คำถาม: “ความขมขื่นคืออะไร มันเกิดจากอะไร มีตัวอย่างในพระคัมภีร์หรือไม่?
แล้วเราจะจัดการหรือเอาชนะมันได้อย่างไร?
คำตอบ: “ความขมขื่น” (bitterness) คือ “ความรู้สึกหรือพฤติกรรมของบุคคลที่แสดงออกมาเป็นความโกรธ ความเจ็บปวด ความขุ่นเคืองใจ เพราะประสบกับประสบการณ์ที่แย่ หรือ เมื่อได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม” ( angry, hurt, or resentful because of one’s bad experiences or a sense of unjust treatment.)
ในพระคัมภีร์ มีตัวอย่างและสาเหตุของความขมขื่นใจ ไว้มากมาย อาทิ สาเหตุที่ทำให้ขมขื่นใจ เพราะ
- ถูกปองร้าย หรือถูกทำร้ายด้วยคำพูดหรือการกระทำ ~สดุดี 64:1-4 THSV11 ~สดุดี 106:24-33 THSV11
- ถูกทำให้ผิดหวัง ~สุภาษิต 17:25 THSV11
- ถูกทอดทิ้ง ~เพลงคร่ำครวญ 3:4-6 THSV11
- ถูกเล่นงานโดยไม่มีเหตุและต่อต้านขัดขืนก็ไม่ได้ ~โยบ 9:16-20 THSV11
- เบื่อหน่ายที่ถูกกล่าวโทษถูกจับผิด ~ โยบ 10:1-8 THSV11
- ทนทุกข์เพราะผลกรรมบาปที่ได้ทำมานั้นตอบสนอง ~เยเรมีย์ 4:16-18 THSV11
- ไม่ได้รับ หรือไม่ได้ชิมของดี เหมือนคนอื่นเลยๆ ~โยบ 21:23-25 THSV11
- สูญเสียสิ่งที่คิดว่าเป็นสิทธิที่ควรเป็นส่วนของตน ~ปฐมกาล 27:32-35 THSV11
- ถูกบีบบังคับให้ทำสิ่งที่หนัก เหนื่อย และยากลำบาก ~อพยพ 1:8-14 THSV11
- สูญเสียบุคคลหรือสิ่งอันเป็นที่รักไป(จนหมดสิ้น) ~นางรูธ 1:20; 1:13 THSV11
- รู้สึกเสียใจกับความผิดพลาดเสียหายที่เกิดจากตัวเองเป็นต้นเหตุ ~เอสเธอร์ 4:1-3 THSV11
- รู้ว่าภัยพิบัติจะเกิดขึ้น โดยที่ไม่อาจหลบเลี่ยงได้เลย ~เยเรมีย์ 6:24-26 THSV11
- ถูก(เพื่อน)ทรยศ และไม่มีใครปลอบโยน ~เพลงคร่ำครวญ 1:2 THSV11
คำถาม: “แล้วเราจะรับมือหรือจัดการกับความขมขื่นที่เกิดขึ้นกับเราได้อย่างไร?”
คำตอบ:
- ถ้าความขมขื่นใจเกิดมาจากตัวเราเป็นต้นเหตุ ก็ให้เราสำนึกผิดเสียใจกับสิ่งที่ทำมา และขอการอภัยจาก 1)พระเจ้า 2).คู่กรณี ~แล้วจบความขมขื่นใจลง
- ถ้าความขมขื่นใจเกิดมาจากผู้อื่นเป็นต้นเหตุก็ให้เรายกโทษให้เขา 1).ขั้นแรก อภัยให้เขาตั้งแต่ก่อนเขาสำนึกผิด เพื่อตัวเราเองจะได้ หลุดพ้นจากคุกแห่งความขมขื่น แล้วไปทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์ได้ ~จบความขมขื่นใจลง 2).ขั้นที่สอง อภัยให้เขาเมื่อเขาสำนึกผิด เพื่อเขาจะได้หลุดจากหล่มแห่งความขมขื่นเพราะความผิดพลาดที่ตัวเขาได้ทำไป ทั้งโดย ก.เจตนา ข.ไม่เจตนา ~จบความขมขื่นใจลง
- ขั้นที่สาม หากคนที่ทำผิด(ในความคิดของเรา)ไม่ได้แสดงความรู้สึกผิดออกมาเลย ก็อย่าปล่อยให้ความขมขื่นใจครอบงำเรา ให้เรามองในแง่บวกหรือสร้างสรรค์ว่า ก.เขาอาจ ไม่รู้ตัวจริงๆ ว่าเขาได้ทำสิ่งที่สร้างความขมขื่นใจแก่คนอื่นอยู่ในเวลานี้ ข.เขาอาจรู้ตัวว่าเขาได้ทำบางอย่างผิด แต่คงคิดว่าตัวเขาไม่ใช่คนเดียวที่ผิด ดังนั้นจึงไม่ใช่เขาคนเดียวที่ต้องยอมรับผิดและขอโทษ เขาจึงรอให้อีกฝ่าย(ซึ่งก็คือตัวเรา)ให้เป็นฝ่ายขอโทษก่อนเช่นกันหากว่านี่คือเหตุผลที่เรารู้ เราก็รีบไปเคลียร์กับเขาด้วยความถ่อมใจในทันทีตามขั้นตอนที่ พระเยซูคริสต์ให้ไว้ใน พระธรรม มัทธิวบทที่18
- ก) เราไปหาเขาสองต่อสอง ~หากทั้ง 2 ฝ่ายปรับความเข้าใจกันได้ ~ความขมขื่นใจก็ยุติลง
- ข) เราไปหาเขาอีกครั้งพร้อมพยานที่ทั้ง 2 ฝ่ายยอมรับ~หากทั้ง 2 ฝ่ายคืนดีกันได้ ~ความขมขื่นใจก็ยุติลง
- ค) เราไปหาเขาหรือเชิญเขาพบปะกันครั้งที่ 3 ท่ามกลางผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีสิทธิอำนาจในการตัดสินความ ~หากทั้งฝ่ายปรับความเข้าใจคืนดีกันได้ ~ความขมขื่นใจก็ยุติลง
- ง) เราต้องทำใจยอมรับผล หากว่าอีกฝ่ายไม่ยอมคืนดี แม้คณะผู้ใหญ่รับฟังและพยายามไกล่เกลี่ยแล้วก็ตาม ~ให้ความขมขื่นใจในส่วนของเรายุติ แต่ส่วนตัวของเขาจะยังขมขื่นต่อไป เราก็คงต้องปล่อยเป็นไปเช่นนั้น เพราะเราได้ทำจนสุดกำลังแล้ว(โดยไม่ต้องมีความรู้สึกผิดฟ้องแต่อย่างใด) ~จบความขมขื่นใจลง
- 4.ขั้นที่สี่ หากเรายังไม่ท้อใจและต้องการก้าวสูงขึ้นไปอีกในการช่วยกำจัดความขมขื่นใจของอีกฝ่ายหนึ่ง ก็ให้ ก.เราอธิษฐานขอพระเจ้าประทานใจที่ถ่อม ใจที่กล้าหาญ และใจที่ให้อภัยอย่างไม่มีเงื่อนไขแก่เราและแก่เขา ข.เราประเมินท่าที และวิถีที่เราปฏิบัติหรือ วิธีที่เราสื่อสารกับคู่กรณีของเรา และปรับปรุงแก้ไข หาวิธีที่ดีกว่าเดิมในการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างกัน
ก).อะไรที่ส่งผลลบ ตัดทิ้งไปไม่ทำอีก
ข).อะไรที่ส่งผลบวก มีคุณค่า มีประโยชน์ ก็นำมาปฏิบัติใช้ต่อ และพัฒนาให้ดียิ่งๆขึ้น
ค).เราเริ่มต้นสร้างมิตรภาพกับคู่กรณีเก่าของเราโดยพึ่งสติปัญญาและความรักเมตตาของพระเจ้าอย่างจริงใจ (ภายใต้การทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์)จนกว่า สภาวะความเป็นปรปักษ์ต่อกันจะกลายเป็นมิตรภาพใหม่สดที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ~จบความขมขื่นใจ ของทั้ง 2 ฝ่าย และเป็นจุดเริ่มต้นของความสุขใจ ที่ไม่ที่อะไรมาเทียบเทียมได้!
- 3.ถ้าความขมขื่นใจเกิดมาจากพระเจ้าเป็นต้นเหตุ ก็
- ให้เราพึ่งพระคุณของพระเจ้า ในการเผชิญกับทุกสภาวการณ์ โดยไม่ให้มีรากขมขื่นงอกขึ้นมา -ฮบ12:15 และวางใจในพระองค์สำหรับผลลัพธ์ที่จะตามมา
- ให้ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี เพราะถ้าพระเจ้านำ หรืออนุญาตให้เราเผชิญกับเรื่องยุ่งยากน่าขมขื่นใจ แสดงว่า นั่นเป็นวิถีทางสู่พระพรที่มากขึ้น ~ยก1:2-4
- ให้ยึดพระเจ้าเป็นกำลังใจของเราในทุกสถานการณ์ ~สดด.73:26
- ให้วางใจว่าพระเจ้าจะทรงช่วยเราในกำหนดเวลาที่พระองค์ทรงกำหนด ~2พกษ14:26-27
- ให้เราวางใจพระเจ้าโดยถือว่าเป็นงานที่พระเจ้ามอบหมายให้เราทำ ~ยน.6:29
- ให้เราวางใจในพระเจ้าอย่างไม่หวั่นไหวสำหรับผลลัพธ์ที่ดีที่จะตามมา ~สดด.56:4 – สดด.56:11 ~รม8:28 ~แล้วเราจะจบความขมขื่นใจ ในชีวิตของเราลงได้อย่างสิ้นเชิง!
ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-
twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer
(Cr. ภาพ publicdomainpictures.net)