้รับผลกำไร(ทั้งหมด)ไปเพียงฝ่ายเดียว ความเป็นธรรมจึงควรมีด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย นั่นคือ เมื่อนายจ้างได้ มากขึ้นก็ควรแบ่งหรือจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ลูกจ้างมากขึ้น ด้วยความซาบซึ้งในการทุ่มเทของลูกจ้างเหล่านั้น
แต่หากนายจ้างได้รับรายได้น้อยลง ลูกจ้างก็ควรจะไม่เรียกร้องค่าตอบแทนใด ๆ เพิ่มมากเกินกว่าที่ควร โดยแสดงความเห็นใจต่อภาวะยากลำบากของเจ้าของกิจการ หากทั้งนายจ้างลูกจ้าง มีท่าทีที่ถูกต้องต่อกันอย่างเป็นธรรม และยุติธรรมเช่นนั้น ก็เท่ากับว่า ทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็สนับสนุนส่งเสริมซึ่งกันและกันให้สามารถฝันฟ่าทุกวิกฤตไปได้!
ดังนั้น ทั้งนายจ้างและลูกจ้าง ที่รัก! อย่ามัวแต่นั่งนับเวลาการทำงานเป็นชั่วโมงหรือเป็นวัน! แต่ให้ทั้ง 2 ฝ่ายบรรจงใส่หรือให้ “คุณค่า” ลงไปในวันเวลาเหล่านั้นที่ทำงานร่วมกัน
เราต้องตระหนักว่า
“คน” ไม่ใช่ “สิ่งของ” “คน” ไม่ใช่ “เครื่องจักร”
แต่คนมีชีวิตจิตใจ และสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด “คน” คือ “พระฉายของพระเจ้า” ที่สมควรต่อการเคารพให้เกียรติต่อกันและกัน ทั้งในแง่ “ความเป็นบุคคล” และในแง่ของ “บทบาทหน้าที่” ที่กำลังกระทำอยู่!
ต่างฝ่ายควรปฏิบัติต่ออีกฝ่ายหนึ่งดังที่ท่านปรารถนาให้เขาปฏิบัติต่อท่านกลับมาเช่นกัน
“ฝ่ายคนงานทั้งหลาย จงเชื่อฟังผู้เป็นนายฝ่ายโลกด้วยใจเกรงกลัวจนตัวสั่น ด้วยน้ำใสใจจริงเหมือนกระทำแก่พระคริสต์!”
และ
“ฝ่ายนายทั้งหลาย.. จงกระทำต่อคนงานในทำนองเดียวกัน อย่าขู่เข็ญเขาเพราะท่านรู้แล้วว่า พระองค์ผู้ทรงเป็นนายของเขาและของท่านนั้นอยู่ในสวรรค์ และพระองค์ไม่ทรงเลือกหน้าผู้ใดเลย!” (อฟ.6:5-9)
เชื่อได้เลยว่า หากทั้งสองฝ่ายร่วมกันกระทำเช่นนี้ ทั้งเจ้านายหรือเจ้าของกิจการก็จะไม่มีวันเจ๊ง และลูกจ้างหรือผู้เป็นลูกน้องเองก็จะไม่มีวันขาดรายได้ ผลก็คือ ทุกฝ่ายก็จะมีรายได้หรือเงินทองใช้ได้อย่างไม่ขาดมือตลอดไป!
อย่างนี้ไม่ดีหรือครับ?
ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc
fanpage@thongchaibsc , BB 2381A496