Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระกิตติคุณยอห์น บทเรียนที่ 14

ตรีเอกานุภาพ

พระธรรม        ยอห์น 14:1-31

อ้างอิง             ยน.7:34;15:12,17;1ยน.3:23;2ยน.5

บทนำ            พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์ออกมาเป็น 3 พระภาค คือ พระบิดา  พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือที่เรียก

                        กันว่า “ตรีเอกานุภาพ” บางคนใช้ศัพท์แทนว่า “ตรีเอกภาพ”

           เราต้องมีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค เชื่อฟังและปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์ด้วยความรัก

บทเรียน

14:1“อย่าให้ใจของพวกท่านเป็นทุกข์เลย พวกท่านวางใจในพระเจ้า จงวางใจในเราด้วย” 

        (“Let not your hearts be troubled. Believe in God; believe also in me.)

14:2 “ในพระนิเวศของพระบิดาเรามีที่อยู่มากมาย ถ้าไม่มีเราคงบอกท่านแล้ว เพราะเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับพวกท่าน” 

      (In my Father’s house are many rooms. If it were not so, would I have told you that I go to prepare a place           for you?)

14:3 “เมื่อเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านแล้ว เราจะกลับมาอีกและรับท่านไปอยู่กับเรา เพื่อว่าเราอยู่ที่ไหนพวกท่านจะได้อยู่ที่​       นั่นด้วย” 

      (And if I go and prepare a place for you, I will come again and will take you to myself, that where I am you   may be also.)

14:4 “และท่านรู้จักทางที่เราจะไปนั้น” 

      (And you know the way to where I am going.)

14:5 “โธมัสทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พวกข้าพระองค์ไม่ทราบว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ไหน พวกข้าพระองค์จะรู้จักทาง​นั้นได้อย่างไร?” 

    (“Thomas said to him, “Lord, we do not know where you are going. How can we know the way?”) 

14:6 “พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา” 

    (Jesus said to him, “I am the way, and the truth, and the life. No one comes to the Father except through me

14:7 “ถ้าพวกท่านรู้จักเราแล้ว ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย ตั้งแต่นี้ไปท่านก็จะรู้จักพระองค์และได้เห็นพระองค์

    (If you had known me, you would have known my Father also. From now on you do know him and have  seen him.”)

14:8 “ฟีลิปทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอสำแดงพระบิดาให้พวกข้าพระองค์เห็น ก็พอใจข้าพระองค์แล้ว” 

     (Philip said to him, “Lord, show us the Father, and it is enough for us.)

14:9 “พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ฟีลิป เราอยู่กับท่านนานถึงขนาดนี้แล้วท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ? คนที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดาท่านจะพูดได้อย่างไรอีกว่า ‘ขอสำแดงพระบิดาให้พวกข้าพระองค์เห็น?’”

     (“Jesus said to him, “Have I been with you so long, and you still do not know me, Philip? Whoever has seen  me has seen the Father. How can you say, ‘Show us the Father’?) 

14:10 “ท่านไม่เชื่อหรือว่าเราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา? คำซึ่งเรากล่าวกับพวกท่านนั้น เราไม่ได้กล่าวตามใจ‍ชอบ แต่พระบิดาผู้สถิตอยู่ในเราทรงทำพระราชกิจของพระองค์” 

      (Do you not believe that I am in the Father and the Father is in me? The words that I say to you I do not speak on my own authority, but the Father who dwells in me does his works.) 

14:11 “จงเชื่อเราว่าเราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา หรือมิฉะนั้นก็จงเชื่อเพราะกิจการเหล่านั้น”

      (Believe me that I am in the Father and the Father is in me, or else believe on account of the works themselves.)

14:12 “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า คนที่วางใจในเราจะทำกิจการที่เราทำนั้นด้วย และเขาจะทำกิจที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก เพราะว่าเราจะไปหาพระบิดาของเรา”

       (“Truly, truly, I say to you, whoever believes in me will also do the works that I do; and greater works than these will he do, because I am going to the Father. )

14:13 “สิ่งใดที่พวกท่านขอในนามของเรา เราจะทำสิ่งนั้น เพื่อว่าพระบิดาจะทรงได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่ทางพระบุตร” 

        (Whatever you ask in my name, this I will do, that the Father may be glorified in the Son.)

14:14 “สิ่งใดที่พวกท่านขอในนามของเรา เราจะทำสิ่งนั้น”

         (If you ask me anything in my name, I will do it.)

14:15 “ถ้าพวกท่านรักเรา ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา”

         (“If you love me, you will keep my commandments. )

14:16 “เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้กับพวกท่าน เพื่อจะอยู่กับท่านตลอดไป” 

         (And I will ask the Father, and he will give you another Helper, to be with you forever,)

14:17 “คือพระวิญญาณแห่งความจริงซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะมองไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ พวกท่านรู้จักพระองค์เพราะ​พระองค์สถิตอยู่กับท่าน และจะประทับอยู่ท่ามกลางท่าน”

        (even the Spirit of truth, whom the world cannot receive, because it neither sees him nor knows him. You know him, for he dwells with you and will be in you.)

14:18 “เราจะไม่ละทิ้งพวกท่านไว้ให้เป็นลูกกำพร้า เราจะมาหาท่าน” 

          (“I will not leave you as orphans; I will come to you. )

14:19 “อีกหน่อยหนึ่งโลกก็จะไม่เห็นเรา แต่พวกท่านจะเห็นเรา เพราะเรามีชีวิตอยู่ พวกท่านก็จะมีชีวิตอยู่ด้วย” 

           (Yet a little while and the world will see me no more, but you will see me. Because I live, you also will live. )

14:20 “ในวันนั้นท่านจะรู้ว่าเราอยู่ในพระบิดา และพวกท่านอยู่ในเราและเราอยู่ในท่าน”

         (In that day you will know that I am in my Father, and you in me, and I in you.)

14:21 “ใครที่มีบัญญัติของเราและประพฤติตามบัญญัติเหล่านั้น คนนั้นเป็นคนที่รักเรา และคนที่รักเรานั้นพระบิดาของเราจะ​ทรงรักเขา และเราจะรักเขาและจะสำแดงตัวให้ปรากฏแก่เขา” 

        (Whoever has my commandments and keeps them, he it is who loves me. And he who loves me will be loved by my Father, and I will love him and manifest myself to him.”) 

14:22 “ยูดาส (ไม่ใช่อิสคาริโอท) ทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ทำไมพระองค์ถึงสำแดงพระองค์แก่พวกข้าพระองค์ แต่ไม่สำแดงแก่โลก?”

       (Judas (not Iscariot) said to him, “Lord, how is it that you will manifest yourself to us, and not to the world?” )

 14:23 “พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “ถ้าใครรักเรา คนนั้นจะประพฤติตามคำของเรา และพระบิดาจะทรงรักเขา แล้วเรา​ทั้งสองจะมาหาเขาและจะอยู่กับเขา” 

        (Jesus answered him, “If anyone loves me, he will keep my word, and my Father will love him, and we will  come to him and make our home with him.)

14:24 “คนที่ไม่รักเราก็ไม่ประพฤติตามคำของเรา และคำที่พวกท่านได้ยินนี้ไม่ใช่คำของเรา แต่เป็นของพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา”

       (Whoever does not love me does not keep my words. And the word that you hear is not mine but the Father’s who sent me.)

14:25 “เรากล่าวคำเหล่านี้กับพวกท่านขณะที่เรายังอยู่กับท่าน” 

         (“These things I have spoken to you while I am still with you. )

14:26 “แต่องค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรานั้นจะทรงสอนพวกท่านทุกสิ่งและจะทำให้ระลึกถึงทุกสิ่งที่เรากล่าวกับท่านแล้ว” 

        (But the Helper, the Holy Spirit, whom the Father will send in my name, he will teach you all things and bring to your remembrance all that I have said to you.) 

14:27 “เรามอบสันติสุขไว้กับพวกท่าน สันติสุขของเราที่ให้กับท่านนั้น เราไม่ได้ให้อย่างที่โลกให้ อย่าให้ใจของท่านเป็นทุกข์ อย่ากลัวเลย” 

        (Peace I leave with you; my peace I give to you. Not as the world gives do I give to you. Let not your hearts be troubled, neither let them be afraid.)

14:28 “พวกท่านได้ยินเรากล่าวกับท่านว่า ‘เราจะจากไปและจะกลับมาหาท่าน’ ถ้าพวกท่านรักเรา ท่านก็จะชื่นชมยินดีที่เราไป​หาพระบิดา เพราะพระบิดาทรงยิ่งใหญ่กว่าเรา”

     (You heard me say to you, ‘I am going away, and I will come to you.’ If you loved me, you would have rejoiced, because I am going to the Father, for the Father is greater than I.) 

14:29 “และเราก็บอกพวกท่านแล้วตอนนี้ก่อนที่มันจะเกิดขึ้น เพื่อว่าเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วท่านจะได้เชื่อ” 

       (And now I have told you before it takes place, so that when it does take place you may believe.) 

14:30 “เราจะไม่สนทนากับพวกท่านนานอย่างนี้อีก เพราะว่าผู้ครองโลกกำลังจะมา ผู้นั้นไม่มีสิทธิอำนาจอะไรเหนือเรา” 

        (I will no longer talk much with you, for the ruler of this world is coming. He has no claim on me, )

14:31 “แต่เราทำตามที่พระบิดาทรงบัญชาเรา เพื่อโลกจะได้รู้ว่าเรารักพระบิดา ลุกขึ้น ให้เราไปกันเถิด”

        (but I do as the Father has commanded me, so that the world may know that I love the Father. Rise, let u go from here.)

 ข้อมูลมีประโยชน์

14:1      “อย่าให้ใจของพวกท่านเป็นทุกข์เลย” (Let not your hearts be troubled) = พวกสาวกเพิ่งได้ฟังคำตรัสของพระเยซูคริสต์ที่ทำให้พวกเขาทุกข์ใจ (13:33,31)

“ท่านวางใจในพระเจ้า จงวางใจในเราด้วย”  (Believe in God; believe also in me) = พระเยซูกำลังประทานโอสถแก้ไข้ใจ (ปท. สดด.56:3-4;อสย.26:3-4)

14:3      “เราจะกลับมาอีก” ( I will come again ) = พระเยซูทรงเสด็จมา และจะกลับมาอีกในหลายวิถีทาง แต่หนึ่งในนั้นที่โดดเด่นคือ การเสด็จกลับมาครั้งที่ 2 (ปท. วว.22:7,12,20)

14:4      “ทางที่เราจะไปนั้น” (the way to where I am going) –14:6

14:5      “โธมัส” (Thomas ) = เป็นคนตรงไปตรงมา ไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจ สงสัยก็ถาม  -11:16

14:6      “เราเป็น” (I am) –6:35

               “ทางนั้น” (the way) = ทางไปถึงพระเจ้า ซึ่งเป็นทางเดียว (ไม่ใช่เป็นทางหนึ่งในหลาย ๆ ทาง) (กจ.4:12;ฮบ.10:19-20)

-ในยุคต้น ๆ ของคริสตจักร คริสต์ศาสนาถูกเรียกว่า “ทางนั้น” (กจ.9:2)

“ความจริง” (the truth ) = คำสำคัญในพระกิตติคุณยอห์น (1:14)

“ชีวิต” (  the life) -1:4

ในข้อนี้ หมายความว่า “พระเยซูเป็นทางไปถึงพระเจ้าพระบิดา เนื่องจากพระองค์เป็นความจริงและเป็นชีวิต”

14:7      “ถ้ารู้จักเราแล้ว ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย” (If you had known me, you would have known my Father also) = พระเยซูย้ำอีกครั้งถึงความสัมพันธ์ที่สนิทสนมระหว่างพระองค์กับพระเจ้าพระบิดา

= พระเยซูเป็นผู้ทรงสำแดงพระเจ้าอย่างชัดแจ้งบริบูรณ์ (1:18) ดังนั้น พวกสาวกจึงมีความรู้เรื่องพระเจ้าพระบิดาอย่างถูกต้อง

14:10    “เราไม่ได้กล่าวตามใจชอบ” ( I do not speak on my own authority) = “ไม่ได้เป็นเพียงถ้อยคำของเราเอง”

                        = คำสอนของพระเยซูไม่ได้มาจากมนุษย์ แต่มาจากพระเจ้า

14:11    “เราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา” ( I am in the Father and the Father is in me) = เราต้องเชื่อในสาระแห่งความจริงที่ว่า พระเยซูเป็นผู้ที่อยู่กับพระบิดา และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระองค์ (17:21-22)

14:12    “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า” (Truly, truly, I say to you) –มก.3:28

              “เขาจะทำกิจที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก” (greater works than these will he do) = การอัศจรรย์ (ข.11)  ที่จะเกิดขึ้นโดยกำลังของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระเยซูคริสต์ส่งมาจากพระบิดา เมื่อพระองค์เสด็จกลับไปหาพระเจ้า     พระบิดานั้นจะยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าสมัยที่พระองค์กระทำในฐานะที่อยู่ในกายมนุษย์  (ข.16-17,15:26)

14:13    “ในนามของเรา” (in my name ) = ไม่ใช่แค่การกล่าวคำอธิษฐานในนามของพระเยซู แต่เป็นการอธิษฐานที่สอดคล้องกับสิ่งที่พระเยซู(เจ้าของนามนั้น) เป็น (2:23)

= การอธิษฐานที่มีเป้าหมาย ที่จะสืบสานพระราชกิจของพระเยซูต่อไป และเป็นคำอธิษฐานที่พระเยซูคริสต์จะเป็นผู้ทรงตอบด้วยพระองค์เอง (ข.14)

14:15    “รัก…ประพฤติตาม” (love me, you will keep) = ความรักก็เช่นเดียวกับความเชื่อ (ยก.2:14-26)   ไม่สามารถแยกออกจากการเชื่อฟังได้

14:16    “พระบิดา …จะประทาน” (the Father… will give) = สาระสำคัญเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระบิดาจะประทานมา  (ข.26;15:26;16:7-15)

“ผู้ช่วยอีกผู้หนึ่ง” (another Helper )  = พระวิญญาณจะมาอยู่เคียงข้างคนของพระคริสต์ โดยทำหน้าที่เป็น “ผู้ช่วยเหลือ” , “ที่ปรึกษา” หรือ “ทนาย” (ที่ปรึกษาเพื่อสู้คดี)          -1ยน.2:1

14:17    “พระวิญญาณแห่งความจริง” (the Spirit of truth) = ผู้ทรงสัตย์จริงทั้งในพระลักษณะและในการกระทำเป็นผู้นำมนุษย์ไปสู่ความจริงของพระเจ้า

              -ทั้ง 3 พระภาคของตรีเอกานุภาพล้วนสัมพันธ์กับความจริง –พระบิดา (4:24;สดด.31:5;อสย.65:16) -พระบุตร (ข.6)

“โลก” (the world) –ไม่สังเกตเรื่องพระวิญญาณของพระเจ้า (1:9;1คร.2:14) แต่พระวิญญาณอยู่ “กับ” และอยู่ “ใน” สาวกของพระเยซูคริสต์

-พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมาในวันเพนเทคอสคต์ (กจ.1:2;2:4,17,38; ปท.รม.8:9)

14:18    “เราจะมาหาท่าน” (I will come to you) =การปรากฏของพระเยซูหลังจากเป็นขึ้นมาจากตายและการเสด็จ กลับมาครั้งที่ 2 ด้วย (ข.3:19,28;16:22)

14:19    “โลกก็จะไม่เห็นเรา แต่พวกท่านจะเห็นเรา” (the world will see me no more, but you will see me) –

-หลังจากนี้ โลกจะไม่เห็นพระเยซู แต่พวกสาวกจะได้เห็นพระองค์

“เพราะเรามีชีวิตอยู่ พวกท่านก็จะมีชีวิตอยู่ด้วย” (Because I live, you also will live) = ชีวิตของคริสเตียนขึ้นอยู่ กับชีวิตของพระเยซูคริสต์ (1:4;3:15;10:10;ฟป.1:21)

14:20    “ในวันนั้นท่านจะรู้ว่า….” (In that day you will know…) = การเป็นขึ้นจากตายจะเปลี่ยนแปลงความคิดและความเข้าใจของพวกเรา

14:21    “ประพฤติตาม…คนนั้นเป็นคนที่รักเรา” (keeps them… who loves me) = การรักพระคริสต์ และการ เชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์เป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้ (ข.15)

“พระบิดาของเราจะทรงรักเขา และเราจะรักเขา” (my Father, and I will love him) = ความรักของพระเจ้าพระบิดา ไม่อาจแยกจากความรักของพระบุตร

14:22    “ทำไมพระองค์ถึงสำแดงพระองค์แก่พวกข้าพระองค์ แต่ไม่สำแดงแก่โลก” (how is it that you will  manifest yourself to us, and not to the world?) = พวกสาวกนำโดย ยูดาส (ที่ไม่ใช่ยูดาส อิสคาริโอท)  ไม่เข้าใจว่า ถ้า พระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์ ทำไมจึงไม่สำแดงพระองค์เองแก่โลกให้รู้จัก

14:23    “รักเรา… จะประพฤติตามคำของเรา และพระบิดาจะทรงรักเขา” (loves me, … will keep my word, and my Father will love him) = ยืนยันอีกครั้งว่า ความรักกับความเชื่อฟัง แยกจากกันไม่ได้ (ข.15,21;15:10)

14:24    “ไม่รักเรา ก็ไม่ประพฤติตามคำของเรา” (not love me does not keep my words) = พระเยซูย้ำอีกครั้งถึงความสัมพันธ์ที่แยกไม่ออก ระหว่าง ความรักกับการประพฤติตามถ้อยคำของพระเยซูคริสต์กับถ้อยคำของ       พระบิดา ดังที่ตรัสว่า ”คำที่พวกท่านได้ยิน…เป็นของพระบิดา”

14:26    “องค์ผู้ช่วย คือพระวิญญาณบริสุทธิ์” (the Helper, the Holy Spirit) -14:16;1:33

“ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้เรา” (the Father will send) = ทั้งพระบิดาและพระบุตรล้วนมีส่วนในการส่งพระวิญญาณ มา (15:26)

“ในนามของเรา” (in my name)  -ข.13;2:23

“จะทำให้ระลึกถึงทุกสิ่งที่เรากล่าวกับท่านแล้ว” (remembrance all that I have said to you.) = ระลึกถึงสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งต่อคริสตจักร และต่อพันธสัญญาใหม่

14:27    “เรามอบสันติสุขไว้กับพวกท่าน” (Peace I leave with you) = คำทักทายทั่วไปของชาวฮีบรู (20:19,21,26) และพระเยซูใช้ในความหมายว่า เป็นผลแห่งความรอด เมื่อการไถ่บาปของพระคริสต์ต่อโลก และต่อสาวกสำเร็จเสร็จสิ้นลง สัมพันธภาพที่สนิทสนมกับพระเจ้าจะก่อเกิดเป็นสวัสดิภาพ และการพักสงบฝ่ายจิตวิญญาณ

            สันติสุขจึงเป็นของขวัญจากพระเจ้า ซึ่งพระเยซูกล่าวซ้ำให้มั่นใจว่า เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง (16:33)

14:28    “พวกท่านได้ยินเรากล่าวกับท่านว่า” ( You heard me say to you) –ข.3

            “เพราะพระบิดาทรงยิ่งใหญ่กว่าเรา” (the Father is greater than I) = พระเยซูคริสต์ตรัสด้วยความถ่อมพระทัยว่า พระองค์จำเป็นต้องลงมาบังเกิดรับสภาพเป็นมนุษย์ที่ต่ำต้อย อย่างไรก็ตาม พระบิดา และพระบุตรนั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน (10:30)

14:30    “ผู้ครองโลก” (the ruler of this world) -12:31

            “ผู้นั้นไม่มีสิทธิอำนาจอะไรเหนือเรา” (He has no claim on me) = ไม่มีอำนาจยับยั้งขัดขวางเราได้ ซาตานควบคุมคนที่ทำบาปหรือล้มอยู่ในความบาปอยู่ แต่พระคริสต์ปราศจากบาป มารจึงควบคุมพระองค์ไม่ได้

14:31    “แต่เราทำตามที่พระบิดาทรงบัญชาเรา” (but I do as the Father has commanded me) = พระเยซูกระทำในสิ่งที่พระเจ้าพระบิดาบัญชาอย่างเคร่งครัดด้วยการเชื่อฟัง รวมทั้ง พวกสาวกต้องเชื่อฟังเช่นกัน ตามแบบอย่างที่พระองค์วางไว้ให้ (15,21,23) จนกว่าจะกระทำพันธกิจของพระองค์สำเร็จ (บท 18-19)

คำถามนำอภิปราย

  1. เวลานี้คุณกำลังทุกข์ กังวล หรือกลัวในเรื่องใดอยู่? ทำไม? การที่พระเยซูสัญญาว่าจะจัดเตรียมทุกอย่างที่จำเป็นให้แก่คุณ ช่วยคุณในการดำเนินชีวิตหรือในการรับใช้อย่างไรบ้างหรือไม่?
  2. การที่คุณรู้ว่าพระเยซูคริสต์ เตรียมที่ไว้สำหรับคุณ เพื่อให้อยู่กับพระองค์ตลอดไปนิรันดร์ ส่งผลอะไรต่อชีวิตของคุณบ้าง?
  3. คุณเชื่อจริง ๆ หรือไม่ว่า พระเยซูเป็นทางนั้น (ทางเดียว) ที่ไปสู่พระเจ้า เป็นความจริง(ที่นำไปสู่ความรอด) และเป็นผู้มอบชีวิตนิรันดร์ให้แก่คุณ? ทำไม? และนั่นมีความหมายอะไรต่อคุณบ้าง?
  4. วันนี้ คุณรู้จักพระเยซูคริสต์ดีพอแล้วหรือไม่? ทำไม? คุณต้องการปรับปรุงหรือพัฒนาความสัมพันธ์กับพระองค์หรือไม่? ในเรื่องอะไร? และอย่างไร?
  5. อะไรทำให้คุณมีความเชื่อในพระเยซูลดน้อยถอยลง หรือมีอะไรที่ทำให้คุณเชื่อพระเยซูเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม? อย่างไร? ทำไม?
  6. คุณเชื่อหรือไม่ว่า คุณสามารถที่จะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าที่พระเยซูเคยกระทำเสียอีก? ทำไม? แล้วส่งผลอะไรต่อการรับใช้ของคุณบ้าง?
  7. คุณเคยขออะไรจากพระเจ้าในนามของพระเยซูคริสต์แล้วได้รับบ้างหรือไม่? มีสิ่งใดที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของคุณมากที่สุด? อย่างไร?
  8. คุณเคยมีประสบการณ์กับพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างไรบ้าง? ที่ทำให้ชีวิตของคุณเปลี่ยนแปลงไป? (แบ่งปัน)
  9. คุณแสดงความเชื่อของคุณต่อพระเจ้าออกมาอย่างไรบ้าง? คุณมั่นใจว่า คุณรักพระคริสต์หรือไม่? ทำไมจึงรู้สึกเช่นนั้น?
  10. คุณเคยขอความช่วยเหลือ หรือขอคำปรึกษาจากพระเจ้าแล้วพระองค์ทรงให้พระวิญญาณสอนคุณให้เข้าใจและมีสันติสุขครองใจบ้างหรือไม่? อย่างไร?

 

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.