ตำนานชั่วนิรันดร์
ไม่มีอะไรทำให้ข้าพเจ้ายินดียิ่งไปกว่านี้ คือที่ได้ยินว่าลูกๆ ของข้าพเจ้าประพฤติตามความจริง (3 ยอห์น 1:4 THSV11)
เมื่อชีวิตดาวิดใกล้จบลง ท่านเรียกโซโลมอนบุตรชายเข้ามา โซโลมอนจะรับหน้าที่เป็นกษัตริย์องค์ต่อไป ดาวิดพูดกับบุตรชายว่า “ส่วนเจ้า ซาโลมอนลูกของเรา เจ้าจงรู้จักพระเจ้าของพ่อ และจงปรนนิบัติพระองค์ด้วยความเต็มใจและด้วยใจยินดี เพราะพระยาห์เวห์ทรงตรวจจิตใจทั้งปวง และทรงเข้าใจในแผนงาน และความคิดทั้งปวง ถ้าเจ้าแสวงหาพระองค์ เจ้าจะพบพระองค์ แต่ถ้าเจ้าทอดทิ้งพระองค์ พระองค์จะทรงทิ้งเจ้าตลอดไป” (1พงศาวดาร 28:9 THSV11)
เช่นเดียวกับดาวิด เราต่างก็ทิ้งตำนานไว้เบื้องหลัง และหน้าที่เราในฐานะพ่อแม่ คือนำลูกๆมาพบพระคริสต์ผ่านการกระทำและคำพูดของเรา ตำนานที่เราทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังจะส่งผลไปสู่ยุคต่อๆไป
ในหนังสือของ เจมส์ เมอร์ริท “อะไรที่พระเจ้าต้องการให้พ่อทุกคนรู้” ท่านเขียนว่า “พ่อเป็นมากกว่าผู้ให้กำเนิด ให้อาหาร หาเสื้อผ้าให้สวมใส่ ให้การศึกษา และส่งลูกไปยืนบนขาของตัวเองได้ พ่อมีหน้าที่รับผิดชอบในการเตรียมลูกไปสู่ปลายทางนิรันดร์ที่ได้อยู่กับพระเจ้า”
ผมเห็นด้วยครับ เรากำลังส่งต่อตำนานนิรันดร์ของเราไปสู่ลูกๆ
ฟังนะครับ การเลือกของเราจะผูกพันไปถึงนิรันดร์กาล—ไม่ใช่เพียงชีวิตบนโลกนี้ แต่ชั่วนิรันดร์
มีชีวิตมากว่า 60 ปีบนโลกนี้ ผมได้เห็นคนหลายรุ่น รุ่นปู่ย่า รุ่นพ่อแม่ รุ่นผม รุ่นลูกๆ และรุ่นหลานๆของผม และที่ได้เห็นคือ: สิ่งที่เราทำในวันนี้ ส่งผลต่อชีวิตเราในอนาคต การกระทำจะส่งผลต่อลูกและหลาน และอาจถึงเหลนๆได้
คุณกำลังทิ้งตำนานไว้เบื้องหลัง คำถามคือ: เป็นตำนานในแบบของพระเจ้า หรือตำนานในแบบไม่มีพระเจ้า?
อย่าลืมว่าเรากำลังส่งต่อตำนานชั่วนิรันดร์ไปสู่รุ่นหลังนะครับ!
โดย: Pastor Greg Laurie
อนุญาตโดย Harvest Ministries with Greg Laurie
PO Box 4000,Riverside,CA92514
(Cr. ภาพ Reflection in the Words)