จงระวังวิถีการตีความพระคัมภีร์ของคุณ!
“ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจข้อนี้ก่อน คือผู้หนึ่งผู้ใดจะตีความหมายคำของผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เอาเองไม่ได้ !” (2เปโตร 1:20 THSV11)
(knowing this first of all, that no prophecy of Scripture comes from someone’s own interpretation.)
ใครๆต่างก็อ้างว่าตัวเขานั้นเชื่อพระคัมภีร์ แต่น่าแปลกที่หลายครั้งพวกเขาตีความพระคัมภีร์กันโดยไม่คำนึงถึงบริบทโดยรวมของพระคัมภีร์ พวกเขาตีความหมายพระคัมภีร์ตามใจ ตามความคิดหรือตามอารมณ์ของตัวเอง โดยไม่สนใจว่าจริงๆ แล้ว
พระคัมภีร์หมายความเช่นนั้นจริงๆ หรือ?
จึงไม่แปลกว่า ทำไมพระคัมภีร์เล่มเดียวกัน แต่กลับมีการตีความแตกต่างกันนับร้อยนับพันอย่าง ผลที่ตามมาก็คือ ความขัดแย้งและการทะเลาะต่อสู้กันไม่รู้จักจบสิ้น!
เราควรเข้าใจว่า โดยธรรมชาติมนุษย์เราเป็นคนบาป แม้แต่คนที่เชื่อพระคริสต์ด้วยใจก็ยังคงไม่ได้มีความคิดหรือจิตใจที่เที่ยงตรงสมบูรณ์แบบ 100 % อย่างที่พระเจ้าทรงประสงค์
ใช่ครับ กาย จิต และวิญญาณของเรายังคงได้รับผลกระทบจากบาป จึงทำให้ยากที่เราจะตีความได้อย่างถูกต้อง 100% ตามมุมมองของพระเจ้า ในการตีความพระคัมภีร์ เราจึงจำเป็นต้องพึ่ง:
- พระวิญญาณบริสุทธิ์ในการทำให้เข้าใจความหมายที่แท้จริง
- คนอื่น ๆ ที่ในการมองความจริงนั้นให้รอบด้านหลายมุม
- ตัวเราเอง ที่จะใช้ความรู้และประสบการณ์ของเราที่เรียนรู้มาทำความเข้าใจและประยุกต์ใช้ได้อย่างถูกต้อง
แนวทางตีความพระคัมภีร์ที่มีประโยชน์ก็คือ ให้เราหาข้อมูลต่อไปนี้
- ใครเขียน /พูด ข้อความเหล่านั้น?
- เขาเขียนและพูดกับผู้ใด?
- ข้อความหลักที่เขาพูด/เขียนคืออะไร?
- คำวลีหรือข้อความใดที่ต้องตรวจดูอย่างถ้วนถี่?
- สภาพแวดล้อม หรือสถานการณ์ ณ ระหว่างที่เขียนหรือพูดนั้นเป็นอย่างไร?
- บริบทที่กว้างกว่านั้นในบทนี้ หรือในหนังสือคืออะไร?
- มีข้อใดที่เกี่ยวข้องกับหัวเรื่องของตอนที่อ่าน/พูด อยู่และส่งผลต่อความเข้าใจในเนื้อหาตอนนี้?
- ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์หรือทางวัฒนธรรมของข้อความตอนนี้ คืออะไร?
- ข้อสรุปของฉันเกี่ยวกับข้อความตอนนี้คืออะไร? สอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับข้อสรุปของคนอื่นที่ศึกษาพระธรรมตอนนั้น ๆ อย่างไรบ้าง?
- ฉันเรียนรู้บทเรียนสำคัญอะไร และฉันจะนำมาประยุกต์กับชีวิตจริงของฉันอย่างไร?
ขอย้ำอีกครั้งว่า …
เราต้องระวังที่จะไม่ตีความหมายของพระคัมภีร์ตอนที่เราอ่านตามอคติหรือตามความเข้าใจของเราเอง ขอให้เราตระหนักไว้เสมอว่า สิ่งที่พระเจ้าทรงเป็นกับทรงกระทำ และสิ่งที่พระเจ้าตรัสนั้น จะขัดแย้งกันไม่ได้ อย่าให้การตีความพระวจนะของพระเจ้าของเราขัดกับพระลักษณะอันบริสุทธิ์ที่เปี่ยมด้วยความรักเมตตาของพระองค์
ดังนั้น อย่าให้เราเน้นความจริงตามที่ปรากฏเป็นตัวอักษรมากจนตัวเราไร้ซึ่งความรักเมตตา อย่างที่พระเจ้าทรงเป็นและทรงมี จนพระเจ้าต้องตรัสสั่งให้เรากลับไปอ่านพระคัมภีร์ใหม่อีกรอบ!
เหมือนดังที่พระเยซูคริสต์เคยตรัสกับพวกฟาริสีว่า …
“ท่านจงไปเรียนความหมายของคัมภีร์ข้อนี้ ที่ว่า ‘เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา’ ด้วยว่าเราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเรียกคนบาป” (มัทธิว 9:13 THSV11)
ฉะนั้น วันนี้ขอให้เราสวมพระทัย และสายพระเนตรของพระเจ้าในขณะที่เราอ่านและตีความหมายพระวจนะของพระองค์ไว้เสมอ
…เห็นด้วยไหมครับ?
-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-
twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/ lifeanswer, facebook.com/ lifeanswer
(Cr.ภาพ Christianitytoday)