สาวกที่ไว้ใจไม่ได้ ผู้นำศาสนาที่น่ากลัว และสตรีผู้เปี่ยมศรัทธา
พระธรรม ยอห์น 12:1-50
อ้างอิง ยน.1:49;2:22;3:14;11:42-45,55;12:11-18,34,46;13:29-32;14:3,9,30;16:15,17:1,24;19:40
บทนำ ผู้ที่รู้จักพระเยซูคริสต์ และซาบซึ้งในพระคุณของพระองค์จริง ๆ จะพร้อมยอมสละทุกสิ่ง(ที่มีค่า) รวมทั้งชีวิต เพื่อปรนนิบัติรับใช้พระองค์ คุณเป็นคนหนึ่งในท่ามกลางคนเหล่านี้หรือไม่?
บทเรียน
12:1 “ก่อนปัสกาหกวัน พระเยซูเสด็จมาถึงหมู่บ้านเบธานีซึ่งเป็นที่อยู่ของลาซารัสผู้ที่พระองค์ทรงให้เป็นขึ้นจากตาย”
(Six days before the Passover, Jesus therefore came to Bethany, where Lazarus was, whom Jesus had raised from the dead.)
12:2 “พวกเขาจัดงานเลี้ยงพระองค์ มารธาก็ปรนนิบัติอยู่ และลาซารัสก็เป็นคนหนึ่งที่ร่วมรับประทานอาหารกับพระองค์”
(So they gave a dinner for him there. Martha served, and Lazarus was one of those reclining with him at table.)
12:3 “มารีย์เอาน้ำมันหอมนารดาบริสุทธิ์หนักประมาณครึ่งกิโลกรัม ซึ่งมีราคาแพงมากมาชโลมพระบาทพระเยซูและเอาผมเช็ดพระบาทของพระองค์เรือนก็หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นน้ำมันนั้น”
(Mary therefore took a pound of expensive ointment made from pure nard, and anointed the feet of Jesus and wiped his feet with her hair. The house was filled with the fragrance of the perfume. )
12:4 “แต่สาวกคนหนึ่งของพระองค์ชื่อยูดาสอิสคาริโอท (คนที่จะทรยศพระองค์) พูดว่า”
(But Judas Iscariot, one of his disciples (he who was about to betray him), said,)
12:5 “ทำไมไม่เอาน้ำมันนั้นไปขายได้เงินซักสามร้อยเดนาริอัน แล้วแจกให้กับคนจน?”
(“Why was this ointment not sold for three hundred denarii and given to the poor?”)
12:6 “เขาพูดอย่างนั้นไม่ใช่เพราะเขาเอาใจใส่คนจน แต่เพราะเขาเป็นหัวขโมย เขาถือกระเป๋าเก็บเงินและยักยอกเงินที่ใส่ไว้ในนั้นไป”
(He said this, not because he cared about the poor, but because he was a thief, and having charge of the moneybag he used to help himself to what was put into it.)
12:7 “พระเยซูตรัสว่า “อย่าห้ามนางเลย ให้นางเก็บน้ำมันนี้ไว้จนถึงวันฝังศพของเรา”
(Jesus said, “Leave her alone, so that she may keep it for the day of my burial.)
12:8 “เพราะว่ามีคนจนอยู่กับพวกท่านเสมอ แต่เราจะไม่อยู่กับท่านเสมอ”
(For the poor you always have with you, but you do not always have me.)
12:9 “พวกยิวจำนวนมากรู้ว่าพระองค์ประทับที่นั่นจึงมาเฝ้าพระองค์ ไม่ใช่มาเพราะพระเยซูเท่านั้น แต่เพื่อจะเห็นลาซารัสคนที่พระองค์ทรงให้เป็นขึ้นมาจากตายด้วย”
(When the large crowd of the Jews learned that Jesus was there, they came, not only on account of him but also to see Lazarus, whom he had raised from the dead.)
12:10 “ดังนั้นพวกหัวหน้าปุโรหิตจึงคิดจะฆ่าลาซารัสด้วย”
(So the chief priests made plans to put Lazarus to death as well, )
12:11 “เพราะลาซารัสเป็นต้นเหตุที่ทำให้พวกยิวหลายคนแยกตัวไปและวางใจในพระเยซู”
(because on account of him many of the Jews were going away and believing in Jesus.)
12:12 “วันรุ่งขึ้น เมื่อมหาชนที่มาร่วมงานเทศกาลนั้นได้ยินว่าพระเยซูเสด็จมาถึงกรุงเยรูซาเล็ม”
(The next day the large crowd that had come to the feast heard that Jesus was coming to Jerusalem.)
12:13 “พวกเขาก็ถือทางอินทผลัมพากันออกไปต้อนรับพระองค์ร้องว่า“โฮซันนา ขอให้พระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า คือพระมหากษัตริย์แห่งอิสราเอลทรงพระเจริญ”
(So they took branches of palm trees and went out to meet him, crying out, “Hosanna! Blessed is he who comes in the name of the Lord, even the King of Israel!”)
12:14 “และพระเยซูทรงพบลูกลาตัวหนึ่ง จึงทรงลานั้นดังคำที่เขียนไว้ว่า”
(And Jesus found a young donkey and sat on it, just as it is written,)
12:15 “ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย อย่ากลัวเลยจงดู กษัตริย์ของเธอเสด็จมาประทับบนลูกลา”
(“Fear not, daughter of Zion; behold, your king is coming, sitting on a donkey’s colt!”)
12:16 “ทีแรกพวกสาวกของพระองค์ไม่เข้าใจเหตุการณ์นั้น แต่หลังจากพระเยซูทรงรับพระเกียรติแล้ว เขาจึงระลึกได้ว่ามีคำเช่นนั้นเขียนไว้กล่าวถึงพระองค์ และพวกเขาเองเคยทำอย่างนั้นถวายพระองค์”
(His disciples did not understand these things at first, but when Jesus was glorified, then they remembered that these things had been written about him and had been done to him)
12:17 “ฝูงชนที่อยู่กับพระองค์เมื่อครั้งพระองค์ทรงเรียกลาซารัสออกมาจากอุโมงค์ฝังศพ และให้เป็นขึ้นมาจากตายนั้น ก็เป็นพยานในสิ่งที่เขาทั้งหลายได้ยินและได้เห็น”
(The crowd that had been with him when he called Lazarus out of the tomb and raised him from the dead continued to bear witness.)
12:18 “เหตุที่ฝูงชนพากันไปหาพระองค์ ก็เพราะเขาได้ยินว่าพระองค์ทรงทำหมายสำคัญนั้น”
(The reason why the crowd went to meet him was that they heard he had done this sign.)
12:19 “พวกฟาริสีจึงพูดกันว่า “เห็นไหม? เราทำอะไรไม่ได้เลย ดูซิ โลกตามเขาไปหมดแล้ว”
(So the Pharisees said to one another, “You see that you are gaining nothing. Look, the world has gone after him.”)
12:20 “ในบรรดาคนที่ขึ้นไปนมัสการที่งานเทศกาลนั้นมีพวกกรีกอยู่ด้วย”
(Now among those who went up to worship at the feast were some Greeks.)
12:21 “พวกเขาไปหาฟีลิปซึ่งมาจากหมู่บ้านเบธไซดาในแคว้นกาลิลี แล้วพูดกับเขาว่า “ท่านเจ้าข้า เราอยากจะเห็นพระเยซู”
(So these came to Philip, who was from Bethsaida in Galilee, and asked him, “Sir, we wish to see Jesus.”)
12:22 “ฟีลิปจึงไปบอกอันดรูว์ แล้วอันดรูว์กับฟีลิปไปทูลพระเยซู”
(Philip went and told Andrew; Andrew and Philip went and told Jesus.)
12:23 “และพระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “ถึงเวลาแล้วที่บุตรมนุษย์จะได้รับพระเกียรติ”
(And Jesus answered them, “The hour has come for the Son of Man to be glorified.)
12:24 “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงดินและตายไป ก็จะคงอยู่เมล็ดเดียว แต่ถ้าตายไปแล้วก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก”
(Truly, truly, I say to you, unless a grain of wheat falls into the earth and dies, it remains alone; but if it dies, it bears much fruit.)
12:25 “คนที่รักชีวิตตัวเองต้องเสียชีวิต และคนที่เกลียดชังชีวิตตัวเองในโลกนี้จะรักษาชีวิตนั้นไว้นิรันดร์”
(Whoever loves his life loses it, and whoever hates his life in this world will keep it for eternal life. )
12:26 “ถ้าใครจะปรนนิบัติเรา คนนั้นต้องตามเรามา และเราอยู่ที่ไหน ผู้ปรนนิบัติของเราจะอยู่ที่นั่นด้วย ถ้าใครปรนนิบัติเรา พระบิดาจะประทานเกียรติแก่ผู้นั้น”
(If anyone serves me, he must follow me; and where I am, there will my servant be also. If anyone serves me, the Father will honor him.)
12:27 “เดี๋ยวนี้ใจของเราเป็นทุกข์ จะให้เราพูดอย่างไร? ‘ข้าแต่พระบิดา ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากช่วงเวลานี้’ อย่างนั้นหรือ? แต่เพื่อจุดประสงค์นี้เอง เราจึงมาถึงช่วงเวลานี้”
(“Now is my soul troubled. And what shall I say? ‘Father, save me from this hour’? But for this purpose I have come to this hour)
12:28 “ข้าแต่พระบิดา ขอพระองค์ทรงให้พระนามของพระองค์รับพระเกียรติ” แล้วก็มีพระสุรเสียงดังมาจากฟ้าว่า “เราให้รับเกียรติแล้ว และเราจะให้รับเกียรติอีก”
(Father, glorify your name.” Then a voice came from heaven: “I have glorified it, and I will glorify it again.)
12:29 “ฝูงชนที่ยืนอยู่ที่นั่นได้ยินเสียงนั้นก็พูดกันว่าฟ้าร้อง คนอื่นๆ ว่า “ทูตสวรรค์องค์หนึ่งกล่าวกับพระองค์”
(The crowd that stood there and heard it said that it had thundered. Others said, “An angel has spoken to him.” )
12:30 “พระเยซูตรัสตอบว่า “เสียงนี้เกิดขึ้นเพื่อพวกท่าน ไม่ใช่เพื่อเรา”
(Jesus answered,”This voice has come for your sake, not mine)
12:31 “เดี๋ยวนี้การพิพากษามาถึงโลกนี้แล้ว เดี๋ยวนี้ผู้ครองโลกนี้จะถูกกำจัดออกไป”
(Now is the judgment of this world; now will the ruler of this world be cast out. )
12:32 “เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว เราจะชักนำทุกคนให้มาหาเรา”
(And I, when I am lifted up from the earth, will draw all people to myself.”)
12:33 “พระองค์ตรัสอย่างนั้นเพื่อแสดงว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์อย่างไร”
(He said this to show by what kind of death he was going to die)
12:34 “ฝูงชนจึงทูลพระองค์ว่า “เราทราบจากธรรมบัญญัติว่า พระคริสต์จะอยู่เป็นนิตย์ ท่านพูดได้อย่างไรว่า ‘บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้น?’ บุตรมนุษย์นั้นคือใคร?”
(So the crowd answered him, “We have heard from the Law that the Christ remains forever. How can you say that the Son of Man must be lifted up? Who is this Son of Man?” )
12:35 “พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “ความสว่างจะอยู่ท่ามกลางพวกท่านอีกหน่อยหนึ่ง เมื่อยังมีความสว่างอยู่ก็จงเดินไปเถิดเพื่อที่ว่าความมืดจะได้ตามท่านไม่ทัน คนที่เดินอยู่ในความมืดย่อมไม่รู้ว่าตนไปทางไหน”
(So Jesus said to them, “The light is among you for a little while longer. Walk while you have the light, lest darkness overtake you. The one who walks in the darkness does not know where he is going.)
12:36 “ขณะที่พวกท่านมีความสว่าง จงวางใจในความสว่างนั้น เพื่อจะได้เป็นลูกของความสว่าง” เมื่อพระเยซูตรัสอย่างนั้นแล้วก็ทรงจากไป และทรงซ่อนพระองค์ให้พ้นจากพวกเขา”
(While you have the light, believe in the light, that you may become sons of light.” When Jesus had said these things, he departed and hid himself from them)
12:37 “ถึงแม้ว่าพระองค์ทรงทำหมายสำคัญมากมายหลายอย่างให้เขาเห็น พวกเขาก็ยังไม่วางใจในพระองค์”
(Though he had done so many signs before them, they still did not believe in him,)
12:38 “ทั้งนี้เพื่อจะสำเร็จตามคำของอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะที่ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ใครจะเชื่อสิ่งที่เราประกาศ? และพระกรของพระเจ้าทรงสำแดงแก่ใคร?”
(so that the word spoken by the prophet Isaiah might be fulfilled: “Lord, who has believed what he heard from us, and to whom has the arm of the Lord been revealed?”)
12:39 “เพราะเหตุนี้ พวกเขาจึงเชื่อวางใจไม่ได้ เพราะอิสยาห์กล่าวไว้อีกว่า”
(Therefore they could not believe. For again Isaiah said,)
12:40 “พระองค์ทรงปิดตาของพวกเขาและทำใจของเขาให้แข็งกระด้างไปเกรงว่าพวกเขาจะเห็นด้วยตา และเข้าใจด้วยจิตใจ และหันกลับมาให้เรารักษาเขาให้หาย”
( “He has blinded their eyes and hardened their heart, lest they see with their eyes, and understand with their heart, and turn, and I would heal them.”)
12:41 “อิสยาห์กล่าวอย่างนี้ เพราะว่าท่านเห็นพระสิริของพระองค์และกล่าวถึงพระองค์”
(Isaiah said these things because he saw his glory and spoke of him. )
12:42 “อย่างไรก็ดี แม้แต่ในพวกเจ้าหน้าที่เองก็มีหลายคนวางใจในพระองค์ แต่พวกเขาไม่ยอมรับพระองค์อย่างเปิดเผยเพราะกลัวพวกฟาริสี เขากลัวว่าจะถูกขับออกจากธรรมศาลา”
(Nevertheless, many even of the authorities believed in him, but for fear of the Pharisees they did not confess it, so that they would not be put out of the synagogue)
12:43 “เพราะว่าพวกเขารักการชมของมนุษย์ มากกว่าการชมของพระเจ้า”
(for they loved the glory that comes from man more than the glory that comes from God.)
12:44 “และพระเยซูทรงประกาศว่า “คนที่วางใจเรานั้นไม่ได้วางใจในเราเอง แต่วางใจในพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา”
(And Jesus cried out and said, “Whoever believes in me, believes not in me but in him who sent me.)
12:45 “และคนที่เห็นเราก็เห็นผู้ทรงใช้เรามา”
(And whoever sees me sees him who sent me. )
12:46 “เราเข้ามาในโลกเป็นความสว่าง เพื่อทุกคนที่วางใจในเราจะไม่อยู่ในความมืด”
(I have come into the world as light, so that whoever believes in me may not remain in darkness.)
12:47 “เราไม่พิพากษาคนที่ได้ยินถ้อยคำของเราและไม่ทำตาม เพราะว่าเราไม่ได้มาเพื่อจะพิพากษาโลก แต่มาเพื่อจะช่วยโลกให้รอด”
(If anyone hears my words and does not keep them, I do not judge him; for I did not come to judge the world but to save the world)
12:48 “ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย”
(The one who rejects me and does not receive my words has a judge; the word that I have spoken will judge him on the last day.)
12:49 “เพราะเราไม่ได้กล่าวตามใจเราเอง แต่พระบิดาผู้ทรงใช้เรามาเป็นผู้บัญชาเราว่าจะกล่าวอะไรหรือพูดอะไร”
(For I have not spoken on my own authority, but the Father who sent me has himself given me a commandment—what to say and what to speak.)
12:50 “เรารู้ว่าพระบัญญัติของพระองค์นั้นเป็นชีวิตนิรันดร์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราพูดนั้น เราก็พูดตามที่พระบิดาทรงบอกเรา”
(And I know that his commandment is eternal life. What I say, therefore, I say as the Father has told me.”)
ข้อมูลมีประโยชน์
12:1-11 –บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับมารีย์ นำน้ำมันหอมนารดาบริสุทธิ์มาชโลมพระบาทของพระเยซูคริสต์ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเหตุการณ์เดียวกับใน มธ.26:6-13;มก.14:3-9 แต่เป็นคนละเหตุการณ์กับใน ลก.7:36-50
12:1 “หมู่บ้านเบธานี” (Bethany) –มธ.21:17
12:3 “น้ำมันหอมนารดาบริสุทธิ์”( a pound of expensive ointment made from pure nard) = น้ำมันหอมราคาแพงมากแสดงถึงการทุ่มเทสิ่งที่มีค่าทั้งหมดแต่องค์พระคริสต์
“ชโลมพระบาท …พระเยซู” (anointed the feet of Jesus) = เป็นเรื่องไม่ปกติ เพราะปกติต้องชโลมบนศีรษะ
“เอาผมเช็ดพระบาทของพระองค์”(wiped his feet with her hair) = ปกติผู้หญิงที่อยู่ในขนมประเพณีจะไม่แก้ผมออกในที่สาธารณะ และเป็นการแสดงถึงความถ่อมใจของเธอ ลงมือทำหน้าที่ของผู้รับใช้ เช็ดเท้าของพระเยซูแทนที่จะใช้ผ้า (6:71;17:12)
12:4 “ยูดาส อิสคาริโอท” (Judas Iscariot) = คนที่จะทรยศพระเยซู – 6:71;17:12
12:5 “ทำไม่ไม่เอาน้ำมันนั้นไปขาย….แล้วแจกให้กับคนจน” (“Why was this ointment not sold for three hundred denarii and given to the poor?” ) –มก.14:5
12:6 “เขาเป็นหัวขโมย” (he was a thief) = เป็นตอนหนึ่งที่เปิดเผยให้รู้ว่า ยูดาสเป็นคนไม่ซื่อสัตย์ (แม้ว่าเคยเป็นคนที่ดูไว้วางใจได้คนหนึ่ง เพราะเป็นคนที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลเก็บรักษาเงินของกลุ่ม)
12:7 “เก็บ” ( keep it ) = อาจหมายความว่า “เก็บไว้เพื่อวัตถุประสงค์”
โดยปกติน้ำหอมจะเกี่ยวข้องกับเรื่องการเฉลิมฉลอง แต่ก็ใช้ในการฝังศพด้วย (19:39-40) พระเยซูจึงโยงว่าการกระทำของมารีย์ เป็นการเล็งถึงการฝังพระศพของพระองค์
12:10 “คิดจะฆ่าลาซารัสด้วย” ( to put Lazarus to death) –ก่อนหน้าที่พวกผู้ใหญ่ ผู้นำศาสนาของยิว ได้ตกลงกันว่าจะให้พระเยซูตาย 1 คน เพื่อให้ประเทศรอดภัยจากโรม (ยน.11:50) แต่เวลานี้ พวกเขากำลังกระทำบาปมากยิ่งขึ้น โดยการวางแผนฆ่าคนเพิ่มอีกคน (ปท. ยก.1:15)
12:12 “มหาชน” (the large crowd) = “ผู้คนจำนวนมากมาย” หมายถึงผู้แสวงหาธรรม(แสวงบุญ) ที่เดินทางมาจากที่ต่าง ๆ เพื่อร่วมเทศกาลปัสกา บางคนเคยพบพระเยซูและได้ฟังคำสอนของพระองค์มาแล้ว พวกเขาจึงฉวยโอกาสนี้ประกาศว่า พระเยซูเป็นองค์พระเมสสิยาห์
12:13 “ถือทางอินทผลัม” (branches of palm trees) –มก.11:8 -ใช้ในการฉลองชัยชนะ และเป็นภาพในสวรรค์ที่ยอห์นเห็นในนิมิตด้วย (วว.7:9)
“โฮซันนา” (Hosanna) = ข้อความที่แสดงถึงการสรรเสริญ –สดด.118:25-26;มธ.21:9
“พระมหากษัตริย์แห่งอิสราเอลทรงพระเจริญ” (the name of the Lord, even the King of Israel!)
= สรรเสริญองค์กษัตริย์แห่งอิสราเอล, เนื้อความตอนนี้ถูกเพิ่มโดยประชาชนต่อจากเนื้อความในพระธรรมสดุดี 118:25-26 (ซึ่งมีแต่ยอห์นเท่านั้นที่บันทึกไว้)
-แสดงว่า ยอห์นสนใจในความเป็นกษัตริย์ของพระเยซูคริสต์เป็นพิเศษ
12:14 “ลูกลา” (young donkey ) –ศคย.9:9;มธ.21:2,7;มก.11:2;ลก.19:30
12:15 “ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย” (daughter of Zion) = การเรียกเยรูซาเล็มในลักษณะที่เป็นบุคคล (2พกษ.19:21)
12:16 “ทรงรับพระเกียรติ” (was glorified) = ได้รับพระเกียรติสิริ – 12:41;11:4;13:31
เหล่าสาวกซาบซึ้งในความหมายของคำพยากรณ์ที่เป็นจริง หลังจากการที่พระเยซูถูกตรึงบนกางเขนและพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมาแล้ว
12:19 “ดูซิ โลกตามเขาไปหมดแล้ว” ( Look, the world has gone after him) = ตัวอย่างของการพูดเกินความจริงในพระคัมภีร์ โดยพวกฟาริสี –ยน.11:47-48
12:20 “พวกกรีก” (Greeks) –อาจหมายถึง “ผู้ที่ยำเกรงพระเจ้า” หรือ คนที่สนใจในศาสนายิว ในส่วนที่เกี่ยวกับนับถือพระเจ้าองค์เดียว และเรื่องศีลธรรม แต่ไม่รับเรื่องชาตินิยม และกฎข้อบังคับต่าง ๆ เช่น การเข้าสุหนัต แม้พวกเขาจะนมัสการในธรรมศาลา แต่ก็ไม่ได้เข้ารีต –ยน.7:35;กจ.11:20
12:21 “ฟิลิป” (Philip) = เป็นชื่อภาษากรีก จึงอาจเป็นเหตุผลว่า ทำไมชาวกรีกจึงมาหาเขา
“เราอยากจะเห็นพระเยซู” (we wish to see Jesus) = อยากสนทนาด้วยกับพระเยซู
12:22 “อันดรูว์” (Andrew) –1:40
12:23 “ถึงเวลาแล้ว” (The hour has come) –มธ.26:18 –เวลาที่พระเยซูจะถูกตรึงบนไม้กางเขน สิ้นพระชนม์ และเป็นขึ้นจากตาย
“จะได้รับพระเกียรติ” (to be glorified) = ได้รับการเทิดทูน (41;11:4;13:31) – ยน.13:31;17:1
12:24 “ถ้าตายไปแล้วก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก” (if it dies, it bears much fruit) = การตายเพื่อเกิด เมล็ดต้องตายเพื่อจะมีต้นเจริญขึ้นมา
12:25 “คนที่รักชีวิตตัวเองต้องเสียชีวิต” ( Whoever loves his life loses it) = คนที่สนใจแต่ความสำเร็จของตัวเองจะทำให้สูญเสียสิ่งสำคัญ(ในชีวิต) ไป –ปท.มก.8:34-35;ลก.9:23-24
“คนที่เกลียดชังชีวิต….จะรักษาชีวิตนั้นไว้นิรันดร์” ( whoever hates his life in this world will keep it for eternal life)
= เมื่อเปรียบความรักที่มีต่อพระเจ้าแล้ว ความรักอื่นใดทั้งหมดก็จะกลายเป็นเพียงดุจ “ความชัง”
12:27 “เป็นทุกข์” (troubled) -มธ.26:38-39;มก.14:34-36;ลก.22:42
“ช่วงเวลานี้” (this hour) = การที่พระเยซูเผชิญกับสภาพของการกลายเป็นเหมือนคนบาปหรือเครื่องบูชาไถ่บาป เพื่อคนบาป(2คร.5:21) ซึ่งเป็นเหตุผลที่พระองค์เสด็จมาเพื่อสิ้นพระชนม์
12:28 “ขอพระองค์ทรงให้พระนามของพระองค์รับพระเกียรติ” ( Father, glorify thy name) = พระเยซูไม่ได้อธิษฐานขอการช่วยกู้ แต่ทูลขอให้พระบิดาได้รับพระเกียรติสิริ (ปท.มธ.6:9)
12:31 “การพิพากษามาถึงโลกนี้แล้ว” (Now is the judgment of this world) -ไม้กางเขนคือการพิพากษาของพระเจ้าที่มีต่อโลกที่ปฏิเสธการช่วยเหลือของพระองค์
“ผู้ครองโลกนี้” (the ruler of this world ) = ซาตาน (16:11) คิดว่า ไม้กางเขนเป็นเครื่องหมายแห่งการประกาศชัยชนะของมัน แต่ในความเป็นจริง กลับกลายเป็นเครื่องพิสูจน์ความพ่ายแพ้ของมัน
12:32 “ถูกยกขึ้น” (lifted up) = การถูกตรึงของพระเยซูบนไม้กางเขน (ข.33) การเป็นขึ้นและเสด็จสู่สวรรค์ ประทับที่เบื้องขวาของพระหัตถ์ของพระเจ้า (ข.41;3:14;8:28;กจ.2:33;5:31)
“นำทุกคน” (draw all people) = พระเยซูจะนำคนมาหาพระองค์ โดยไม่จำกัดที่เชื้อชาติ สัณชาติ หรือสถานภาพ
12:34 “ธรรมบัญญัติ” (the Law) = พันธสัญญาเดิมโดยทั่วไป (10:34), อาจอ้างถึง ข้อพระคัมภีร์ เช่น สดด.89:30-37;110:4;อสย.9:7
“บุตรมนุษย์” (the Son of Man) –ในที่นี้เป็นที่เดียวในพระกิตติคุณทั้งหมด ซึ่งคนอื่นพูดถึงพระเยซูในฐานะบุตรมนุษย์ (ไม่ใช่พระเยซูเป็นผู้พูด) -มก.8:31;มธ.8:20
12:35 “ความสว่าง” (The light) = หมายถึง องค์พระเยซู และเรียกให้เชื่อในความสว่าง (1:4;8:12)
12:37 “พวกเขาก็ยังไม่วางใจในพระองค์” (they still did not believe in him) = ยังไม่ยอมเชื่อในพระองค์ ทั้ง ๆ ที่เห็นหมายสำคัญที่พระเยซูกระทำ (ยน.2:11)
12:39 “พวกเขาจึงวางใจไม่ได้” (they could not believe) = พวกเขาจึงไม่อาจเชื่อ เพราะพวกเขาตั้งใจปฏิเสธพระเจ้า และเลือกทางชั่วร้าย
-พระเจ้าจึงตอบกลับโดยการให้ตาของพวกเขามืดบอดและหัวใจของพวกเขาแข็งกระด้าง
-แต่ก็มีบางคนในพวกเขาที่เชื่อพระองค์ แม้ไม่กล้าแสดงตัว (12:42)
12:40 -ทั้งพระเยซู (มธ.13:13-14;มก.4:12;ลก.8:10) และเปาโล (กจ.28:26-27) อ้างพระธรรมตอนนี้ จากอิสยาห์ 6:10 ( ปท.มก.4:12;ลก.8:10)
12:41 “เห็นพระสิริของพระองค์” (saw his glory) –อิสยาห์กล่าวถึงพระเกียรติสิริของพระเจ้า (อสย.6:3) ยอห์นกล่าวถึงพระเกียรติสิริของพระเยซูคริสต์ และยืนยันว่า พระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า (ฮบ.1:6,10)
-อิสยาห์เห็นล่วงหน้าว่า พระเยซูจะถูกปฏิเสธ (อสย.53:1;6:10) แต่กางเขนกลับกลายเป็นพระเกียรติสิริ เพราะก่อเกิดความตาย และการเป็นขึ้นจากตายและการได้รับการเทิดทูน เป็นภาพของการทนทุกข์เพื่อไถ่รักษา การถูกปฏิเสธ การมีชัยชนะ การถูกเหยียดหยามและพระเกียรติสิริ
12:42 “ในพวกเจ้าหน้าที่เองก็มีหลายคนวางใจในพระองค์”(many even of the authorities believed in him) –แม้จะถูกต่อต้าน แต่ก็มีผู้นำยิวหลายคนมาเชื่อ (1:7) แม้จะเชื่ออย่างลับ ๆ เพราะกลัวถูกอเปหิ (9:22) ตัวอย่าง นิโคเดมัส และโยเซฟ ชาวอาริมาเธีย (3:1-2;19:38-39)
12:44 “ประกาศ” (cried ) = ทรงร้อง(เสียงดัง)
“คนที่วางใจในเรา” ( He that believeth on me) = ยอห์นปิดท้ายเรื่องราวพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ด้วยการเชิญชวนให้คนมาเชื่อศรัทธาในพระองค์ (1:7;20:31)
12:46 “เราเข้ามาในโลก” ( I have come into the world) = เปิดเผยว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนมาบังเกิดในโลกและกระทำพันธกิจของพระองค์ (ข.35-36)
12:47 “เพื่อพิพากษา” ( to judge) = พระองค์ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายในการเสด็จมาเพื่อพิพากษา แต่ผลที่ตามมาก็คือการพิพากษาผู้ที่ปฏิเสธไม่รับความรอด
12:49 “พระบิดาผู้ทรงใช้เรามาเป็นผู้บัญชาเราว่าจะกล่าวอะไร หรือพูดอะไร” (the Father who sent me has himself given me a commandment—what to say and what to speak.) = เมื่อคำตรัสของพระเยซูเป็นสิ่งที่พระเจ้าบัญชาให้พระเยซูตรัส ผู้ที่ฟังต้องรับผิดชอบทั้งหมดต่อสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง เพราะการปฏิเสธถ้อยคำของพระเยซูก็เท่ากับการปฏิเสธพระเจ้า
12:50 “ชีวิตนิรันดร์” ( eternal life) -3:15
“เพราะฉะนั้น” ( therefore) = พระเยซูตรัสว่า สิ่งที่พระองค์กระทำก็เพื่อทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จ (ข.44)
คำถามนำอภิปราย
- คุณเคยซาบซึ้งและแสดงความขอบคุณพระเจ้า โดยจ่ายราคาแพงมากหรือไม่? เรื่องอะไร? และอย่างไร?
- คุณเคยพบคนที่พูดจาดี แต่ทำตรงกันข้าม (เข้าทำนอง “ปากปราศรัยใจเชือดคอ”) บ้างไหม? อย่างไร?
- คุณเคยถูกปองร้าย เพราะเหตุที่อยู่ฝ่ายพระเยซูบ้างหรือไม่? อย่างไร? แล้วคุณรอดพ้นมาได้อย่างไร?
- คุณเคยเป็นพยานและนำผู้ใดมาหาพระเยซูคริสต์บ้างไหม? แล้วผลเป็นอย่างไร?
- คุณพร้อมที่จะยอมสละชีวิตเพื่อรับใช้และถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าหรือไม่? ทำไม?
- คุณเคยเผชิญกับสภาวะที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตและได้ทูลขอพระเจ้าให้ช่วยเหลือ แต่พระเจ้ากลับไม่ได้ช่วยเราให้รอดพ้นบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? แล้วคุณมีปฏิกิริยาอย่างไร?
- คุณเคยเห็นคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ แต่ไม่กล้าเปิดเผยบ้างหรือไม่? เพราะอะไร? แล้วภายหลังมีผู้ใดกล้าประกาศตนรับเชื่อหรือไม่? ทำไม?
- คุณเป็นคนที่รักการชมของมนุษย์มากกว่าการชมของพระเจ้าหรือไม่? จะเป็นเช่นนั้นตลอดไปหรือไม่? ทำไม?
ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์