ข่าวประเสริฐ : หนี้ & ฤทธิ์เดช!
พระธรรม โรม1:1-32
อ้างอิง 1คร1:1;1ปต4:17;ทต.1:2,4;ยน1:14;1ทธ1:14;2ทธ1:8;3:2-3;รม2:9-10;3:21;8:39;11:25;15:23,32;1คร9:16; 2คร12:20;อฟ5:6;1ธส4:5;กจ14:17;22:20;สดด19:1-6;50:18;81:12;106:20;ยรม2:5;17:9;อสย44:20
บทนำ
พระเจ้าทรงประทานข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์ไถ่บาปมนุษย์ทั้งโลก และมอบให้ผู้ที่เชื่อพระองค์ออกไปบอกกับคนทุกชาติ หากเรายังไม่ได้บอกกับพวกเขา เราก็ยังเป็นหนี้ข่าวประเสริฐนั้นต่อพวกเขา แต่หากผู้ใดปิดใจยอมรับข่าวดีนั้น พวกเขาจะรอดโดยฤทธิ์เดชแห่งข่าวดีนั้น
บทเรียน
1:1 “เปาโล ผู้รับใช้ของพระเยซูคริสต์ ที่ได้รับการทรงเรียกให้เป็นอัครทูต และการตั้งไว้ให้ประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า”
(Paul, a servant of Christ Jesus, called to be an apostle, set apart for the gospel of God, )
1:2 “คือข่าวประเสริฐที่ได้ทรงสัญญาไว้ล่วงหน้า โดยทางพวกผู้เผยพระวจนะของพระองค์ ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์”
(which he promised beforehand through his prophets in the holy Scriptures,)
1:3 “ข่าวประเสริฐนั้นเกี่ยวกับพระบุตรของพระองค์ ผู้ทรงบังเกิดมาโดยสืบเชื้อสายจากดาวิดทางฝ่ายเนื้อหนัง”
(concerning his Son, who was descended from David according to the flesh)
1:4 “แต่ฝ่ายจิตวิญญาณแห่งความบริสุทธิ์นั้นทรงปรากฏด้วยฤทธานุภาพว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า โดยการเป็นขึ้นมาจากความตาย คือพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”
(and was declared to be the Son of God in power according to the Spirit of holiness by his resurrection from the dead, Jesus Christ our Lord, )
1:5 “โดยทางพระองค์นั้นพวกข้าพเจ้าได้รับพระคุณและหน้าที่เป็นอัครทูต เพื่อเห็นแก่พระนามของพระองค์ ให้ไปประกาศแก่ชนทุกชาติให้เขาวางใจและเชื่อฟัง”
(through whom we have received grace and apostleship to bring about the obedience of faith for the sake of his name among all the nations,)
1:6 “รวมทั้งพวกท่านที่พระเจ้าทรงเรียกให้เป็นคนของพระเยซูคริสต์ด้วย”
(including you who are called to belong to Jesus Christ,)
1:7 “เรียน ทุกท่านที่อยู่ในกรุงโรมผู้ซึ่งพระเจ้าทรงรัก และทรงเรียกให้เป็นธรรมิกชนขอพระคุณและสันติสุขซึ่งมาจากพระเจ้าพระบิดาของเราทั้งหลาย และจากพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำรงอยู่กับพวกท่านเถิด”
(To all those in Rome who are loved by God and called to be saints: Grace to you and peace from God our Father and the Lord Jesus Christ.)
1:8 “ก่อนอื่น ขอขอบพระคุณพระเจ้าของข้าพเจ้าสำหรับพวกท่านทุกคน โดยทางพระเยซูคริสต์ เพราะว่าความเชื่อของท่านเลื่องลือไปทั่วโลก”
(First, I thank my God through Jesus Christ for all of you, because your faith is proclaimed in all the world.)
1:9 “เพราะพระเจ้าผู้ซึ่งข้าพเจ้าได้รับใช้ด้วยชีวิตจิตใจของข้าพเจ้า ในการประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระบุตรของพระองค์นั้นทรงเป็นพยานของข้าพเจ้าว่า เมื่ออธิษฐานนั้น ข้าพเจ้าระลึกถึงพวกท่านเสมอ”
(For God is my witness, whom I serve with my spirit in the gospel of his Son, that without ceasing I mention you )
1:10 “ข้าพเจ้าทูลขอว่า ถ้าเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าแล้ว ให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสมาหาพวกท่านในที่สุด”
(always in my prayers, asking that somehow by God’s will I may now at last succeed in coming to you. )
1:11 “เพราะข้าพเจ้าปรารถนาที่จะได้พบท่าน เพื่อจะได้นำของประทานฝ่ายจิตวิญญาณมาให้และเพื่อเสริมกำลังท่าน”
(For I long to see you, that I may impart to you some spiritual gift to strengthen you)
1:12 “หมายความว่าจะได้มีการหนุนใจซึ่งกันและกัน โดยความเชื่อของเราทั้งสองฝ่าย”
(that is, that we may be mutually encouraged by each other’s faith, both yours and mine. )
1:13 “พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทราบว่า ข้าพเจ้าได้ตั้งใจไว้หลายครั้งแล้วว่าจะมาหาท่าน เพื่อข้าพเจ้าจะได้เก็บเกี่ยวผลในหมู่พวกท่านด้วย เช่นเดียวกับในหมู่ชนชาติอื่นๆ (แต่จนบัดนี้ก็ยังมีเหตุขัดข้องอยู่)”
(I do not want you to be unaware, brothers, that I have often intended to come to you (but thus far have been prevented), in order that I may reap some harvest among you as well as among the rest of the Gentiles.)
1:14 “ข้าพเจ้าเป็นหนี้ทั้งพวกกรีกและชาติอื่นๆ ด้วย เป็นหนี้ทั้งพวกนักปราชญ์และคนที่ไม่มีการศึกษาด้วย”
(I am under obligation both to Greeks and to barbarians, both to the wise and to the foolish. )
1:15 “ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงขวนขวายที่จะประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกท่านที่อยู่ในกรุงโรมด้วย”
(So I am eager to preach the gospel to you also who are in Rome.)
1:16 “ข้าพเจ้าไม่มีความละอายในเรื่องข่าวประเสริฐ เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้นเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด พวกยิวก่อน แล้วพวกกรีกด้วย”
(For I am not ashamed of the gospel, for it is the power of God for salvation to everyone who believes, to the Jew first and also to the Greek.)
1:17 “เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมซึ่งเกิดมาจากพระเจ้าก็ได้สำแดงออกโดยความเชื่อ และเพื่อความเชื่อตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า “คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ”
(For in it the righteousness of God is revealed from faith for faith, as it is written, “The righteous shall live by faith.”)
1:18 “เพราะว่าพระเจ้าทรงสำแดงพระพิโรธของพระองค์จากสวรรค์ ต่อความหมิ่นประมาทพระองค์ และความชั่วร้ายทั้งมวลของมนุษย์ ที่เอาความชั่วร้ายนั้นบีบคั้นความจริง”
(For the wrath of God is revealed from heaven against all ungodliness and unrighteousness of men, who by their unrighteousness suppress the truth. )
1:19 “เพราะการที่จะรู้จักพระเจ้าได้ก็แจ้งอยู่กับพวกเขา เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงสำแดงแก่เขาแล้ว”
(For what can be known about God is plain to them, because God has shown it to them. )
1:20 “ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมานั้น สภาพของพระเจ้าซึ่งตามนุษย์มองไม่เห็น คือฤทธานุภาพอันถาวรและเทวสภาพของพระองค์ ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นพวกเขาจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย”
(For his invisible attributes, namely, his eternal power and divine nature, have been clearly perceived, ever since the creation of the world, in the things that have been made. So they are without excuse. )
1:21 “เพราะถึงแม้ว่าเขาได้รู้จักพระเจ้าแล้ว เขาก็ไม่ได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ให้สมกับที่ทรงเป็นพระเจ้า หรือขอบพระคุณพระองค์ แต่พวกเขากลับคิดในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ และจิตใจโง่เขลาของเขาก็มืดมัวไป”
(For although they knew God, they did not honor him as God or give thanks to him, but they became futile in their thinking, and their foolish hearts were darkened. )
1:22 “ในการอ้างตัวว่าเป็นคนมีปัญญา เขากลายเป็นคนโง่เขลาไป”
(Claiming to be wise, they became fools, )
1:23 “และเขาได้เอาพระสิริของพระเจ้าผู้เป็นอมตะมาแลกกับรูปมนุษย์ที่ต้องตาย หรือรูปนก รูปสัตว์สี่เท้า และรูปสัตว์เลื้อยคลาน”
(and exchanged the glory of the immortal God for images resembling mortal man and birds and animals and creeping things.)
1:24 “เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงทรงปล่อยเขาให้ประพฤติการโสโครกตามราคะตัณหาในใจของเขา ให้เขาทำสิ่งที่น่าอับอายต่อกายของกันและกัน”
(Therefore God gave them up in the lusts of their hearts to impurity, to the dishonoring of their bodies among themselves,)
1:25 “เพราะว่าเขาได้เอาความจริงเรื่องพระเจ้ามาแลกกับความเท็จ ทั้งนมัสการและปรนนิบัติสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น แทนพระองค์ผู้ทรงสร้าง ผู้ซึ่งควรจะได้รับการสรรเสริญเป็นนิตย์ อาเมน”
(because they exchanged the truth about God for a lie and worshiped and served the creature rather than the Creator, who is blessed forever! Amen.)
1:26 “เพราะเหตุนี้ พระเจ้าทรงปล่อยให้เขามีกิเลสตัณหาอันน่าอัปยศ พวกผู้หญิงของเขาก็เปลี่ยนจากเพศสัมพันธ์ตามธรรมชาติ ให้ผิดธรรมชาติไป”
(For this reason God gave them up to dishonorable passions. For their women exchanged natural relations for those that are contrary to nature; )
1:27 “ส่วนผู้ชายก็เลิกมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงให้ถูกตามธรรมชาติเช่นกัน และเร่าร้อนด้วยไฟราคะตัณหาที่มีต่อกันผู้ชายกับผู้ชายด้วยกันประกอบกิจอันน่าละอายอย่างยิ่ง เขาจึงได้รับผลกรรมอันสมควรแก่ความผิดของเขา”
(and the men likewise gave up natural relations with women and were consumed with passion for one another, men committing shameless acts with men and receiving in themselves the due penalty for their error.)
1:28 “และเพราะเขาเห็นว่าการรู้จักพระเจ้าไม่เป็นสิ่งสำคัญ พระองค์จึงทรงปล่อยให้เขามีจิตใจเสื่อมทรามและประพฤติสิ่งที่ไม่เหมาะสม”
(And since they did not see fit to acknowledge God, God gave them up to a debased mind to do what ought not to be done.)
1:29 “พวกเขาเต็มด้วยการอธรรมทุกชนิด ความชั่วร้าย ความโลภ ความมุ่งร้าย ความอิจฉาริษยา การฆ่าฟัน การวิวาท การหลอกลวง การคิดร้าย พูดนินทา”
(They were filled with all manner of unrighteousness, evil, covetousness, malice. They are full of envy, murder, strife, deceit, maliciousness. They are gossips, )
1:30 “ส่อเสียด เกลียดชังพระเจ้า ดูถูกคนอื่น เย่อหยิ่งจองหอง อวดตัว คิดทำชั่วแปลกๆ ไม่เชื่อฟังบิดามารดา”
(slanderers, haters of God, insolent, haughty, boastful, inventors of evil, disobedient to parents,)
1:31 “ไร้ปัญญา ไร้ความซื่อสัตย์ ไร้ความรักกัน ไร้ความเมตตา”
(foolish, faithless, heartless, ruthless. )
1:32 “แม้เขาจะรู้บัญญัติอันชอบธรรมของพระเจ้า ที่ว่าคนทั้งปวงที่ประพฤติเช่นนั้นสมควรจะตาย เขาก็ไม่เพียงประพฤติเท่านั้น แต่ยังเห็นชอบกับคนอื่นที่ประพฤติเช่นนั้นด้วย”
(Though they know God’s righteous decree that those who practice such things deserve to die, they not only do them but give approval to those who practice them.)
ข้อมูลมีประโยชน์
1:1 “ผู้รับใช้” ( a servant)
= 1) ทาส ของนาย เป็นสมบัติของนายไม่มีอิสรภาพไม่อาจละทิ้งหน้าที่
2).คนรับใช้ ซึ่งเลือกรับใช้นายด้วยความเต็มใจ
(อพย.14:31;อสย.41:8-9;42:1)
1:2 “ผู้เผยพระวจนะ” ( prophets )
=ไม่ใช่เฉพาะผู้เขียนพระธรรมในหมวดผู้เผยพระวจนะเท่านั้น
“พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์” (the holy Scriptures) =พันธสัญญาเดิม
1:3 “เกี่ยวกับพระบุตรของพระองค์” ( his Son)
= พระเยซูคริสต์พระบุตรของพระเจ้าคือหัวใจสำคัญของข่าวประเสริฐ และพันธสัญญาทั้งหมดในพระคัมภีร์เดิมเป็นจริงในพระองค์และผ่านทางพระองค์ (ลก24:27;44-472คร1:20)
1:4 “การเป็นขึ้นมาจากความตาย” (resurrection from the dead) = แสดงว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า และเป็นประเด็นสำคัญในการ ประกาศของอัครทูต (กจ2:14-40;4:33)
1:7 ”ธรรมิกชน” (to be saints:)
= บางฉบับแปลว่า “ประชากรของพระองค์” แนวคิดพื้นฐานของคำๆ นี้คือ “บริสุทธิ์” ดังนั้นความหมายของคำนี้คือ คริสเตียนทุกคนเป็นประชากรของพระเจ้าที่ได้รับการ “แยกไว้” เพื่อพระเจ้า ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังถูกทำให้บริสุทธิ์มากขึ้นเรื่อยๆ (1คร1:2)
“พระคุณ และ สันติสุข” (Grace to you and peace) = คำผสมผสาน ระหว่างการทักทายแบบกรีก(พระคุณ)และฮีบรู(สันติสุข) ที่เปาโลและเปโตร ใช้ทักทายในจดหมายที่เขียน
1.พระคุณ=การที่เราได้รับในสิ่งที่เราไม่ควรจะได้รับ
2.สันติสุข=การอยู่ดีมีสุขและปลอดภัยที่พระเจ้าจัดเตรียมให้กับผู้ที่พักสงบอยู่กับพระองค์ (รม5:1;ฟป4:7;กท.1:3;อฟ.1:2;ยน14:27;20:19)
1:8 “ขอบคุณพระเจ้า” (thank my God)
= เปาโลมักเริ่มต้นจดหมายด้วยการขอบคุณ (1คร1:4;อฟ.1:16; ฟป1:3-4;คส1:3;1ธส1:2;2ธส1:3;2ทธ1:3;ฟม4)
1:9 ”ข่าวประเสริฐเรื่องพระบุตรของพระองค์” ( the gospel of his Son)
= ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ในข้อ1
1:10 “มีโอกาส” (succeed) ~รม.15:23-29
1:12 “ซึ่งกันและกัน” (both yours )
= เปาโลปรารถนาให้ผู้เชื่อที่โรม ปรนนิบัติรับใช้กันด้วยความถ่อมใจ เหมือนอย่างที่ท่านปฏิบัติต่อพวกเขา
1:13 ”พี่น้องทั้งหลาย” (brothers) = วลีที่เปาโลใช้เรียกฝูงชนทั้งหญิงและชาย (กจ1:14-16)
“เก็บเกี่ยวผล” (harvest) = ได้รับผลดีจากผู้ที่กลับมาเชื่อใหม่ๆและผู้ที่เติบโตฝ่ายจิตวิญญาณแล้ว
“ในหมู่พวกท่าน…เช่นเดียวกับในหมู่ผู้เชื่ออื่นๆ” ( among you as well as among the rest of theGentiles) = บ่งบอกว่า คริสตจักรที่โรมมีคนต่างชาติมาก
1:14 “พวกกรีก” (Greeks)
= คนต่างชาติที่พูดภาษากรีก หรือดำเนินชีวิตตามแบบคนกรีก
“ชาติอื่นๆ” (barbarians)
= “ผู้ที่ไม่ใช่กรีก” ที่แปลตรงตัวคือ “คนป่าเถื่อน” (บาบารอส)
1:16-17 = ใจความหลักของพระธรรม โรม ทั้งเล่ม
1:16 “ไม่มีความละอาย” ( not ashamed)
= ไม่อาย(ไม่กลัว)ที่จะประกาศข่าวประเสริฐแม้แต่ในกรุงโรม เมืองหลวงของจักรวรรดิโรมัน(ข.15)
“ก่อน” (first) = ไม่ใช่ก่อนในเรื่องของในเรื่องของเวลา แต่ในเรื่องสิทธิพิเศษด้วย เช่นที่พระเยซูผู้เป็นพระเมสสิยาห์ ผู้ทรงเป็นยิว ตรัสว่าความรอดมาจากพวกยิว(ยน4:22) และพวกเขาได้รับพันธสัญญา พระบัญญัติ การนมัสการในพระวิหาร และคำพยากรณ์เรื่องพระเมสสิยาห์ (9:3-5) แต่ไม่ใช่เพราะว่าพวกยิวมีคุณงามความดีมากกว่าใครๆ แต่พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ได้ถูกกำหนดให้เริ่มต้น และรับผิดชอบนำข่าวประเสริฐไปสู่ชาติอื่นๆ
1:17 “ความชอบธรรม” ( righteousness)
= สถานภาพที่มีสัมพันธภาพที่ถูกต้องกับพระเจ้า (2:13;3:21,24)
1:18-3:20 = เปาโล ขยายความประเด็นหลักเรื่องความชอบธรรมจากพระเจ้า(1:17;3:21-5:21)โดยแสดงให้เห็นว่า
1).ทุกคนมีบาป
2).แต่ละคนต้องการความชอบธรรมที่มาจากพระเจ้า
3).ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นยิว (2:1-3:8)หรือต่างชาติ (1:18:-32) ล้วนบาปเหมือนกัน
1:18-20 =ไม่มีใคร ไม่ว่าผู้นั้นจะได้ยินเรื่องพระคัมภีร์มาก่อนหรือไม่ก็ตาม ล้วนไม่อาจมีข้ออ้างที่จะไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า เพราะว่า พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์ให้เห็นแล้วผ่านธรรมชาติ และช่องทางต่างๆ
1:18 “สำแดงพระพิโรธ” (the wrath)
= พระเจ้ามิได้จะทรงสำแดงพระพิโรธต่อคนทำชั่ว เฉพาะตอนจะสิ้นยุคเท่านั้น (1ธส1:10;วว19:15;20:11-15) แต่พระพิโรธของพระองค์ในตอนนี้ คือ ทรงปล่อยให้คนบาปทำชั่วต่อไป (1:24-33) พระพิโรธ ไม่ใช่การระบายความโกรธฉุนเฉียวอย่างไม่มีเหตุผลเหมือนที่มนุษย์แสดงออกมาให้เห็น บ่อยๆ แต่เป็นความพิโรธต่อสิ่งที่ขัดแย้งและต่อต้านต่อพระลักษณะและพระประสงค์อันบริสุทธิ์ของพระเจ้า
“ความจริง” (revealed from heaven)
= ความจริงของพระเจ้าที่ทรงสำแดงให้เห็นแล้วในการทรงเนรมิตสร้างสิ่งต่างๆ ในจักรวาลนี้
1:21 “รู้จักพระเจ้า” (knew God)
= มนุษย์สามารถรู้จักพระเจ้าได้ผ่านการสำแดงพระองค์ในท่ามกลางสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง ที่เป็นระบบระเบียบ จนเกิดจะเกิดขึ้นเองได้โดยปราศจากการออกแบบของผู้มีสติปัญญาเลิศล้ำ(19-20)
“ขอบคุณ” (give thanks)
= มนุษย์ควรขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระพรฝ่ายโลกมากมาย เช่น ดวงอาทิตย์ ฝน พืชพันธุ์ ธัญญาหารต่างๆ (มธ5:45;กจ14:17)
1:23 “พระสิริ” (the glory) = บางฉบับแปลว่า “พระเกียรติสิริ”
=พระบารมีของพระเจ้าที่ไม่มีผู้ใดจะเปรียบเทียบได้ (อสย40:5;48:11)
เพราะมนุษย์ตกต่ำล้มลงในความบาปจึงทำให้เขาไม่อาจมองเห็นได้ พวกเขาจึงเอาสิ่งที่พวกเขาประดิษฐ์ขึ้นมา ตามแบบสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าทรงสร้างมาแทนที่พระเจ้า
1:24,26,28 “พระเจ้าจึงทรงปล่อย” (God gave )
= พระเจ้าทรงปล่อยให้คนที่ตั้งใจไม่ยอมฟังคำเตือนของพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่า ให้มันเป็นไปตามวิถีของมัน และนั่นคือการพิพากษา
1:25 “อาเมน” (Amen ) = 1). ใช่แล้ว เป็นเช่นนั้นแหละ 2).ขอให้เป็นเช่นนั้น
(9:5;11:36;15:33;16:27;ฉธบ27:15;1พกษ1:36)
1:26 “พวกผู้หญิงของเขา” ( For their women)= ผู้หญิง ทั่วไป
1:27 “ประกอบกิจอันน่าละอาย” ( committing shameless acts)
= การร่วมเพศกับคนเพศเดียวกัน เป็นการประพฤติที่ผิดแบบแผนทรงพระเจ้าทรงกำหนดและออกแบบไว้ จะก่อเกิดปัญหาตามมา และจะนำไปสู่โทษที่กำหนดไว้ (ลนต 18:22;20:13)
1:28 “การรู้จักพระเจ้า” ( acknowledge God)-ดู ข้อ 19,21
“จิตใจเสื่อมทราม” (debased mind)
= มีความตั้งใจเกิดขึ้นก่อนแล้วจึงตามมาด้วยการกระทำ (ข.21;มก7:20-23)
1:29-31 =รายการของความชั่วร้ายที่คล้ายๆ กับใน 13:13;1คร5:10-11;6:9-10;2คร12:20 ;กท5:19-21;อฟ4:31;5:3-5; คส3:5,8;1ทธ1:9-10;2ทธ3:2-5;วว21:8;22:15)
1:32 “แม้เขารู้” (though they know ) = พวกเขาประพฤติตนไม่ดี ไม่ใช่ไม่รู้ว่าอะไรดีและอะไรไม่ดี หรือพระเจ้าทรงประสงค์อะไร แต่ เกิดจากการดื้อด้าน และกบฏของพวกเขาเอง
“เห็นชอบ” ( give approval) = พวกเขาทำบาปมากขึ้น เพราะพวกเขาเห็นดีงามกับบาปของคนอื่น แทนที่จะรู้สึกเสียใจ และละอายใจ
คำถามนำอภิปราย
- คุณมีอะไรที่เป็นสาเหตุที่จะทำให้คนอื่นขอบคุณพระเจ้าได้ด้วยความชื่นชมบ้างหรือไม่? (แบ่งปัน)
- คุณพูดอย่างเต็มปากได้หรือไม่ว่า เวลานี้คุณกำลังได้รับใช้พระเจ้าด้วยชีวิตจิตใจของคุณ? อย่างไร? (แบ่งปัน)
- คุณเคยมีใจปรารถนาอย่างแรงกล้าเพื่อที่จะไปพบใครบางคนหรือบางกลุ่มเป็นพิเศษบ้างหรือไม่? เพื่ออะไร? แล้วได้ทำตามที่ปรารถนาหรือไม่? อย่างไร?
- คุณเคยรู้สึกว่าคุณเป็น “หนี้ข่าวประเสริฐ” ต่อใครบางคนหรือคนบางกลุ่มอย่างจริงใจ หรือไม่? ทำไม? แล้วเกิดอะไรขึ้นตามมา?
- คุณเข้าใจประโยคต่อไปนี้อย่างไรบ้าง ที่ว่า “คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ?” และส่งผลกระทบต่อชีวิตของคุณอย่างไรบ้าง? (แบ่งปัน)
- คุณเคยรู้จักกับพระเจ้าผ่านการ “สำแดง” อะไรบ้าง? และส่งผลต่อการตัดสินและการดำเนินชีวิตของคุณอย่างไรบ้าง? (แบ่งปัน)
- คุณรู้สึกอย่างเมื่อเห็นคนกราบไหว้รูปเคารพ ประเภทต่างๆ เต็มไปหมด (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่คุณรัก) และส่งผลต่อการใช้ชีวิตของคุณอย่างไรบ้าง?
- คุณมีทัศนคติในเรื่อง LGBTQ อย่างไรบ้าง? คุณสนับสนุนให้คนเพศเดียวกันอยู่กินด้วยกันหรือไม่? ทำไม?
-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer