11 กุมภาพันธ์ 2018
ขอส่งคำทักทายมายังพี่น้องทุกท่านที่มานมัสการพระเจ้าด้วยกันที่ CJ ในวันนี้
วันนี้…ผมมีความสุข แต่จริงๆ แล้ว ผมก็มีความสุขทุกวันอาทิตย์นั่นแหล่ะ แต่ผมก็มีสาเหตุที่จะมีความสุขมากมายหลายเรื่อง อาทิ
- ผมมีความสุขที่เจ้าของโรงเรียน Trinity แห่งนี้ เป็นคนใจดี ให้เราใช้สถานที่นี้เป็นที่นมัสการพระเจ้าอย่างเต็มใจ
- ผมมีความสุขที่คณะผู้นำของคริสตจักรที่เรียกว่า ”คณะผู้อภิบาล” ล้วนเป็นคนมีจิตใจดีงามและเสียสละความสุขสบายส่วนตน มาดูแลและรับใช้ในคริสตจักรCJนี้
- ผมมีความสุขที่เรามีทีมศิษยาภิบาลและทีมครูสอนรวีวารศึกษาทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่ยอดเยี่ยม ทั้งคุณสมบัติ และคุณภาพที่น่าภาคภูมิใจ
- ผมมีความสุขที่ CJ เรามีทีมอาสาสมัครรับใช้ในด้านต่างๆ ตามของประทานและภาระใจและมีทีมเยี่ยมเยียนที่เยี่ยมยอดกระตือรือร้นในการรับใช้
- ผมมีความสุขที่เรามีพี่น้องที่กระตือรือร้นในการร่วมสามัคคีธรรมตามบ้าน ตามบริษัท ในระหว่างสัปดาห์นอกเหนือจากวันอาทิตย์
- ผมสุขใจที่เห็นพี่น้อง CJ และพี่น้องจากคริสตจักรอื่นๆ มาร่วมศึกษาพระคัมภีร์ด้วยกันในทุกวันพฤหัสฯ
- ผมสุขใจที่มีพี่น้องมาเรียนพระคัมภีร์และมานมัสการในวันอาทิตย์มากขึ้นเรื่อยๆ
- ผมสุขใจที่พี่น้องมีใจถวายแด่พระเจ้าผ่านคริสตจักรเพิ่มขึ้น โดยที่เราไม่ได้พูดเรื่องการถวายทรัพย์หรือเรื่องสิบลดอะไรมากเท่าไรเลย
- ผมสุขใจที่พี่น้องเริ่มตื่นเต้นและตื่นตัวในการถวายเงินเพื่อซื้อที่ดินสำหรับเป็นโบสถ์ที่ถาวรสำหรับคนรุ่นต่อไป(เพราะหากเราไม่เตรียมหาให้พวกเขาในวันนี้ ก็เป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญที่พวกเขาจะหาเงินมาซื้อที่ดินในอนาคต)
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันอาทิตย์ที่แล้ว เรามีทีมออกไปดูที่ดิน 2 แปลง ที่หนึ่งอยู่ลาดพร้าว 80 และรามคำแหง 36 พื้นที่ 1 ไร่ครึ่ง ตารางวาละ 70,000 บาท แต่เรากำลังอธิษฐานขอการนำจากพระเจ้าก่อนตัดสินใจนำเรื่องนี้เข้าปรึกษาหารือกับสมาชิกทั้งหมด เพื่อมีข้อสรุปที่จะนำเสนอต่อทุกท่านได้ เพื่อตัดสินใจร่วมกันทั้งคริสตจักร
…อย่างที่ผมกล่าวไปก่อนหน้านี้ แล้วว่า คริสตจักรไม่ได้ต้องการเงิน เราต้องการแค่ที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างใช้ ทำเป็นที่นมัสการพระเจ้า สร้างเสริมชีวิต ชีวิตมีห้องเรียนต่างๆ สำหรับ เด็ก อนุชน และผู้ใหญ่ และใช้รับใช้ชุมชน แต่เพราะไม่มีใครให้ที่ดินและอาคารแก่เรา เราจึงต้องร่วมกันถวาย หรือหาทุนมาซื้อที่ดินและสร้างอาคาร ขอให้เราช่วยกันอธิษฐานจนกว่าพระเจ้าจะทรงตอบอย่างชัดเจนนะครับ
วันนี้ ผมมีความภูมิใจที่จะแนะนำให้รู้จักกับ สมาชิกท่านหนึ่งของเราคือ
ดร.พีรพัฒ โชคสุวัฒนสกุล ชื่อเล่น : หยก อาชีพ : อาจารย์มหาวิทยาลัย
“1. ถาม มาเชื่อพระเจ้า/มาเป็นสมาชิกCJ ได้อย่างไร ผ่านใครหรือช่องทางใด ?
ตอบ ผมเชื่อว่าทุกคนมีหนทางที่เดินมาถึงจุดที่เชื่อต่างๆกันไปนะครับ ผมไม่ได้มีเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งที่เปลี่ยนชีวิต แต่เป็นการใคร่ครวญจากเหตุการณ์มากมายในชีวิตผมที่ผ่านมาครับ
ผมเติบโตมาในโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนตั้งแต่เด็กๆ ครับ (ต้องขอบคุณเมล็ดพันธ์แห่งความเชื่อที่ถูกทิ้งไว้ตั้งแต่ตอนนั้น) อย่างไรก็ดี พอจบ ป.6 ผมก็ย้ายโรงเรียนไป เลยเป็นช่วงที่ห่างเหินจากพระเจ้าไปนานนับสิบๆ ปี ระหว่างนั้น ผมเริ่มไปศึกษาศาสนาอื่นๆมากขึ้น แม้แต่บวชก็เคยครับ แต่สุดท้ายผมก็ตกผลึกอยู่ในแง่ของการที่มองศาสนาเป็นปรัชญานะครับ ผมไม่ได้เชื่อว่าศาสนาจะสอนว่าการกราบไหว้รูปเคารพ หรือนักบวช จะเป็นการขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะทำให้เกิดอะไรขึ้นมาได้ ตอนนั้นสำหรับผม การกราบไหว้ก็เป็นไปเพื่อแสดงความระลึกถึงคำสอน และการถ่อมใจเท่านั้นเอง แต่ถึงจะเข้าใจเรื่องศาสนามากเท่าไร คำถามในใจผมก็ยังไม่ได้ถูกตอบนะครับ…
ผมยังคงตั้งคำถามถึงการมีอยู่ของตัวผม และภารกิจที่ติดมากับทุกอย่างที่เป็นตัวผม… คำอธิบายว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่กรรมที่ทำไว้ ในแง่ที่ทุกอย่างมีเหตุและผล แต่เหตุและผลนั้นอาจเป็นไปในรูปแบบใดก็ได้ นั้นเป็นคำอธิบายที่ยากจะปฏิเสธ แต่ก็กว้างจนเกินไปและสุดท้ายแทบไม่อธิบายอะไรเลย…
ช่วงเวลาที่น่าจะเปลี่ยนแปลงความเชื่อของผมมากที่สุดคงเป็นตอนที่ไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ ช่วงเวลาที่อยู่ที่นั่น 5-6 ปี ผมค่อนข้างได้อยู่กับตัวเองเยอะมากๆครับ เลยได้มีเวลาตั้งคำถาม และหาคำตอบเกี่ยวกับชีวิต คำถามหนึ่งที่ผมคุยกับเพื่อนๆ ที่นั่นบ่อยมากคือ มนุษย์เรามีอิสระที่จะเลือกทุกอย่างได้เอง (free will) หรือจริงๆ มีปัจจัยกำหนดทุกสิ่งทั้งหมด (deterministic)
ผมได้บทสรุปกับตัวเองว่าเป็นอย่างหลังครับ แต่ปัจจัยที่ว่านี่มันยากเหลือเกินที่เราจะรู้ได้หมด หรือแม้แต่คงไม่มีวันรู้ได้ ประกอบกับผมเริ่มเดินทางมาถึงจุดที่เริ่มตระหนักว่า “ผมรู้ว่าผมไม่รู้อะไรเลย” ใช่ครับมันเป็นวลีของโซเครตีส นักปรัชญาชาวกรีกที่ง่ายที่จะยกขึ้นมาให้ดูดี แต่ใช้เวลา และความพยายามอย่างมากในการจะรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ผมเริ่มตระหนักว่าการค้นพบของมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นทางวิทยาศาสตร์ หรือ ศิลปวิทยาการแขนงอื่นใด สุดท้ายลงเอยด้วยการบอกเราว่า สิ่งที่เคยคิดว่ารู้มากแล้วนั้น มนุษย์เราแทบไม่รู้อะไรเลย
ผมคิดว่ามันเป็นคำเตือนของพระเจ้า ที่บอกพวกเราว่า “แม้พวกเราเองอาจมีบางคนที่รู้บางอย่างมากกว่าคนอื่น แต่เราทุกคนไม่รู้พอๆกัน และความไม่รู้นั้นมากกว่าความรู้จนสุดคณานับ”… ผมมองย้อนไปในชีวิตตัวเอง และถามตัวเองว่ามีกี่ครั้งที่ผมเลือกทางเดินในชีวิตด้วยตัวเองจริงๆ คำตอบคือไม่มีเลยครับ ในทุกๆครั้งจะมีปัจจัยต่างๆที่ผมไม่มีทางกำหนดได้ หรือแม้แต่คาดฝันว่าจะเกิด แต่ผมเห็นได้ว่ามีภารกิจบางอย่างที่ฝังในความคิดของผมเรื่อยมา และเข้มแข็งขึ้นในทุกๆประสบการณ์ที่ผมได้ผ่านมาในชีวิต และผมไม่เคยบอกถึงที่มาของมันได้… แต่ตลอดการเดินทางในชีวิต ก็เหมือนมีการชี้นำทางให้ผมเดินมาในหนทางที่จะช่วยให้ผมได้ใช้ และฝึกฝนความสามารถของผมเพื่อที่จะทำภารกิจเหล่านั้นได้…
พอมาถึงวันนี้ผมรู้สึกเหมือนผมห่างพระเจ้าไปเป็นสิบๆปี แต่พระเจ้าไม่เคยห่างผมแม้แต่วินาทีเดียวเลยครับ พระองค์ให้ของขวัญผมมาตั้งแต่ผมเกิด ชี้นำให้ผมเดินในทางที่ทรงกำหนด เพื่อให้ผมทำภารกิจที่ท่านฝังไว้ในใจผมมาตลอด ผมมองว่าชีวิตแทบไม่มีวัตถุประสงค์เลย ถ้าปราศจากความเชื่อว่าพระเจ้าทรงกำหนดมันไว้ให้เราทุกคนแล้ว
ผมว่านั่นเป็นคำอธิบายเดียวกันกับคำอธิบายว่าทำไมผมถึงได้มาที่ CJ นะครับ พระเจ้าให้ผมไปเจอคนๆหนึ่งที่เป็นคริสเตียนที่เข้มแข็ง ที่ตอนนี้กลายมาเป็นคนที่สำคัญในชีวิตผม ทำให้ผมได้เห็นคำสอนของพระเจ้าผ่านตัวเขา ซึ่งนั่นทำให้ผมกลับมาใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้นครับ พอตอนที่ผมจะกลับมาอยู่ไทย เราเห็นด้วยกับคำแนะนำของรุ่นพี่ที่เขานับถือ (พี่ป้อม) ว่าการแยกกันไปคนละโบสถ์น่าจะทำให้แต่ละคนเติบโตในความเป็นคริสเตียนได้มากกว่า โดยไม่ถูกมองว่าเป็นการตามกันมาโบสถ์เพราะเหตุผลอื่นใด ผมเข้ามาโดยมาเจอกันพี่ณินในวันแรก และหลังจากนั้นก็ได้รับแนะนำให้รู้จัก และได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากสมาชิกทุกๆคน โดยเฉพาะพี่เอ๋ อาจารย์ธงชัย ที่คอยดูแลอย่างใกล้ชิดตั้งแต่วันแรกครับ
2.ถาม ประทับใจอะไรเกี่ยวกับ CJ หรืออยากขอบคุณพระเจ้าอะไรผ่าน CJ??
ตอบ ผมชอบบรรยากาศความเป็นครอบครัวของ CJ นะครับ ยังจำวันแรกที่เดินเข้ามาในโบสถ์ได้ ตอนนั้นไม่รู้จักใครเลย แต่เดินเข้ามาแล้วทุกคนยิ้มให้ มาพูดคุยต้อนรับเป็นอย่างดี ทุกคนมีความพยายามที่จะให้เรารู้สึกไม่แปลกแยก และเป็นส่วนนึงของโบสถ์ได้อย่างรวดเร็ว ผมอยากขอบคุณพระเจ้าที่ให้โอกาสผมมาอยู่ในอาณาจักรของพระองค์ร่วมกับพี่น้อง CJ ครับ ผมรู้สึกว่าเป็นคนที่เติบโตขึ้นในทุกๆวันที่ผมได้มาที่ CJ เพื่อเรียนรู้ถึงข่าวอันประเสริฐครับ
3.ถาม อยากมีส่วนตอบแทนพระคุณพระเจ้าหรือทำอะไรผ่านทางCJ บ้าง อย่างไร ? หรืออยากหนุนใจพี่น้องด้วยข้อพระวจนะใด เพราะอะไรจึงใช้พระวจนะข้อนี้ ??
ตอบ อย่างที่ตอบคำถามในข้อที่ 2 ไป ผมชอบคำว่า “ข่าวอันประเสริฐ” นะครับ ทุกวันนี้ถ้าดูตามสื่อต่างๆ เราจะเห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า มักมีข่าวที่เป็นที่แพร่หลาย เชื่อกันอย่างกว้างขวาง แต่สุดท้ายก็ปรากฏว่าไม่จริง แต่ก็สร้างความเสียหายอย่างมหาศาลไปแล้ว คนที่ทำด้วยความไม่รู้นี่แหละครับที่น่ากลัว น่ากลัวกว่าคนที่รู้ แต่ตั้งใจทำในเรื่องที่ไม่ดีเสียอีก ผมเชื่อว่าเป็นหน้าที่ของเรา CJ ที่ได้รับโอกาสในการรับรู้ข่าวอันประเสริฐนี้ และจะส่งต่อไปให้คนที่ยังไม่รู้นะครับ จริงๆผมชอบในวิธีที่เราเป็นคริสเตียนที่ดี และไปอยุ่ในสังคมที่เราอยู่ โดยปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า ให้คนตั้งคำถามว่า “ทำยังไงถึงจะเป็นคนแบบนี้ได้” เพราะผมเชื่อว่าไม่มีคำเชิญชวนอะไรมีพลัง เท่ากับการที่คนที่ถูกเชิญชวนรู้สึกว่าอยากจะทำสิ่งนั้นด้วยตัวเองครับ
ผมขอหนุนใจพี่น้องด้วยพระวจนะ ในพระธรรมโครินธ์ฉบับที่ 1 บทที่ 8 ข้อที่ 2 ที่ว่า
“ถ้าผู้ใดถือว่าตัวรู้สิ่งใดแล้ว ผู้นั้นยังไม่รู้ตามที่ตนควรจะรู้”
ผมเชื่อว่าความถ่อมใจ และลักษณะอันพึงประสงค์ของคริสเตียนอีกมากมาย มีรากฐานหนึ่งมาจากความคิดนี้นะครับ อีกทั้งพระธรรมนี้ยังเป็นสิ่งที่ผมยึดถือเป็นหลักการในการใช้ชีวิตประจำวัน ทั้งในความสัมพันธ์ส่วนตัว (ที่เรามักตัดสินคนอื่นๆโดยใช้มุมมองของเราเอง) หน้าที่การงาน การเรียนหนังสือ (ที่เรามักหยุดที่จะตั้งคำถาม หรือพัฒนาตัวเองเพราะคิดว่าสิ่งที่รู้นั้นถูกแล้ว เพียงพอแล้ว) รวมทั้ง ที่สำคัญการศึกษาพระวจนะของพระเจ้า (ผมเชื่อว่าการอ่านสิ่งเดิม ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปของชีวิต ก็ให้ผลลัพธ์ที่ต่างออกไปเสมอครับ)“
ขอให้เราอธิษฐานเผื่อ ดร.พีรพัฒ โชคสุวัฒนสกุล (หยก) ให้ท่านมีความสุขและเกิดผลในชีวิตมากขึ้นนะครับ
ขอพระเจ้าอวยพรครับ
ด้วยใจจริง
(ธงชัย ประดับชนานุรัตน์) ศิษยาภิบาล