คำถาม “ศิษยาภิบาลคือใคร มีหน้าที่อะไร?
คนจะเป็นศิษยาภิบาลต้องมีคุณสมบัติอย่างไร?”
คำตอบ
คำว่า “ศิษยาภิบาล” เป็นคำที่มาจากคำ 2 คำ คือ “ศิษย์” + “อภิบาล” (อภิปาล)
แท้จริง “ศิษยาภิบาล” เป็นคำสันสกฤต แปลว่า “ผู้ดูแลศิษย์”
ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Pastor” ซึ่งมาจากคำภาษาลาตินว่า “pascere” ที่แปลว่า “คนเลี้ยงแกะ” (shepherd) หรือบางทีก็เรียกว่า “ผู้อภิบาล” ในบางคณะถือว่าศิษยาภิบาลเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า (minister) ที่เป็น “ศาสนาจารย์” (Reverend) ไปด้วยในตัวเลย (แต่หลายคณะแยก 2 บทบาทนี้ออกจากกัน) และสื่อมวลชนแปลคำ “Reverend” นี้ว่า “สาธุคุณ”
คริสตจักรโรมันคาทอลิกเรียก “Pastor” ว่า “ผู้อภิบาล” หรือ “นายชุมพาบาล” หมายถึง อธิการโบสถ์ (Parish priest) ซึ่งเป็นบาทหลวงที่ได้รับแต่งตั้งและมอบหมายจากมุขนายกประจำสังฆมลฑล ทำหน้าที่ปกครองเขตที่ดูแลอยู่
คำว่า “ศิษยาภิบาล” นี้ทั่ว ๆ ไปชาวคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ใช้เรียกบุคคลที่มีตำแหน่งในการปกครองดูแลคริสตจักร และสมาชิกดุจดังผู้เลี้ยงแกะดูแลฝูงแกะในคอก ทั้งๆ ที่ในพระคัมภีร์มีคำว่า “ศิษยาภิบาล” ปรากฎอยู่เพียงครั้งเดียวในพระธรรมเอเฟซัส
“และพระองค์เองประทานให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์” (เอเฟซัส 4:11)
ปกติคริสเตียนโปรเตสแตนท์ใช้คำนี้เรียกผู้ดูแลคริสตจักรท้องถิ่น ที่ไม่ถือว่าเป็นนักบวช แต่เป็นฆราวาสที่ได้รับการสถาปนาแต่งตั้งจากคริสตจักรให้เป็นผู้ดูแลเลี้ยงดูสมาชิกในฐานะที่เป็นผู้รับใช้ตามการทรงเรียกของพระเจ้าให้อุทิศปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวในคริสตจักร และชุมชนที่เขาอยู่ โดยทั่วไปศิษยาภิบาลมีหน้าที่ดังนี้
- ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้นำ ผู้สอน หรือผู้เลี้ยงดูสมาชิกในคริสตจักรโดยทั่วไป ในฐานะครูสอนคริสตศาสนาหรือศาสนาจารย์ (หลายคณะก็มีการแยกศิษยาภิบาลและศาสนาจารย์ออกจากกัน โดยถือว่า ศาสนาจารย์เป็นสมณศักดิ์ที่แตกต่างจากศิษยาภิบาล)
- ทำหน้าที่เทศนา อรรถาธิบายและสั่งสอนพระวจนะของพระเจ้าแก่มวลสมาชิกให้มีความรู้ ความเข้าใจในพระคริสตธรรมคัมภีร์ อย่างถูกต้อง
- ทำหน้าที่เยี่ยมเยียน ดูแลทุกข์สุขของสมาชิกและออกติดตามสมาชิกที่ขาดการติดต่อให้กลับคืนสู่คริสตจักร หรือจนกว่าจะแน่ใจว่า สมาชิกนั้นได้เข้าอยู่ในคริสตจักรใดคริสตจักรหนึ่งอย่างปลอดภัวยแล้ว
- ทำหน้าที่เป็นสมาชิกคนหนึ่งในคณะธรรมกิจ(ผู้ปกครอง ดูแล) ของคริสตจักร
- ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาในการดำเนินชีวิต (โดยเฉพาะในฝ่ายจิตวิญญาณ) แก่สมาชิกของคริสตจักร
- ทำหน้าที่นำผู้แสวงหาพระเจ้าให้เข้ามาเชื่อศรัทธาในพระเจ้าและวางรากฐานชีวิตด้านจิตวิญญาณแก่ผู้เชื่อใหม่ และเลี้ยงดูฟูมฟักให้เติบโตขึ้นในด้านความรู้ และความเข้าใจ และการดำเนินชีวิตตามหลักพระคัมภีร์
- ทำหน้าที่นำ ส่งเสริม และเสริมสร้างให้สมาชิกคริสตจักรได้มีส่วนในการทำพันธกิจรับใช้ในคริสตจักร และในสังคม
- ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของพระเจ้าในคริสตจักร ชุมชน สังคม และโลกนี้
และเนื่องด้วยคริสเตียนโปรเตสแตนท์ มีหลักความเชื่อในเรื่อง “ความเป็นปุโรหิต” ของ “ผู้เชื่อทุกคน” จึงถือว่า คริสตชนทุกคนเป็นดุจปุโรหิตของพระเจ้าที่ได้รับสิทธิอำนาจในการประกาศข่าวประเสริฐ เป็นพยาน และนำคนให้รู้จักกับพระคริสต์ ให้มีศรัทธา และรับความรอดโดยพระคุณ เพราะความเชื่อ ด้วยเหตุนี้ผู้เชื่อทุกคนจึงควรทำหน้าที่ผู้เลี้ยงดูจิตวิญญาณของผู้เชื่อ(ใหม่) คนอื่นๆ (ดุจศิษยาภิบาลตามธรรมชาติ ด้วยเหตุนี้ คริสตจักรที่เจริญเติบโตจึงมักจะเปิดโอกาสให้สมาชิกในคริสตจักรได้มีส่วนรับใช้ร่วมกับศิษยาภิบาล(เต็มเวลา) ในการอภิบาลเลี้ยงดูผู้เชื่อคนอื่นๆ ในคริสตจักร
อย่างไรก็ตาม คริสตจักรโดยทั่วไปจะเรียกบุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็น “ศิษยาภิบาล” ก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นได้รับการยอมรับและแต่งตั้งจากผู้นำและสมาชิกในคริสตจักรว่าเป็น “ผู้เลี้ยง” อันชอบธรรม โดยการเต็มใจยินยอมของพวกเขาก่อน
สำหรับคุณสมบัติของศิษยาภิบาลนั้น ไม่ได้มีการกำหนดไว้เป็นรูปแบบทางการแต่อย่างใด แต่มักถือคำตรัสของพระเยซูมาเป็นบรรทัดฐานว่า “ศิษยาภิบาล” (หรือผู้เลี้ยง) ควรมีหน้าที่ดังนี้
- เป็นคนที่เฝ้าดูแลแกะในฝูง(คริสตจักร)ของตนให้ปลอดภัย
- เป็นผู้ที่ลงเวลาลงชีวิตกับแกะ(สมาชิก)อย่างใกล้ชิด จนแกะ(สมาชิก) ยอมรับและฟังเสียงของเขา
- เป็นผู้ที่นำหน้าสมาชิกในการดำเนินชีวิตในฐานะผู้เลี้ยงที่พวกเขาตาม (และไม่หลงตามผู้เลี้ยงคนอื่นๆ)
- เป็นผู้เลี้ยงดูสมาชิกที่เต็มใจพร้อมยอมสละชีวิตของตนเพื่อปกป้องสมาชิก (แกะในคอก)
- เป็นผู้เลี้ยงที่ดี ห่วงใยไม่ละทิ้งฝูงแกะ ไม่ใช่คนรับจ้างที่เมื่อเจอปัญหาหรืออันตรายก็พร้อมละทิ้งแกะเพื่อตัวเอง โดยไม่ได้ห่วงใยแกะที่ดูแลอยู่
- เป็นผู้เลี้ยงที่รู้จักสมาชิกแต่ละคน (แกะแต่ละตัว) และสมาชิกก็รู้จักตัวของเขาในฐานะผู้เลี้ยงที่ดีเช่นกัน
- เป็นผู้เลี้ยงที่พร้อมแบกภาระในการดูแลสมาชิก(แกะ)ในหลาย ๆ กลุ่ม (ฝูง)
“เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า คนที่ไม่ได้เข้าไปในคอกแกะทางประตู แต่ปีนเข้าไปทางอื่นนั้นเป็นขโมยและโจร แต่คนที่เข้าทางประตูก็เป็นผู้เลี้ยงแกะ คนเฝ้าประตูจึงเปิดประตูให้คนนั้น แกะย่อมฟังเสียงของท่าน ท่านเรียกชื่อแกะของท่าน และนำออกไป เมื่อท่านต้อนแกะของท่านออกไปหมดแล้วก็เดินนำหน้า และแกะก็ตามไปเพราะรู้จักเสียงของท่าน ส่วนคนอื่นแกะจะไม่ตามเลย แต่จะหนีจากเขา เพราะไม่รู้จักเสียงของคนอื่น” เรื่องเปรียบนี้พระเยซูตรัสกับพวกเขา แต่เขาเหล่านั้นไม่เข้าใจความหมายของพระดำรัสที่พระองค์ตรัสกับเขาเลย พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาอีกว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า เราเป็นประตูของแกะทั้งหลาย ทุกคนที่มาก่อนเรานั้นเป็นขโมยและโจร แต่ฝูงแกะไม่ได้ฟังพวกเขา เราเป็นประตู ถ้าใครเข้าไปทางเรา คนนั้นจะรอด เขาจะเข้าออกแล้วก็จะพบอาหาร ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลัก ฆ่า และทำลาย เรามาเพื่อพวกเขาจะได้ชีวิตและจะได้อย่างครบบริบูรณ์ เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี ผู้เลี้ยงที่ดีย่อมสละชีวิตของตนเพื่อฝูงแกะ คนที่รับจ้างไม่ได้เป็นผู้เลี้ยงแกะ ฝูงแกะไม่ได้เป็นของเขา เมื่อเห็นสุนัขป่ามาเขาจึงละทิ้งฝูงแกะหนีไป สุนัขป่าก็ไล่กัดกินพวกแกะจนกระจัดกระจาย เขาหนีเพราะเขาเป็นเพียงลูกจ้างและไม่ได้เป็นห่วงแกะเลย 14เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี เรารู้จักแกะของเราและแกะของเราก็รู้จักเรา เหมือนอย่างที่พระบิดาทรงรู้จักเราและเรารู้จักพระบิดา และเราสละชีวิตเพื่อฝูงแกะ แกะอื่นที่ไม่ได้เป็นของคอกนี้เราก็มีอยู่ แกะพวกนั้นเราก็ต้องพามาด้วย และแกะพวกนั้นจะฟังเสียงของเราแล้วจะรวมเป็นฝูงเดียวและมีผู้เลี้ยงเพียงผู้เดียว เพราะเหตุนี้พระบิดาจึงทรงรักเรา เพราะเราสละชีวิตของเราเพื่อจะรับชีวิตนั้นคืนมาอีก ไม่มีใครชิงชีวิตไปจากเราได้ แต่เราสละชีวิตตามที่เราตั้งใจเอง เรามีสิทธิอำนาจที่จะสละชีวิตนั้นและมีสิทธิอำนาจที่จะรับคืนมาอีก คำกำชับนี้เราได้รับมาจากพระบิดาของเรา” (ยอห์น 10:1-18)
นอกจากนี้ อาจารย์เปาโลก็ได้ให้คุณสมบัติของผู้ปกครองดูแลคริสตจักรที่เราสามารถนำมากำหนดเป็นคุณสมบัติของศิษยาภิบาล(ที่ถือว่าเป็นผู้ปกครองคริสตจักรคนหนึ่ง) ดังนี้
- ศิษยาภิบาลต้องเป็นผู้ที่ปรารถนาหน้าที่ปกครองดูแลสมาชิก(ฝูงแกะของพระเจ้า)
- ศิษยาภิบาลต้องเป็นคนที่ไม่มี(เหตุให้เป็น)ที่ติ
- ศิษยาภิบาลต้องเป็นสามีของหญิงคนเดียว
- ศิษยาภิบาลต้องเป็นผู้รู้จักประมาณตน
- ศิษยาภิบาลต้องเป็นคนมีสติสัมปชัญญะ
- ศิษยาภิบาลต้องเป็นที่น่านับถือ
- ศิษยาภิบาลต้องมีอัธยาศัยต้อนรับแขก
- ศิษยาภิบาลต้องเป็นคนที่เหมาะจะเป็นอาจารย์
- ศิษยาภิบาลต้องไม่ดื่มสุรามึนเมา
- ศิษยาภิบาลต้องไม่ชอบความรุนแรง
- ศิษยาภิบาลต้องผ่อนหนักผ่อนเบา ไม่ชอบการวิวาท
- ศิษยาภิบาลต้องไม่เป็นคนเห็นแก่เงิน
- ศิษยาภิบาลต้องปกครองครอบครัวของตนได้ดี อบรมบุตรธิดาให้มีความนอบน้อมด้วยความเคารพนับถือ
- ศิษยาภิบาลต้องไม่เป็นคนที่เพิ่งกลับใจใหม่ เกรงว่าจะยโส
- ศิษยาภิบาลต้องมีชื่อเสียงดี ในหมู่คนภายนอก (1ทิโมธี 3:1-7)
แท้จริงแล้วในพระคัมภีร์ “ศิษยาภิบาล” ไม่ใช่ตำแหน่ง แต่เป็นบุคคลที่เป็น “ของประทาน” (ที่มีชีวิต) ที่พระเจ้ามอบให้แก่คริสตจักรเป็นของขวัญ เป็นผู้ที่มีสิทธิอำนาจในฐานะผู้เลี้ยงรู้และสามารถที่ใช้พระวจนะของพระเจ้าในการสั่งสอนประชากรของพระองค์ได้อย่างถูกต้อง ให้ดำเนินชีวิตตามพระประสงค์และพระทัยของพระองค์ เพื่อให้แผ่นดินของพระเจ้ามาตั้งอยู่ในแผ่นดินโลก และนำคนมากมายให้กลับกลายเป็นพลเมืองของแผ่นดินสวรรค์
ศิษยาภิบาล (ไม่ว่าจะเต็มเวลาหรืออาสาสมัคร) จึงมีบทบาทหน้าที่ในการเตรียมธรรมิกชนให้เป็นคนรับใช้อย่างผู้มีวุฒิภาวะในฝ่ายจิตวิญญาณ ที่นำพระเกียรติสิริมาสู่พระเจ้าองค์สูงสุดผ่านคริสตจักรของพระองค์ และพันธกิจในการดูแลอภิบาลศิษย์หรือผู้เชื่อในคริสตจักรนั้นเป็นภารกิจที่ยากเกินกว่าศิษยาภิบาลคนเดียวจะสามารถกระทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ เขาจึงจำเป็นจะต้องมีผู้ร่วมทีมในการเลี้ยงดู
วันนี้ คุณพร้อมจะเป็นหนึ่งในทีมศิษยาภิบาลที่พระคริสต์ทรงพอพระทัยและคริสตจักรพอใจหรือไม่?
ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-
twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer
(Cr.ภาพ Artist – Yongsung Kim)