พระธรรมกิจการ (บทเรียนที่ 33)
เกือบจะไม่รอด!
พระธรรม กิจการ 27:1-44
อ้างอิง กจ.6:9;10:1;16:9-10;18:2,9;19:29;23:11;25:12,25;28:1,11
บทนำ ชีวิตของเราอาจเจอะเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด แต่ก็ไม่ต้องหวาดหวั่น เพราะพระเจ้าทรงอยู่กับเราอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม เราต้องมีทั้งความเชื่อ ความกล้า และมีสติปัญญาในการเป็นพยานเพื่อพระคริสต์ และข่าวประเสริฐ!
บทเรียน
27:1 “เมื่อมีการตัดสินใจว่าเราจะต้องลงเรือไปยังประเทศอิตาลี พวกเขาจึงมอบเปาโลและนักโทษบางคนไว้กับนายร้อยคนหนึ่งชื่อยูเลียส ซึ่งเป็นนายทหารในกองทหารของจักรพรรดิ”
(And when it was decided that we should sail for Italy, they delivered Paul and some other prisoners to a centurion of the Augustan Cohort named Julius.)
27:2 “เราจึงลงเรือลำหนึ่งที่แล่นมาจากเมืองอัดรามิททิยุมกำลังจะออกไปยังเมืองท่าฝั่งแคว้นเอเชีย แล้วเรือก็ออกทะเล มีคนหนึ่งชื่อ อาริสทารคัสชาวมาซิโดเนียซึ่งมาจากเมืองเธสะโลนิกาอยู่กับเราด้วย”
(And embarking in a ship of Adramyttium, which was about to sail to the ports along the coast of Asia, we put to sea, accompanied by Aristarchus, a Macedonian from Thessalonica.)
27:3 “วันรุ่งขึ้นเราแวะที่เมืองไซดอน ยูเลียสนั้นมีใจเมตตาต่อเปาโล ยอมให้เปาโลไปหาบรรดามิตรสหายเพื่อรับการดูแล”
(The next day we put in at Sidon. And Julius treated Paul kindly and gave him leave to go to his friends and be cared for.)
27:4 “เมื่อเรือออกจากที่นั่นแล้ว จึงแล่นไปทางด้านปลอดลมของเกาะไซปรัส เพราะลมกำลังพัดต้านเรือ”
(And putting out to sea from there we sailed under the lee of Cyprus, because the winds were against us.)
27:5 “เมื่อแล่นข้ามทะเลที่อยู่ตรงแคว้นซีลีเซียกับแคว้นปัมฟีเลีย ก็มาถึงเมืองมิราที่อยู่ในแคว้นลีเซีย”
(And when we had sailed across the open sea along the coast of Cilicia and Pamphylia, we came to Myra in Lycia.)
27:6 “ที่เมืองนั้นนายร้อยพบเรือลำหนึ่งแล่นมาจากเมืองอเล็กซานเดรียกำลังจะไปยังประเทศอิตาลี ท่านจึงให้เราลงเรือลำนั้น”
(There the centurion found a ship of Alexandria sailing for Italy and put us on board.)
27:7 “เราแล่นไปช้าๆ หลายวัน และมาถึงเมืองคนีดัสอย่างยากเย็น เมื่อแล่นทวนลมต่อไปไม่ไหว เราจึงแล่นไปทางด้านปลอดลมของเกาะครีตตรงเมืองสัลโมเน”
(We sailed slowly for a number of days and arrived with difficulty off Cnidus, and as the wind did not allow us to go farther, we sailed under the lee of Crete off Salmone.)
27:8 “เมื่อเรือแล่นเลียบเกาะนั้นผ่านไปอย่างยากเย็นแล้ว เราก็มาถึงที่แห่งหนึ่งชื่อว่าท่างาม เมืองลาเซียอยู่ใกล้ที่นั่น”
(Coasting along it with difficulty, we came to a place called Fair Havens, near which was the city of Lasea.)
27:9 “เมื่อเสียเวลาไปมากและการเดินเรือก็มีอันตรายเพราะเทศกาลอดอาหารผ่านไปแล้ว เปาโลจึงเตือนสติเขาทั้งหลาย”
(Since much time had passed, and the voyage was now dangerous because even the Fast was already over, Paul advised them,)
27:10 “โดยกล่าวว่า “นี่แน่ะท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าเห็นว่าการเดินทางครั้งนี้จะต้องมีอันตรายและก่อความเสียหายมาก ไม่ใช่เพียงแต่ของที่บรรทุกมากับเรือเท่านั้น แต่ชีวิตของเราด้วย”
(saying, “Sirs, I perceive that the voyage will be with injury and much loss, not only of the cargo and the ship, but also of our lives.”)
27:11 “แต่นายร้อยเชื่อกัปตันและเจ้าของเรือมากกว่าเชื่อคำที่เปาโลกล่าว”
(But the centurion paid more attention to the pilot and to the owner of the ship than to what Paul said.)
27:12 “เพราะท่างามนั้นไม่เหมาะที่จะจอดในฤดูหนาว คนส่วนมากจึงตัดสินใจให้ออกทะเลไปจากที่นั่น โดยคาดหวังว่าจะไปให้ถึงเมืองฟีนิกส์แล้วจอดอยู่ที่นั่นตลอดฤดูหนาว เมืองฟีนิกส์นั้นเป็นท่าเรือของเกาะครีตที่หันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือกับตะวันตกเฉียงใต้”
(And because the harbor was not suitable to spend the winter in, the majority decided to put out to sea from there, on the chance that somehow they could reach Phoenix, a harbor of Crete, facing both southwest and northwest, and spend the winter there)
27:13 “เมื่อมีลมทิศใต้พัดมาเบาๆ พวกเขาก็คิดว่าสามารถทำได้ตามใจปรารถนาแล้ว จึงถอนสมอแล่นเลียบฝั่งไปตามเกาะครีต”
(Now when the south wind blew gently, supposing that they had obtained their purpose, they weighed anchor and sailed along Crete, close to the shore.)
27:14 “แต่ในไม่ช้าก็เกิดลมพายุที่เรียกว่าลมตะวันออกเฉียงเหนือพัดกวาดมาจากเกาะครีต”
(But soon a tempestuous wind, called the northeaster, struck down from the land.)
27:15 “เมื่อเรือถูกพายุและต้านลมไม่ไหว เราจึงปล่อยไปตามลม”
(And when the ship was caught and could not face the wind, we gave way to it and were driven along.)
27:16 “และเมื่อแล่นไปทางด้านปลอดลมของเกาะเล็กแห่งหนึ่งชื่อคาวดาแล้ว เราก็ยกเรือเล็กขึ้นผูกไว้ได้ด้วยความลำบากยากเย็น”
(Running under the lee of a small island called Cauda, we managed with difficulty to secure the ship’s boat.)
27:17 “เมื่อยกเรือขึ้นแล้วเราเอาเชือกผูกโอบรอบเรือกำปั่นไว้ และเนื่องจากกลัวว่าเรือจะเกยสันดอนทรายในอ่าวเสอร์ทิส จึงลดใบลงแล้วปล่อยให้ไปตามกระแสลม”
(After hoisting it up, they used supports to undergird the ship. Then, fearing that they would run aground on the Syrtis, they lowered the gear, and thus they were driven along)
27:18 “วันรุ่งขึ้นเขาทั้งหลายเริ่มขนของที่บรรทุกมาทิ้งเสียเพราะถูกพายุใหญ่”
(Since we were violently storm–tossed, they began the next day to jettison the cargo.)
27:19 “พอวันที่สามพวกเขาก็ทิ้งเครื่องใช้ในเรือออกด้วยมือของเขาเอง”
(And on the third day they threw the ship’s tackle overboard with their own hands.)
27:20 “และเมื่อไม่เห็นดวงอาทิตย์หรือดวงดาวมาหลายวันแล้ว ทั้งยังเจอพายุใหญ่อยู่อีก ความหวังที่เราจะรอดนั้นก็หมดไป”
(When neither sun nor stars appeared for many days, and no small tempest lay on us, all hope of our being saved was at last abandoned.)
27:21 “เมื่อเขาทั้งหลายอดอาหารกันมานานแล้ว เปาโลจึงมายืนอยู่ท่ามกลางเขากล่าวว่า “ท่านทั้งหลาย ท่านควรจะฟังข้าพเจ้า และไม่ควรออกจากเกาะครีตเลย จะได้ไม่ต้องประสบอันตรายและความสูญเสีย”
(Since they had been without food for a long time, Paul stood up among them and said, “Men, you should have listened to me and not have set sail from Crete and incurred this injury and loss.)
27:22 “แต่ตอนนี้ข้าพเจ้าขอเตือนท่านให้ทำใจดีๆ ไว้ เพราะว่าในท่ามกลางท่านทั้งหลายจะไม่มีใครเสียชีวิต จะเสียก็แต่เรือเท่านั้น”
(Yet now I urge you to take heart, for there will be no loss of life among you, but only of the ship.)
27:23 “เพราะว่าเมื่อคืนนี้เอง ทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเจ้าผู้ทรงเป็นเจ้าของตัวข้าพเจ้าและเป็นพระเจ้าที่ข้าพเจ้าปรนนิบัติมายืนอยู่ใกล้ข้าพเจ้า”
(For this very night there stood before me an angel of the God to whom I belong and whom I worship)
27:24 “ทูตนั้นกล่าวว่า ‘เปาโลเอ๋ย อย่ากลัวเลย เจ้าจะต้องเข้าเฝ้าซีซาร์ และพระเจ้าทรงโปรดเจ้าโดยให้คนทั้งหมดที่อยู่ในเรือกับเจ้านั้นรอดตาย’”
(and he said, ‘Do not be afraid, Paul; you must stand before Caesar. And behold, God has granted you all those who sail with you.‘)
27:25 “ฉะนั้น ท่านทั้งหลาย จงทำใจดีๆ ไว้ เพราะข้าพเจ้าเชื่อพระเจ้าว่า เหตุการณ์จะต้องเป็นไปตามที่พระองค์ทรงกล่าวไว้กับข้าพเจ้า”
(So take heart, men, for I have faith in God that it will be exactly as I have been told.)
27:26 “แต่ว่าเราจะต้องไปเกยเกาะแห่งหนึ่ง”
(But we must run aground on some island.)
27:27 “จนถึงคืนที่สิบสี่ ขณะที่เรายังลอยอยู่ในทะเลอาเดรียนั้น ตอนประมาณเที่ยงคืนพวกกะลาสีสงสัยว่าเข้ามาใกล้แผ่นดินแล้ว”
(When the fourteenth night had come, as we were being driven across the Adriatic Sea, about midnight the sailors suspected that they were nearing land.)
27:28 “เมื่อหยั่งน้ำดูก็วัดได้ลึกสี่สิบเมตร เมื่อไปอีกหน่อยหนึ่งก็หยั่งน้ำวัดได้สามสิบเมตร”
(So they took a sounding and found twenty fathoms. A little farther on they took a sounding again and found fifteen fathoms.)
27:29 “พวกเขากลัวว่าจะโดนโขดหิน จึงทอดสมอท้ายสี่ตัวแล้วภาวนาให้ฟ้าสาง”
(And fearing that we might run on the rocks, they let down four anchors from the stern and prayed for day to come.)
27:30 “พวกกะลาสีนั้นหาทางหนีจากเรือโดยหย่อนเรือเล็กลงไปในทะเล ทำทีว่าจะทอดสมอจากหัวเรือ”
(And as the sailors were seeking to escape from the ship, and had lowered the ship’s boat into the sea under pretense of laying out anchors from the bow,)
27:31 “เปาโลจึงพูดกับนายร้อยและพวกทหารว่า “ถ้าคนพวกนี้ไม่อยู่ในเรือ พวกท่านจะไม่มีทางรอด”
(Paul said to the centurion and the soldiers, “Unless these men stay in the ship, you cannot be saved.”)
27:32 “พวกทหารจึงตัดเชือกที่ผูกเรือเล็กให้เรือหลุดลอยไป”
(Then the soldiers cut away the ropes of the ship’s boat and let it go.)
27:33 “พอใกล้รุ่งเช้า เปาโลก็เชิญชวนทุกคนให้รับประทานอาหารและกล่าวว่า “วันนี้เป็นวันที่สิบสี่แล้วที่ท่านเฝ้าแต่รอและอดอาหาร ไม่ได้กินอะไรเลย”
(As day was about to dawn, Paul urged them all to take some food, saying, “Today is the fourteenth day that you have continued in suspense and without food, having taken nothing.)
27:34 “ข้าพเจ้าจึงขอเชิญชวนท่านให้รับประทานอาหารเสียบ้างเพื่อจะประทังชีวิตอยู่ได้ เพราะไม่มีใครในพวกท่านที่จะต้องเสียแม้แต่เส้นผมสักเส้นหนึ่ง”
(Therefore I urge you to take some food. For it will give you strength, for not a hair is to perish from the head of any of you.”)
27:35 “เมื่อกล่าวอย่างนั้นแล้ว ท่านจึงหยิบขนมปังขอบพระคุณพระเจ้าต่อหน้าทุกคน แล้วก็หักรับประทาน”
(And when he had said these things, he took bread, and giving thanks to God in the presence of all he broke it and began to eat.)
27:36 “ทุกคนก็มีกำลังใจขึ้นจึงรับประทานอาหารด้วย”
(Then they all were encouraged and ate some food themselves.)
27:37 “(เราที่อยู่ในเรือลำนั้นมีจำนวนสองร้อยเจ็ดสิบหกคน)”
(We were in all 276 persons in the ship.)
27:38 “หลังจากรับประทานอาหารอิ่มแล้ว จึงขนข้าวสาลีในเรือทิ้งลงทะเลเพื่อให้เรือเบาขึ้น”
(And when they had eaten enough, they lightened the ship, throwing out the wheat into the sea.)
27:39 “เมื่อสว่างแล้วพวกเขาก็ยังไม่รู้ว่าเป็นแผ่นดินอะไร แต่เห็นอ่าวแห่งหนึ่งมีหาด จึงตกลงกันว่าถ้าเป็นได้จะให้เรือเข้าเกยหาดนั้น”
(Now when it was day, they did not recognize the land, but they noticed a bay with a beach, on which they planned if possible to run the ship ashore.)
27:40 “เขาจึงตัดสายสมอทิ้งลงทะเลแล้วแก้เชือกที่มัดหางเสือและชักใบหัวเรือขึ้นให้กินลมแล่นตรงเข้าหาฝั่ง”
(So they cast off the anchors and left them in the sea, at the same time loosening the ropes that tied the rudders. Then hoisting the foresail to the wind they made for the beach.)
27:41 “เมื่อมาถึงบริเวณหนึ่งที่ทะเลสองข้างบรรจบกัน เรือก็เกยดินจนหัวเรือติดแน่นขยับไม่ได้ ส่วนท้ายเรือนั้นแตกออกด้วยกำลังคลื่น”
(But striking a reef, they ran the vessel aground. The bow stuck and remained immovable, and the stern was being broken up by the surf.)
27:42 “พวกทหารคิดจะฆ่านักโทษทั้งหลายเพื่อไม่ให้ใครว่ายน้ำหนีไปได้”
(The soldiers’ plan was to kill the prisoners, lest any should swim away and escape.)
27:43 “แต่นายร้อยต้องการช่วยเปาโล จึงไม่ให้พวกทหารทำตามความคิดนั้น แล้วสั่งคนที่ว่ายน้ำเป็นให้กระโดดน้ำว่ายเข้าหาฝั่งก่อน”
(But the centurion, wishing to save Paul, kept them from carrying out their plan. He ordered those who could swim to jump overboard first and make for the land,)
27:44 “พวกคนที่เหลือนั้นก็เกาะกระดานไปบ้าง เกาะชิ้นส่วนเรือที่หักไปบ้าง แล้วก็ถึงฝั่งรอดตายหมดทุกคน”
(and the rest on planks or on pieces of the ship. And so it was that all were brought safely to land.)
ข้อมูลมีประโยชน์
27:1 “เราจะต้องลงเรือ” (we should sail) = มีการใช้สรรพนามว่า “เรา” อีกครั้ง หลังจากที่พบครั้งสุดท้ายใน กจ 21:28
~ช่วงเวลาที่เปาโลติดคุกที่ซีซารียา 2 ปี หมอลูกาอาจใช้เวลาอยู่บริเวณนั้นหรือใกล้เคียง และเวลานี้ มาขอลงเรือร่วมกับเปาโลไปยังประเทศอิตาลี
“นายร้อยคนหนึ่งชื่อยูเลียส” (Cohort named Julius) = เป็นนายทหารในกองทหารที่อาจรับหน้าที่เฉพาะในการเดินสารของจักรพรรดิ
“กองทหารของจักรพรรดิ” ( the Augustan Cohort) = กองทหารของโรมแต่ละกองมีชื่อเรียกเฉพาะ ที่รู้จักกันทั่วไปคือ
“กองจักรพรรดิ” และ “กองออกัสตัส” (10:1)
27:2 “เมืองอัดรามิททิยุม” (Adramyttium ) = เป็นท่าเรือบนชายฝั่งตะวันตกของแคว้นเอเชีย อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของโตรอัส และตะวันออกของอัสโสส
“เมืองท่าฝั่งแคว้นเอเชีย” (the coast of Asia) = ยูเลียสต้องเปลี่ยนเรือที่ท่าใดท่าหนึ่งเพื่อไปโรม
“อาริสทารคัส” ( Aristarchus ) = เป็นชาวมาซิโดเนียซึ่งมาจากเมืองเธสะโลนิกาอยู่กับพวกลูกาด้วย (19:29;ฟม.24) และต่อมาอยู่ที่โรมกับเปาโล
27:3 “เมืองไซดอน” (at Sidon) = ห่างจากซีซารียาไปทางเหนือประมาณ 113 กิโลเมตร ที่เมืองนี้ ยูเลียสมีใจ เมตตาต่อเปาโล ยอมให้เปาโลไปหาบรรดามิตรสหายเพื่อรับการดูแล
27:4 “ด้านปลอดลมของเกาะไซปรัส” (under the lee of Cyprus) = พวกเขาใช้เกาะเป็นที่กำบังลม โดยล่องขึ้นเหนือ ไปตามด้านตะวันออกของเกาะจากนั้นวกไปทางตะวันตก ไปตามด้านเหนือของเกาะ
“เพราะลมกำลังพัดต้านเรือ” (because the winds were against us) = เรือแล่นทวนกระแสลม เพราะในฤดูร้อน ลมตะวันตกมีกำลังแรง
27:5 “แคว้นซีลีเซียกับแคว้นปัมฟีเลีย” ( of Cilicia and Pamphylia) = แคว้นที่อยู่ติดกันบนชายฝั่งตอนใต้ของเอเชียน้อย การเดินทางจากไซดอนถึงมิราตามแนวชายฝั่งนี้ปกติใช้เวลา 10-15 วัน
“เมืองมิรา” (Myra) = เป็นเมืองคลังข้าวที่สำคัญ อยู่ในแคว้นลีเซีย เป็นเมืองที่มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ สืบเนื่องจากพัฒนาการด้านการเดินเรือ แทนที่เรือจะต้องอ้อมชายฝั่งจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง เรือจำนวนหนึ่งกล้าแล่นจากอเล็กซานเดรียในอียิปต์ตรงไปยังท่าเรืออย่างมิรา บนชายฝั่งตะวันตกของเอเชียน้อย เป็นการเดินทางออกนอกเส้นทางพอควรในการเดินทางจากอียิปต์ไปโรม แต่การแล่นทวนลมตะวันตก จะทำให้แล่นตรงไปทางตะวันตกได้ยาก
27:6 “เรือลำหนึ่งแล่นมาจากเมืองอเล็กซานเดรีย” (a ship of Alexandria ) = เรือที่มาจากอียิปต์(พร้อมสินค้า เช่นข้าว ข.38) จะแล่นไปโรม(อิตาลี) ยูเลียสจึงให้เปาโลและพวกลงเรือลำนั้น ซึ่งแล่นไปช้าๆ หลายวัน จนมาถึงเมืองคนีดัสอย่างยากเย็น (จริงๆ แล้ว ยูเลียส ยังสามารถไปกับเรือลำแรก และล่องขึ้นไปตามชายฝั่งสู่มาซิโดเนีย จากนั้นใช้เส้นทางบก ทางถนนเอกนาเทียข้ามตัดกรีซและมุ่งสู่โรมโดยเข้าสู่อิตาลีที่ท่ารุนดิสิอุม แต่ยูเลียสตัดสินใจเปลี่ยนเรือที่นี่ เพื่อฉวยโอกาสเดินทางตรงสู่โรม (บางคนคิดว่า อาริสทารคัส ยังคงไปกับเรือลำแรก เพื่อบอกพี่น้องว่าเปาโลกำลังมาติดคุกที่โรม)
27:7 “เมืองคนีดัส” (Cnidus) = อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเอเชียน้อย ระยะทางประมาณ 274 กิโลเมตร จากมิราถึงคนีดัส อาจใช้เวลาเดินทาง 10-15 วันในตอนนี้ก็ ต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะเดินทางมาถึงเมืองคนีดัสด้วยความลำบากยากเย็น
“เมื่อแล่นทวนลมต่อไปไม่ไหว” (the wind did not allow us to go farther) = เมื่อลมไม่อำนวย แทนที่จะข้ามทะเลเปิดไปกรีซ เรือก็กลับลงใต้ พยายามแล่นไปทางตะวันตก ด้านปลอดลมของเกาะครีต(ตรงเมืองสัลโมเน) โดยให้เกาะครีตกำบังลมให้
“เกาะครีต” (Crete ) = เกาะยาวประมาณ 258 กิโลเมตร
“สัลโมเน” (Salmone) = แหลมสัลโมเนที่มุมตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะครีต
“ท่างามใกล้เมืองลาเซีย” ( Fair Havens, near which was the city of Lasea )
ท่างาม = ท่าเรือที่อยู่กลางทางบนชายฝั่งตอนใต้ของเกาะครีต
ลาเซีย = อยู่ห่างออกไปประมาณ 8 กิโลเมตร
27:9 “เทศกาลอดอาหาร” (the Fast) = วันลบมลทินบาปของยิว ตรงกับปลายเดือนกันยายนหรือเดือนตุลาคม ฤดูเดินเรือปกติของยิวเริ่มตั้งแต่วันเพ็นเทคอสต์(พ.ค-มิ.ย) ถีงเทศกาลพลับพลา คือ 5 วันหลังวันอดอาหาร(วันลบมลทินบาป) ชาวโรมถือว่าการเดินเรือหลังวันที่ 15 กันยายน มีความเสี่ยง และหลังวันที่ 11 พ.ย.มี อันตรายอย่างยิ่งยวด
27:12 “เมืองฟีนิกส์” ( Phoenix) = เมืองสำคัญที่ใช้แวะพักในฤดูหนาว เพราะมีท่าเรือคุ้มภัยจากพายุ
27:13-44 = จุดสุดยอดบันทึกเรื่องราวการเผยแพร่ข่าวประเสริฐจากเยรูซาเล็มไปยังกรุงโรม ผ่านการทำงานของ อ. เปาโล ที่มีคำแนะนำซึ่งช่วยให้ทุกคนบนเรือรอดชีวิตได้(ปท.ยนา.1:4-16)
27:14 “เกิดลมพายุที่เรียกว่าลมตะวันออกเฉียงเหนือ” (tempestuous wind, called the northeaster)
= พายุแนวตะวันออกและตะวันออกเฉียงเหนือคล้ายไต้ฝุ่น เรียกว่า ยูโรควิโล ซึ่งพัดเรือออกจากเส้นทาง
27:16 “เกาะเล็กแห่งหนึ่งชื่อคาวดา” ( a small island called Cauda ) = ราว 37 กม. จากเกราะครีต มีที่พักพิงพอในการรับมือกับพายุได้
“ยกเรือเล็กขึ้นผูกไว้ได้ด้วยความลำบากยากเย็น”( we managed with difficulty to secure the ship’s boa) = เรือชูชีพถูกลากท้ายเรือใหญ่ เป็นสิ่งที่ถ่วงการแล่น และการควบคุมทิศทางเรือและเป็นอันตรายถ้าถูกคลื่นซัดมาปะทะเรือใหญ่ ดังนั้นต้องยกมาไว้บนเรือใหญ่หรือเอาเชือกผูกโอบรอบเรือกำปั่นไว้ (ข.17) หรือเอาเชือกสอดใต้ท้องเรือใหญ่ โดยอาจผูกทแยงเพื่อไม่ให้เรือใหญ่แตกมาเกยสันดอนทรายเพราะพายุใหญ่ในอ่าวเสอร์ทิส
27:17 “เสอร์ทิส” ( Syrtis ) = สันดอนทรายดูด เป็นแนวยาวตามแนวแอฟริกาเหนือ นอกชายฝั่งตรูนิส และตริโปลี ซึ่งอยู่ห่างไกลจากจุดที่เรืออยู่ แต่พายุอาจพัดเรือไปถึงได้
27:18 “ขนของที่บรรทุกมาทิ้งเสียเพราะถูกพายุใหญ่” ( were violently storm-tossed, they began the next day to jettison the cargo ) = เพื่อให้เรือเบาลง แต่ยังเก็บกระสอบข้าวบางส่วนไว้ (ข.38)
27:19 “ทิ้งเครื่องใช้ในเรือออกด้วยมือของเขาเอง” (they threw the ship’s tackle overboard with their own hands ) = อุปกรณ์ประจำเรือ เช่นพลั่ว คาน เสากระโดงบางทีของเหล่านี้ ถูกทิ้งเพื่อทำหน้าที่เป็นเบรก
27:21 “ท่านควรจะฟังข้าพเจ้า” (you should have listened to me) = เปาโลเตือนสติว่า พวกเขาควรฟังท่านจะได้ไม่เกิดอันตราย แต่ท่านก็ยังมีข่าวดีแจ้งทุกคน (ข.22-26)
27:27 “คืนที่สิบสี่” ( fourteenth night) = นับจากวันที่ออกจากเกาะงาม
“ทะเลอาเดรีย” (Adriatic Sea) = ทะเลอาเดรียติค ซึ่งอยู่ระหว่าง อิตาลี เกาะมอลตา เกาะครีต และกรีซในสมัยก่อนทะเลอาเดรียติค มีอาณาเขตทางใต้ ไกลไปถึงซิชิลี และเกาะครีต (บางคนคิดว่าทะเลนี้กินพื้นที่ทั้งหมดระหว่าง กรีซ อิตาลี และแอฟริกา และรู้จักกันในนามทะเลอาเดรียน ไม่ใช่อาเดรียติค) แต่บัดนี้ อาณา เขตนี้ถูกลดทอนลงไปมากพอมควร
“สังสัย” (suspected) = รู้สึก, โดยฟังจากเสียงของกระแสคลื่น (กระทบแผ่นดิน)
27:28 “เมื่อหยั่งน้ำดู” (found twenty fathoms) = หยั่งระดับน้ำดู โดยใช้สายดิ่งวัดระดับน้ำทะเล
27:30 “ทางหนีจากเรือ” (seeking to escape from the ship) เมื่อไม่มีท่าเรือให้เทียบ พวกกลิสีก็รู้ว่า ทางรอดมีทางเดียวคือ เรือชูชีพเท่านั้น แต่ก็ไม่สามารถรองรับผู้โดยสายจำนวนมากได้จึงหาทางหนีรอด
27:31 “ถ้าคนพวกนี้ไม่อยู่ในเรือ” (Unless these men stay in the ship) = เปาโลกำลังบอกกับนายร้อยว่าจำเป็นที่จะต้องมีพวกกะลาสีอยู่ในเรือ เพื่อนำเรือเข้าฝั่งในวันรุ่นขึ้น
27:33 “ไม่ได้กินอะไรเลย” (without food) = ตั้งแต่เริ่มมีพายุ ก็ไม่ได้มีการแจกอาหารให้ได้รับประทานกับตามปกติเลย
27:35 “หยิบขนมปังขอบพระคุณพระเจ้า” (took bread, and giving thanks to God ) = เปาโลเป็นแบบอย่างที่ดีในเรื่องนี้ ในการขอบคุณพระเจ้า และรับประทานอาหารเพื่อเลี้ยงร่างกาย (ลก.9:16; 24:30; 1ทธ.4:4-5)
27:37 “เราที่อยู่ในเรือลำนี้มีจำนวนสองร้อยเจ็ดสิบหกคน” ( 276 persons in the ship ) = การใส่ใจจำนวนคนในเรืออาจเป็นสิ่งจำเป็นต่อการเตรียมในการแจกอาหาร หรือจำเป็นต่อความพยายามในการจะขึ้นฝั่งหลังจากนี้ จำนวนนี้ไม่ได้มากเกินจริงสำหรับสมัยนั้น
27:38 “เพื่อให้เรือเบาขึ้น” (lightened the ship) = พวกเขาทิ้งกระสอบข้าวที่เหลือลงทะเล (ข.18) ซึ่งอาจเป็นเสบียงที่เก็บไว้ เพราะจะทำให้เรือยิ่งเบาก็ยิ่งเข้าฝั่งได้เร็วขึ้น
27:40 “แก้เชือกที่มัดหางเสือ” (loosening the ropes that tied the rudders) = เพื่อลดระดับหางเสือให้เข้าที่และคัดท้ายให้ขึ้นฝั่งได้ เรือสมัยนั้นมีหางเสือที่ท้ายเรือทั้ง 2 ด้าน
27:42 “พวกทหารคิดจะฆ่านักโทษทั้งหลาย” ( The soldiers’ plan was to kill the prisoners) =ถ้านักโทษหนีไปได้ทหารต้องชดใช้ด้วยชีวิต พวกทหารจึงไม่ต้องการเสี่ยง (16:27)
27:43 “แต่นายร้อยต้องการช่วยเปาโล” (But the centurion, wishing to save Paul) = นายร้อยได้แสดงความเลื่อมใสในตัวเปาโล และต้องการช่วยเปาโลไว้ จึงหยุดแผนการเหล่านั้น
คำถามนำอภิปราย
- คุณเคยห่างหายจากทีม และได้กลับมาร่วมงานกับทีมอีกครั้งหรือไม่? เรื่องอะไร กับใคร? อย่างไร? แล้วคุณรู้สึกอย่างไร?
- คุณเคยได้รับความกรุณาจากผู้ใดเป็นพิเศษบ้างหรือไม่? ที่ไหน? เมื่อไร และอย่างไร?
- คุณเคยมีประสบการณ์กับการเดินทางโดยทางเรือที่ไม่เคยลืมเลือนตลอดชีวิตบ้างหรือไม่? ทำไม? อย่างไร? (แบ่งปัน)
- คุณเคยเตือนผู้ใดถึงอันตรายหรือความเสียหายในบางเรื่องแล้วเขาไม่ฟังบ้างหรือไม่? แล้วผลลัพธ์เป็นอย่างไร?
- คุณเคยได้รับหรือได้เห็นผลเสียจากการไม่ฟังคำเตือนจากคนของพระเจ้าหรือจากพระวจนะของพระเจ้าบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? แล้วผลเป็นอย่างไร?
- คุณเคยอยู่ในสถานการณ์ที่ตอนแรกดูปกติดี จนกระทั่งเราเข้าไปสถานการณ์นั้น แล้วสถานการณ์เริ่มย่ำแย่หรือรุนแรงมากขึ้น จนน่ากลัวบ้างหรือไม่? แล้วสุดท้ายเป็นอย่างไร?
- คุณเคยประสบกับเหตุการณ์ที่ทำให้คุณรู้สึกสิ้นหวังที่จะรอดบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? แล้วคุณฟันฝ่ามาได้อย่างไร?
ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์