จงขอบพระคุณเมื่อนับเศษสตางค์
แม้ต้นมะเดื่อไม่มีดอกบาน หรือเถาองุ่นไม่มีผล ผลมะกอกก็ขาดไป ทุ่งนามิได้ผลิตอาหาร แม้ฝูงแพะแกะขาดไปจากคอก และไม่มีฝูงวัวที่ในโรง ถึงกระนั้น ข้าพเจ้าจะร่าเริงในพระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์ในพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพเจ้า (ฮาบากุก 3:17-18 THSV11)
ในยุคของผู้เผยพระวจนะฮาบากุก เกิดการถดถอยทางเศรษฐกิจ ไม่มีวัวที่ในโรงนา ไม่มีผลผลิตให้เก็บเกี่ยวในทุ่งนา
“แต่…” ผู้เขียนกล่าวว่า ข้าพเจ้ารู้สึกร่าเริงยินดี คำว่า “ถึงกระนั้น “ ในข้อ 18 “ข้าพเจ้าจะร่าเริงในพระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์ในพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพเจ้า”
ความเปรมปรีดิ์ของเขามาจากไหน? ในพระเจ้า ไม่ใช่ในสถานการณ์!
ถ้าสถานการณ์เป็นตัวเอื้อความสุขให้คุณ คุณไม่อาจพูดว่า “จงชื่นชมยินดีอยู่เสมอ” ได้เพราะสถานการณ์จะเปลี่ยนไป คุณอาจตกงาน สุขภาพแย่ลง มีปัญหากับเพื่อนๆ หรือสูญเสียทรัพย์ แต่ฮาบากุกกล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์ในพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพเจ้า”
มีอยู่หนึ่งหนทางที่จะค้นพบความเปรมปรีดิ์ของคุณได้ ไม่ใช่จากงานของคุณ ถ้าเราเอางานที่คุณรักออกไป คุณจะยังมีความสุขอยู่หรือไม่ ถ้าคุณภาคภูมิใจว่าออกกำลังกายสม่ำเสมอและมีสุขภาพที่ดี วันหนึ่งเมื่อเจ็บป่วย คุณยังร่าเริงอยู่ได้หรือไม่
ไม่ผิดที่คุณจะภาคภูมิใจในสุขภาพ มีงานทำที่ดี มีเพื่อนที่รักคุณมากมาย แต่ความสุขเช่นนี้เปราะบางและอาจถูกคุกคามได้ ความสุขเปรมปรีดิ์เดียวที่คุณมีได้คือในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์ไม่ทรงเปลี่ยนแปลง ถ้าความสุขที่ได้มาจากแหล่งอื่น มันก็หมดหรือจบลงได้… คุณจำเป็นต้องมีความสุขเปรมปรีดิ์ที่อยู่เหนือกว่านั้น
“พระองค์ทรงสำแดงวิถีแห่งชีวิตแก่ข้าพระองค์ ต่อพระพักตร์พระองค์มีความยินดีเปี่ยมล้น ในพระหัตถ์ขวาของพระองค์มีความเพลิดเพลินอยู่เป็นนิตย์” (สดุดี 16:11 THSV11)
โดย: Pastor Adrian Rogers’ daily devotiona
อนุญาตโดย Love worth Finding: www.lwf.org
(Cr.ภาพ Nuisri)