ล้างเท้า และล้างใจด้วยใจรัก
พระธรรม ยอห์น 13:1-38
อ้างอิง ยน.11:28,55;16:4-5;27-28,30;17:6;18:27;19:26;20:2;4:26;6:70;7:39;8:24,42;15:16,19-20;14:27,29;12:5-6,27,23;21:7,18-20
บทนำ ผู้เขียนพระธรรมยอห์น ได้บันทึกเรื่องราวในห้องชั้นบนไว้ยาวที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำสอนขององค์พระเยซูคริสต์ (13:1-17;26) และหัวข้อที่พระองค์ให้ความสำคัญมากคือ “ความรัก” ซึ่งปรากฏ 6 ครั้งใน บทที่ 1-12 และปรากฏ 31 ครั้ง ในบทที่ 13-17
บทเรียน
13:1 “ก่อนถึงงานเทศกาลปัสกา พระเยซูทรงทราบว่าถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะทรงจากโลกนี้ไปหาพระบิดา พระองค์ทรงรักบรรดาคนของพระองค์ที่อยู่ในโลกนี้ พระองค์ทรงรักเขาทั้งหลายจนถึงที่สุด”
(Now before the Feast of the Passover, when Jesus knew that his hour had come to depart out of this world to the Father, having loved his own who were in the world, he loved them to the end.)
13:2 “ขณะเมื่อรับประทานอาหารเย็นอยู่นั้น (มารได้ดลใจยูดาสบุตรของซีโมนอิสคาริโอทให้ทรยศพระองค์แล้ว)”
(During supper, when the devil had already put it into the heart of Judas Iscariot, Simon’s son, to betray him)
13:3 “พระเยซูทรงทราบว่าพระบิดาประทานทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์และทรงทราบว่าพระองค์มาจากพระเจ้าและจะไปหาพระเจ้า”
(Jesus, knowing that the Father had given all things into his hands, and that he had come from God and was going back to God,)
13:4 “พระองค์ทรงลุกจากการเสวยอาหาร ทรงถอดฉลองพระองค์ออกวางไว้ และทรงเอาผ้าเช็ดตัวคาดเอวของพระองค์”
(rose from supper. He laid aside his outer garments, and taking a towel, tied it around his waist. )
13:5 “แล้วทรงเทน้ำลงในอ่างและทรงเอาน้ำล้างเท้าของพวกสาวก และทรงเช็ดด้วยผ้าที่ทรงคาดเอวไว้นั้น”
(Then he poured water into a basin and began to wash the disciples’ feet and to wipe them with the towel that was wrapped around him.)
13:6 “เมื่อพระองค์ทรงมาถึงซีโมนเปโตร เขาทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทรงล้างเท้าของข้าพระองค์หรือ?”
(He came to Simon Peter, who said to him, “Lord, do you wash my feet?”)
13:7 “พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “สิ่งที่เราทำในขณะนี้ท่านยังไม่รู้เรื่อง แต่ภายหลังท่านจะเข้าใจ”
(Jesus answered him, “What I am doing you do not understand now, but afterward you will understand.” )
13:8 “เปโตรทูลพระองค์ว่า “พระองค์จะทรงล้างเท้าของข้าพระองค์ไม่ได้เด็ดขาด” พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ถ้าเรา ไม่ล้างท่านแล้วท่านจะมีส่วนในเราไม่ได้”
(Peter said to him, “You shall never wash my feet.” Jesus answered him, “If I do not wash you, you have no share with me.” )
13:9 “ซีโมนเปโตรทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่เพียงแต่เท้าของข้าพระองค์เท่านั้น แต่ขอโปรดล้างทั้งมือและศีรษะด้วย”
(Simon Peter said to him, “Lord, not my feet only but also my hands and my head!”)
13:10 “พระเยซูตรัสกับเขาว่า “คนที่อาบน้ำแล้วไม่จำเป็นต้องชำระกายอีก ล้างแต่เท้าเท่านั้น เพราะสะอาดหมดทั้งตัวแล้ว พวกท่านก็สะอาดแล้วแต่ไม่ใช่ทุกคน”
(Jesus said to him, “The one who has bathed does not need to wash, except for his feet, but is completely clean. And you are clean, but not every one of you.” )
13:11 “เพราะพระองค์ทรงทราบว่าใครจะทรยศพระองค์ เพราะเหตุนี้พระองค์จึงตรัสว่า “ไม่ใช่ทุกคนในพวกท่านสะอาด”
(For he knew who was to betray him; that was why he said, “Not all of you are clean.”)
13:12 “เมื่อพระองค์ทรงล้างเท้าของพวกเขาแล้ว พระองค์ก็ทรงฉลองพระองค์แล้วประทับลงตรัสกับเขาว่า “พวกท่านเข้าใจสิ่งที่เราทำกับท่านหรือไม่?”
(When he had washed their feet and put on his outer garments and resumed his place, he said to them, “Do you understand what I have done to you? )
13:13 “พวกท่านเรียกเราว่าพระอาจารย์และองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านเรียกถูกแล้ว เพราะเราเป็นอย่างนั้น”
(You call me Teacher and Lord, and you are right, for so I am.)
13:14 “เพราะฉะนั้นถ้าเราผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระอาจารย์ยังล้างเท้าของพวกท่าน ท่านก็ควรจะล้างเท้าของกันและกันด้วย”
(If I then, your Lord and Teacher, have washed your feet, you also ought to wash one another’s feet. )
13:15 “เพราะว่าเราวางแบบอย่างแก่พวกท่านแล้ว เพื่อให้ท่านทำเหมือนอย่างที่เราทำกับท่านด้วย”
(For I have given you an example, that you also should do just as I have done to you. )
13:16 “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า บ่าวจะเป็นใหญ่กว่านายไม่ได้ และทูตจะเป็นใหญ่กว่าคนที่ใช้เขาไปก็ไม่ได้”
(Truly, truly, I say to you, a servant is not greater than his master, nor is a messenger greater than the one who sent him.)
13:17 “เมื่อพวกท่านรู้อย่างนี้แล้วและประพฤติตาม ท่านก็เป็นสุข”
(If you know these things, blessed are you if you do them.)
13:18 “เราไม่ได้พูดถึงพวกท่านทุกคน เรารู้จักคนที่เราเลือกไว้แล้ว แต่จะต้องเป็นจริงตามข้อพระคัมภีร์ที่ว่า‘คนที่รับประทานอาหารของเรายกส้นเท้าใส่เรา’”
(I am not speaking of all of you; I know whom I have chosen. But the Scripture will be fulfilled, ‘He who ate my bread has lifted his heel against me.’)
13:19 “เราบอกพวกท่านตอนนี้ก่อนที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้น เพื่อว่าเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้วท่านจะได้เชื่อว่าเราเป็นผู้นั้น”
(I am telling you this now, before it takes place, that when it does take place you may believe that I am he.)
13:20 “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ใครรับคนที่เราใช้ไป คนนั้นก็รับเราด้วย และใครรับเรา คนนั้นก็รับพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา”
(Truly, truly, I say to you, whoever receives the one I send receives me, and whoever receives me receives the one who sent me.”)
13:21 “เมื่อพระเยซูตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงเป็นทุกข์ในพระทัย และตรัสเป็นพยานว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า คนหนึ่งในพวกท่านจะทรยศเรา”
(After saying these things, Jesus was troubled in his spirit, and testified, “Truly, truly, I say to you, one of you will betray me.” )
13:22 “พวกสาวกจึงมองหน้ากันและสงสัยว่าคนที่พระองค์ตรัสถึงนั้นคือใคร”
(The disciples looked at one another, uncertain of whom he spoke. )
13:23 “สาวกที่พระเยซูทรงรักเอนกายอยู่ใกล้พระองค์”
(One of his disciples, whom Jesus loved, was reclining at table at Jesus’ side,)
13:24 “ซีโมนเปโตรจึงพยักหน้าให้เขาทูลถามพระองค์ว่า คนที่พระองค์ตรัสถึงนั้นคือใคร”
(so Simon Peter motioned to him to ask Jesus of whom he was speaking. )
13:25 “ขณะที่ยังเอนกายอยู่ใกล้พระเยซู สาวกคนนั้นก็ทูลถามพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า คนนั้นเป็นใคร?”
(So that disciple, leaning back against Jesus, said to him, “Lord, who is it?” )
13:26 “พระองค์ตรัสตอบว่า “เป็นคนที่เราจะเอาขนมปังนี้จิ้มส่งให้” เมื่อพระองค์ทรงเอาขนมปังนั้นจิ้มแล้วก็ทรงยื่นให้กับยูดาสบุตรของซีโมนอิสคาริโอท”
(Jesus answered, “It is he to whom I will give this morsel of bread when I have dipped it.” So when he had dipped the morsel, he gave it to Judas, the son of Simon Iscariot.)
13:27 “เมื่อยูดาสกินขนมปังนั้นแล้ว ซาตานก็เข้าไปสิงในตัวเขา พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “ท่านจะทำอะไรก็จงทำเร็วๆ”
(Then after he had taken the morsel, Satan entered into him. Jesus said to him, “What you are going to do, do quickly.” )
13:28 “ไม่มีใครในบรรดาคนที่เอนกายร่วมโต๊ะอาหารที่รู้ว่าทำไมพระองค์ถึงตรัสกับเขาอย่างนั้น”
(Now no one at the table knew why he said this to him. )
13:29 “บางคนคิดว่าเพราะยูดาสถือกระเป๋าเก็บเงิน พระองค์จึงตรัสบอกเขาว่า “จงไปซื้อสิ่งที่เราต้องการสำหรับงานเทศกาลนี้” หรือตรัสบอกเขาว่า เขาควรจะให้อะไรแก่คนจน”
(Some thought that, because Judas had the moneybag, Jesus was telling him, “Buy what we need for the feast,” or that he should give something to the poor. )
13:30 เพราะฉะนั้นหลังจากยูดาสรับขนมปังชิ้นนั้นแล้วเขาก็ออกไปทันที ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน”
(So, after receiving the morsel of bread, he immediately went out. And it was night.)
13:31 “เมื่อเขาออกไปแล้ว พระเยซูจึงตรัสว่า “เดี๋ยวนี้บุตรมนุษย์ได้รับเกียรติแล้ว และพระเจ้าทรงได้รับพระเกียรติเพราะบุตรมนุษย์”
(When he had gone out, Jesus said, “Now is the Son of Man glorified, and God is glorified in him.)
13:32 “ถ้าพระเจ้าทรงได้รับพระเกียรติเพราะบุตรมนุษย์ พระเจ้าก็จะทรงให้บุตรมนุษย์มีเกียรติในตัวเองและจะทรงให้มีเกียรติเดี๋ยวนี้”
(If God is glorified in him, God will also glorify him in himself, and glorify him at once.)
13:33 “ลูกทั้งหลายเอ๋ย เราจะอยู่กับพวกท่านอีกหน่อยเดียวเท่านั้น ท่านจะเสาะหาเรา และอย่างที่เราพูดกับพวกยิวและตอนนี้เราก็พูดกับท่านด้วย คือ ‘ที่ที่เรากำลังจะไปนั้น พวกท่านไปไม่ได้’”
(Little children, yet a little while I am with you. You will seek me, and just as I said to the Jews, so now I also say to you, ‘Where I am going you cannot come.’)
13:34 “เราให้บัญญัติใหม่ไว้กับพวกท่าน คือให้รักซึ่งกันและกัน เรารักพวกท่านมาแล้วอย่างไร ท่านก็จงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น”
(A new commandment I give to you, that you love one another: just as I have loved you, you also are to love one another.)
13:35 “ถ้าท่านรักกันและกัน ดังนี้แหละทุกคนก็จะรู้ว่าท่านเป็นสาวกของเรา”
(By this all people will know that you are my disciples, if you have love for one another.”)
13:36 “ซีโมนเปโตรทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะเสด็จไปที่ไหน?” พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ที่ที่เราจะไปนั้น ท่านจะตามเราไปเดี๋ยวนี้ไม่ได้ แต่ท่านจะตามไปภายหลัง”
(Simon Peter said to him, “Lord, where are you going?” Jesus answered him, “Where I am going you cannot follow me now, but you will follow afterward.”)
13:37 “เปโตรทูลพระองค์ว่า“องค์พระผู้เป็นเจ้าทำไมข้าพระองค์ถึงตามพระองค์ไปเดี๋ยวนี้ไม่ได้?ข้าพระองค์จะสละชีวิตเพื่อพระองค์”
(Peter said to him, “Lord, why can I not follow you now? I will lay down my life for you.” )
13:38 “พระเยซูตรัสตอบว่า“ท่านจะสละชีวิตของท่านเพื่อเราหรือ? เราบอกความจริงกับท่านว่า ก่อนไก่ขัน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง”
(Jesus answered, “Will you lay down your life for me? Truly, truly, I say to you, the rooster will not crow till you have denied me three times.)
ข้อมูลมีประโยชน์
13:1 “เทศกาลปัสกา” ( the Feast of the Passover) -2:13;5:1
13:2 “อาหารเย็น” (During supper) อาจหมายถึง
- มื้ออาหารแห่งสัมพันธภาพที่รับประทานกันในช่วงก่อนพิธีปัสกา
- มื้อปัสกาเอง
“มาร” (devil) –ข.27
“ยูดาส บุตรของซีโมน อิสคาริโอท” (Judas Iscariot, Simon’s son) -6:71
13:3 “พระบิดาประทานทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” (the Father had given all things into his hand)
-ผู้เขียนเน้นอีกครั้งว่า แผนการของพระเจ้าจะสำเร็จ โดยพระเยซูคริสต์เป็นผู้ควบคุมสถานการณ์
“จะไปหาพระบิดา” (going back to God) -20:17
13:5 “ทรงเอาน้ำล้างเท้าของพวกสาวก” ( wash the disciples’ feet) = งานต่ำต้อยของคนรับใช้ (1:27) แต่ในตอนนี้ไม่มีคนรับใช้ ไม่มีใครอาสาสมัคร พระเยซูกระทำเช่นนี้ ในระหว่างมื้ออาหาร โดยเจตนาเป็นการสอนบทเรียนแห่งความถ่อมใจและเป็นหลักการของการรับใช้ (ลูกาให้ข้อมูลว่า พระเยซูทรงเตือนสติสาวกที่หมกมุ่นกับเรื่องว่าใครจะเป็นใหญ่ในพวกเขา พระเยซูจึงสอนว่า พระองค์อยู่ท่ามกลางพวกเขาดุจคนรับใช้ -ลก.22:27)
และชีวิตแห่งการรับใช้ของพระเยซูคริสต์บรรลุขั้นสูงสุดบนไม้กางเขน (ฟป.2:5-8)
13:8 “ไม่ได้เด็ดขาด” ( never wash my feet) = นิสัยของเปโตรชอบคัดค้าน ดูเหมือนเขามีนิสัยที่ผสมปนเประหว่างความถ่อมใจ (ไม่อยากให้พระเยซูรับใช้อย่างต่ำต้อย)และความหยิ่งผยอง เช่น พยายามสั่งพระเยซู (มธ.16:21-23)
“ถ้าเราไม่ล้างท่านแล้ว…” (If I do not wash you, you… ) = พระเยซูไม่ได้ตอบสนองต่อเหตุการณ์เท่านั้น แต่เตือนให้เป็นสัญลักษณ์ว่า เปโตรต้องรับการชำระจิตวิญญาณ เพราะการชำระกายภายนอกเป็นภาพของการชำระจากบาป
13:9 “ไม่เพียงแต่เท้าของข้าพระองค์เท่านั้น” (not my feet only)
“ขอโปรดล้างทั้งมือและศีรษะด้วย” (but also my hands and my head) = การตอบสนองจากใจของเปโตร แต่ยังคงเหมือนสั่งพระเยซูเช่นเคย
13:10 “ล้างแต่เท้าเท่านั้น” (except for his feet) –บางฉบับแปลว่า “ล้างแต่เท้าก็พอ” = คนที่ไปร่วมงานจะอาบน้ำไปก่อนแล้ว เมื่อมาถึงงานเลี้ยงก็เพียงแค่ล้างแต่เท้าเท่านั้น เพื่อทำให้สะอาดทั้งตัว
13:11 “พระองค์ทรงทราบ” (he knew) = ยอห์นเน้นอีกครั้งว่า พระเยซูทรงเป็นผู้ทราบทุกสิ่งและทรงควบคุมสถานการณ์อยู่
13:13 “พระอาจารย์…องค์พระผู้เป็นเจ้า” (Teacher … Lord) = ปกติผู้เรียน เรียกผู้สอนว่า “อาจารย์” แต่คำว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า” เป็นคำเรียกผู้มีตำแหน่งสูงส่ง –พระเยซูคริสต์ทรงรับการเรียกด้วยทั้ง 2 คำนั้น
13:14-15 –เรื่องการล้างเท้านั้นมีความคิดแบ่งเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคิดว่าพระเยซูตั้งพระทัยสถาปนาพิธีล้างเท้าขึ้นมาเป็นพิธีสำหรับให้คริสตจักรปฏิบัติ แต่คริสเตียนส่วนใหญ่ตีความว่า พระองค์เพียงให้เป็นแบบอย่างของการรับใช้ที่ถ่อมใจ
13:14 “ท่านก็ควรจะล้างเท้าของกันและกันด้วย” (you also ought to wash one another’s feet) = คริสเตียนควรเต็มใจรับใช้ซึ่งกันและกัน แม้แต่สิ่งที่ดูเล็กน้อย และต่ำต้อยที่สุดก็ตาม
13:16 -ยน.15:20;มธ.10:24;ลก.6:40;22:27
13:18 “เราไม่ได้พูดถึงพวกท่านทุกคน” (I am not speaking of all of you) = พระเยซูกำลังกล่าวถึงคนที่ทรยศพระองค์ (ข.21)
“คนที่รับประทานอาหารของเรา” (who ate my bread ) – ในบางฉบับแปลว่า“ผู้ที่รับประทานอาหารร่วมกับเรา”
-การรับประทานอาหารร่วมกันเป็นเครื่องหมายของความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดสนิทสนม (สดด.41:9)
“ยกส้นเท้าใส่เรา” (has lifted his heel against me) = ทรยศหักลังเรา วลีนี้มาจากท่าของม้าที่เตรียมเตะ หรืออาจเหมือนการสะบัดฝุ่นออกจากเท้า (ลก.9:5)
13:19 “เพื่อ….ท่านจะได้เชื่อว่า” (you may believe that) –12:44 -สิ่งที่พระเยซูเป็นห่วงก็เพื่อพวกสาวก ไม่ใช่เพื่อพระองค์เอง
“เราเป็นผู้นั้น” ( I am he) = คำพูดที่เน้นอย่างหนักแน่น เช่นเดียวกัน 8:58
13:20 “คนที่เราใช้ไป…ก็รับพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา” (whoever receives the one I send …. receives the one who sent me.) = พันธกิจของพระเยซูเป็นสาระสำคัญของพระธรรมยอห์น (cf.4:34,12:44;17:3-4,18)
และพันธกิจของสาวกได้รับการนำมาเชื่อมโยงกับพันธกิจของพระเยซูในตอนนี้ด้วย (ปท.20:21)
13:21 “ทรงเป็นทุกข์ในพระทัย” (Jesus was troubled in his spirit,) –ดู 11:33 แม้พระเยซูจะทราบล่วงหน้าว่า สิ่งนี้จะเกิดขึ้น แต่กระนั้นพระองค์ก็ยังทุกข์ในพระทัย เพราะจะถูกเพื่อนทรยศ
13:22 “สงสัย” (uncertain) = ในบางฉบับแปลว่า “ไม่รู้”
= ยูดาส ปกปิดเรื่องการติดต่อกับพวกมหาปุโรหิตไว้ จนไม่มีใครสงสัยตัวเขามาก่อน เวลานี้พวกสาวกจึงสงสัยว่าใครคือผู้นั้น โดยคิดไม่ถึงว่าจะเป็นตัวยูดาส (ข.28) ปท.มก.14:19
13:23 “สาวกที่พระเยซูทรงรัก” (his disciples, whom Jesus loved) –คนทั่วไปคิดว่า คือ ยอห์น ผู้เขียนพระธรรมยอห์นเล่มนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่า พระเยซูไม่ได้รักคนอื่น ๆ เพียงมีความหมายว่า พระองค์มีความผูกพันกับสาวกคนนี้เป็นพิเศษ
“เอนกายอยู่ใกล้พระองค์” (was reclining at table at Jesus’ side) = ในเวลาอาหารค่ำ แขกจะเอนกายบนฟูก โดยเท้าข้อศอกซ้าย และหันศีรษะไปทางโต๊ะ (ปท.มก.14:18)
13:26 “เป็นคนที่เราจะเอาขนมปังนี้จิ้มส่งให้” (whom I will give this morsel of bread) = เห็นได้ว่า ยูดาส อยู่ใกล้พระเยซู อาจเป็นที่นั่งอันมีเกียรติ ในตอนนี้ ผู้เขียนเรียกชื่อเต็มของยูดาสเลย คือ ยูดาสบุตรของซีโมน อิสคาริโอท
13:27 “เมื่อยูดาสกินขนมปังนั้นแล้ว” (Then after he had taken the morsel) –บางฉบับแปลว่า “ทันทีที่ยูดาสรับขนมปังนั้น”
“ซาตานก็เข้าไปสิงในตัวของเขา” (Satan entered into him) -โยบ 1:6;ศคย.3:1;วว.12:9-10
“ท่านจะทำอะไรก็จงทำเร็ว ๆ” (you are going to do, do quickly) = เป็นอีกครั้งที่คำตรัสของพระเยซูแสดงถึงการควบคุมของพระองค์ โดยพระองค์จะสิ้นพระชนม์ตามเวลาที่พระองค์กำหนด ไม่ใช่โดยศัตรูเป็นผู้กำหนด
13:29 “สำหรับงานเทศกาลนี้” ( for the feast) –ข.1-2;12:5;มก.14:5
13:30 “เวลากลางคืน” ( was night) –ผู้เขียนเน้นความขัดแย้งระหว่างความสว่างและความมืด คงเป็นภาพเปรียบความมืดมิดในจิตใจของยูดาสด้วย (ปท.1:4;8:12;อสย.60:2)
13:31 “บุตรมนุษย์” (the Son of Man) –มก.8:31
“ได้รับเกียรติ” (glorified) –ข.32; 7:39 = รวมถึงการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อเป็นเครื่องบูชาของพระเยซูคริสต์ และเรื่องความรอดอันมีสง่าราศีซึ่งเป็นผลที่ตามมา
“พระเจ้าทรงได้รับพระเกียตริเพราะบุตรมนุษย์“ (God is glorified in him) = พระเกียรติสิริของพระบิดาเกี่ยวข้องกับพระบุตร
13:34 “บัญญัติใหม่” (A new commandment ) = ในแง่หนึ่งเป็นบัญญัติเก่า (ลนต.19:18) แต่เป็นบัญญัติใหม่สำหรับสาวกของพระเยซู เพราะเป็นเครื่องหมายของการเกี่ยวดองกัน ซึ่งสร้างขึ้นโดยความรักอันยิ่งใหญ่ที่พระคริสต์มีต่อพวกเขา (ปท. มธ.22:37,39;มก.12:31;ลก.10:27)
“เรารักพวกท่านมาแล้วอย่างไร ท่านก็จงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น” (I have loved you, you also are to love one another) = ความรักที่พระคริสต์มีต่อเราคือ มาตรฐานของเราในการรักผู้อื่น
13:35 “รัก” ( love) = เครื่องหมายที่ทำให้ผู้ติดตามพระคริสต์แตกต่างจากคนอื่น (ปท. ยน.3:23;4:7-8;11-12,19-21)
13:36 “พระองค์จะเสด็จไปที่ไหน” (where are you going) -เปโตรมีท่าทีว่า ไม่ได้สนใจคำสอนเรื่องความรักที่พระเยซูกำลังสอน เขาเป็นห่วงแต่เรื่องที่ว่า พระอาจารย์ของเขากำลังจะจากไป
“ท่านจะตามเราไปเดี๋ยวนี้ไม่ได้” (you cannot follow me now) –คำว่า “ท่าน” ในตอนนี้ เป็นคำเอกพจน์บ่งบอกว่า พระเยซูกำลังตรัสกับเปโตรเป็นการส่วนตัว
13:37 “ข้าพระองค์จะสละชีวิตเพื่อพระองค์” (I will lay down my life for you) –บางฉบับแปลว่า “ข้าพระองค์ยอมพลีชีวิต” (ปท. ยน.10:11) , เปโตรเป็นคนมั่นใจในตัวเอง แต่จะทำตรงข้ามกับที่พูดในตอนนี้ (แม้ภายหลังจะต้องทำตามนั้น – 21:18-19)
13:38 “ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง” (you have denied me three times) –การปฏิเสธพระเยซูของเปโตรมีปรากฏอยู่ ในพระกิตติคุณทั้ง 4 เล่ม (มธ.26:33-35;มก.14:29-31;ลก.22:31-34)
คำถามนำอภิปราย
- คุณรู้สึกอย่างไรเมื่อคุณต้องจากคนที่คุณรักไป หรือเมื่อคนที่คุณรักกำลังจะจากคุณไป ? ต่างกันหรือไม่? และส่งผลกระทบอะไรต่อคุณบ้าง?
- มีใครบ้างที่รักคุณอย่างสุด ๆ? อย่างไร? และคุณรักใครแบบสุด ๆ บ้างหรือไม่? ทำไม? และอย่างไร?
- คุณเคยประสบกับสภาวะของ “การแย่งชิงความเป็นใหญ่” หรือ “แย่งชิงอำนาจ” กันในองค์กรหรือในคริสตจักรของคุณบ้างหรือไม่? คุณรู้สึกอย่างไร? แล้วคุณวางตัวอย่างไร? หรือคุณอยู่ในวังวนของการขัดแย้งนั้นด้วย? อย่างไร?
- คุณเคยถูกทรยศ หรือคุณทรยศผู้อื่นบ้างหรือไม่? คุณรู้สึกอย่างไร? แล้วคุณผ่านพ้นมาได้อย่างไร?
- คุณเคยพบใครเป็นแบบอย่างของความถ่อมใจมากที่สุดเท่าที่คุณพบมาในชีวิต? อย่างไร? คุณเรียนรู้อะไรจากชีวิตของผู้นั้นบ้าง?
- พระคริสต์ทรงกระทำให้คุณถ่อมใจ ถ่อมตัวลงอย่างไรบ้าง? ส่งผลกระทบต่อตัวคุณและคนอื่น ๆ อย่างไรบ้าง?
- คุณปฏิบัติต่อคนที่พระคริสต์ส่งมาหาคุณหรือส่งมาให้คริสตจักรของคุณอย่างไร? เป็นอย่างที่พระองค์ประสงค์หรือไม่? และส่งผลอย่างไรบ้าง?
- คุณเคยคิดว่า ตัวเองมีความเชื่อมั่นคงหรือมากกว่าคนอื่น แต่สุดท้ายกลับทำให้พระเจ้าผิดหวังบ้างไหม? แล้วคุณปรับปรุงแก้ไขตัวเอง นำเกียรติกลับคืนมาสู่ตัวเองและพระเจ้าหรือไม่? อย่างไร?
ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์