Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระเจ้า ยิว & ธรรมบัญญัติ

พระธรรม        โรม 2:1-29

อ้างอิง            มธ.7:1;ลก.6:37;สดด.62:12;สภษ.24:12;ฉธบ.10:17;อสย.52:5

บทนำ             คนเรานี่แปลก ชอบตัดสินคนอื่น ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้ดีกว่าเขาจริง ๆ เลย เป็นเรื่องง่ายที่เราจะเห็นฝุ่นผงในตาของคนอื่น แต่ไม้ซุงทั้งท่อนในตาของตัวเอง เรากลับมองไม่เห็น  อย่าให้เราติดยึดกับบัญญัติหรือความดี (จอมปลอม) ของตัวเราเองและทำให้พระเจ้าและผู้อื่นต้องเสียใจ!

บทเรียน

2:1 “เพราะฉะนั้น มนุษย์เอ๋ย ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร เมื่อท่านพิพากษาอีกคนหนึ่งนั้น ท่านไม่มีข้อแก้ตัวเลย เพราะเมื่อพิพากษาเขา ก็ได้ลงโทษตัวเองด้วย เพราะว่าท่านที่ตัดสินเขาก็ยังประพฤติอยู่อย่างเดียวกับเขา”

(Therefore you have no excuse, O man, every one of you who judges. For in passing judgment on another you condemn yourself, because you, the judge, practice the very same things. )

2:2 “เรารู้ว่า การที่พระเจ้าทรงลงโทษคนที่ประพฤติเช่นนั้นก็สมควรจริงๆ”

(We know that the judgment of God rightly falls on those who practice such things. )

2:3 “มนุษย์เอ๋ย ท่านที่ตัดสินคนที่ประพฤติเช่นนั้น แต่ยังประพฤติเช่นเดียวกับเขา ท่านคิดว่าจะพ้นจากการลงโทษของพระเจ้าหรือ?” 

(Do you suppose, O man—you who judge those who practice such things and yet do them yourself—that you will escape the judgment of God? )

2:4 “หรือว่าท่านประมาทพระกรุณาอันอุดม ความอดกลั้นพระทัย และความอดทนของพระองค์ โดยไม่รู้หรือว่าพระกรุณาคุณของพระเจ้านั้น มุ่งจะชักนำท่านให้กลับใจใหม่? 

(Or do you presume on the riches of his kindness and forbearance and patience, not knowing that God’s kindness is meant to lead you to repentance? )

2:5 “แต่เพราะท่านใจแข็งกระด้างไม่ยอมกลับใจ ท่านจึงสะสมโทษให้แก่ตัวเอง ในวันที่พระเจ้าทรงพระพิโรธ ซึ่งพระองค์จะทรงสำแดงการพิพากษาที่เที่ยงธรรมให้ประจักษ์”

(But because of your hard and impenitent heart you are storing up wrath for yourself on the day of wrath when God’s righteous judgment will be revealed.)

2:6 “เพราะพระองค์จะประทานแก่ทุกคนตามควรแก่การกระทำของเขา” 

(He will render to each one according to his works: )

2:7 “สำหรับคนที่พากเพียรทำความดี แสวงหาศักดิ์ศรี เกียรติ และความเป็นอมตะนั้น พระองค์จะประทานชีวิตนิรันดร์ให้” 

(to those who by patience in well-doing seek for glory and honor and immortality, he will give eternal life; )

 2:8 “แต่พระองค์จะทรงพระพิโรธ และลงโทษคนที่มักเห็นแก่ตัวและไม่ประพฤติตามสัจจะ แต่ประพฤติชั่ว” 

 (but for those who are self-seeking and do not obey the truth, but obey unrighteousness, there will be wrath  and fury. )

2:9 “ความทุกขเวทนาจะเกิดแก่ทุกคนที่ประพฤติชั่ว แก่พวกยิวก่อนและแก่พวกกรีกด้วย”

 (There will be tribulation and distress for every human being who does evil, the Jew first and also the Greek,) 

2:10 “แต่ศักดิ์ศรี เกียรติ และสันติสุข จะมีแก่ทุกคนที่ประพฤติดี แก่พวกยิวก่อนและแก่พวกกรีกด้วย” 

(but glory and honor and peace for everyone who does good, the Jew first and also the Greek. )

2:11 “เพราะว่าพระเจ้าไม่ทรงเห็นแก่หน้าใครเลย”

(For God shows no partiality.)

2:12 “พวกที่ไม่มีธรรมบัญญัติและทำบาป จะต้องพินาศโดยไม่อ้างธรรมบัญญัติ และพวกที่มีธรรมบัญญัติและทำบาป ก็จะต้องถูกพิพากษาตามธรรมบัญญัติ”

(For all who have sinned without the law will also perish without the law, and all who have sinned under the law will be judged by the law. )

2:13 “เพราะว่าคนที่เพียงแต่ฟังธรรมบัญญัติเท่านั้น ไม่ใช่ผู้ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า คนที่ประพฤติตามธรรมบัญญัติต่างหากที่พระเจ้าทรงทำให้เป็นผู้ชอบธรรม” 

(For it is not the hearers of the law who are righteous before God, but the doers of the law who will be  justified.)

2:14 “เมื่อคนต่างชาติซึ่งไม่มีธรรมบัญญัติได้ประพฤติตามธรรมบัญญัติโดยปกติวิสัย คนเหล่านั้นแม้ไม่มีธรรมบัญญัติก็เป็นธรรมบัญญัติให้ตัวเอง” 

(For when Gentiles, who do not have the law, by nature do what the law requires, they are a law to  themselves, even though they do not have the law. )

2:15 “เขาแสดงให้เห็นว่าหลักความประพฤติที่เป็นตามธรรมบัญญัตินั้น มีจารึกอยู่ในจิตใจของเขา และมโนธรรมก็เป็นพยานของเขาด้วย ความคิดขัดแย้งต่างๆ ของเขานั้นแหละจะกล่าวโทษตัวเขา หรืออาจจะแก้ตัวให้ก็ได้” 

(They show that the work of the law is written on their hearts, while their conscience also bears witness, and their conflicting thoughts accuse or even excuse them )

2:16 “ในวันที่พระเจ้าทรงพิพากษาความลับของมนุษย์โดยพระเยซูคริสต์ ทั้งนี้ตามข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าได้ประกาศนั้น”

(on that day when, according to my gospel, God judges the secrets of men by Christ Jesus.)

2:17 “แต่ถ้าท่านเรียกตัวเองว่ายิวและพึ่งธรรมบัญญัติ และอวดว่าตนมีความสัมพันธ์พิเศษกับพระเจ้า” 

(But if you call yourself a Jew and rely on the law and boast in God )

2:18 “และว่าท่านรู้จักพระประสงค์ของพระองค์ และเห็นชอบในสิ่งที่ประเสริฐ เพราะว่าได้เรียนจากธรรมบัญญัติ” 

(and know his will and approve what is excellent, because you are instructed from the law; )

2:19 “และถ้าท่านมั่นใจว่าเป็นผู้จูงคนตาบอด เป็นความสว่างให้แก่คนทั้งหลายที่อยู่ในความมืด” 

(and if you are sure that you yourself are a guide to the blind, a light to those who are in darkness, )

2:20 “เป็นผู้สอนคนโง่ เป็นครูสอนเด็ก เพราะท่านมีแบบจำลองของความรู้และความจริงในธรรมบัญญัตินั้น”

(an instructor of the foolish, a teacher of children, having in the law the embodiment of knowledge and truth— )

2:21 “ฉะนั้นท่านซึ่งเป็นผู้สอนคนอื่นจะไม่สอนตัวเองหรือ? ขณะที่ท่านเทศนาว่าไม่ควรลักทรัพย์ ตัวท่านเองลักหรือเปล่า? 

(you then who teach others, do you not teach yourself? While you preach against stealing, do you steal? )

2:22 “ท่านผู้ที่สอนว่าไม่ควรล่วงประเวณีตัวท่านเองล่วงประเวณีหรือเปล่า? ท่านผู้รังเกียจรูปเคารพ ตัวท่านเองปล้นวิหารไหม? 

(You who say that one must not commit adultery, do you commit adultery? You who abhor idols, do you rob temples?)

2:23 “ท่านผู้โอ้อวดว่ามีธรรมบัญญัติ ตัวท่านเองยังลบหลู่พระเกียรติพระเจ้าด้วยการละเมิดธรรมบัญญัติหรือเปล่า?

(You who boast in the law dishonor God by breaking the law. )

2:24 “เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “พระนามของพระเจ้าเป็นที่ดูหมิ่นท่ามกลางคนต่างชาติก็เพราะพวกท่าน”

(For, as it is written, “The name of God is blasphemed among the Gentiles because of you.”)

2:25 “ถ้าท่านประพฤติตามธรรมบัญญัติ พิธีเข้าสุหนัต ก็เป็นประโยชน์จริง แต่ถ้าท่านละเมิดธรรมบัญญัติ การที่ท่านเข้าสุหนัตนั้นก็เหมือนกับว่าไม่ได้เข้าเลย” 

(For circumcision indeed is of value if you obey the law, but if you break the law, your circumcision becomes uncircumcision. )

2:26 “เพราะฉะนั้นถ้าคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัตยังประพฤติตามธรรมบัญญัติแล้ว การที่เขาไม่ได้เข้าสุหนัตนั้น จะถือว่าเขาได้เข้าแล้วไม่ใช่หรือ? 

(So, if a man who is uncircumcised keeps the precepts of the law, will not his uncircumcision be regarded as circumcision?)

2:27 “และพวกที่ไม่เข้าสุหนัตทางร่างกาย แต่ประพฤติตามธรรมบัญญัติ เขาจะพิพากษาท่านผู้มีประมวลธรรมบัญญัติและได้เข้าสุหนัตแล้ว แต่ยังละเมิดธรรมบัญญัตินั้น” 

(Then he who is physically uncircumcised but keeps the law will condemn you who have the written code and circumcision but break the law. )

2:28 “เพราะว่ายิวแท้ ไม่ใช่คนเป็นยิวแต่ภายนอกเท่านั้น และการเข้าสุหนัตแท้ก็ไม่ใช่การเข้าสุหนัตซึ่งปรากฏที่เนื้อหนังเท่านั้น”

(For no one is a Jew who is merely one outwardly, nor is circumcision outward and physical. )

2:29 “คนเป็นยิวแท้ คือคนที่เป็นยิวภายใน และการเข้าสุหนัตแท้นั้นเป็นเรื่องของจิตใจ ตามพระวิญญาณไม่ใช่ตามตัวบทบัญญัติ คนอย่างนั้นไม่ได้รับการยกย่องจากมนุษย์ แต่ได้รับจากพระเจ้า”

(But a Jew is one inwardly, and circumcision is a matter of the heart, by the Spirit, not by the letter. His praise is not from man but from God.๗

ข้อมูลมีประโยชน์

2:1-16  -ในพระธรรมตอนนี้ อ.เปาโลเปิดเผยหลักการพิพากษาของพระเจ้าว่า พระเจ้าพิพากษาดังนี้

  1. ตามความเป็นจริง (2:2)
  2. ตามการกระทำ (2:6-11)
  3. ตามจิตสำนึก (2:12-25)

และท่าน อ.เปาโล เอาหลักการเหล่านี้มาเป็นพื้นฐานในการอภิปรายเรื่องความผิดของพวกยิว (2:17-29)

2:1    “ท่านไม่มีข้อแก้ตัวเลย” (you have no excuse) = คำสอนเรื่องการตัดสิน(พิพากษา) ของเปาโล สอดคล้องกับคำสอนของพระเยซู  (มธ.7:11) -ที่พระองค์กล่าวโทษการตัดสินที่หน้าซื่อใจคด

         “ท่านที่ตัดสินเขา” (you who judges.) = บางฉบับแปลว่า  “ท่านผู้เป็นคนตัดสิน”

          = คำเตือนที่เกี่ยวกับพวกยิวเป็นพิเศษ ชาวยิวดูถูกคนต่างชาติ เพราะพวกเขาไม่รู้เรื่องการสำแดงของพระเจ้าในพันธสัญญาเดิม และพวกเขาดำเนินชีวิตที่ผิดจริยธรรม

2:2       “เรารู้ว่า” ( We know)  = สำนวนที่เปาโลใช้บ่อย ๆ เป็นการสันนิษฐานว่า ผู้ฟังของเปาโลน่าจะเห็นด้วยกับข้อความที่ตามมา (3:19;6:6,9;7:14;8:22,28;1คร.8:1,4;2คร.5:1;1ทธ.1:8)

2:3       “พระเยซูก็กล่าวโทษเช่นนี้เหมือนกัน”  ใน มธ.7:3   ปท .ลก.18:9

2:4       “พระกรุณาคุณของพระเจ้า” (God’s kindness) = มีเป้าหมายคือ ให้โอกาสกลับใจใหม่ (2ปต.3:9) พวกคนยิว  เข้าใจผิดเรื่องความอดกลั้นของพระเจ้า พวกเขาคิดว่าพระเจ้าไม่ตั้งพระทัยที่จะพิพากษาพวกเขา

2:5       “วันที่พระเจ้าทรงพระพิโรธ” (the day of wrath) ดู ข้อ 8 , ปท.1:18-32

2:6-7    “พวกเพียรทำความดี” ( patience in well-doing ) –ในที่นี้ อ.เปาโล ย้ำว่า การพากเพียรทำความดีเป็นเครื่องพิสูจน์ความเชื่อแท้จริง (กท .5:6;ยก.2:14-16) ไม่ได้บอกว่า เรารอดโดยการทำดี เพราะเรารอดโดยพระคุณ เพราะความเชื่อในสิ่งที่พระคริสต์กระทำเพื่อเรา ไม่ใช่เพราะสิ่งที่เราทำ

 2:8       “พระพิโรธ” (be wrath) = พระอาชญาและพระพิโรธในวันพิพากษาครั้งสุดท้าย

 2:9       “แก่พวกยิวก่อน” (Jew first) = สิทธิพิเศษฝ่ายวิญญาณที่มาพร้อมกับความรับผิดชอบ (อมส.3:2;ลก.12:48)

 2:11     “เพราะว่าพระเจ้าไม่ทรงเห็นแก่หน้าใครเลย” (  For God shows no partiality.) = คำสอนพื้นฐานของพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่

2:12     “ธรรมบัญญัติ” (the law) = บทบัญญัติของโมเสส

            “พวกที่ไม่มีธรรมบัญญัติและทำบาป” (  without the law, and all who have sinned) = พวกคนต่างชาติ

             = พระเจ้าตัดสินใจตามจิตสำนึก(มโนธรรม) ที่พระเจ้าประทานมาให้แก่ละคน

                  -คนต่างชาติจะไม่ถูกพิพากษาที่พวกเขาไม่เชื่อฟังบทบัญญัติซึ่งพวกเขาไม่ได้เป็นเจ้าของ ดังนั้นพวกเขาจะถูกตัดสินด้วยเกณฑ์อื่น  (2:15;1:18-20; ปท.อมส 1:3-2:3)

2:13     “ที่พระเจ้าทรงถือว่าเป็นผู้ชอบธรรม” (the doers of the law who will be justified) = “จะทรงประกาศว่าเป็นผู้ชอบธรรม”   -ในวันพิพากษา (3:24)

2:14     “ได้ประพฤติตามธรรบัญญัติโดยปกติวิสัย” ( by nature do what the law requires, they are a law to themselves) = ไม่ได้หมายความว่า คนต่างชาติประพฤติตามข้อเรียกร้องในบทบัญญัติของโมเสสได้ครบถ้วน แต่หมายความว่า พวกกคนต่างชาติได้ปฏิบัติตนในสังคมพวกเขาสอดคล้องกับบทบัญญัติ อาทิ

  • การดูแลเอาใจใส่คนป่วยและคนอาวุโส
  • การให้เกียรติบิดามารดา
  • การประณามการผิดประเวณี

         “โดยปกติวิสัย” (themselves)= แรงเร้าตามธรรมชาติ โดยปราศจากบทบัญญัติของโมเสส มาควบคุมอยู่ภายนอก

         “เป็นธรรมบัญญัติให้ตัวเอง” (by nature do)= ธรรมชาติของจริยธรรมของคนต่างชาติที่เป็นไปโดยจิตสำนึก (ข.15) ก็ได้ทำหน้าที่เหมือนบทบัญญัติของโมเสสที่มีต่อพวกยิว

2:16     = ข้อความที่ควรอ่านกับข้อ 13 (โดยมีวงเล็บคั่นข้อ 14-15 ไว้)

            “ตามข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าได้ประกาศนั้น” (according to my gospel) -16:25

2:17-24    = เป็นการนำเสนอในรูปแบบบทสนทนา อ.เปาโลทราบว่าชาวยิวคิดว่าเขาชอบธรรมอย่างไร (ซึ่งท่านก็เคยคิดและเป็นเช่นนั้นมาก่อนเหมือนกัน) อ.เปาโลยกข้อได้เปรียบข้อหนึ่ง (นอกเหนือจากข้ออื่น ๆ ซึ่งพวกยิวถือว่ามีคุณค่า) ซึ่งหมดค่าเมื่อคำพูดและการกระทำไมสอดคล้องกัน  อ.เปาโลกำลังประยุกต์หลักการพิพากษาในข้อ 1-16 ให้เข้ากับคนยิว

2:19-20   “คนตาบอด…เด็ก” (the blind…children) = หมายถึง คนต่างชาติ ปตกคนยิวถือว่า ตนเองสูงสง่ากว่าคนต่างชาติ  เพราะพวกเขาเป็นเจ้าของบทบัญญัติของโมเสส

2:22        “ท่านเองปล้นวิหารไหม?”(do you rob temples  ) –กจ.19:37  -ในสมัยนั้นทรัพย์สมบัติมากมายมักเก็บไว้ใน วิหารของคนต่างชาติ

2:25       “เข้าสุหนัต” (circumcision) = เครื่องหมายของพันธสัญญาที่พระเจ้าทำกับชาวอิสราเอล  (ลนต.12:3) อันเป็นหลักประกันถึงพระพรของพระเจ้าตามพันธสัญญา (4:11)                แต่ชาวยิวถือว่า การเข้าสุหนัตเป็นการรับประกันความโปรดปรานของพระเจ้า

2:27     “เขาจะพิพากษาท่าน” ( keeps the law will condemn you) = ถ้าการกระทำอันชอบธรรมของคนต่างชาติดีเลิศกว่าของคนยิว – คนยิวก็ควรถูกพิพากษาลงโทษ เพราะพวกเขาถือว่ามีบทบัญญัติของโมเสสที่มีมาตรฐานสูงกว่ามากของชาวต่างชาติอย่างเปรียบเทียบกันไมได้

2:29     “ตามพระวิญญาณ”  (by the Spirit) = บางฉบับแปล “โดยพระวิญญาณ”

            = เครื่องหมายที่แท้จริงว่าเราเป็นของพราะเจ้าไม่ใช่อยู่ที่เครื่องหมายบนร่างกายภายนอก แต่อยู่ที่ฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณที่อยู่ภายใน ซึ่งเป็นความหมายของ “การเข้าสุหนัตทางใจ” ของ อ.เปาโล (ดู ฉธบ.30:6;ปฐก.17:10;ยรม.4:4)

            “ไม่ได้รับการยกย่องจากมนุษย์ แต่ได้รับจากพระเจ้า” (His praise is not from man but from God)

              = ไม่ได้รับคำสรรเสริญจากมนุษย์ แต่จากพระเจ้า  ปท .ยน.5:41,44;12:43;1คร.4:3-5

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยถูกคนอื่นตัดสินตัวของคุณหรือไม่? เรื่องอะไร? แล้วคุณยอมรับได้หรือไม่? ทำไม?
  2. คุณเคยตัดสินคนอื่นโดยคิดว่าตัวเองดีกว่าเขาบ้างหรือไม่? กับใคร แล้วผลเป็นอย่างไร?
  3. คุณเคยมีประสบการณ์กับการกลับใจครั้งสำคัญในชีวิตหรือไม่? อย่างไร?
  4. ถ้าวันนี้ เป็นวันสุดท้ายในชีวิตของคุณ และคุณจะถูกตัดสินพิพากษาตามการกระทำของคุณ คุณคิดว่า คุณจะได้รับคำชมหรือคำตำหนิจากพระเจ้าในเรื่องอะไรบ้าง? (ทำไมจึงคิดเช่นนั้น)?
  5. คุณเคยเห็นคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า แต่ประพฤติตัวดีกว่าคนที่ท่องพระคัมภีร์ได้มากมายบ้างหรือไม่? แล้วคุณรู้สึกอย่างไร?  (คุณคิดว่า พวกเขาจะรอดหรือไม่?  ทำไมคิดเช่นั้น?)
  6. คุณเชื่อในเรื่องมโนธรรมหรือจิตสำนึกอย่างไร? คุณคิดหรือไม่ว่าหากคนไม่รู้จักพระคริสต์ แต่ประพฤติปฏิบัติตามมโนธรรมนั้นเสมอมาเขาจะรอด? (ทำไม?)
  7. คุณเคยเห็นคนที่สอนดี แต่ทำชั่วหรือพูดสอนอย่างแต่ทำ อีกอย่างบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? ใคร?  ที่ไหน?  (ในโบสถ์มีหรือไม่?) และ อย่างไร? 
  8. คุณเคยเห็นคนหลู่เกียรติพระนามพระเจ้าเพราะพวกคริสเตียนบ้างหรือไม่? อย่างไร? ที่ไหน?  ทำไม?
  9. หากคุณเป็นยิวแท้ที่เข้าสุหนัตทางใจ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ คุณจะแสดงวิถีชีวิตออกมาอย่างไร? เป็นเครื่องพิสูจน์

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.