ข้อตกลงพักรบวันคริสต์มาส!
วันนี้ ผมได้อ่านเรื่องราวหนึ่งเกี่ยวกับวันคริสต์มาสในสนามรบเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ จึงขอนำแบ่งปันดังนี้…
“ในปี 1914 ความขัดแย้งอันสุกงอมของประเทศมหาอำนาจในยุโรปส่งผลให้สงครามโลกครั้งที่ 1 ระเบิดขึ้นในที่สุดในปลายเดือนกรกฎาคม โดยในช่วงห้าเดือนแรกเริ่มด้วยการที่เยอรมันเปิดฉากโจมตีฝรั่งเศสผ่านเข้าไปทางเบลเยียม เยอรมันนีตีรุกเข้าไปหวังยึดกรุงปารีส แต่ก็ถูกต่อต้านและตีโต้กลับอย่างหนักจากกองทัพฝรั่งเศสและอังกฤษในต้นเดือนกันยายน เยอรมันนีถอยร่นมาตั้งรับที่บริเวณเทือกเขา Aisne valley
หลังจากนั้นก็มีการสู้รบกันเรื่อยๆ ตลอดระยะเวลาหลายเดือน แต่ก็ไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดที่สามารถเจาะทะลุแนวป้องกันของอีกฝ่ายได้ ตลอดระยะเวลา ทั้งสองฝ่ายทำการเสริมแนวป้องกันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเจาะผ่านมาได้ และได้เร่งสร้างแนวป้องกันเป็นแนวลวดหนามและสนามเพลาะขยายออกไปยังด้านทะเลเหนือ โดยต่างฝ่ายต่างเร่งแข่งกันขยายแนวของตัวเองออกไป ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวเรียกว่า “การแข่งขันสู่ทะเล” หรือ “Race to the Sea”
หลังจากนั้นก็เกิดการสู้รบขึ้นหลายครั้ง แต่สถานการณ์และแนวรบต่างๆ เปลี่ยนแปลงน้อยมาก ทั้งสองฝ่ายต่างก็ห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตายเต็มที่ จนกระทั่งถึงปลายเดือนธันวาคม ในวันคริสมาสอีฟก็ได้มีเหตุการณ์ที่น่าประหลาดใจเกิดขึ้น โดยทหารผ่านศึกทางฝ่ายอังกฤษที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นเล่าว่า ในคืนวันคริสต์มาสอีฟ (คืนก่อนวันคริสต์มาส) นั้น ท้องฟ้าเหนือสมรภูมิในคืนวันนั้นมืดสนิท อากาศหนาวเหน็บมีหิมะตกโปรยปรายเล็กน้อย เหตุการณ์ในคืนนั้นเงียบสนิท ทุกอย่างดูปกติดีจนกระทั่งเวลากลางดึกราวเที่ยวคืน ก็เริ่มได้ยินเสียงเพลงมาจากทางด้านฝ่ายเยอรมัน พอฟังดีๆ จึงทราบว่าเป็นเพลงคริสต์มาสที่ทุกคนรู้จักกันดีคือเพลง Silent Night แต่เป็นเวอร์ชั่นภาษาเยอรัน
นอกจากเสียงเพลงดังกล่าวแล้ว ยังมีแสงเทียนระยับอยู่ตามต้นไม้ ซึ่งเป็นประเพณีของเยอรมันที่จะจุดเทียนและนำไปวางตามต้นไม้ในวันคริสต์มาส จากนั้นเสียงเพลงก็เริ่มดังขึ้นจากฝั่งอังกฤษบ้าง เสียงเพลงเริ่มกระจายตัวไปตามแนวรบเรื่อยๆ มีการร้องเพลงสลับรับส่งตลอดแนวรบของทั้งสองฝั่งกันอย่างสนุกสนาน บางช่วงก็มีวงดนตรีเครื่องเป่าต่างๆเข้ามาร่วมแจมเพลงด้วย
จนกระทั่งเมื่อแสงแรกของวันคริสต์มาสมาถึง ได้เริ่มมีทหารเยอรมันบางส่วนทะยอยลอดข้ามแนวลวดหนามของฝั่งตน ข้ามพื้นที่ระหว่างแนวรบ (No Man’s Land) ไปยังแนวทหารฝ่ายอังกฤษ และเริ่มตะโกนทักทาย “Merry Christmas!…” เป็นภาษาอังกฤษ จากนั้นก็พูดคุยทักทายกัน โดยในตอนแรก บรรยากาศก็ยังคงตึงๆ กันอยู่นิดๆ เพราะทหารต่างก็เกรงกันว่าจะเป็นกลลวง
แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพักก็เห็นทหารเยอรมันจำนวนมากทยอยออกมาโดยไม่มีอาวุธใดๆ และไล่จับมือทักทายไปทั่วบริเวณ บรรยากาศจึงดีขึ้นเรื่อยๆ ทหารทั้งสองฝ่ายได้มีการนำของขวัญเล็กๆ น้อยๆ เท่าที่หาได้มามอบให้แก่กันและกัน ไม่ว่าจะเป็น เหล้ารัม ซิการ์ ขนมพุดดิ้ง หรือผลไม้ต่างๆ และเมื่อทหารทั้งสองฝ่ายเริ่มคุ้นเคยกันมากถึงระดับหนึ่ง ก็ได้เริ่มชวนกันเตะฟุตบอลกันอย่างสนุกสนาน ในพื้ นที่ใดที่หาลูกฟุตบอลไม่ได้ ก็นำกระดาษมาขยำรวมๆ เป็นก้อนแล้วมาเตะกัน ประมาณกันว่า มีทหารทั้งสองฝ่ายราว 100,000 นาย ที่ได้พบปะกันตลอดแนวรบในเช้าวันนั้น
ทางด้านผู้บัญชาการและนายทหาร เมื่อมาทำการตรวจพลตามปกติก็ต้องแปลกใจ เมื่อลูกน้องทั้งหมดหายไปจากเต๊นท์พัก แต่ในไม่นานก็พบความจริงและรับรู้เรื่องราวทั้งหมด นายทหารของทั้งฝ่ายจึงเดินเข้าไปแจมพูดคุยกันด้วย ผู้บัญชาการอังกฤษบางคนได้ของขวัญจากฝ่ายเยอรมันเป็นเบียร์ถึงหนึ่งถังใหญ่ ทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยและตกลงให้มีการหยุดยิงอย่างไม่เป็นทางการในวันคริสต์มาสเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ข้อตกลงดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันในนาม “ข้อตกลงพักรบวันคริสต์มาสปี 1914” (Christmas Truce of 1914) โดยนอกจากจะมีการพบปะสังสรรค์กันแล้ว ก็จะให้มีการนำศพผู้เสียชีวิตในเขตพื้นที่ No Man’s Land ไปฝั่งให้ถูกต้องตามประเพณีด้วย
บรรยากาศทั้งวันนั้นเต็มไปด้วยความชื่นมื่น แต่ถึงอย่างไรงานเลี้ยงก็คงต้องมีวันเลิกรา เมื่อถึงเวลา 8.30 น. ของเช้าวันรุ่งขึ้นก็เป็นอันสิ้นสุดข้อตกลง ผู้บัญชาการฝ่ายอังกฤษได้ทำการยิงปืนขึ้นฟ้าสองนัด เป็นสัญญาณสิ้นสุดข้อตกลง และทางฝ่ายเยอรมันก็ยิงตอบกลับไปสองนัดเป็นการคอนเฟิรม
แต่ทว่าถึงจะหมดช่วงระยะเวลาสงบศึกแล้ว ว่ากันว่าก็ยังไม่มีทหารฝ่ายใดยิงฝั่งตรงข้ามอีกสักพัก หนำซ้ำบางคนยังข้ามกลับไปกลับมาหาเพื่อนที่คุ้นเคยที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอยู่เรื่อยๆ อีกด้วย
เหตุการณ์สงบศึกนี้ ถึงแม้ว่าจะเกิดขึ้นเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่เป็นเครื่องแสดงให้เห็นถึงความรักระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกันว่า แท้จริงไม่มีใครอยากห้ำหั่นเอาชีวิตกัน และจริงๆ แล้ว ยังมีทางเลือกอื่นเสมอในการแก้ปัญหา นอกจากสงครามและความรุนแรง
อย่างไรก็แล้วแต่ เหตุการณ์สงบศึกวันคริสต์มาสนั้น ปรากฏเพียงในปี 1914 เท่านั้น และไม่ปรากฏในปีต่อๆ มาแต่อย่างใด….!!!”
(ที่มา: history-on-timeline)
น่าเสียดายนะครับ ที่เหตุการณ์สงบศึกนี้มีเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ และก็
น่าเสียดายเช่นเดียวกันที่บางคนสงบศึกกัน เพียงช่วงสั้นๆ เมื่อเข้ามาโบสถ์
แต่พอออกจากโบสถ์ไปก็เริ่มต้นสู้รบกันยกใหม่
ไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม ไม่คุ้มเลย!
คริสต์มาสนี้
จึงขอให้เป็นเวลาที่เราจะสงบศึกอย่างถาวรต่อพระเจ้า
และกับคู่กรณีของเรา โดยเห็นแก่พระเจ้าผู้อภัยโทษให้แก่คนบาปอย่างเรา!
จะดีไหม?
-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer
(Cr.ภาพ Christmas truce on Pinterest)