Categories
บทความแปล วันนี้ที่ CJ

มีบางอย่างที่ฉันพอทำได้

พระองค์จึงตรัสสั่งคนทั้งปวง ให้นั่งรวมกันที่หญ้าสดเป็นหมู่ๆ ประชาชนก็ได้นั่งรวมกันเป็นหมู่ๆ หมู่ละร้อยคนบ้าง ห้าสิบบ้าง  (มาระโก 6:39-40)

เหน็ดเหนื่อย หิวโหย ไม่มีอะไรติดตัว รอบตัวมีแต่ความต้องการ นี่คือสิ่งที่สาวกของพระเยซูต้องเผชิญหลังจากวันอันเหน็ดเหนื่อยจากพระราชกิจ แม้แต่พระเยซูเองก็ต้องการพักผ่อน พระองค์จึงบอกให้พวกสาวกนั่งเรือข้ามฟากไปก่อน ไปหาที่เงียบๆพักผ่อน เป็นความคิดที่ดีใช่มั้ย? แต่จริงๆแล้ว มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น

จากพระราชกิจที่พระเยซูทำ มีผู้คนมากมายติดตามพระองค์ไปทุกหนแห่ง อันที่จริงพวกเขาโหยหาการสัมผัสจากพระองค์ พวกเขาวิ่งไปตามแนวชายฝั่ง และข้ามฟากไปก่อนพระองค์จะไปถึงด้วยซ้ำ

ลองนึกภาพท่าทีของสาวกที่เห็นคนคนหิวกระหายวิ่งไล่ตามขนาดนั้น ฉันคิดว่าพวกเขาคงรู้สึกกลวงโบ๋ข้างใน คุณเคยรู้สึกแบบเดียวกันหรือไม่? … เหน็ดเหนื่อยหมดแรงจากการเรียกร้องของผู้คนรอบข้าง  … ไม่มีอารมณ์ชื่นชมหลงเหลือ  …หมดเกลี้ยงไม่มีอะไรเหลือให้ใครอีกต่อไป

ขณะที่พวกสาวกต้องการล้มตัวลงพัก พระเยซูกลับเริ่มต้นสั่งสอนประชาชนอีก พระองค์ไม่เห็นหรือว่าพวกเขาหมดเรี่ยวแรงแล้ว?  ไม่ต้องการทำอะไรอีก เพราะพวกเขาคิดว่าไม่มีอะไรให้ทำได้มากไปกว่านี้

พวกสาวกพยายามแม้กระทั่งยับยั้งไม่ให้พระเยซูเทศนาต่อ บอกประชาชนให้กลับบ้านไป พวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบเสียที พวกเขาพูดว่า  “…ที่นี่กันดารอาหารนัก และบัดนี้เวลาก็เย็นลงมากแล้ว ขอพระองค์ทรงให้ประชาชนไปเสียเถิด เพื่อเขาจะได้ไปซื้ออาหารรับประทานตามบ้านไร่ บ้านนาที่อยู่แถบนี้” (มาระโก 6:35ข−36)

ไม่เพียงแต่สาวกเท่านั้นที่เหนื่อย แถวนั้นยังเป็นที่ “กันดารอาหาร” อีกด้วย ฉันรู้จักความรู้สึกนี้เป็นอย่างดี หลายครั้งในชีวิตที่หันไปทางไหนก็เจอแต่ความต้องการ สถานการณ์และผู้คนที่คอยบีบบังคับ ความหวังก็ริบหรี่เหมือนเทียนใกล้ดับ ในเวลาเช่นนั้น ดูเหมือน “ไม่มีอะไรที่ฉันทำได้”

ในวันนั้น วันที่พวกสาวกรู้สึกแบกรับต่อไปไม่ไหว พระเยซูทรงกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แทนที่จะปล่อยให้พวกสาวกส่งประชาชนกลับบ้าน พระองค์ตรัสว่า “พวกท่านจงเลี้ยงเขาเถิด” (มาระโก 6:37)

พระเยซูให้สาวกไปดูว่าพอมีอาหารหรือไม่  มี…แต่ว่าน้อยนิด พวกเขานำขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวส่งให้พระองค์ พระเยซูจึงสั่งสาวกให้จัดประชาชนนั่งลงเป็นหมู่ๆ (ข้อ 39) ขณะที่สาวกออกไปทำตามนั้น พระเยซูทรงขอบพระคุณพระบิดาสำหรับอาหารในพระหัตถ์  และส่งอาหารนั้นให้สาวกนำไปแจกจ่าย พระเยซูทรงทำการอัศจรรย์ในวันนั้น ทุกคนได้กินอิ่ม และยังมีเหลืออีก 12 กระบุงเต็ม

ฉันอ่านเรื่องนี้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่เมื่อไม่นานมานี้บางอย่างโดดเด่นสะดุดตาออกมา ทำไมพระเยซูต้องให้ประชาชนนั่งลงด้วย? และทำไมต้องนั่งเป็นกลุ่มๆ? คำตอบที่น่าจะชัดเจนคือเป็นเพราะสถานการณ์เกินจะรับมือไหว พระเยซูรู้ว่าประชาชนต้องหยุดและฟังคำสั่ง

เป็นเรื่องแสนธรรมดา หยุดและรอฟังว่าให้ทำอะไรต่อไป จะเป็นอย่างไรถ้าพระเยซูต้องการให้พวกสาวกเบนความสนใจไปจากสิ่งที่พวกเขาคิดว่า “ทำไม่ได้” ไปยังสิ่งที่พวกเขา “พอทำได้”? และพระองค์จะทรงทำสิ่งที่เหลือกำลังของพวกเขาเอง − ทรงทำการอัศจรรย์

พวกสาวกมองไปที่ความขาดแคลนของตัวเอง และคิดว่ายังไงๆก็ไม่มีทางตอบสนองความต้องการอันมหาศาลนี้ได้ จึงตัดสินใจไม่ทำอะไรเลย ที่แย่กว่าคือพวกเขาลืมไปว่ากำลังยืนอยู่ข้างๆบุคคลที่ช่วยได้ แต่พระเยซูต้องการให้พวกเขาลงมือทำบางสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ได้ก่อน เพื่อเตรียมสำหรับการอัศจรรย์ที่พระองค์จะทรงประทานให้ต่อมา

เมื่อเผชิญหน้ากับความยากลำบากในชีวิต มีสติปัญญาสำหรับฉันเสมอ บ่อยครั้งฉันมัวแต่คิดว่าเรื่องนี้ “เกินความควบคุม” และเพ่งไปแต่ที่ปัญหา คิดว่ามันไม่ยุติธรรม ถึงแม้จะอธิษฐานแล้ว ทูลพระองค์ถึงความต้องการและมอบสิ่งที่มีให้องค์พระเยซูแล้ว ฉันก็ยังเพ่งไปในสิ่งที่คิดว่าตัวเองทำไม่ได้อยู่ดี นับเป็นการกำหนดกรอบมุมมองที่จำกัดของตัวเองอย่างน่าเสียดาย

บางครั้งก็ลืมไปว่าตัวเองยืนอยู่ใกล้บุคคลที่สามารถเลี้ยงคนห้าพันคนได้ด้วยขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัว …แถมยังมีเหลืออีก! บางครั้งแทนที่จะทำในสิ่งที่พระเจ้าวางไว้ตรงหน้า ฉันกลับยืนเฉยไม่ทำอะไรเลย

บางทีแทนที่จะยืนบิดมือด้วยความกังวล ฉันควรจะตั้งต้นทำในสิ่ง “ควบคุมได้” ก่อน มีบางสิ่งที่เราสามารถทำได้เสมอเพื่อให้สถานการณ์อยู่ในการควบคุม ไม่ใช่วิธีเบนความสนใจไปที่อื่น  … แต่เป็นการกระทำที่เกิดจากความเชื่อ พระเยซูยังทรงทำการอัศจรรย์อยู่ และที่แน่ๆฉันไม่สามารถทำสิ่งนั้นได้

โดย: Glynnis Whitwer

Girlfriends in God: www.crosswalk.com

ข่าวประชาสัมพันธ์

  • อันนี้ตัวเองเป็น พอคิดว่าทำอะไรไม่ได้ ก็เฉยๆไม่ทำอะไรเลย ปล่อยให้สถานการณ์พาไป แต่ขอบคุณพระเจ้าที่มีพี่น้องรอบตัวหลายคนเป็นประเภท “ไฮเปอร์” นิ่งไม่เป็น ต้องทำอะไรก็ได้ไปก่อน เดี๋ยวที่เหลือจะค่อยๆตามมาเอง
  • เราคงต้องไม่เอากรอบความคิดของตัวเองปิดกั้นการอัศจรรย์ของพระเจ้า สิ่งนี้คงต้องอาศัยความเชื่อ และการไว้วางใจที่ต้องฝึกฝนพัฒนาไปเรื่อยๆค่ะ – ขอพระเจ้าเป็นกำลังให้ทุกท่านค่ะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.