ฝุ่น vs พระเจ้า!
บทความอาทิตย์นี้ ขออุทิศให้กับเรื่องฝุ่นในกรุงเทพ ประเทศไทยเป็นพิเศษ โดยนำข้อคิดเห็นของ ดร.ประวิทย์ จงวิศาล อดีต อาจารย์ ภาควิชาอาชีวอนามัย คณะสาธารณสุขศาสตร์ ม. มหิดล ปริญญาเอก Industrial Hygine and Toxicology มาแบ่งปันดังนี้
“ขอชี้แจงว่า ฝุ่น ขนาด 2.5 ไม่ได้ทำอันตรายต่อร่างกายดังที่แชร์กันทั่วสังคมไทยยกเว้น คนโรคทางเดินหายใจ เด็กเล็กๆ และผู้ชรามากเรากำลังตกอยู่ในวิตกจริตเกินเหตุ เพราะพวกไม่รู้จริง และหาผลประโยชน์จากอุปกรณ์วัดฝุ่น ที่ปิดปากปิดจมูก เครื่องกรองอากาศมีบริษัทยักษ์ใหญ่เตรียมแผ่นกรองอากาศ มาติดกับเครื่องปรับอากาศทั่วไป ให้กรองฝุ่นได้ทำรายได้มากมายเครื่องกรองอากาศขณะนี้ราคาแพงมาก และขาดตลาดปั๊มน้ำและอุปกรณ์ฉีดน้ำ เพิ่มยอดขายมากมาย และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก
ผมขอชี้แจงว่า…
ตระหนักถึงป้ญหาได้ แต่อย่าตระหนกจนเกินเหตุ ทำให้ประเทศไทยเสียหายเกินเหตุ ต้องลงทุนกับการแก้ปัญหาเกินควร เช่น แทนที่จะมากวดขันจับรถควันดำ เพราะฝุ่นต้วนี้มาจากรถดีเซลเป็นส่วนใหญ่ และบริเวณก่อสร้างผู้รับเหมาไม่รดน้ำพื้นถนน รัฐต้องมากวดขันจริงจัง ไม่ใช่สั่งปิดโรงเรียน ปิดเรียนแล้วมันหายฝุ่น หรือ โรงเรียนไม่ใช่แหล่งกำเนิดฝุ่นรถดีเซลปิ๊กอับ และรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่วิ่งทั่วบ้านทั่วเมือง นั่นแหละเป็นแหล่งสำคัญของฝุ่นตัวนี้
ผมเคยบอกแล้วว่า ฝุ่นตัวนี้ เป็นปัญหาของทั้งโลกและประเทศไทยมานานแล้ว ไม่ใช่เกิดเฉพาะปีนี้ การท่องเที่ยวเราก็ได้รับผลกระทบ มีคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้นที่ได้ผลประโยชน์จากการฉวยโอกาส และบางกลุ่มต้องการทำลายภาพลักษณ์ประเทศและรัฐบาล
ผมขอเรียนชี้แจงว่า ร่างกายเรา ตามธรรมชาติ ออกแบบมาให้ป้องกันอันตรายจากฝุ่นตัวนี้อย่างดี มิฉะนั้นแล้ว มนุษย์คงตายจากฝุ่นหมดแล้ว เรายังอยู่รอดมาได้ เพราะร่างกายเราถูกออกแบบป้องกันฝุ่นอย่างดีเลิศ ฝุ่นขนาดเกิน10 ไมครอน จะไม่สามารถหายใจเข้าไปทางเดินหายใจได้ เพราะมนุษย์มีขนจมูกดักไว้ ส่วนที่เล็กกว่า 10 ไมครอน ก็ผ่านขนจมูกเข้าไปได้ ยิ่งฝุ่นขนาดเล็กเท่าไร ก็ยิ่งลงไปลึกสู่ปอด อันตรายทุกขนาดที่ลงไปลึก ไม่ใช่กลัวกันที่ 2.5 ไมครอนเท่านั้น เมื่อฝุ่นผ่านทางเดินหายใจลงไปได้ ตลอดทางเดินหายใจจะมีเยื่อเมือกคอยจับฝุ่นไว้ ไม่ให้ลงไปลึก ขณะเดียวกัน ที่เยื่อเมือก จะมีขนเป็นจำนวนมาก ค่อยกระพือเยื่อเมือกที่จับฝุ่นได้แล้ว ย้อนกลับขึ้นมาค่อยๆ ขึ้นมาจนถึงลิ้นปิด-เปิดทางเดินอาหาร และทางเดินหายใจบริเวณลำคอของเรา จากนั้น เยื่อเมือกที่จับฝุ่นได้แล้ว จะถูกกลืนลงกระเพาะ
ฝุ่นปกติจะทนต่อกรดในกระเพาะฝุ่นส่วนใหญ่ จึงถูกขับออกพร้อมกับอุจาระส่วนเยื่อเมือกที่จับฝุ่นแล้ว บางส่วนจะถูกขับด้วยการไอ จาม ออกมาเป็นเสมหะออกจากร่างกายท่าน
เคยสังเกตไหมเวลาเดินทางไปบริเวณที่มีฝุ่นมาก เมื่อขากเสมหะออกมา จะมีฝุ่นติดมาด้วย เสมหะคนขายถ่านจะมีสีดำจากฝุ่นถ่านสีคล้ายเฉาก๊วย นี่คือ กลไกที่มนุษย์ถูกออกแบบ มาสู้กับฝุ่นบนพื้นโลก ถ้าไม่แน่จริง มนุษย์สูญพันธุ์หมดแล้ว โลกเรามีฝุ่นตั้งแต่กำเนิดโลกมาหลายล้านปีแล้ว
นอกจากนี้ ฝุ่นขนาดเล็กมากๆ มีมวลน้อยมาก จึงไม่สามารถถูกจับโดยเยื่อเมือก ก็จะถูกขับออกจากร่างพร้อมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตอนหายใจออก
ท่านเห็นความอัศจรรย์ของร่างกายมนุษย์หรือยัง? อย่าตระหนกตกใจ สติแตก เกินเหตุ เราจะตกเป็นเหยื่อของคนบางคนตามที่ผมให้ความเห็นมาแลัว ผมอ้างอิงจากการเรียนพิษวิทยาปริญญาเอกที่ได้ทุนจากรัฐบาลไปเรียนที่สหรัฐอเมริกา ไม่ได้มโนขึ้นมาเหมือนบางคน
ข้อเสนอแนะสั้นๆ ของผมคือ ให้รัฐบาลรีบแกัไขที่แหล่งใหญ่ของฝุ่นตัวนี้อย่างจริงจัง และไม่ต้องแพร่ข่าวมากเกินไปจนทำลายภาพลักษณ์ของประเทศ ประชาชนต้องร่วมมือกัน และขอให้ดูตัวอย่างจีนว่า เขาทำอย่างไร จีนปิดโรงงาน แต่ไทยปิดโรงเรียน”
ขอบคุณพระเจ้า ที่เราได้เรียนรู้ว่า ในสภาวะปกติ ร่างกายของเราได้รับการออกแบบมาจากพระองค์ ที่พร้อมเผชิญและสามารถปรับตัวให้เข้ากับทุกสภาวะได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในท่ามกลางวิกฤติเรื่องฝุ่นควัน
พระเจ้าทรงสร้างร่างกายมนุษย์ให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของจักรวาลในการรับมือกับฝุ่นต่างๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์ โดยจมูก ทางเดินหายใจ กระเพาะและส่วนอื่นๆ ของร่างกาย สามารถดักจับสิ่งแปลกปลอมและเป็นพิษ และกำจัดมันทิ้งไปในรูปแบบต่างๆ เราจึงควรขอบคุณพระเจ้า วางใจพระองค์ และดูแลรักษาร่างกายของเราให้อยู่ในสภาพปกติให้มากที่สุด เพื่อเราจะไม่วิตกจริต และไม่เสียเงินให้โรงพยาบาล ให้หมอ และให้ยาโดยไม่จำเป็น
ในขณะเดียวกัน ก็จงรักษาสุขภาพฝ่ายจิตวิญญาณของเราด้วยเช่นกัน นั่นคือต้องรู้จักจัดเวลาพักผ่อนฝ่ายวิญญาณให้เพียงพอ ทานอาหารฝ่ายวิญญาณให้เพียงพอ ออกกำลังกายฝ่ายวิญญาณให้เพียงพอและใช้ร่างกายและจิตวิญญาณที่มีสุขภาพดีนี้ มารับใช้พระเจ้าด้วยความรักร่วมกัน ผ่านคริสตจักรของเรา เพื่อจะนำความรอด ความเจริญเติบโต มาสู่คนมากมายรอบตัวของเรา
…จะดีไหมครับ?
-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-
twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer
(Cr.ภาพ Capt. Popeye)