ไม่มีคนชอบธรรมเลยสักคน?
พระธรรม โรม3:1-31
อ้างอิง สดด.51:4;14:1-3;53:1-3;5:9;140:3;143:2;10:7;36:1;กท.2:16;3:20;อสย.59:7-8;ฉธบ.6:4
บทนำ เราทุกคนล้วนเป็นคนบาป ไม่มีใครดีกว่าใคร ไม่ว่าจะมีเชื้อชาติ ศาสนาใด แม้แต่คนที่ปากบอว่า ศรัทธาในพระเจ้า แต่กหากไม่กลับใจจากบาปและรับความรอดโดยการไถ่ของพระคริสต์ เขาก็ยังคงเป็นคนบาปที่ต้องตายเพราะบาปของตัวเอง เราที่กลับใจใหม่ และเชื่อว่าได้รับการประกาศว่า เป็นคนชอบธรรมเพราะความตายของพระคริสต์โดยแท้จริง
บทเรียน
3:1 “ถ้าเช่นนั้นพวกยิวจะได้เปรียบคนอื่นอย่างไร? และการเข้าสุหนัตนั้นจะมีประโยชน์อะไร?”
(Then what advantage has the Jew? Or what is the value of circumcision? )
3:2 “มีประโยชน์ทุกอย่าง ประการแรก พวกยิวได้รับมอบให้รักษาพระดำรัสของพระเจ้า”
(Much in every way. To begin with, the Jews were entrusted with the oracles of God. )
3:3 “ถึงมีบางคนไม่ซื่อสัตย์ ความไม่ซื่อสัตย์ของเขานั้น จะทำให้ความซื่อสัตย์ของพระเจ้าเป็นโมฆะหรือ?”
(What if some were unfaithful? Does their faithlessness nullify the faithfulness of God?)
3:4 “ไม่เลย ถึงแม้มนุษย์ทุกคนจะโกหก ก็ขอให้พระเจ้าทรงสัตย์จริงเถิด ตามที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “เพื่อพระองค์จะทรงชอบธรรมในพระวจนะของพระองค์และทรงมีชัยเมื่อพระองค์ทรงวินิจฉัย”
(By no means! Let God be true though every one were a liar, as it is written,”That you may be justified in your words,and prevail when you are judged.”)
3:5 “แต่ถ้าความชั่วร้ายของเราเป็นเหตุให้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้า เราจะว่าอย่างไร? จะว่าพระเจ้าทรงพระพิโรธโดยไม่ยุติธรรมอย่างนั้นหรือ? (ข้าพเจ้าพูดอย่างมนุษย์)
(But if our unrighteousness serves to show the righteousness of God, what shall we say? That God is unrighteous to inflict wrath on us? (I speak in a human way.)
3:6 “เปล่าเลย เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว พระเจ้าจะทรงพิพากษาโลกได้อย่างไร?”
(By no means! For then how could God judge the world? )
3:7 “แต่ถ้าสัจจะของพระเจ้าปรากฏมากยิ่งขึ้นเนื่องจากการมุสาของข้าพเจ้า จนทำให้พระองค์ได้รับเกียรติแล้ว ทำไมข้าพเจ้าต้องถูกพิพากษาว่าเป็นคนบาป?”
(But if through my lie God’s truth abounds to his glory, why am I still being condemned as a sinner?)
3:8 “และทำไมเราจึงไม่ทำความชั่ว เพื่อความดีจะเกิดขึ้น? ตามที่มีบางคนดูหมิ่นและนินทาหาว่า เราได้กล่าวอย่างนั้น การลงโทษคนเช่นนั้นก็ยุติธรรมแล้ว”
(And why not do evil that good may come?—as some people slanderously charge us with saying. Their condemnation is just.)
3:9 “ถ้าเช่นนั้นจะว่าอย่างไร? พวกยิวเราจะได้เปรียบกว่าหรือ? เปล่าเลยเพราะเราได้ชี้แจงให้เห็นแล้วว่า มนุษย์ทุกคนทั้งพวกยิวและพวกกรีกต่างก็อยู่ใต้อำนาจบาป”
(What then? Are we Jews any better off? No, not at all. For we have already charged that all, both Jews and Greeks, are under sin, )
3:10 “ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า“ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียวไม่มีเลย”
(as it is written:”None is righteous, no, not one)
3:11 “ไม่มีคนที่เข้าใจไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้า”
( no one understands; no one seeks for God.)
3:12 “เขาทุกคนหลงผิดไปหมด พวกเขาเลวทรามเหมือนกันสิ้นไม่มีสักคนเดียวที่ทำดีไม่มีเลย”
(All have turned aside; together they have become worthless;no one does good,not even one.”)
3:13 “ลำคอของพวกเขาคือหลุมฝังศพที่เปิดอยู่เขาใช้ลิ้นของเขาในการล่อลวง พิษงูร้ายอยู่ใต้ริมฝีปากของเขา”
( “Their throat is an open grave;they use their tongues to deceive.””The venom of asps is under their lips.”)
3:14 “ปากของพวกเขาเต็มด้วยคำแช่งด่าอันขมขื่น”
( “Their mouth is full of curses and bitterness.”)
3:15 “เท้าของเขาว่องไวในการทำให้นองเลือด”
(“Their feet are swift to shed blood;)
3:16 “ในทางเดินของเขามีความพินาศและความทุกข์”
( in their paths are ruin and misery,)
3:17 “และเขาไม่รู้จักทางแห่งสันติสุข”
(and the way of peace they have not known.”)
3:18 “เขาไม่เคยคิดจะยำเกรงพระเจ้า ”
(“There is no fear of God before their eyes.”)
3:19 “เรารู้แล้วว่า ธรรมบัญญัติทุกข้อที่ได้กล่าวนั้น ก็กล่าวแก่พวกที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ เพื่อปิดปากทุกคน และให้โลกทั้งหมดอยู่ใต้การพิพากษาของพระเจ้า”
(Now we know that whatever the law says it speaks to those who are under the law, so that every mouth may be stopped, and the whole world may be held accountable to God.)
3:20 “เพราะว่าในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่มีใครถูกชำระให้ชอบธรรมได้โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ เพราะว่าธรรมบัญญัตินั้นทำให้เรารู้จักบาป”
(For by works of the law no human being will be justified in his sight, since through the law comes knowledge of sin.)
3:21 “แต่เดี๋ยวนี้ความชอบธรรมของพระเจ้านั้นปรากฏนอกเหนือธรรมบัญญัติ ความชอบธรรมดังกล่าวก็ได้รับการยืนยันจากหมวดธรรมบัญญัติและพวกผู้เผยพระวจนะ”
(But now the righteousness of God has been manifested apart from the law, although the Law and the Prophets bear witness to it— )
3:22 “คือความชอบธรรมของพระเจ้า ซึ่งปรากฏโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์แก่ทุกคนที่เชื่อ โดยไม่ทรงถือว่าเขาแตกต่างกัน”
(the righteousness of God through faith in Jesus Christ for all who believe. For there is no distinction: )
3:23 “เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า”
(for all have sinned and fall short of the glory of God, )
3:24 แต่พระเจ้าทรงมีพระคุณให้เขาเป็นผู้ชอบธรรมโดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว”
(and are justified by his grace as a gift, through the redemption that is in Christ Jesus, )
3:25 “พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาปโดยพระโลหิตของพระองค์ ความเชื่อจึงได้ผล ทั้งนี้เพื่อแสดงให้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้า ในการที่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัย และทรงยกบาปที่ได้ทำไปแล้วนั้น”
(whom God put forward as a propitiation by his blood, to be received by faith. This was to show God’s righteousness, because in his divine forbearance he had passed over former sins.)
3:26 “และเพื่อจะสำแดงในปัจจุบันนี้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ชอบธรรม และทรงให้ผู้ที่เชื่อในพระเยซูเป็นผู้ชอบธรรมด้วย”
(It was to show his righteousness at the present time, so that he might be just and the justifier of the one who has faith in Jesus)
3:27 “เพราะฉะนั้น เราจะเอาอะไรมาอวด? ไม่มีทางทำได้เลย จะเอาการทำตามธรรมบัญญัติหรือ? จะเอาการประพฤติหรือ? ก็ไม่ได้ แต่ต้องเอาหลักเกณฑ์ของความเชื่อ”
(Then what becomes of our boasting? It is excluded. By what kind of law? By a law of works? No, but by the law of faith. )
3:28 “เพราะเราเห็นว่า คนหนึ่งคนใดจะถูกชำระให้ชอบธรรมได้ก็โดยอาศัยความเชื่อนอกเหนือการประพฤติตามธรรมบัญญัติ”
(For we hold that one is justified by faith apart from works of the law.๗
3:29 “หรือว่าพระเจ้านั้นทรงเป็นพระเจ้าของยิวพวกเดียวเท่านั้นหรือ? พระองค์ไม่ทรงเป็นพระเจ้าของพวกต่างชาติด้วยหรือ? ถูกแล้วพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของพวกต่างชาติด้วย”
(Or is God the God of Jews only? Is he not the God of Gentiles also? Yes, of Gentiles also, )
3:30 “เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าองค์เดียว และพระองค์ทรงทำให้คนที่เข้าสุหนัตเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ และทำให้คนที่ไม่เข้าสุหนัตเป็นคนชอบธรรมก็ทางความเชื่อเหมือนกัน”
(since God is one—who will justify the circumcised by faith and the uncircumcised through faith.)
3:31”ถ้าเช่นนั้นเราลบล้างธรรมบัญญัติด้วยความเชื่อหรือ? เปล่าเลย เรายังชูธรรมบัญญัติขึ้นอีก”
(Do we then overthrow the law by this faith? By no means! On the contrary, we uphold the law.)
ข้อมูลมีประโยชน์
3:2 “ประการแรก” (to begin with ) =เปาโลกล่าวถึงประโยชน์จากการเป็นคนยิวอย่างอื่นๆ ไว้ใน รม.9:4-5
“ได้รับมอบ” (entrusted ) =ได้รับมอบหมาย
= การได้สิทธิพิเศษในการมีพระบัญญัติหรือพระดำรัสของพระเจ้ามาพร้อมกับหน้าที่รับผิดชอบ
“พระดำรัสของพระเจ้า” (the oracles of God) = พันธสัญญาเดิม
3:3 “ความซื่อสัตย์ของพระเจ้า” (the faithfulness of God)= พระเจ้าซื่อสัตย์ต่อพระสัญญาของพระองค์ และจะลงโทษชาวอิสราเอลที่ไม่เชื่อฟัง (ข.5;2ทธ.2:13)
3:4 “ก็ขอให้พระเจ้าสัตย์จริงเถิด” ( Let God be true) การลงโทษบาปของพระเจ้าคือ การแสดงความสัตย์ซื่อต่อพระลักษณะอันชอบธรรมของพระเจ้า
3:5 “เป็นเหตุให้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้า” (to show the righteousness of God) บางฉบับแปลว่า “ทำให้ความชอบธรรมของพระเจ้าโดดเด่นชัดเจนยิ่งขึ้น” เพราะความชอบธรรมของพระเจ้าขัดกับภูมิหลังอันมืดมิดของบาปในตัวของมนุษย์เรา
“พูดอย่างมนุษย์” (I speak in a human way) = ในแง่ของความโง่เขลาและอ่อนแอ
3:6 “จะทรงพิพากษาโลก” (judge the world) = ในวันพิพากษา “โลก” = สิ่งมีชีวิตทั้งปวงที่มีความรู้สึกผิดชอบ ชั่วดี (ใน ข.19 ด้วย) เจาะจงกว่าใน 1:20
3:8 “แล้วทำไมเราจึงไม่ทำความชั่วเพื่อความดีจะเกิดขึ้น” (why am I still being condemned as a sinner?)
= บางฉบับแปลว่า “ทำไมไม่กล่าวว่า ให้เราทำชั่วเพื่อความดีจะได้เกิดขึ้น” อ.เปาโลกล่าวถึงเรื่องนี้มากขึ้นในบทที่ 6
3:9 “พวกยิวเราจะได้เปรียบกว่าหรือ?” (Jews any better off)= พวกเราชาวยิวดีกว่าคนอื่นหรือ?
= ในสายพระเนตรของพระเจ้าคนยิวดีกว่าคนต่างชาติหรือ
“ต่างก็อยู่ใต้อำนาจบาป” (are under sin) =“ล้วนอยู่ภายใต้บาปเหมือนกันหมด”
= อ.เปาโลกำลังกล่าวถึงความเป็นสากลของบาป โดยกล่าวถึงลักษณะเดียวกันนี้ รวม 9 ครั้ง ใน 4 ข้อ
“ใต้อำนาจบาป” =ภายใต้อำนาจและการลงโทษของบาป
3:10-18 อ.เปาโลอ้างพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม หลายตอนเพื่อสนับสนุนว่า ยิวและต่างชาติล้วนตกอยู่ในอำนาจบาป โดย อ.เปาโลไม่ได้อ้างอิงข้อพระคัมภีร์ตามตัวอักษรเสมอไป
- การอ้างอิงในพันธสัญญาใหม่ มุ่งให้ความหมายทั่วไป ไม่ได้มีความหมายตามตัวอักษร
- ในภาษากรีก ไม่มีเครื่องหมายคำพูด
- ข้อพระคัมภีร์ที่อ้างอิงมักมาจากพันธสัญญาเดิม ฉบับแปลกรีกที่เรียกว่า ฉบับ เซปทัวจิ้น เพราะผู้อ่านไม่คุ้นเคยกับพระคัมภีร์ฉบับภาษาฮีบรู
- บางครั้งพระวิญญาณบริสุทธิ์ดลใจผู้เขียนพันธสัญญาใหม่ให้ขยาย ย่นย่อหรือดัดแปลงข้อพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมเพื่อนำเข้าสู่ประเด็น
3:11 “ไม่มีคนที่เข้าใจ” (no one understands)= คนที่เข้าใจเรื่องพระเจ้าและสิ่งที่ถูกต้อง
3:13 “หลุมฝังศพที่เปิดอยู่” (is an open grave) = ความเสื่อมทรามทางจิตใจ
3:18 “ยำเกรงพระเจ้า” (fear of God )= พระเจ้าผู้เป็นแหล่งแห่งคุณงามความดีทั้งปวง (ปฐก.20:11;สภษ.1:7)
3:19 “เรารู้แล้วว่า” (we know) ดู2:2
“ธรรมบัญญัติ” (the law) =พันธสัญญาเดิม (เช่นใน ยน.10:34:15:25;1คร.14:21)
“พวกที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ” (those who are under the law)= พวกยิว
“ปิดปากทุกคน…โลกทั้งหมด” (mouth may be stopped… the whole world) = ทั้งคนยิวและคนต่างชาติก็ล้วนทำบาปผิดเหมือนกัน
3:20 “เพราะว่าในสายพระเนตรของพระเจ้าไม่มีใครถูกชำระให้ชอบธรรมได้” (no human being will be justified in his sigh) = บางฉบับแปลว่า “ไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า” -ข.24;2:13
“ทำให้เรารู้จักบาป” ( knowledge of sin) –บางฉบับแปล “ทำให้เรารู้ตัวว่ามีบาป”
อ.เปาโลถือว่า นี่เป็นหมายแรกของธรรมบัญญัติ (7:7)
3:21-5:21 = หลังจากแสดงว่าทุกคน(ยิวและคนต่างชาติ) นี้ล้วนแล้วแต่เป็นคนไม่ชอบธรรม(1:18-3:20)
-ในตอนนี้ อ.เปาโลแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมความชอบธรรมให้แก่มวลมนุษยชาติ
3:21 “แต่เดี๋ยวนี้” (But now) = “แต่บัดนี้” อาจมีความหมายได้ 2 อย่าง
- เชิงบวก –เวลาทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็น 2 ช่วง และในช่วงของ “บัดนี้” –ความชอบธรรมของพระเจ้าถูกสำแดงให้ เห็น
- เชิงตรรกะ –มีความขัดแย้งระหว่างความชอบธรรม ซึ่งได้มาโดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ (ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ ข้อ 20 ) กับความชอบธรรมที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้
“นอกเหนือธรรมบัญญัติ” (manifested apart from the law) = นอกเหนือจากการรักษาบทบัญญัติ
“หมวดธรรมบัญญัติ และพวกผู้เผยพระวจนะ” (although the Law and the Prophets) –ปฐก.15:6; สดด.32:1-2;ฮบก.2:4
3:22 “ไม่ทรงถือว่าเขาแตกต่างกัน” (no distinction) = ทุกคนทำบาปแต่สามารถรับพระคุณ ให้เป็นผู้ชอบธรรม ไม่มีข้อแตกต่างกันระหว่าง ยิว และคนต่างชาติ เพราะได้เหมือนกัน โดยพระเจ้าไม่คิดมูลค่า – รม.10:12; กท.3:28;คส.3:11
3:23 “พระสิริของพระเจ้า” (the glory of God) –บางฉบับแปลว่า “พระเกียรติสิริของพระเจ้า”
= พระเจ้าประสงค์ให้มนุษย์เป็นพระเกียรติสิริของพระเจ้า ซึ่งมนุษย์มีก่อนที่จะล้มลงในความผิดบาป (ปฐก.1:26-28;สดด.8:4-8;ปท อฟ.4:24;คส.3:10) และผู้ที่เชื่อจะกลับมีอีกครั้งโดยพระเยซูคริสต์ (ฮบ.2:5-9)
3:24 “มีพระคุณ” (his grace) -ยน.1:14,16-17;รม.4:16;5:21;6:14;11:5;2คร.12:9;อฟ.2:8;4:7;ทต.2:11;ฮบ.4:16
“ให้เขาเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า” (are justified by his grace as a gift) =บางฉบับแปลว่า ”พระองค์ทรง นับว่าพวกเขาเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า”
-อ.เปาโลใช้กริยาของคำนี้ในภาษากรีก 27 ครั้ง (ส่วนใหญ่อยู่ในโรม และกาลาเทีย) ส่วนใหญ่แปลความหมายไปในทำนอง “นับว่า…เป็นผู้ชอบธรรม” ยกเว้น ใน 2:13 แปลทำนองว่า “ประกาศว่าเป็นผู้ชอบธรรม” หรือ “ถือว่าเป็นผู้ชอบธรรม” มีความหมาย 2 ด้าน
- พระเจ้าประกาศว่าคน ๆ นั้นพ้นผิด (-)
- พระเจ้าประกาศว่าคน ๆ นั้นชอบธรรม (+)
“ทรงไถ่” (through the redemption) = คำที่เป็นภาษาที่มาจากตลาดค้าทาส โดยมีการจ่ายเงินเป็นค่าไถ่ทาสตามราคาให้เป็นอิสระ อ.เปาโลใช้คำนี้หมายถึงการปลดปล่อยคนให้พ้นจากความผิดและภาระหนี้สินที่ต้องถูกพิพาษา และหมายถึง การช่วยก็ให้พ้นจากการเป็นทาสของบาป โดยพระคริสต์ ยอมสิ้นพระชนม์เป็นค่าไถ่จ่ายหนี้บาปแทนเรา
3:25 “เครื่องบูชาไถ่บาป” (whom God put forward as a propitiation) = บางฉบับแปลว่า “เครื่องบูชาลบบาป”
-ในภาษากรีก หมายถึงเครื่องบูชาที่ใช้ระงับพระพิโรธอันชอบธรรมของพระเจ้า มิฉะนั้นมนุษย์จะถูกลงโทษหนักหนาเป็นนิรันดร์ (1ยน.2:2)
“โดยพระโลหิตความเชื่อจึงได้ผล” (by his blood to be received by faith.)= ความเชื่อที่ช่วยให้รอดต้องมีศูนย์กลางอยู่ที่การพลีพระชนม์ของพระเยซูคริสต์เพื่อเรา
-ในสมัยพระคัมภีร์เดิม สัตว์ที่นำมาถวายบูชาเป็นสัญญลักษณ์การลงโทษบาป ในที่นี้คือ การลงโทษบาปต่อคนของพระเจ้าทั้งหมดได้ตกอยู่กับพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนแล้ว ซึ่งเป็นเครื่องบูชาที่ถวายเพียงครั้งเดียวไถ่บาปทุกคนได้ตลอดไป
3:28 “โดยอาศัยความเชื่อ” (by faith) –ยก.2:14-26 ,เมื่อมาร์ติน ลูเธอร์ แปลข้อความตอนนี้ ท่านเพิ่มคำว่า “เท่านั้น” เข้าไปด้วย แม้ไม่มีในภาษากรีก แต่ก็ได้สะท้อนความหมายได้ตรงประเด็น
3:30 “ทรงเป็นพระเจ้าองค์เดียว” (God is one) = อ.เปาโลดึงความสนใจไปที่ ความเชื่อพื้นฐานของชาวยิว คือพระยาห์เวห์ เป็นพระเจ้าองค์เดียว –ฉธบ.6:4 ,โดย อ.เปาโลยืนยันว่าทางแห่งความรอดสำหรับคนยิวและคนต่างชาติหรือคนเข้าสุหนัตกับคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัตมีทางเดียว คือ การเชื่อในพระเยซูคริสต์
3:31 “…เราลบล้างธรรมบัญญัติด้วยความเชื่อหรือ?” (Do we then overthrow the law by this faith?) = อ. เปาโลคงคาดเดาได้ว่า จะถูกกล่าวหาว่าต่อต้านธรรมบัญญัติ คือ ถ้าสอนว่า การถูกนับว่าเป็นคนชอบธรรมนั้นมาจากความเชื่อเท่านั้น เพราะจะทำให้เข้าใจว่า บทบัญญัติจะถูกละทิ้งไปเช่นนั้นหรือ
อ.เปาโล จึงให้คำตอบไว้ชัดเจนใน บทที่ 6-7 และเพิ่มอีกครั้งใน 13:8-10 ว่า บทบัญญัติยังมีความสำคัญและมีผลอยู่
คำถามนำอภิปราย
- การเป็นคริสเตียนมีอะไรพิเศษหรือได้เปรียบอะไรมากกว่าคนไม่ใช่คริสเตียนบ้าง?
- คุณเคยไม่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้าหรือผิดคำมั่นสัญญาต่อพระองค์ ทำให้รู้สึกละอายและคิดว่าพระเจ้าจะไม่ยอมรับเราอีกต่อไปแล้วหรือไม่? แล้วจริง ๆ เป็นเช่นนั้นหรือไม่? ทำไม?
- คุณเข้าใจอย่างไรกับประโยคที่ว่า “ความอธรรม” ของเราทำให้ “ความชอบธรรม” ของพระเจ้าเด่นชัดเจนยิ่งขึ้น? หรือ “การอสัตย์ของเรา” ทำให้เราเห็นความ “สัตย์จริง” ของพระเจ้าเด่นชัดขึ้น? สิ่งนี้ทำให้เรามีข้ออ้างที่จะทำบาปอธรรมและไม่สัตย์ซื่อเพิ่มขึ้นใช่หรือไม่? ทำไม?
- คุณเห็นด้วยหรือไม่ที่ว่า “ไม่มีสักคนที่ชอบธรรม แม้สักคนเดียวเลย” ทั้ง ๆ มีคนที่ดูเหมือนเป็นคนดีมากมายในสังคม? ทำไม?
- คุณเคยมีประสบการณ์กับการที่บทบัญญัติปิดปากของคุณบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร และอย่างไร?
- คุณรู้สึกอย่างไรเมื่อได้ยินหรือได้ทราบว่า พระเยซูทรงยอมเป็นเครื่องบูชาลบบาปของคุณ? ทำไม? และส่งผลอะไรต่อชีวิตของคุณบ้าง?
- คุณเคยเป็นคนที่ภูมิใจในความรู้ในบทบัญญัติของพระเจ้าและรู้สึกว่าตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่น ๆ บ้างหรือไม่? แล้วผลเป็นอย่างไร? คุณยังรู้สึกเช่นนั้นหรือไม่ในวันนี้? ทำไม?
- คุณรู้สึกอย่างไรเมื่อทราบว่า ไม่ว่าคุณจะรู้บทบัญญัติมากสักแค่ไหน แต่ในที่สุดคุณก็จะรอดโดยพระคุณ เพราะความเชื่อเท่านั้นไม่ใช่บนความรู้หรือความดีของคุณ? และส่งผลอะไรต่อเป้าหมายและวิถีชีวิตของคุณบ้าง? อย่างไร?
-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer