Categories
Uncategorized

เป็นโรคซึมเศร้าเราช่วยได้อย่างไร? (คอลัมน์คำตอบชีวิต)

คำถาม

1.“มีคำถามฝากมาครับ คือมีเพื่อนที่สนิทกันในโบสถ์ เป็นโรคซึมเศร้า ถึงขั้นพยายามฆ่าตัวตายมาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่อยากบอกคนที่โบสถ์ ในฐานะที่เราเป็นคนสนิท ที่ทราบเรื่องนี้  เราสามารถช่วยเขาอย่างไรได้บ้างครับ”

ตอบ ขอให้เรารู้จักสังเกตเพื่อน ว่ามีอาการต่อไปนี้ หรือไม่?

สัญญาณบอกเหตุของโรคซึมเศร้าว่ามีด้วยกัน 9 ประการ ซึ่งหากคุณหรือคนใกล้ตัวมีอาการเหล่านี้ 5 ข้อติดต่อกันนาน 2 สัปดาห์ ให้ตั้งข้อสงสัยไว้ก่อน ว่าอาจถูกเจ้าโรคซึมเศร้าเข้ามาเยือนแล้ว  

  1. อารมณ์ซึมเศร้า หม่นหมอง กังวลใจ หงุดหงิด ก้าวร้าว    
  2. ขาดความสนใจสิ่งรอบข้างหรือสิ่งที่เคยให้ความสนุกสนานในอดีต      
  3. สมาธิเสีย คือ ไม่ค่อยมีสมาธิเวลาทำสิ่งต่างๆไม่สามารถตัดสินใจ   
  4. รู้สึกอ่อนเพลียเมื่อยล้า ไม่มีแรง    
  5. เชื่องช้า ทำอะไรก็เชื่องช้าไปหมด      
  6. รับประทานอาหารมากขึ้น (น้ำหนักขึ้น) หรือรับประทานน้อยลง(น้ำหนักลด)
  7. นอนมากขึ้น กว่าปกติหรือนอนน้อยลงหรือนอนไม่หลับ
  8. ตำหนิตัวเอง รู้สึกผิดสิ้นหวัง รู้สึกตัวเองไร้ค่า ไม่อยากทำอะไร
  9. คิดฆ่าตัวตาย หรือ พยายามฆ่าตัวตาย

ถ้าหากคุณมีอาการเช่นนี้หลายข้อ เป็นเวลามากกว่า 2 สัปดาห์ คุณอาจจะกำลังเป็นโรคซึมเศร้า  เมื่อเห็นเช่นนั้นก็ให้เราเข้าใกล้พระเจ้าขอสติปัญญาและการทรงนำจากพระองค์และจากนั้นก็ให้เรา

  1. คุยเรื่องของเขากับพระเจ้า
  2. คุยกับเขาเรื่องพระเจ้า
  3. คุยกับเขาเรื่องของเขา
  4. ร่วมกับเขาคุยกับพระเจ้า

2″แล้วถ้าเค้าอาการไม่ค่อยดี ไม่อยากไปโบสถ์ เราควรทำอย่างไรดีครับ?

ตอบ

  1. แนะนำวิธีคุยกับพระเจ้าให้แก่เขา หนุนใจให้ทำเช่นนั้นที่บ้านเลย
  2. แนะนำวิธีฟังพระเจ้าให้แก่เขา
  3. แนะนำเพื่อนที่เหมาะสม หรือ เราเองเป็นเพื่อนพี่น้องของเขา ที่พร้อมจะ
  • proactive ในการหนุนใจเขา ทุกวัน +เยี่ยมเยียนเขา
  • reactive ในการพร้อมรับฟังและสนองตอบสิ่งที่เขาต้องการ เพื่อจะเข้าใจในสาเหตุที่ทำให้เขาเป็นโรคซึมเศร้าเช่น 
  1. สถานการณ์เลวร้ายของชีวิต คือเกิดมรสุมชีวิต เช่นการสูญเสีย การหย่าร้าง ความผิดหวัง
  2. สภาพทางจิตใจ คือเกิดความสะเทือนใจ ความผิดหวังในความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นหรือจากการเลี้ยงดู ทำให้มองโลกแง่ลบ ขาดความภูมิใจในตนเองที่ก่อเกิดความเครียดง่ายและมาก
  3. ความเสี่ยงทางพันธุกรรม หรือระดับสารเคมีในสมอง คือเกิดได้เองจากระดับสารเคมีที่เชลล์สมองสร้างขึ้น ซึ่งในปัจจุบันโรคนี้สามารถรักษาหายได้ด้วยการใช้ยา การรักษาทางจิตใจหรือทั้งสองอย่างรวมกัน

3.การที่เราติดสนิทกับพระเจ้า  มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้รึเปล่าครับ?

   ตอบ  ถ้าเป็นมาแล้ว การติดสนิทกับพระเจ้าแม้ไม่ได้ทำให้หายขาดในทันที แต่จะช่วยให้ดีขึ้นเรื่อยๆ เหมือนอย่างที่หลายคนได้เป็นประจักษ์พยานให้เห็นแล้ว แต่หากเรายังไม่เป็นและเราติดสนิทกับพระเจ้าจริงๆย่อมเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะเป็นโรคเช่นนี้ได้ เพราะถ้าเราเป็นโรคซึมเศร้าก็เท่ากับว่าเราไม่ได้ติดสนิทกับพระเจ้าแม้เพียงช่วงสั้นๆ ช่วงหนึ่งก็เกินพอแล้ว

4.แล้วมีคนเคยบอกว่าการเป็นโรคซึมเศร้าเป็นการทำงานของมาร คิดแบบนี้ผิดรึป่าวครับ?  แล้วเราควรคิดอย่างไรครับ?

   ตอบ   อาจจะเป็นงานของมารก็ได้ แต่โดยทั่วไป น่าจะมาจากหลายสาเหตุ และไม่ว่าจะมาจากสาเหตุใด ที่แน่ๆ ก็คือ สาเหตุเหล่านั้นล้วนเป็นความกดดันที่หนักหนาหรือหนักหน่วงเกินกว่ากาย  และจิตใจของเราจะรับไหวโดยลำพัง

5.ทางการแพทย์ บอกว่าโรคซึมเศร้าเป็นความผิดปกติของสารเคมีในสมอง  คริสเตียนอย่างเราควรคิดอย่างไรครับ?

   ตอบ   ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้  เพราะหมอมักเน้นว่าปัญหามาจากยีนบางตัว แต่ความศรัทธาในพระเจ้า ผู้สร้างยีน ทุกตัวในร่างกายของเรา ย่อมสามารถรักษาอาการผิดปกติของยีนเหล่านั้นได้ ดังนั้นการพึ่งพระเจ้าอย่างถูกต้องตามพระวจนะของพระองค์จะเพิ่มพูนคุ้มกันอันเข้มแข็งทางจิตวิญญาณที่จะป้องกัน คุ้มครองหรือช่วยเยียวยารักษาให้เราหลุดพ้นจากสภาวะซึมเศร้าได้ และหากปัญหาเป็นมาจากยีน หรือ สารเคมีจริงๆ ก็ให้เราขอพระเจ้าทรงช่วย ขอพี่น้องช่วย ควบคู่ไปกับการใช้ยาที่ จำเป็นเหมาะสม

6.แล้วในฐานะที่เราเป็นคริสเตียน  เราจะช่วยคนเหล่านี้ได้อย่างไรบ้างครับ?

   ตอบ  ปกติแพทย์ แนะนำวิธีการรักษาโรคซึมเศร้า 3 ช่องทางที่ควรทำพร้อมๆกันคือช่องทาง อย่างแรกคือ ยา ที่จะช่วยปรับสารสื่อประสาทในสมองให้สมดุล แต่ช่องทางอย่างสองที่สำคัญมากกว่าคือ คือ การทำจิตบำบัดให้คนไข้ (เช่นคนไข้มีปัญหาที่การควบคุมอารมณ์ ก็แก้ที่การควบคุมอารมณ์)  และช่องทางที่ 3 ก็คือ ช่องทางทางสังคม ก็มีส่วนสำคัญมากในการมีส่วนช่วยบำบัดฟื้นฟู เช่น คนไข้ที่ไปรักษากับแพทย์ กลับบ้านไปมีกิจกรรมทำ ไปเรียนหนังสือตามปกติ ไปทำงานมีเพื่อนฝูงตามปกติ จะยิ่งทำให้คนไข้ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติได้ไว

เปรียบเทียบกับคนที่ทานยา แต่เก็บตัว ไม่สุงสิงกับใคร แม้ทั้ง 2 รายจะทานยาเหมือนกันแต่ว่าผลในการรักษาจะแตกต่างกัน นั่นคือ กลุ่มที่เก็บตัว จะมีผลการรักษาที่ไม่ดีเท่าที่ควรแพทย์บอกว่าโรคซึมเศร้ามักเริ่มเป็นตอนอายุ 25 ปี แล้วจะเป็นไประยะยาวเลย แม้รักษาแล้วก็ยังต้องเฝ้าติดตามอาการอย่างใกล้ชิด เหมือนโรคเบาหวาน ความดัน ที่ต่อให้ไม่มีอาการแล้วก็ต้องทานยาควบคุมไม่ให้อาการกำเริบ

แต่โรคนี้ก็มีข้อดีตรงที่ เมื่อเข้ารับการรักษาแล้ว สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เป็นปกติ เป็นคนเก่ง เรียนถึงปริญญาโท ปริญญาเอก เป็นผู้บริหารระดับสูง เป็นคนที่ประสบความสำเร็จในสังคมได้ เราที่เป็นคริสเตียน จึงสามารถ ช่วยคนเป็นโรคซึมเศร้าได้ ในช่องทางที่ 2-3 นอกจากเราเป็นหมอในด้านนี้โดยตรง

1).เราต้องทำให้คนนั้นรู้จัก และเชื่อศรัทธาในพระเจ้า เพราะจะทำให้ควบคุมอารมณ์ตนเองได้ดีขึ้น

2).เราต้องช่วยให้คนนั้น เข้าหาใกล้ชิดพระเจ้าและพระวจนะของพระเจ้าเป็นประจำทุกวัน~สอนให้เขาอ่านพระคัมภีร์และอธิษฐานพึ่งวางใจพระเจ้า เพื่อควบคุมความคิดจิตใจ

3).เราต้องอยู่ใกล้ๆ หรือหาคนอยู่ใกล้ คอยดูแล ให้กำลังใจ~อธิษฐานร่วมกับเขา

4)เราต้องนำเขาเข้านมัสการและเข้ากลุ่มสามัคคีธรรมร่วมกับพี่น้องอยู่เป็นประจำ

5).เราต้องให้เขาได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือผู้อื่นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่มีคุณค่า

6).เราต้องสอนให้เขามองโลกในแง่ดีด้วยใจขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้าด้วยใจชื่นบานอยู่เสมอ  หากทำเช่นนี้ ร่วมกับการทานยาที่ถูกต้อง คนป่วยก็จะดีขึ้น และมีชีวิตอยู่อย่างปกติสุขได้ตลอดไป

7.แล้วถ้าเกิดขึ้นกับตัวเราเอง เราจะแก้ไขหรือรับมืออย่างไรได้บ้างครับ?

  ตอบ ให้เราขอพระเจ้าช่วยด้วยความมั่นใจ

“เมื่อคนชอบธรรมร้องทูล พระยาห์เวห์ทรงสดับ และทรงช่วยกู้เขาให้พ้นจากความยากลำบากทั้งสิ้น พระยาห์เวห์ทรงอยู่ใกล้ผู้ที่ใจแตกสลาย และทรงช่วยผู้สิ้นหวัง คนชอบธรรมอาจมีความทุกข์ใจหลายอย่าง แต่พระยาห์เวห์ทรงช่วยกู้เขาออกมาให้พ้นหมด”  ~สดุดี 34:17-19

และให้ทำตามข้อที่กล่าวมาแล้ว หรือขอคนหรือกลุ่มที่เราไว้ใจช่วยเราตามขั้นตอนที่กล่าว

 8.แล้วหลักการพระคัมภีร์เกี่ยวกับเรื่องนี้ไหมครับ?

    ตอบ พระคัมภีร์มีภาพของคนที่มีความทุกข์ทางจิตใจ (จนอาจออกอาการซึมเศร้า) ไว้มากมาย อาทิ

“ข้าพระองค์หมดแรงและถูกตีจนน่วม ข้าพระองค์ครวญครางเพราะความทุกข์ระทมใจ ข้าแต่องค์เจ้านาย ความปรารถนาทั้งสิ้นของข้าพระองค์ก็ปรากฏอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ การถอนหายใจของข้าพระองค์คงไม่พ้นที่พระองค์ทรงทราบ ใจของข้าพระองค์สั่น และเรี่ยวแรงของข้าพระองค์หมดไป และความสว่างในดวงตาของข้าพระองค์ก็พรากไปจากข้าพระองค์”  ~สดุดี 38:8-10 THSV11

  1. ให้ใจของเราและเขาถวายสาธุการแด่พระเจ้าเสมอ
  2. ให้จิตของเราจดจำและระลึกถึงพระราชกิจอันมีพระคุณของพระเจ้าเป็นประจำ
  3. ให้เราสำรวจใจ ชีวิต และพฤติกรรมของเราอยู่ตลอดเวลาว่ามีสิ่งใดผิดและต้องสารภาพบาปในสิ่งที่เราคิด ที่เราทำ และให้รีบแก้ไขในทันที
  4. ให้เราเข้าหาและขอพระเจ้าทรงปกป้องและรักษาเราให้พ้นจากโรคภัยเหล่านั้นด้วยความเชื่อจริงๆ ว่าจะหาย
  5. ให้เราชื่นชมและเปรมปรีดิ์กับความรักมั่นคงของพระเจ้าตลอดชีวิตของเรา

“จิตใจของข้าเอ๋ย จงถวายสาธุการแด่พระยาห์เวห์ และอย่าลืมพระราชกิจอันมีพระคุณทั้งสิ้นของพระองค์ ผู้ทรงอภัยความชั่วทั้งสิ้นของเจ้า ผู้ทรงรักษาโรคทั้งสิ้นของเจ้า ผู้ทรงไถ่ชีวิตของเจ้ามาจากหลุมมรณะ ผู้ทรงสวมความรักมั่นคงและพระกรุณาให้เจ้า ผู้ทรงให้เจ้าอิ่มด้วยของดี ตลอดชีวิตของเจ้า วัยหนุ่มของเจ้าจึงกลับคืนมาใหม่อย่างวัยนกอินทรี”  -สดุดี 103:2-5 THSV11

“มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นโรคโลหิตตกมาสิบสองปีแล้ว เธอทนทุกข์ลำบากมากกับหมอหลายคน และสูญสิ้นทรัพย์ที่เธอมี แต่โรคนั้นก็ไม่ได้บรรเทา กลับยิ่งกำเริบหนักขึ้น เมื่อหญิงผู้นั้นได้ยินถึงเรื่องพระเยซู เธอก็เดินเข้าไปในฝูงชนที่มาทางข้างหลังพระองค์ และแตะต้องฉลองพระองค์ เพราะคิดว่า “ถ้าฉันได้แตะต้องเพียงฉลองพระองค์ ฉันก็จะหายโรค” ทันใดนั้นโลหิตที่ตกก็หยุดแห้งไป และหญิงผู้นั้นรู้สึกตัวว่าโรคหายแล้ว พระเยซูเองก็ทรงรู้สึกทันทีว่าฤทธิ์ซ่านออกจากพระองค์ จึงเหลียวหลังมาหาฝูงชนตรัสว่า “ใครแตะต้องเสื้อของเรา?” พวกสาวกทูลว่า “พระองค์ทอดพระเนตรเห็นอยู่แล้วว่าฝูงชนกำลังเบียดเสียดพระองค์ แล้วพระองค์ยังจะทรงถามอีกหรือว่า ‘ใครแตะต้องเรา’?” พระเยซูทอดพระเนตรดูรอบๆ เพื่อจะดูว่าใครเป็นคนที่ทำ หญิงผู้นั้นก็กลัวจนตัวสั่น เพราะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเอง จึงมากราบลงทูลพระองค์ตามความเป็นจริงทั้งสิ้น พระองค์จึงตรัสกับหญิงผู้นั้นว่า “ลูกหญิงเอ๋ย ที่หายโรคนั้นก็เพราะลูกเชื่อ จงไปเป็นสุขและหายโรคนี้เถิด”   -มาระโก 5:25-34

 9.สุดท้ายอยากให้ อ.ฝากข้อคิดหนุนใจเราหน่อยครับ

    ตอบ  เราสามารถถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าได้ ไม่ว่าเราจะสุขภาพแข็งแรงดีเยี่ยม หรือปกติ หรือป่วยเป็นโรค (ซึมเศร้า) เราจะหายหรือไม่หาย ไม่สำคัญเท่ากับว่า เราจะถวายเกียรติแด่พระเจ้าจากชีวิตของเรา ในสภาพที่เราเป็น หรือไม่ มากแค่ไหน?

บางครั้งพระเจ้าทรงได้รับการถวายเกียรติจากเราในตอนที่เราเจ็บป่วยมากกว่าตอนที่เราปกติสมบูรณ์เสียด้วยซ้ำไป

จริงไหม?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, witter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ Nuisri)

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.