ถ้าเธอเชื่อ ก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
พระธรรม ยอห์น 11:1-57
อ้างอิง มธ.9:24;10:3;21:17;มก.14:3;ลก.7:38;10:38-42;19:41;24:2;ยน.3:15;8:59;10:40;19:40;20:7;กจ.1:13;โยบ 2:11;ดนล.12:2
บทนำ เวลาของพระเจ้าอาจจะไม่เหมือนเวลาของเรา
คำร้องทูลขอของเราอาจไม่ได้รับคำตอบในทันที
แต่หากเราไว้วางใจพระองค์ พระองค์จะทำให้เกิดผลดีในเวลาของพระองค์!
บทเรียน
11:1 “มีชายคนหนึ่งชื่อลาซารัสกำลังป่วยอยู่ที่เบธานี ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มารีย์และมารธาพี่สาวของนางอยู่นั้น”
(Now a man named Lazarus was sick. He was from Bethany, the village of Mary and her sister Martha.)
11:2 “มารีย์คนนี้คือหญิงที่เอาน้ำมันหอมชโลมพระองค์ และเอาผมเช็ดพระบาทของพระองค์ ลาซารัสน้องชายของนางกำลังป่วยอยู่”
(This Mary, whose brother Lazarus now lay sick, was the same one who poured perfume on the Lord and wiped his feet with her hair.)
11:3 “ดังนั้นพี่สาวทั้งสองจึงส่งข่าวไปทูลพระเยซูว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า คนที่พระองค์ทรงรักนั้นกำลังป่วยอยู่”
(So the sisters sent word to Jesus, “Lord, the one you love is sick.)
11:4 “แต่เมื่อพระเยซูทรงได้ยิน พระองค์ตรัสว่า “โรคนี้จะไม่ถึงตาย แต่เกิดขึ้นเพื่อเชิดชูพระเกียรติของพระเจ้า เพื่อให้พระบุตรของพระองค์ได้รับเกียรติเพราะโรคนี้”
(When he heard this, Jesus said, “This sickness will not end in death. No, it is for God’s glory so that God’s Son may be glorified through it.)
11:5 “พระเยซูทรงรักมารธาและน้องสาวของนางและลาซารัส”
(Now Jesus loved Martha and her sister and Lazarus.)
11:6 “เมื่อพระองค์ทรงได้ยินว่าลาซารัสป่วย พระองค์กลับทรงพักอยู่ต่ออีกสองวันในที่ที่พระองค์ประทับอยู่นั้น”
(So when he heard that Lazarus was sick, he stayed where he was two more days,)
11:7 “หลังจากนั้นพระองค์ตรัสกับพวกสาวกว่า “ให้เรากลับเข้าไปในแคว้นยูเดียกันอีก”
(and then he said to his disciples, “Let us go back to Judea.)
11:8 “พวกสาวกทูลพระองค์ว่า“พระอาจารย์เมื่อเร็วๆ นี้พวกยิวหาโอกาสเอาหินขว้างพระองค์ให้ตายแล้วพระองค์ยังจะเสด็จไปที่นั่นอีกหรือ?”
(“But Rabbi,” they said, “a short while ago the Jews there tried to stone you, and yet you are going back?”)
11:9 “พระเยซูตรัสตอบว่า“กลางวันมีสิบสองชั่วโมงไม่ใช่หรือ? ถ้าใครเดินตอนกลางวันเขาจะไม่สะดุด เพราะเขาเห็นความสว่างของโลกนี้”
(Jesus answered, “Are there not twelve hours of daylight? Anyone who walks in the daytime will not stumble, for they see by this world’s light.)
11:10 “แต่ถ้าใครเดินตอนกลางคืนเขาจะสะดุด เพราะไม่มีความสว่างในตัวเขา”
(It is when a person walks at night that they stumble, for they have no light.”)
11:11 “พระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้วจึงตรัสกับพวกเขาว่า “ลาซารัสสหายของพวกเราหลับไปแล้ว แต่เรากำลังจะไปปลุกให้เขาตื่น”
(After he had said this, he went on to tell them, “Our friend Lazarus has fallen asleep; but I am going there to wake him up.”)
11:12 “พวกสาวกทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าเขาหลับอยู่ เขาก็จะมีอาการดีขึ้น”
(His disciples replied, “Lord, if he sleeps, he will get better.”)
11:13 “พระเยซูตรัสถึงการตายของลาซารัส แต่พวกสาวกคิดว่าพระองค์ตรัสถึงการนอนหลับพักผ่อน”
(Jesus had been speaking of his death, but his disciples thought he meant natural sleep.)
11:14 “ดังนั้นพระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาตรงๆ ว่า “ลาซารัสตายแล้ว”
(So then he told them plainly, “Lazarus is dead,)
11:15 “และเพราะเห็นแก่พวกท่านเราจึงยินดีที่เราไม่ได้อยู่ที่นั่นเพื่อท่านจะได้เชื่อ อย่างไรก็ดี ให้พวกเราไปหาเขากันเถิด”
(and for your sake I am glad I was not there, so that you may believe. But let us go to him.)
11:16 “โธมัสที่เรียกว่า “ดิดุโมส” จึงพูดกับเพื่อนสาวกว่า “ให้เราไปด้วยกันกับพระองค์เพื่อจะได้ตายกับพระองค์”
(Then Thomas (also known as Didymus) said to the rest of the disciples, “Let us also go, that we may die with him.)
11:17 “เมื่อพระเยซูเสด็จมาถึงก็พบว่าเขาเอาลาซารัสไปไว้ในอุโมงค์ฝังศพสี่วันแล้ว”
(On his arrival, Jesus found that Lazarus had already been in the tomb for four days.)
11:18 “หมู่บ้านเบธานีอยู่ใกล้กรุงเยรูซาเล็ม คือห่างกันประมาณสามกิโลเมตร”
(Now Bethany was less than two miles from Jerusalem,)
11:19 “พวกยิวหลายคนมาหามารธาและมารีย์เพื่อปลอบโยนเรื่องน้องชาย”
(and many Jews had come to Martha and Mary to comfort them in the loss of their brother. )
11:20 “เมื่อมารธารู้ข่าวว่าพระเยซูกำลังเสด็จมา นางก็ออกไปต้อนรับพระองค์ แต่มารีย์นั่งอยู่ในบ้าน”
(When Martha heard that Jesus was coming, she went out to meet him, but Mary stayed at home.)
11:21 “มารธาทูลพระเยซูว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าพระองค์อยู่ที่นี่ น้องชายของข้าพระองค์ก็คงไม่ตาย”
(“Lord,” Martha said to Jesus, “if you had been here, my brother would not have died.)
11:22 “แต่ข้าพระองค์ก็ทราบว่าไม่ว่าสิ่งใดที่พระองค์ทูลขอจากพระเจ้าในเวลานี้ พระเจ้าก็จะประทานแก่พระองค์”
(But I know that even now God will give you whatever you ask.”)
11:23 “พระเยซูตรัสกับนางว่า “ลาซารัสจะเป็นขึ้นมาอีก”
(Jesus said to her, “Your brother will rise again.”)
11:24 “มารธาทูลพระองค์ว่า “ข้าพระองค์ทราบว่าเขาจะเป็นขึ้นในวันสุดท้ายเมื่อคนทั้งปวงจะเป็นขึ้นมา”
(Martha answered, “I know he will rise again in the resurrection at the last day.”)
11:25 “พระเยซูตรัสกับนางว่า “เราเป็นชีวิตและการเป็นขึ้นจากตาย คนที่วางใจในเราจะมีชีวิตอีกแม้ว่าเขาจะตายไป”
(Jesus said to her, “I am the resurrection and the life. The one who believes in me will live, even though they die;)
11:26 “และทุกคนที่มีชีวิตและวางใจในเราจะไม่ตายเลย เธอเชื่ออย่างนี้ไหม?”
(and whoever lives by believing in me will never die. Do you believe this?”)
11:27 “มารธาทูลพระองค์ว่า “เชื่อ องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์เชื่อว่าพระองค์เป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าที่เสด็จมาในโลก”
(“Yes, Lord,” she replied, “I believe that you are the Messiah, the Son of God, who is to come into the world.”)
11:28 “เมื่อทูลอย่างนี้แล้ว มารธาก็กลับไปเรียกมารีย์น้องสาว กระซิบว่า “อาจารย์เสด็จมาแล้วและทรงเรียกเธอ”
(After she had said this, she went back and called her sister Mary aside. “The Teacher is here,” she said, “and is asking for you.”
11:29 “เมื่อมารีย์ได้ยิน ก็รีบลุกขึ้นไปเฝ้าพระองค์”
(When Mary heard this, she got up quickly and went to him. )
11:30 “ขณะนั้นพระเยซูยังไม่ได้เสด็จเข้าไปในหมู่บ้าน แต่ยังอยู่ที่ที่มารธาพบพระองค์นั้น”
(Now Jesus had not yet entered the village, but was still at the place where Martha had met him.)
11:31 “เมื่อพวกยิวกำลังปลอบโยนมารีย์อยู่ที่บ้าน พวกเขาเห็นมารีย์รีบลุกขึ้นเดินออกไป พวกเขาจึงตามไป นึกว่านางจะไปร้องไห้ที่อุโมงค์ฝังศพ”
(When the Jews who had been with Mary in the house, comforting her, noticed how quickly she got up and went out, they followed her, supposing she was going to the tomb to mourn there.)
11:32 “เมื่อมารีย์มาถึงที่ที่พระเยซูประทับอยู่และเห็นพระองค์แล้ว จึงกราบลงที่พระบาทของพระองค์ทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าถ้าพระองค์อยู่ที่นี่ น้องชายของข้าพระองค์ก็คงไม่ตาย”
(When Mary reached the place where Jesus was and saw him, she fell at his feet and said, “Lord, if you had been here, my brother would not have died.”)
11:33 “เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นมารีย์ร้องไห้ และพวกยิวที่ตามมาก็ร้องไห้ด้วย พระองค์สะเทือนพระทัยและทรงเป็นทุกข์”
(When Jesus saw her weeping, and the Jews who had come along with her also weeping, he was deeply moved in spirit and troubled.)
11:34 “พระองค์ตรัสว่า “พวกท่านเอาศพของเขาไปไว้ที่ไหน?” พวกเขาทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าข้า เชิญมาดูเถิด”
(“Where have you laid him?”he asked.“Come and see, Lord,” they replied.)
11:35 “พระเยซูทรงกันแสง”
(Jesus wept.)
11:36 “พวกยิวจึงกล่าวว่า “ดูสิว่าท่านรักเขาเพียงไร”
(Then the Jews said, “See how he loved him!”)
11:37 “แต่บางคนก็พูดว่า “ท่านผู้นี้ทำให้คนตาบอดมองเห็น จะทำให้คนนี้ไม่ตายไม่ได้หรือ?”
(But some of them said, “Could not he who opened the eyes of the blind man have kept this man from dying?”)
11:38 “พระเยซูสะเทือนพระทัยอีก จึงเสด็จมาถึงอุโมงค์ฝังศพ อุโมงค์นั้นเป็นถ้ำ มีหินก้อนหนึ่งวางปิดปากอุโมงค์ไว้”
(Jesus, once more deeply moved, came to the tomb. It was a cave with a stone laid across the entrance.)
11:39 “พระเยซูตรัสว่า “จงเอาหินออกเสีย” มารธาพี่สาวของคนตายจึงทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ศพคงจะมีกลิ่นเหม็นแล้ว เพราะว่าน้องตายมาสี่วันแล้ว”
(“Jesus said, “Take away the stone.” Martha, the sister of the dead man, said to him, “Lord, by this time there will be an odor, for he has been dead four days.”)
11:40 “พระเยซูตรัสกับนางว่า “เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือว่า ถ้าเธอเชื่อ ก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า?”
(Then Jesus said, “Did I not tell you that if you believe, you will see the glory of God?”)
11:41 “พวกเขาจึงเอาหินออก พระเยซูแหงนพระพักตร์ขึ้นตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์โปรดฟังข้าพระองค์”
(So they took away the stone. Then Jesus looked up and said, “Father, I thank you that you have heard me.)
11:42 “ข้าพระองค์ทราบว่าพระองค์ทรงฟังข้าพระองค์อยู่เสมอ แต่ที่ข้าพระองค์กล่าวอย่างนี้ก็เพราะเห็นแก่ฝูงชนที่ยืนอยู่ที่นี่เพื่อพวกเขาจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา”
(I knew that you always hear me, but I said this for the benefit of the people standing here, that they may believe that you sent me.”)
11:43 “เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ทรงร้องเสียงดังว่า “ลาซารัส ออกมาเถิด”
(When he had said this, Jesus called in a loud voice, “Lazarus, come out!”)
11:44 “คนตายนั้นก็ออกมา มีผ้าพันมือและเท้าและที่หน้าก็มีผ้าพันอยู่ด้วยพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า“จงแกะผ้าที่พันออกแล้วปล่อยเขาเถิด”
(The dead man came out, his hands and feet wrapped with strips of linen, and a cloth around his face. Jesus said to them, “Take off the grave clothes and let him go.”)
11:45 “ดังนั้นเมื่อพวกยิวหลายคนที่มาหามารีย์เห็นการกระทำของพระเยซูก็วางใจในพระองค์”
(Therefore many of the Jews who had come to visit Mary, and had seen what Jesus did, believed in him.)
11:46 “แต่บางคนไปหาพวกฟาริสีเล่าเหตุการณ์ที่พระเยซูทรงทำให้เขาฟัง”
(But some of them went to the Pharisees and told them what Jesus had done. )
11:47 “ฉะนั้นพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสีก็เรียกประชุมสมาชิกสภาแล้วพูดกันว่า “เราจะทำอย่างไรกันดี เพราะว่าชายคนนี้ทำหมายสำคัญมากมาย?”
(Then the chief priests and the Pharisees called a meeting of the Sanhedrin.“What are we accomplishing?” they asked. “Here is this man performing many signs.)
11:48 “ถ้าเราปล่อยให้เขาทำอย่างนี้ต่อไป ทุกคนก็จะเชื่อถือเขา แล้วพวกโรมันก็จะมาทำลายทั้งพระวิหารและชาติของเรา”
(If we let him go on like this, everyone will believe in him, and then the Romans will come and take away both our temple and our nation.”)
11:49 “แต่คนหนึ่งในพวกเขาที่ชื่อคายาฟาสซึ่งเป็นมหาปุโรหิตในปีนั้น กล่าวกับพวกเขาว่า “พวกท่านช่างไม่เข้าใจอะไรเลย”
(Then one of them, named Caiaphas, who was high priest that year, spoke up, “You know nothing at all! )
11:50 “ไม่รู้หรือว่าเป็นการดีสำหรับพวกท่านที่จะมีคนหนึ่งตายเพื่อประชาชน แทนที่จะให้คนทั้งชาติต้องพินาศ”
(You do not realize that it is better for you that one man die for the people than that the whole nation perish.”)
11:51 “เขาไม่ได้กล่าวอย่างนั้นตามความคิดของเขาเอง แต่เพราะเหตุที่เขาเป็นมหาปุโรหิตประจำการในปีนั้น เขาจึงกล่าวเป็นคำพยากรณ์ว่าพระเยซูจะสิ้นพระชนม์แทนชนชาตินั้น”
(He did not say this on his own, but as high priest that year he prophesied that Jesus would die for the Jewish nation,)
11:52 “และไม่ใช่แทนชาติยิวเท่านั้น แต่เพื่อรวบรวมลูกพระเจ้าที่กระจัดกระจายให้รวมเข้าเป็นหนึ่งเดียว”
(and not only for that nation but also for the scattered children of God, to bring them together and make them one.)
11:53 “นับตั้งแต่วันนั้นพวกเขาจึงวางแผนที่จะฆ่าพระองค์”
(So from that day on they plotted to take his life.)
11:54 “เพราะฉะนั้นพระเยซูจึงไม่เสด็จไปมาท่ามกลางพวกยิวอย่างเปิดเผยอีก แต่เสด็จออกจากที่นั่นไปยังถิ่นที่อยู่ใกล้ถิ่น ทุรกันดาร ถึงเมืองหนึ่งชื่อเอฟราอิม และประทับอยู่ที่นั่นกับพวกสาวก”
(Therefore Jesus no longer moved about publicly among the people of Judea. Instead he withdrew to a region near the wilderness, to a village called Ephraim, where he stayed with his disciples.)
11:55 “ขณะนั้นใกล้จะถึงเทศกาลปัสกาของพวกยิวแล้ว มีชาวชนบทจำนวนมากขึ้นไปที่กรุงเยรูซาเล็มก่อนเทศกาลปัสกาเพื่อ ชำระตัว”
(When it was almost time for the Jewish Passover, many went up from the country to Jerusalem for their ceremonial cleansing before the Passover.)
11:56 “เมื่อพวกเขาชุมนุมกันอยู่ในบริเวณพระวิหาร พวกเขาก็มองหาพระเยซูพูดกันว่า “คิดอย่างไร พระองค์จะไม่เสด็จมาในงานเทศกาลนี้หรือ?”
(They kept looking for Jesus, and as they stood in the temple courts they asked one another, “What do you think? Isn’t he coming to the festival at all?” )
11:57 “พวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสีก็ออกคำสั่งว่า หากใครรู้ว่าพระองค์อยู่ที่ไหน ให้มาบอกพวกเขาเพื่อจะได้ไปจับพระองค์”
(But the chief priests and the Pharisees had given orders that anyone who found out where Jesus was should report it so that they might arrest him.)
บทเรียน
11:1 “ลาซารัส” (Lazarus) –ลาซารัสใน ยอห์น 11-12 เป็นคนละคนกับลาซารัสใน ลก.16:19-31; แต่พี่สาว 2 คนของเขาถูกกล่าวถึงใน ลก.10:28-42o
11:2 “เอาน้ำมันหอมชโลมพระองค์” (anointed the Lord with ointment) -12:3
“เอาผมเช็ดพระบาทของพระองค์” (wiped his feet with her hair) –มก.14:3;ลก.7:38;ยน.12:3
11:3 “คนที่พระองค์ทรงรัก” (he whom you love) = คนที่สนิทสนมกันเป็นพิเศษ –ยน.11:5,36
11:4 “โรคนี้จะไม่ถึงตาย” (This illness does not lead to death) –เปรียบกับ ยน.9:2-3
“แต่เกิดขึ้นเพื่อเชิดดูพระเกียรติของพระเจ้า” (It is for the glory of God, so that the Son of God may be glorified through it.) –ยน.11:40;7:39;12:41;13:31
11:6 “พระองค์กลับทรงพักอยู่ต่ออีกสองวัน” (he stayed two days) = พระเยซูทำตามที่พระเจ้า พระบิดาทรงนำไม่ใช่ตามความปรารถนา ตามใจของมนุษย์ (มารีย์ และมารธา)
-พระองค์ทรงประทับอยู่ต่อที่เพอเรีย ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำจอห์นแดน (10:40)
11:8 “พวกยิว” (Jews) –1:19
“หาโอกาสเอาหินขว้างพระองค์ให้ตาย” (were just now seeking to stone you) –10:31; มีอันตรายที่รอพระเยซูอยู่ หากพระองค์ไปยูเดีย
11:9 “กลางวันมีสิบสองชั่วโมงไม่ใช่หรือ” (Are there not twelve hours in the day? ) = มีเวลามากพอที่จะทำอะไร ๆ ให้ สำเร็จ แต่ต้องไม่เสียเวลาไปกับการกระทำสิ่งใด ๆ ที่เปล่าประโยชน์
11:11 “หลับไปแล้ว” (has fallen asleep) = คำสุภาพหมายความว่า “ตายแล้ว” -มธ.9:24
11:15 “จะได้เชื่อ” (may believe) –1:7;20:31
11:16 “ดิดุโมส” (Didymus) = อีกชื่อหนึ่งในภาษากรีกของโธมัส (ภาษาฮีบรู) ทั้ง 2 คำล้วนแปลว่า = ฝาแฝด
-บางฉบับก็แปลชื่อเป็น “ดิไดมัส”
11:17 “เอาลาซารัสไปไว้ในอุโมงค์ฝังศพสี่วันแล้ว” (Lazarus had already been in the tomb four days.) –
จากคำอธิบายในข้อ 4 คนยิวหลายคนเชื่อว่า วิญญาณจะอยู่ใกล้ร่างเป็นเวลา 3 วันหลังจากที่ตาย เพราะหวังว่าจะได้กลับเข้าร่างอีก ดังนั้น การที่ลาซารัสตายไป 4 วันแล้วจึงเป็นการดับความหวังของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง
11:18 “หมู่บ้านเบธานี” (Bethany) –มธ.21:17 อยู่ห่างจากกรุงเยรูซาเล็ม 3 กิโลเมตร
11:19 “เพื่อปลอบโยนเรื่องน้องชาย” (console them concerning their brother) = ธรรมเนียนชาวยิว จะมีการไว้ทุกข์ เพราะ ความโศกเศร้ามาก ๆ อยู่ราว 3 วัน จากนั้นจะไว้ทุกข์เพราะความเศร้าต่ออีก 4 วัน ตามด้วยไว้ทุกข์ตามปกติอีก 21 วัน
11:20 “นางก็ออกไปต้อนรับพระองค์”(she went out to meet Him)–มารธาออกไปต้อนรับพระเยซูคริสต์ในฐานะเจ้าของบ้าน และเป็นพี่สาวคนโต
11:21 “ถ้าพระองค์อยู่ที่นี่ น้องชายของข้าพระองค์ก็คงไม่ตาย” (Lord, if you had been here, my brother would not have died) = มารีย์ก็พูดประโยคนี้ ใน 11:32 ; พี่น้อง 2 คนนี้คงคิดเช่นนี้ และพูดเช่นนี้หลายครั้งในขณะที่เฝ้ารอพระเยซูมา
11:22 “สิ่งใดที่พระองค์ทูลขอจากพระเจ้าในเวลานี้ พระเจ้าก็จะประทานแก่พระองค์” (that whatever you ask from
God, God will give you) = มารธาคาดหวังว่า ลาซารัสจะฟื้นคืนชีพหลังจากศพเริ่มเน่าแล้ว เพราะเชื่อว่า พระเจ้ากระทำได้ –ปฐก.18:14;ยรม.32:17,27
11:24 “เขาจะเป็นขึ้นในวันสุดท้าย เมื่อคนทั้งปวงจะเป็นขึ้นมา” (he will rise again in the resurrection on the last day)
–ดนล.12:2;ยน.5:28-29;กจ.24:15;ยน.6:39-40
11:25 “เราเป็นชีวิตและการเป็นขึ้นจากตาย” (I am the resurrection and the life.) –6:35;1:14 –พระเยซูตรัสว่า ความตายไม่มีอำนาจเหนือพระองค์ –14:6;กจ.3:15;ฮบ.7:16
“คนที่วางใจในเราจะมีชีวิตอีก” (Whoever believes in me, though he die, yet shall he live) -1:7; พระเยซูไม่เพียงเป็น “ชีวิต” แต่พระองค์จะนำชีวิตมาสู่ผู้ที่เชื่อในพระองค์ เพื่อความตายจะไม่มีชัยชนะเหนือเขา – 1คร.15:57
11:26 “จะไม่ตายเลย” ( shall never die) = ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์อาจตายฝ่ายกาย แต่นั่นไม่ใช่จุดจบ เพราะเขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์ (11:25;มธ.25:46)
11:27 “เชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์เชื่อ” ( Yes, Lord; I believe) –มารธามีความเชื่อ แม้ว่าเธออาจจะเหวี่ยงวีนในบางครั้ง(ลก.10:40-41)
11:28 “อาจารย์” (The Teacher ) = หมายถึง อาจารย์ชาวยิว (รับบี) ซึ่งปกติจะไม่สอนพวกผู้หญิง แต่พระเยซูคริสต์กลับสอน พวกผู้หญิงบ่อย ๆ (ลก.10:38-42)
11:31 “ร้องไห้ที่อุโมงค์ฝังศพ” (going to the tomb to weep there. ) = เป็นเรื่องปกติในสมัยนั้น
11:33 “ร้องไห้ ….ร้องไห้ด้วย” ( weeping, … also weeping )= ทั้ง 2 ครั้งบ่งบอกถึงการแสดงความเศร้าโศกด้วยเสียงอันดังด้วยการคร่ำครวญสะเทือนใจ (12:27;13:21)
11:35 “พระเยซูทรงกันแสง” (Jesus wept) = พระเยซูร้องไห้ แต่คำว่า ร้องไห้ในตอนนี้ แตกต่างจากคำว่า ร้องให้ในข้ออื่นๆ ในภาษากรีก ในข้ออื่นการร้องไห้ เป็นแบบร้องคร่ำครวญเสียงดัง ในข้อ 33 แต่ในข้อนี้ หมายความถึง การร้องไห้อย่างเงียบ ๆ (เช่นน้ำตาไหล) –ลก.19:41
11:37 “ทำให้คนตาบอดมองเห็น จะทำให้คนนี้ไม่ตายไม่ได้หรือ?” (“Could not he who opened the eyes of the blind man also have kept this man from dying?) = พวกเขาคิดเหมือนมารธา ในข้อ 21 และมารีย์ ในข้อ 32 โดยโยงไปกับเรื่องที่พระเยซูรักษาคนตาบอดให้มองเห็นได้ในบทที่ 9
11:38 “อุโมงค์ฝังศพ อุโมงค์นั้นเป็นถ้ำ” (came to the tomb, It was a cave) = เป็นหลุมฝังศพแบบปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่รวย เป็นถ้ำที่มีหินก้อนหนึ่งปิดทางเข้า (20:1;มก.15:46;ลก.24:2)
11:39 “น้องตายมาสี่วันแล้ว” (he has been dead four day) -ข.4,17
11:40 “ถ้าเธอเชื่อ” ( if you believed) –ยน.11:23-25
“ก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า” (you would see the glory of God) = บางฉบับแปลว่า “จะเห็นพระเกียรติสิริของพระเจ้า” –ยน.11:4
11:41 “แหงนพระพักตร์ขึ้น” (lifted up his eyes) –ยน.17:1; “ข้าแต่พระบิดา” (Father) –มธ.11:25
11:42 “เพราะเห็นแก่ฝูงชนที่ยืนอยู่ที่นี่” (for the benefit of the people standing around) -บางฉบับแปลว่า “เพื่อประโยชน์ ของผู้คนที่ยืนอยู่ที่นี่” –ยน.12:30
“เพื่อพวกเขาจะได้เชื่อว่า พระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา” (that they may believe that you sent me.) –ยน.3:17
11:43 “ลาซารัสออกมาเถิด” (Lazarus, come out) –ลก.7:14
11:44 “มีผ้าพันมือและเท้า” (his hands and feet bound) -ยน.19:40 เป็นแถบผ้าลินินแถบเล็ก ๆ เหมือนผ้าพันแผล – ใช้ห่อศพ -19:40
“ที่หน้าก็มีผ้าพันอยู่ด้วย” (his face wrapped with a cloth) = คนละชิ้นกับผ้าพันศพ –ยน.20:7
11:45 “พวกยิวหลายคน …. ก็วางใจในพระองค์” (the Jews therefore…believed in him) –บางคนอาจเคยต่อต้านพระเยซู แต่เวลานี้หันมาเชื่อพระองค์ (1:7,19;20:31) ปท. ยน.2:23;7:31;อพย.14:31
11:47 “พวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสี” (the chief priests and the Pharisees ) = พวกที่เป็นตัวการในการต่อต้านพระเยซูมาตลอด เขาไม่มีอำนาจทางการเมือง (มธ.2:4) แม้พวกมหาปุโรหิตเป็นแกนนำ ที่นำพระเยซูไปสู่การถูกตรึงที่กางเขน
-คนทั้ง 2 กลุ่มนี้ มีส่วนในการประชุมสภาแซนฮีดริน (มก.14:55)
-พวกเขาไม่ได้ปฏิเสธว่า พระเยซูทรงกระทำการอัศจรรย์ได้ (2:11) แต่พวกเขาไม่เข้าใจความหมายของหมายสำคัญเหล่านั้น เพราะพวกเขาไม่เชื่อ –ยน.11:57;มธ.26:3;5:22
11:48 “พระวิหาร” ( our place) –กจ.6:13;21:28
11:49 “คายาฟาส”(Caiaphas) = มหาปุโรหิตในช่วง ค.ศ. 18-36 เป็นลูกเขยของอันนาส (18:13) ซึ่งเคยถูกโรมันปลดจากตำแหน่งมหาปุโรหิต ใน ค.ศ. 15
“มหาปุโรหิตในปีนั้น” ( who was high priest that year) = มหาปุโรหิตประจำการในปีนั้น (ในเวลานั้น)
–มธ.26:3;ยน.11:5,1;18:13-14
“พวกท่านช่างไม่เข้าใจอะไรเลย” (You know nothing at all) = เป็นรูปแบบการตอบโต้ที่หยาบคายของพวกสะดูสี
(คายาฟาส เป็นสะดูสี) , โจซีฟัสนักประวัติศาสตร์ยิว บันทึกว่า สะดูสีจะพูดแบบหยาบคาย กับพรรคพวกเหมือนกับพูดกับคนต่างด้าว (มธ.3:7)
11:50 “เป็นการดีที่จะมีคนหนึ่งตาย แทนที่จะให้คนทั้งชาติต้องพินาศ” (it is better for you that one man should die for the people, not that the whole nation should perish.) –ในบางฉบับแปลว่า “ดียิ่งกว่า”
-คายาฟาสเป็นห่วงเรื่องผลประโยชน์ทางการเมือง โดยไม่คำนึงถึงความถูกผิด หรือความบริสุทธิ์
-เขาเชื่อว่า คนหนึ่งสมควรตาย เพื่อไม่ให้ชาติตกอยู่ในอันตราย ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะผิดหรือไม่ก็ตาม
แต่กระนั้น ประเทศอิสราเอลก็ล่มจมลงในปี ค.ศ.70 -ยน.18:14
11:51 “เขาเป็นมหาปุโรหิตประจำการในปีนั้น” (but being high priest that year) = คายาฟาส ไม่ใช่เป็นพลเมืองธรรมดา แต่ในเวลานั้นเขาเป็นมหาปุโรหิตของพระเจ้า –11:49
“เขาจึงกล่าวเป็นคำพยากรณ์” ( he prophesied) -คำพูดของคายาฟาสได้กลายเป็นคำพยากรณ์ที่เป็นจริงอย่างที่เขาคาดคิดไม่ถึง
11:52 “ไม่ใช่แทนชาติยิวเท่านั้น แต่เพื่อรวบรวมลูกพระเจ้าที่กระจัดกระจายให้รวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน”
(not for the nation only, but also to gather into one the children of God who are scattered abroad)
-การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูจะส่งผลไปไกลกว่าประเทศชาติอิสราเอล (1:29;3:16;4:42;10:16)-อสย.49:6;ยน.10:16
11:53 “เขาจึงวางแผนที่จะฆ่าพระองค์” (they made plans to put him to death.) –มธ.12:14
11:54 “ไม่เสด็จไปมาท่ามกลางพวกยิวอย่างเปิดเผยอีก” (no longer walked openly among the Jews ) –ยน.7:1
“แต่เสด็จออกจากที่นั่น” (but went from there) = ปลีกตัวออกไป เพราะพระองค์จะไม่สิ้นพระชนม์ก่อนถึง “เวลา” ของพระองค์ (2:4)
- พระองค์จะไม่ทำอะไรโดยมุทะลุหรือประมาท
- พระองค์รู้แผนการ/ท่าทีของผู้ที่ต่อต้านพระองค์
- พระองค์จะสิ้นพระชนม์ตามเวลาของพระองค์
11:55 “เทศกาลปัสกา” (the Passover) –ยน.2:13;13:1;5:1;อพย.12:13,23,27;มธ.26:1-2;มก.14:1
“เพื่อชำระตัว” (purify themselves.) = ชำระตนตามระเบียบพิธี ซึ่งนับเป็นสิ่งสำคัญมากของพวกยิว ในเทศกาลอย่างปัสกา และถ้าไม่ทำก็ไม่สามารถเข้าร่วมเทศกาลได้ (2:6;18:28) –2พศด.30:17-18
11:56 “มองหาพระเยซู” (looking for Jesus) –ยน.7:11
“จะไม่เสด็จมาในงานเทศกาลนี้หรือ?” (will not come to the feast at all?) = คำถามที่อยากให้ตอบว่า “ไม่”
คำถามนำอภิปราย
- คุณจะรู้สึกอย่างไร หากว่าคุณรักและทุ่มเทเพื่อพระเจ้า แต่ยามที่คุณมีปัญหาที่ทำให้ทุกข์ใจ คุณร้องทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า แต่พระองค์กลับชักช้าไม่ช่วยเหลือคุณอย่างที่คุณต้องการ? และสิ่งนั้นส่งผลกระทบอะไรต่อความเชื่อศรัทธาหรือความภักดีของคุณบ้าง? อย่างไร?
- คุณเคยได้รับคำบัญชาจากรพระเจ้าให้ทำอะไรที่เสี่ยงอันตรายหรือล่อแหลมต่อสวัสดิภาพบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? แล้วผลเป็นอย่างไร?
- คุณเคยเห็นสภาพหรือสภาวะที่ดูสิ้นหวัง และพี่น้องของคุณโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมากหรือไม่? เรื่องอะไร?
- คุณเคยเห็นพระเจ้ากระทำการอัศจรรย์อะไรที่เกินความคาดคิดของคุณบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? อย่างไร? และสอนอะไรคุณบ้าง?
- คุณเคยน้อยใจหรือเห็นพี่น้องคนอื่นน้อยใจที่พระเจ้าไม่อยู่กับคุณ(หรือเขา)ในยามที่คุณ(หรือเขา)ต้องการบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? แบ่งปัน
- คุณเคยปลอบโยนผู้ใดที่กำลังโศกเศร้าเสียใจ(เพราะสูญเสียคนที่รักไป) บ้างหรือไม่? คุณปลอบเขาอย่างไร? ได้ผลหรือไม่?
- คุณเคยร้องไห้เพราะความสะเทือนใจในเรื่องใดบ้างหรือไม่? ทำไม (แบ่งปัน)
- คุณเคยมีประสบการณ์กับคำตรัสของพระเยซูที่ว่า “ถ้าเธอเชื่อ ก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า” บ้างหรือไม่?
- เคยมีคนปองร้ายคอยเล่นงานคุณหรือไม่? พวกเขาคือใคร? และเขาทำเช่นนั้นทำไม?
ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์