Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียนพระธรรมกิจการของอัครทูต บทเรียนที่ 3

คำเทศนาแรกในวันเปิดคริสตจักร!

พระธรรม      กิจการ  2:14-47
อ้างอิง           อสย44:3;อสย53:10;กจ21:9-12;ลก21:11;สดด105:1;110:1;ยอล2:28-32;1คร6:14;15:15;ฮบ13:20; คส2:12;ยรม36:3

บทนำ           ในวันที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมาสถิตกับบรรดาผู้เชื่อเป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการในวันเปิดคริสตจักรของพระคริสต์นั้น พระองค์ทรงประทานถ้อยคำอันเปี่ยมด้วยสิทธิอำนาจผ่านคำเทศนากัณฑ์แรกของเปโตรจนเกิดการกลับใจของคนจำนวนมาก เข้ามาเป็นสมาชิกทั้งในคริสตจักรสากลและในคริสตจักรท้องถิ่นครั้งแรกขึ้นจำนวนมากมายอย่างน้อย 3000 คน

บทเรียน
 2:14 “แต่เปโตรได้ยืนขึ้นพร้อมกับอัครทูตสิบเอ็ดคน และกล่าวกับเขาทั้งหลายด้วยเสียงดังว่า “พี่น้องชาวยิวกับทุก ท่านที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม จงทราบเรื่องนี้และฟังถ้อยคำของข้าพเจ้า” 

    (But Peter, standing with the eleven, lifted up his voice and addressed them: “Men of Judea and all who dwell in Jerusalem, let this be known to you, and give ear to my words. )

 2:15 “คนเหล่านี้ไม่ได้เมาเหล้าองุ่นเหมือนอย่างที่ท่านทั้งหลายคิด เพราะว่าเพิ่งจะเก้าโมงเช้าเท่านั้น” 

    (For these people are not drunk, as you suppose, since it is only the third hour of the day. )

 2”16 “แต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตามคำที่โยเอลผู้เผยพระวจนะกล่าวไว้ว่า”

     (But this is what was uttered through the prophet Joel)

 2:17 “‘พระเจ้าตรัสว่า ในวาระสุดท้าย เราจะเทพระวิญญาณของเราบนมนุษย์ทั้งหมดบุตรา บุตรีของท่านทั้งหลายจะเผยพระวจนะบรรดาคนหนุ่มของท่านจะเห็นนิมิตและบรรดาคนแก่ของท่านทั้งหลายจะฝันเห็น”

     ( “‘And in the last days it shall be, God declares, that I will pour out my Spirit on all flesh, and your sons and your daughters shall prophesy, and your young men shall see visions, and your old men shall dream dreams;)

2:18 “แน่ทีเดียวเวลานั้น เราจะเทพระวิญญาณของเราบนทาสทาสีของเราและเขาทั้งหลายจะเผยพระวจนะ”

    (even on my male servants and female servants in those days I will pour out my Spirit, and they shall prophesy.)

 2:19 “เราจะสำแดงการอัศจรรย์ในอากาศเบื้องบนและ หมายสำคัญที่แผ่นดิน เบื้องล่างเป็นเลือด ไฟ และไอควัน”

     ( And I will show wonders in the heavens above and signs on the earth below, blood, and fire, and vapor of smoke;)

2:20 “ดวงอาทิตย์จะมืดไปและดวงจันทร์จะกลับเป็นเลือดก่อนถึงวันยิ่งใหญ่และสง่างามของพระเจ้า”

    (the sun shall be turned to darkness and the moon to blood, before the day of the Lord comes, the great and magnificent day.)

2:21 “และจะเป็นเช่นนี้คือ ทุกคนที่ร้องขอในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะได้รับความรอด’” 

     (And it shall come to pass that everyone who calls upon the name of the Lord shall be saved.)

2:22 “ท่านทั้งหลายผู้เป็นชนชาติอิสราเอล จงฟังเรื่องต่อไปนี้ คือพระเยซูชาวนาซาเร็ธผู้ที่พระเจ้าทรงรับรองต่อท่านทั้งหลาย โดยการอิทธิฤทธิ์ การอัศจรรย์และหมายสำคัญต่างๆ ที่พระเจ้าได้ทรงทำโดยพระองค์ท่ามกลางท่านทั้งหลาย ดังที่พวกท่านทราบอยู่แล้ว” 

     (“Men of Israel, hear these words: Jesus of Nazareth, a man attested to you by God with mighty works and wonders and signs that God did through him in your midst, as you yourselves know)

 2:23 “พระเยซูองค์นี้ทรงถูกมอบไว้ตามที่พระเจ้าทรงดำริแน่นอนและทรงทราบล่วงหน้า และท่านทั้งหลายได้ประหารพระองค์ด้วยการตรึงพระองค์บนกางเขนโดยอาศัยน้ำมือของคนอธรรม”

    (this Jesus, delivered up according to the definite plan and foreknowledge of God, you crucified and killed by the hands of lawless men. )

 2:24 “แต่พระเจ้าทรงทำให้พระองค์คืนพระชนม์ ทรงให้พ้นจากความตายอันปวดร้าว เพราะว่าความตายจะครอบงำพระองค์ไว้ไม่ได้” 

     (God raised him up,loosing the pangs of death, because it was not possible for him to be held by it.)

2:25 “เพราะดาวิดกล่าวถึงพระองค์ว่า‘ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรงหน้าข้าพเจ้าเสมอเพราะพระองค์ประทับที่ขวามือของข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหว”

     (For David says concerning him, “‘I saw the Lord always before me, for he is at my right hand that I may not be shaken;)

2:26 “เพราะเหตุนี้ จิตใจของข้าพเจ้าจึงยินดี และลิ้นของข้าพเจ้าจึงเปรมปรีดิ์ยิ่งกว่านั้นร่างกายของข้าพเจ้าจะอยู่ด้วยความหวัง”

     (therefore my heart was glad, and my tongue rejoiced; my flesh also will dwell in hope.)

2:27 “เพราะพระองค์จะไม่ทรงละข้าพระองค์ไว้ในแดนคนตายทั้งจะไม่ทรงให้องค์บริสุทธิ์ของพระองค์เปื่อยเน่าไป”

     (For you will not abandon my soul to Hades, or let your Holy One see corruption.)

2:28 “พระองค์จะทรงให้ข้าพระองค์รู้จักทางแห่งชีวิตแล้วพระองค์จะทรงให้ข้าพระองค์มีความยินดีเต็มเปี่ยมด้วยการสถิตของพระองค์’” 

      (You have made known to me the paths of life; you will make me full of gladness with your  presence.’)

2:29 “พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้ามีใจกล้าที่จะกล่าวกับท่านทั้งหลายถึงดาวิดบรรพบุรุษของเราว่า ท่านตายแล้วและถูกฝังไว้แล้ว และอุโมงค์ฝังศพของท่านยังอยู่กับเราจนถึงทุกวันนี้” 

       (“Brothers, I may say to you with confidence about the patriarch David that he both died and was buried, and his tomb is with us to this day.) 

 2:30 “ท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ และทราบว่าพระเจ้าตรัสสัญญาไว้กับท่านด้วยพระปฏิญาณว่าพระองค์จะประทานผู้หนึ่งในวงศ์ตระกูลของท่านให้นั่งบนบัลลังก์ของท่าน” 

      (Being therefore a prophet, and knowing that God had sworn with an oath to him that he would set one of his descendants on his throne, )

2:31 “ท่านก็ล่วงรู้เหตุการณ์นี้ก่อน จึงกล่าวถึงการคืนพระชนม์ของพระคริสต์ว่า ‘พระเจ้าไม่ทรงละพระองค์ไว้ในแดนคนตายทั้งพระกายของพระองค์ ก็ไม่ทรงเปื่อยเน่าไป’”

      (he foresaw and spoke about the resurrection of the Christ, that he was not abandoned to Hades, nor did his flesh see corruption. )

 2:32 “พระเยซูองค์นี้พระเจ้าได้ทรงให้คืนพระชนม์แล้วซึ่งเราทุกคนคือสักขีพยานของเรื่องนี้” 

     (This Jesus God raised up, and of that we all are witnesses. )

2:33 “เพราะฉะนั้นเมื่อทรงเชิดชูพระองค์ขึ้นอยู่ที่พระหัตถ์เบื้องขวาของพระเจ้าแล้วและเมื่อพระองค์ทรงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์จากพระบิดาตามพระสัญญาแล้ว พระองค์ทรงเทลงมาดังที่ท่านทั้งหลายได้ยินและได้เห็น”

      (Being therefore exalted at the right hand of God, and having received from the Father the promise of the Holy Spirit, he has poured out this that you yourselves are seeing and hearing. )

2:34 “เพราะว่าดาวิดไม่ได้ขึ้นไปยังสวรรค์แต่ท่านกล่าวว่า‘พระเจ้าตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่าจงนั่งที่ขวามือของเรา”

     (For David did not ascend into the heavens, but he himself says, “‘The Lord said to my Lord, “Sit at my right hand,)

 2:35 “จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของท่านเป็นที่รองเท้าของท่าน” 

     (until I make your enemies your footstool.)

2:36 “เพราะฉะนั้น ให้พงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งหมดทราบแน่นอนว่า พระเจ้าทรงแต่งตั้งพระเยซูที่ท่านทั้งหลายตรึงไว้บนกางเขนนั้นให้เป็นทั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระคริสต์

    (Let all the house of Israel therefore know for certain that God has made him both Lord and Christ, this Jesus whom you crucified.”)

2:37 “เมื่อคนทั้งหลายได้ยินแล้วก็รู้สึกแปลบปลาบใจ จึงกล่าวกับเปโตรและอัครทูตคนอื่นๆ ว่า “พี่น้องเอ๋ย เราจะทำอย่างไรดี?” 

     (Now when they heard this they were cut to the heart, and said to Peter and the rest of the apostles, “Brothers, what shall we do?” )

 2:38 “เปโตรจึงกล่าวกับเขาทั้งหลายว่า“จงกลับใจใหม่และรับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูคริสต์ให้หมดทุกคนเพื่อพระเจ้าจะทรงยกความผิดบาปของท่านทั้งหลาย แล้วพวกท่านจะได้รับของประทานคือพระวิญญาณบริสุทธิ์” 

      (And Peter said to them, “Repent and be baptized every one of you in the name of Jesus Christ for the forgiveness of your sins, and you will receive the gift of the Holy Spirit. )

 2:39 “เพราะว่าพระสัญญานั้นตกแก่ท่านทั้งหลายกับลูกหลานของพวกท่านด้วย และแก่ทุกคนที่อยู่ไกล คือทุกคนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราทรงเรียกให้มาเฝ้า” 

      (For the promise is for you and for your children and for all who are far off, everyone whom the Lord our God calls to himself.” )

 2:40 “เปโตรจึงกล่าวอีกหลายเรื่องเป็นพยานและเตือนสติพวกเขาว่า “จงเอาตัวรอดจากชาติพันธุ์ที่คดโกงนี้เถิด” 

      (And with many other words he bore witness and continued to exhort them, saying, “Save yourselves from this crooked generation.” )

2:41 “คนทั้งหลายที่รับถ้อยคำของเปโตรก็รับบัพติศมา ในวันนั้นมีคนเข้าเป็นสาวกประมาณสามพันคน” 

     (So those who received his word were baptized, and there were added that day about three thousand souls.)

 2:42 “เขาทั้งหลายอุทิศตัวเพื่อฟังคำสอนของบรรดาอัครทูตและร่วมสามัคคีธรรม รวมทั้งหักขนมปังและอธิษฐาน”

      (And they devoted themselves to the apostles’ teaching and the fellowship, to the breaking of bread and the prayers. )

 2:43 “เขาทั้งหลายมีความเกรงกลัวด้วยกันทุกคน และพวกอัครทูตทำการอัศจรรย์ และหมายสำคัญมากมาย” 

       (And awe came upon every soul, and many wonders and signs were being done through the apostles.)

 2:44 “คนทั้งหมดที่เชื่อถือก็อยู่รวมกัน และนำทุกสิ่งมารวมเป็นของกลาง” 

       (And all who believed were together and had all things in common. )

 2:45 “และพวกเขาขายที่ดินและทรัพย์สิ่งของมาแบ่งให้แก่กันตามความจำเป็น”

       (And they were selling their possessions and belongings and distributing the proceeds to all, as any had need. )

 2:46 “ทุกๆ วัน พวกเขาอุทิศตัวอยู่ด้วยกันในพระวิหารและหักขนมปังตามบ้านของพวกเขา รับประทานอาหารร่วมกันด้วยความชื่นชมยินดีและจริงใจ”

      (And day by day, attending the temple together and breaking bread in their homes, they received their food with glad and generous hearts, )

 2:47 “ทั้งสรรเสริญพระเจ้าและได้รับความชื่นชอบจากทุกคน องค์พระผู้เป็นเจ้าก็โปรดให้คนทั้งหลายที่กำลังจะรอดเพิ่มจำนวนเข้ามามากยิ่งขึ้นทุกๆ วัน”

     (praising God and having favor with all the people. And the Lord added to their number day by day those who were being saved.)

ข้อมูลมีประโยชน์

2:14     “กับอัครทูตสิบเอ็ดคน”( with the eleven)  =พวกอัครทูตได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์และพูดภาษาท้องถิ่นในประเทศต่างๆ  และในเวลานี้ พวกเขายืนขึ้นกับเปโตรผู้ทำหน้าที่เป็นโฆษกของพวกเขา
2:15      “เพิ่งจะเก้าโมงเช้าเท่านั้น” (the third hour of the day)
             -ในเทศกาลอย่างวันเพ็นเทคอสต์ ชาวยิวจะไม่รับประทานอาหารจนกว่าจะถึงเวลา 10.00 น. จึงเป็นไปไม่ได้ เลยที่คนพวกนี้ จะเมาเหล้าองุ่นในช่วงเวลาเช่นนี้
2:17-18 “ประชากรทั้งปวง บุตรชายบุตรสาว..คนหนุ่ม..คนชรา..ชาย..หญิง” (all flesh, your sons and your daughters… your young men … old men …male … female  )
               =พระเจ้าทรงประทานพระวิญญาณให้ลงมาสถิตในทุกคนไม่เกี่ยงเรื่องวัย เพศ หรือชนชั้น
 2:17     “วาระสุดท้าย” (the last days)-อสย.2:2;ฮชย.3:5;มคา.4:1;1ทธ.4:1;2ทธ.3:1;ฮบ.1:2;1ปต.1:20;  1ยน.2:18  

              -ในภาษาฮีบรู โยเอล ใช้คำว่า”ในภายหลัง” ส่วนในฉบับภาษากรีกที่เรียกว่า เซปตัวจิ้น ใช้คำว่า “หลังจากสิ่งเหล่านี้
              เปโตรตีความว่าเป็นยุคพันธสัญญาใหม่ซึ่งเป็นยุคหลัง คือ เป็นยุคของพระเมสสิยาห์ (ยรม.31:33-34; อสค .36:26-27;39:29) ซึ่งต่างจากยุคพันธสัญญาเดิมซึ่งเป็นยุคแรก(1:2)
 2:18     “เขาทั้งหลายจะเผยพระวจนะ” (they shall prophesy ) -1คร.12:10
 2:19-20 –ยอล.2:30-31;มก13:24-25
 2:21     “ทุกคนที่ร้องขอ” ( everyone who calls)-ปท.ข.39 =ต้องมีทั้งความเชื่อและการสนองตอบด้วยไม่ใช่แค่พูดเท่านั้น -มธ.7:21

2:22    “ทรงรับรองต่อท่านทั้งหลายโดยอิทธิฤทธิ์ การอัศจรรย์และหมายสำคัญต่างๆ” (God with mighty works and wonders and signs) =พระราชกิจยิ่งใหญ่ต่างๆของพระเยซูคริสต์ที่ทรงกระทำเป็นหลักฐานยืนยันว่าพระเมสสิยาห์ได้เสด็จมาแล้ว
2:23  “พระเจ้าทรงดำริแน่นอน และทรงทราบล่วงหน้า” (the definite plan and foreknowledge of God)
            =พระเจ้าทรงกำหนดและสำแดงพระประสงค์ของพระองค์ผ่านทางบรรดาผู้เผยพระวจนะว่า พระเมสสิยาห์ จะต้องทน ทุกข์ทรมาน และสิ้นพระชนม์  (17:2-3;26:22-23;ลก.24:25-26,45-46 ปท.1ปต1:11
2:27    “ไม่ทรงละข้าพระองค์ไว้ในแดนคนตาย” (will not abandon my soul to Hades ) = บางฉบับแปลว่า

           “ไม่ทรงทิ้งข้าพระองค์ไว้กับหลุมฝังศพ” –พระเจ้าจะไม่ยอมให้ร่างกายของพระเมสสิยาห์เน่าเปื่อย (ข.31)
2:29   “อุโมงค์ฝังศพของท่านยังอยู่กับเราจนถึงทุกวันนี้” (his tomb is with us to this day ) = สุสานของเขาก็อยู่ที่นี่   

            =อุโมงค์ฝังศพและร่างของดาวิดยังอยู่ในเยรูซาเล็ม
 2:33    “เมื่อทรงรับการเชิดชูสู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าแล้ว”  (Being therefore exalted at the right hand of God) –ฮบ.1:2-3
             “พระวิญญาณบริสุทธิ์…ตามพระสัญญา” (the promise of the Holy Spirit, ) -1:4
             “ได้ทรงเทลงมา” (poured out ) -ข.17;ยอล.2:28
2:34     “พระเจ้าตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า” (The Lord said to my Lord)  =ดาวิดเรียกเชื้อสายของพระองค์ด้วยความเคารพยำเกรง เพราะพระวิญญาณทรงดลใจให้ตระหนักว่าผู้ที่จะมาบังเกิดนั้นยิ่งใหญ่ และบริสุทธิ์ยิ่งนัก (มธ.22:41-45)  ไม่เพียงแต่จะเป็นจากตาย (31-32) แต่ยังได้รับการยกชูสู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าด้วย (33-35) และทรงส่งพระวิญญาณลงมา (33;ยน.16:7;สดด.110:1)
2:37    “รู้สึกแปลบปลาบใจ” (cut to the heart ) – บางฉบับแปลว่า “เสียดแทงใจ” เวลานี้ ผู้ฟังรู้สึกในความผิดมหันต์ของพวกเขาเอง
2:38     “จงกลับใจใหม่และรับบัพติศมา” (Repent and be baptized)
            =การกลับใจใหม่เป็นสาระสำคัญในคำเทศนาเตรียมทางให้พระเยซูคริสต์ของยอห์น (มก.1:4;ลก.3:3) และในคำเทศนาของพระเยซูคริสต์เอง (มก.1:15;ลก.13:3)  รวมทั้งในพระบัญชาที่มอบให้แก่สาวกก่อนเสด็จสู่สวรรค์ (ลก.24:47)
            =การบัพติศมาจึงสำคัญต่อยอห์นผู้ให้บัพติศมา, ต่อการทำตามพระบัญชาของพระเยซู (มธ.28:18-19)และต่อคำเทศนาในพระธรรมกิจการ(8:2;18:8)
            “ในพระนามของพระเยซูคริสต์”( in the name of Jesus Christ)  =ไม่ได้ขัดแย้งกับคำบัญชาให้บัพติศมาในพระนามของพระเจ้าพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ใน มัทธิว 28 :19-20
            ในตอนนี้ เพียงต้องการเน้นว่า บัพติศมานี้แตกต่างและไม่ใช่บัพติศมาของยอห์น (19:4-5)

          “เพื่อพระเจ้าจะทรงยกความผิดบาปของท่านทั้งหลาย” (for the forgiveness of your sins)

          = “เพื่อรับการอภัยโทษบาปของท่าน” = ไม่ได้ หมายความว่า การรับบัพติศมาส่งผลให้ได้รับการอภัยบาป  แต่การให้อภัยบาปมาจากสิ่งที่บัพติศมาเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึง (รม.6:3-4)
           “พระวิญญาณบริสุทธิ์”( the Holy Spirit) = ของประทาน 2 อย่างในเวลานี้ คือการอภัยโทษบาป (22:16)  และพระวิญญาณบริสุทธิ์

2:42    “คำสอนของบรรดาอัครทูต” (to the apostles’ teaching ) =คำสอนทุกอย่างที่พระเยซูคริสต์สอน

               (มธ.28:20) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข่าวประเสริฐที่เน้นการสิ้นพระชนม์ การถูกฝัง และการเป็นขึ้นจากตาย

               (ข.23-24;3:15;4:10;1คร.15:1-4)  เป็นคำสอนที่มีเอกลักษณ์เพราะมาจากพระเจ้าและมีสิทธิอำนาจซึ่งพระเจ้ามอบให้แก่อัครทูต (2คร.13:10;1ธส.4:2) ตอนนี้ ถ่ายทอดต่อมาอยู่ในพระคัมภีร์ใหม่
            “หักขนมปัง”( the breaking of bread) – วลีนี้หมายถึง มื้ออาหารธรรมดา ในข้อ 46 (ลก.24:30,35) แต่ในที่นี้ น่าจะหมายถึงพิธีมหาสนิท (20:7 -ปท.1คร.10:16;11:20)
            “อธิษฐาน” ( the prayers) -พระธรรมกิจการเน้นการอธิษฐานเป็นสำคัญในชีวิตคริสเตียนทั้งเป็นส่วนตัว และต่อชุมชน (1:14;3:1;6:4;10:4,3112:5;16:13,16)
 2:44    “คนทั้งหมดที่เชื่อถือก็อยู่ร่วมกัน” (all who believed were together ) = “ผู้เชื่อทั้งปวงอยู่รวมกัน”

              = ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคริสตจักรยุคแรก (4:32;ยน.17:11,21-23รม15:5;อฟ.4:1-16;ฟป.2:1-4)
            “นำทุกสิ่งมารวมเป็นของกลาง” (had all things in common)

             = “ถือครองทุกอย่างร่วมกัน”  -4:34-35  = ผู้ที่มีความเชื่อแบ่งปันกันด้วยความสมัครใจเพื่อผู้ที่ขัดสนในการดำเนินชีวิต (4:36-5:9)

2:46     “ในพระวิหาร” (attending the temple ) = อาจคือ ในบริเวณพระวิหาร หรือเฉลียงของซาโลมอน (3:11;5:12)

 

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยเป็นพยานเรื่องพระคริสต์ครั้งแรกที่ไหน เมื่อไร กับใคร? แล้วผลเป็นอย่างไรบ้าง?
  2. คุณเคยมีประสบการณ์กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ในเรื่องอะไรเป็นพิเศษบ้าง? อย่างไร?
  3. ในคริสตจักรของคุณ เคยมีเด็กหรือผู้ใหญ่ เผยพระวจนะบ้างหรือไม่อย่างไร?
  4. ในคริสตจักรของคุณมีคนหนุ่มสาวได้เห็นนิมิตบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร และอย่างไร?
  5. คุณเคยเห็นหมายสำคัญหรือการอัศจรรย์อะไรบ้างที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของคุณหรืออีกหลายๆ คน? ที่ไหน?   และ อย่างไร?
  6. คุณเองรับฟังข่าวประเสริฐครั้งแรกที่ไหน เมื่อไร โดยผู้ใด และอย่างไร?
  7. คุณเคยเห็นคนกลับใจเชื่อพระเจ้าพร้อมกันจำนวนมากที่สุดเท่าไร? เมื่อไร? โดยใคร และอย่างไร? ที่ไหน? หรือเคยเห็นจำนวนคนรับบัพติศมามากที่สุด คือเท่าไร ที่ไหน และอย่างไร?
  8. คุณกระตือรือร้นในการอุทิศตัวในการสามัคคีธรรม นมัสการพระเจ้าและการรับใช้ร่วมกับพี่น้องในคริสตจักรหรือไม่? อย่างไร?
  9. คุณมีความประทับใจคริสตจักรของคุณในเรื่องใดมากที่สุด ทำไม?

 

ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์  

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.