คำถาม: “การเผยพระวจนะ การพยากรณ์ และการพูดภาษาแปลกๆ คืออะไร? และอะไรสำคัญกว่ากัน?”
คำตอบ:
1. การเผยพระวจนะ กับการพยากรณ์นั้น มาจากศัพท์คำเดียวกันที่มี 2 ความหมาย ดังนี้
1) พูดในสิ่งที่เห็นล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น ให้คนฟัง จึงเรียกว่า พยากรณ์
2) พูดอธิบายความหมายของสิ่งที่อ่าน(ในพระคัมภีร์)ออกมาให้คนฟังเข้าใจ จึงเรียกว่า เผยพระวจนะ
บางทีเรียกคนที่ทำหน้าที่นั้นว่า ประกาศก ศาสดาพยากรณ์ ผู้พยากรณ์ หรือผู้เผยพระวจนะ ซึ่งหมายถึง ผู้ที่พระเจ้าแต่งตั้งให้รับพระดำรัสของพระองค์มา ประกาศ ถ่ายทอด หรืออธิบายให้ผู้ฟังเข้าใจความหมายที่ถูกต้องของคำสั่งสอนของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ หรือชี้ให้เห็นปัญหา หรือแจ้งการพิพากษาของพระเจ้าที่กำลังจะมาถึง (และอาจบอกให้เห็นบางสิ่งล่วงหน้าในอนาคต )
2. การพูดภาษาแปลกๆ ก็มีสองความหมาย หรือ 2 ประเภท
1) พูดภาษาที่ฟังดูแปลกสำหรับมนุษย์ แต่พระเจ้าทรงเข้าใจ จึงใช้คำว่า พูดภาษาแปลกๆ (Speak in tongues) และเมื่อเป็นการพูดให้พระเจ้าฟัง จึงไม่เหมาะที่จะพูดกับมนุษย์ด้วยภาษานั้น นอกจากจะมีการแปลได้ มิฉะนั้น จะเป็นเป็นประโยชน์ เฉพาะตัว(ของผู้พูด)เท่านั้น
“เพราะว่าคนที่พูดภาษาแปลกๆ นั้น ไม่ได้พูดกับมนุษย์ แต่ทูลต่อพระเจ้า เพราะว่าไม่มีใครเข้าใจได้ เขาพูดเป็นความล้ำลึกโดยพระวิญญาณ” 1โครินธ์ 14:2 THSV11
“คนที่พูดภาษาแปลกๆ นั้นก็ทำให้ตัวเองเจริญขึ้น แต่ผู้เผยพระวจนะนั้นทำให้ คริสตจักรเจริญ” 1 โครินธ์ 14:4
2) พูดภาษาที่คนรู้จักภาษานั้นๆ ฟังเข้าใจ จึงใช้คำว่า พูดภาษาอื่นๆหรือพูดภาษาต่างๆ
“เมื่อวันเทศกาลเพ็นเทคอสต์ มาถึง พวกสาวกรวมตัวอยู่ในสถานที่แห่งเดียวกัน ในทันใดนั้นมีเสียง มาจากฟ้าเหมือนเสียงพายุแรงกล้าดังก้องทั่วตึกที่เขานั่งอยู่นั้น และพวกเขาเห็นบางสิ่งที่คล้ายเปลวไฟลักษณะเหมือนลิ้นแผ่กระจายอยู่บนตัวพวกเขาทุกคน พวกเขาทั้งหมดก็เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงเริ่มต้นพูดภาษาอื่นๆ ตามที่พระวิญญาณทรงให้พูด มีพวกยิวจากทุกประเทศทั่วใต้ฟ้าซึ่งเป็นผู้เกรงกลัวพระเจ้า มาอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อมีเสียงอย่างนั้นเขาทั้งหลายจึงพากันมา และฉงนสนเท่ห์เพราะต่างคนต่างได้ยินพวกเขาพูดภาษาของตัว เขาทั้งหลายจึงแปลกใจและอัศจรรย์ใจพูดว่า “นี่แน่ะ คนทั้งหลายที่พูดอยู่นี้เป็นชาวกาลิลีทุกคนไม่ใช่หรือ? ทำไมเราทุกคนถึงได้ยินพวกเขาพูดภาษาของบ้านเกิดเมืองนอนของเรา? ซึ่งเป็นชาวปารเธีย ชาวมีเดีย ชาวเอลาม และเป็นคนที่อาศัยอยู่ในเขตแดนเมโสโปเตเมีย อยู่ในแคว้นยูเดียและแคว้นคัปปาโดเซีย อยู่ในแคว้นปอนทัสและแคว้นเอเชีย อยู่ในแคว้นฟรีเจียและแคว้นปัมฟีเลีย เป็นคนที่อยู่ในประเทศอียิปต์และในบางส่วนของเมืองลิเบียซึ่งขึ้นกับนครไซรีน เป็นคนที่มาจากกรุงโรม ซึ่งมีทั้งพวกยิวกับพวกที่เข้าจารีตยิว และเป็นชาวครีตและชาวอาระเบีย เราต่างได้ยินคนเหล่านี้กล่าวถึงกิจการที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในภาษาของเราเอง” พวกเขาจึงประหลาดใจและฉงนสนเท่ห์พูดกันว่า “นี่อะไรกัน?”” กิจการ 2:1-12 THSV11
ในพระคัมภีร์ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า…
1.พระเจ้าประทานของประทาน(ของขวัญ)ให้ทุกคน แต่ทุกคนอาจมีของประทานที่ไม่เหมือนกัน เช่น ไม่ใช่ทุกคนพูดภาษาแปลกๆ หรือแปลได้
“ของประทานนั้นมีต่างๆ กัน แต่มีพระวิญญาณองค์เดียวกัน การปรนนิบัติมีต่างๆ กัน แต่มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน กิจกรรมมีต่างๆ กัน แต่มีพระเจ้าองค์เดียวกันเป็นต้นเหตุแห่งกิจกรรมทั้งหมดในทุกคน การสำแดงของพระวิญญาณนั้น พระองค์ประทานแก่แต่ละคนเพื่อประโยชน์ร่วมกัน พระเจ้าประทานโดยทางพระวิญญาณ ให้คนหนึ่งมีถ้อยคำของปัญญา และให้อีกคนหนึ่งมีถ้อยคำของความรู้ โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน และให้อีกคนหนึ่งมีความเชื่อ โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน ให้อีกคนหนึ่งมีของประทานในการรักษาโรค โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน ให้อีกคนหนึ่งทำการด้วยฤทธานุภาพ ให้อีกคนหนึ่งเผยพระวจนะ ให้อีกคนหนึ่งรู้จักสังเกตวิญญาณต่างๆ ให้อีกคนหนึ่งพูดภาษาแปลกๆ และให้อีกคนหนึ่งแปลภาษานั้นๆ ได้ พระวิญญาณองค์เดียวกันทรงทำและจัดสรรสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดแก่แต่ละคนตามชอบพระทัยพระองค์
…ส่วนท่านทั้งหลายเป็นกายของพระคริสต์ และแต่ละอวัยวะก็เป็นส่วนหนึ่งของกายนั้น พระเจ้าทรงตั้งบางคนไว้ในคริสตจักร คือหนึ่ง บรรดาอัครทูต สอง บรรดาผู้เผยพระวจนะ สาม บรรดาอาจารย์ ต่อจากนั้น ผู้ทำการด้วยฤทธานุภาพ ต่อจากนั้น ของประทานในการรักษาโรค พวกที่ให้ความช่วยเหลือ พวกผู้นำและพวกที่รู้ภาษาแปลกๆ ทุกคนเป็นอัครทูตหรือ? ทุกคนเป็นผู้เผยพระวจนะหรือ? ทุกคนเป็นอาจารย์หรือ? ทุกคนทำการด้วยฤทธานุภาพหรือ? ทุกคนมีของประทานในการรักษาโรคหรือ? ทุกคนพูดภาษาแปลกๆ หรือ? ทุกคนแปลได้หรือ? แต่ท่านทั้งหลายจงขวนขวายของประทานต่างๆ ที่ยิ่งใหญ่กว่า และข้าพเจ้าจะชี้ให้เห็นถึงทางที่ดีที่สุดแก่ท่านทั้งหลาย” 1โครินธ์ 12:4-11, 27-31 THSV11
2.ถ้าจำเป็นต้องจัดลำดับสำคัญ ในคริสตจักรนั้น ให้ถือว่า ความรัก และการเผยพระวจนะสำคัญกว่าการพูดภาษาแปลกๆ และของประทานอื่นๆ
“จงมุ่งหาความรัก และขวนขวายของประทานจากพระวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผยพระวจนะ เพราะว่าคนที่พูดภาษาแปลกๆ นั้น ไม่ได้พูดกับมนุษย์ แต่ทูลต่อพระเจ้า เพราะว่าไม่มีใครเข้าใจได้ เขาพูดเป็นความล้ำลึกโดยพระวิญญาณ แต่ผู้ที่เผยพระวจนะนั้น พูดกับมนุษย์เพื่อให้เจริญขึ้น ให้มีการชูใจและการปลอบใจ คนที่พูดภาษาแปลกๆ นั้นก็ทำให้ตัวเองเจริญขึ้น แต่ผู้เผยพระวจนะนั้นทำให้คริสตจักรเจริญขึ้น ข้าพเจ้าต้องการให้พวกท่านทุกคนพูดภาษาแปลกๆ แต่ยิ่งกว่านั้น ข้าพเจ้าต้องการให้พวกท่านเผยพระวจนะ เพราะว่าคนที่เผยพระวจนะนั้นก็ใหญ่กว่าคนที่พูดภาษาแปลกๆ นอกจากว่ามีคนแปลได้ เพื่อคริสตจักรจะได้รับความเจริญ” 1โครินธ์ 14:1-5 THSV11
3.การพูดภาษาแปลกๆ และเผยพระวจนะอาจเกิดขึ้นพร้อมกันได้ ถ้าคนฟังเข้าใจความหมาย
“เมื่อได้ยินอย่างนั้น พวกเขาจึงรับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อเปาโลวางมือบนตัวพวกเขาแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาสถิตกับพวกเขา พวกเขาจึงพูดภาษาแปลกๆ และเผยพระวจนะ คนเหล่านั้นมีประมาณสิบสองคน” กิจการ 19:5-7 THSV11
4.การพูดหรือใช้ของประทานต่างๆนั้นต้องเพื่อเกิดประโยชน์โดยรวมต่อคริสตจักร ~ให้การชูใจ ปลอบใจ และการเจริญต่อคริสตจักร
“การสำแดงของพระวิญญาณนั้น พระองค์ประทานแก่แต่ละคนเพื่อประโยชน์ร่วมกัน” 1โครินธ์ 12:7
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผยพระวจนะ เพราะว่าคนที่พูดภาษาแปลกๆ นั้น ไม่ได้พูด กับมนุษย์ แต่ทูลต่อพระเจ้าเพราะว่าไม่มีใครเข้าใจได้ เขาพูดเป็นความล้ำลึกโดย พระวิญญาณ แต่ผู้ที่เผยพระวจนะนั้น พูดกับมนุษย์เพื่อให้เจริญขึ้น ให้มีการชูใจ และการปลอบใจ” 1โครินธ์ 14:1ข.-3
5.การพูดภาษาแปลกๆ ในคริสตจักรหรือในที่ประชุมทำได้ ถ้ามีคนแปลภาษาแปลกๆนั้นได้
“ท่านทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น เมื่อท่านกำลังขวนขวายของประทานจากพระวิญญาณ ก็จง พยายามเพิ่มพูนสิ่งที่จะทำให้คริสตจักรเจริญขึ้น ฉะนั้นคนที่พูดภาษาแปลกๆ ก็ควร อธิษฐานขอให้แปลได้ด้วย เพราะถ้าข้าพเจ้าอธิษฐานเป็นภาษาแปลกๆ จิตวิญญาณของ ข้าพเจ้าอธิษฐานก็จริง แต่ความคิดก็ไม่เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าควรทำอย่างไร?” 1โครินธ์ .14:12-15ก.
6.ทุกอย่างที่เราทำในคริสตจักร ควรเป็นสิ่งที่คนฟังเข้าใจ ได้ความเจริญ ไม่ว่าจะเป็นการอธิษฐานการขอบพระคุณ การร้องเพลง สรรเสริญ การพูด การสอน และการเทศนา
“ข้าพเจ้าจะอธิษฐานด้วยจิตวิญญาณและด้วยความคิด และจะร้องเพลงด้วยจิตวิญญาณและด้วยความคิด มิฉะนั้นถ้าท่านสรรเสริญพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณ คนที่อยู่ในกลุ่มที่ไม่เข้าใจจะว่า “อาเมน” กับคำขอบพระคุณของท่านได้อย่างไร ในเมื่อเขาไม่รู้ว่าท่านพูดอะไร? เพราะว่าแม้ท่านจะขอบพระคุณอย่างไพเราะ แต่คนอื่นก็ไม่เจริญขึ้น ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้า ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆ มากกว่าท่านทั้งหลายอีก แต่ว่าในคริสตจักรข้าพเจ้าต้องการที่จะพูดสักห้าคำด้วยความคิด เพื่อสอนคนอื่นดีกว่าที่จะพูดหมื่นคำเป็นภาษาแปลกๆ” 1โครินธ์ 14:15ข.-19
7.ทุกอย่างที่เราทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องฝ่ายจิตวิญญาณจะต้องควบคู่ไปกับการรู้จักคิดเหมือนผู้ใหญ่ด้วย (ไม่ว่าจะเป็นการพูดหรือการกระทำ)
“อย่าเป็นเหมือนเด็กในด้านความคิด แต่ในเรื่องความชั่วร้ายจงเป็นเหมือนทารก และในด้านความคิดจงเป็นเหมือนผู้ใหญ่” 1โครินธ์ 14:20
สรุป การเผยพระวจนะหรือการพยากรณ์และการพูดภาษาแปลก ๆ กับการแปลภาษาแปลก ๆ ล้วนเป็นของประทานจากพระเจ้าที่มีความสำคัญต่อชีวิตคริสเตียน แต่การเผยพระวจนะนั้นมีประโยชน์ต่อคริสตจักรมากกว่า
1.การพูดภาษาแปลกๆ การเผยพระวจนะ(พยากรณ์)หรือการทำอะไรก็ตาม ที่เราทำแล้ว คนอื่น (ในครอบครัว ในคริสตจักร)
- 1) ไม่เข้าใจ
- 2) ไม่เจริญ
- 3) ไม่มีความสุข~ก็อย่าทำ
2. การพูดภาษาแปลกๆ การเผยพระวจนะ(พยากรณ์)หรือการทำอะไรก็ตาม ที่เราทำแล้ว คนอื่น (ในครอบครัว ในคริสตจักร)
- 1) เข้าใจ
- 2) เจริญ+เจริญขึ้น
- 3) มีความสุขมากขึ้น~ก็จงรีบลงมือทำเถิด!
จุดประสงค์หลักของการใช้ของประทานเหล่านั้นคือ การถวายเกียรติแด่พระเจ้าเป็นหลัก และสร้างความเจริญเติบโตแก่คริสตจักร ไม่ใช่เพื่อความสำเร็จ ความพอใจ หรือเกียรติของเราเป็นส่วนตัว
1คร10:31-33 – “เพราะฉะนั้นเมื่อพวกท่านจะรับประทาน จะดื่ม หรือจะทำอะไรก็ตาม จงทำเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า อย่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้พวกยิว หรือพวกกรีก หรือคริสตจักรของพระเจ้าหลงผิดไป 33และให้เป็นเหมือนข้าพเจ้าเองที่พยายามทำทุกสิ่งเพื่อให้พอใจทุกคน ไม่ได้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว แต่เห็นแก่ประโยชน์ของคนมากมาย เพื่อให้เขาทั้งหลายได้รับความรอด”
-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer