คำถาม: “เราจะลงลึกในพระวจนะได้อย่างไร?”
คำตอบ: การลงลึกในที่นี้คงมี 3 มิติ
- 1.มิติแห่งความรู้
- 2.มิติแห่งความเข้าใจ
- 3.มิติแห่งการนำไปปฏิบัติ
1.ในมิติแห่งความรู้
การลงลึกคือ การจริงจังในการศึกษาพระวจนะของพระเจ้าหรือการศึกษาพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญต่อการเติบโตฝ่ายวิญญาณของผู้เชื่อทุกคน เพราะเป็นรากฐานแห่งความเชื่อศรัทธาที่ถูกต้อง หากรู้ผิด เข้าใจผิด และยึดสิ่งที่รู้นั้นอย่างผิดๆ ก็จะทำให้เราเพี้ยนไปจากวิถีทางของพระเจ้าโดยไม่รู้ตัว คือโตแบบเชื่อผิดแต่คิดว่าถูกมาตลอด ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องศึกษาพระคัมภีร์แบบลงลึกในความรู้และความสัมพันธ์กับพระเจ้า นั่นคือ เราควร
1).ศึกษาพระวจนะของพระเจ้าอย่างจริงจัง จดจ่อ
2).ศึกษาพระวจนะนั้นอย่างมีหลักและตามขั้นตอน
- ก.สังเกตดี
- ข.ตีความถูก
- ค.ประยุกต์เหมาะ
3).ศึกษาอย่างใคร่ครวญพระวจนะนั้น โดยหาความหมาย ที่ถูกต้องที่สุด
4).ศึกษาอย่างรำพึงภาวนา ให้สิ่งที่เรียนรู้กลายเป็นส่วนหนึ่งของความคิด อารมณ์และจิตใจ ที่ทำให้เราพร้อมที่จะเชื่อฟังทำตาม
5).ศึกษาอย่างสะสมพระวจนะ โดยการท่องจำข้อที่มีความหมายและความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตและการรับใช้ของเราไว้ให้มาก ๆ
2.ในมิติแห่งความเข้าใจ
เราศึกษาลงลึกในพระวจนะของพระเจ้า ไม่ใช่ยึดแต่ตามตัวอักษรหรือตามแต่การตีความตามประเพณีของคณะนิกาย แต่ให้เราลึกลงไปในความเข้าใจถึงเบื้องลึกแห่งพระทัยของพระเจ้า และให้ความเข้าใจนั้นเปลี่ยนแปลงความคิด ทัศนคติ และมุมมองในชีวิตและการรับใช้ของเรา นั่นคือให้เราเข้าใจในความหมายที่แท้จริงของพระคัมภีร์ที่เราอ่านและลงมือปฏิบัตินั้นอย่างถูกต้อง
3.ในมิติแห่งการปฏิบัติ
เราต้องลงลึกในพระเจตนารมณ์ของพระเจ้าเบื้องหลังตัวอักษรของธรรมบัญญัติที่เราศึกษาหรือท่องจำเอาไว้ นั่นคือ หลังจากที่เราอ่าน ฟัง ท่องจำ คิดใคร่ครวญภาวนา ศึกษาเข้าใจความหมายที่แท้จริงของพระวจนะตอนนั้นๆ ตามพระเจตนาของพระเจ้าแล้ว ก็ให้เรานำเอาสิ่งที่เรียนรู้แบบลงลึกนั้นไปลงมือประยุกต์ปฏิบัติจริงในชีวิตประจำวันของเรา ด้วยความเชื่อฟังและยำเกรงพระเจ้าให้เกิดผลดีต่อตัวเราเป็นส่วนตัวและต่อครอบครัว คริสตจักรและสังคม
ปัจจุบันมีแนวคิด และวิถีใหม่ๆ ในการขุดลึกลงไปในพระวจนะของพระเจ้า ดังนี้
1.อ่านพระคัมภีร์แต่ละเล่มให้จบในครั้งเดียว –ไม่อ่านตามบทหรือข้อที่มีการช่วยแบ่งไว้ให้อ่านอย่างที่ปรากฎอยู่ แต่ให้อ่านเหมือนกับต้นฉบับแรกคือ ไม่มีบท ไม่มีข้ออย่างที่จัดแบ่งกันในปัจจุบัน ทำให้เห็นบริบทของพระคัมภีร์เล่มนั้นๆ กว้างขึ้น และเข้าใจความหมายได้ถูกต้องมากขึ้น
2.อ่านทีละบท และอ่านซ้ำและอ่านซ้ำ หลายๆ ครั้ง จนเห็นความจริงใหม่ๆ ปรากฏผ่านคำ หรือวลีต่างๆ ชัดเจนมากขึ้น เหมือนเป็นบทสนทนาที่มีชีวิตขึ้นมา อย่างน่าแปลกใจ
3.อ่านแล้วหยุด จดจ่อกับคำบางคำ หรือบางวลี ~คือตั้งคำถาม โดยจินตนาการถึงจุดเริ่มต้นในการใช้คำนี้ ความหมายดั้งเดิม และการนำมาใช้ในในตอนเริ่มต้นจนเกิดความเข้าใจและเห็นภาพเรื่องราวและความหมายอย่างชัดเจน
ดังนั้น พี่น้องที่รัก ขอให้เราสนใจ และใส่ใจ ในการจัดเวลาศึกษาพระคัมภีร์แบบ ลงลึกกับพระวจนะของพระเจ้า และประพฤติปฏิบัติตนตามนั้นอย่างมีคุณภาพด้วยความเชื่อฟังเพื่อชีวิตจิตวิญญาณของเราและคนอื่น ๆ จะเจริญรุ่งเรืองขึ้น!
“ผู้ใส่ใจพระวจนะ จะเจริญรุ่งเรือง และคนที่วางใจในพระยาห์เวห์จะสุขสบาย” สุภาษิต 16:20 THSV11
-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer
(Cr.ภาพ Emmanuel Phaeto / Unsplash.com)