Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระกิตติคุณยอห์น บทเรียนที่ 9

คนตาบอดฝ่ายวิญญาณ

พระธรรม        ยอห์น 9:1-41

อ้างอิง             มธ.23:7;12:1-14;ลก.13:2;ยน.11:4-9;8:14;7:13;มก.7:33;8:23;อสย.66:รม.10:14;2พกษ.5:10; กจ.3:2,10;รม.2:19;ยชว.7:19;สดด.34:15-16;ยรม.23:1;อสค.34:2;ปฐก.18:23,32

บทนำ              คนบางคนตาบอดฝ่ายกาย แต่ตาฝ่ายวิญญาณของเขากลับมองเห็นพระเจ้า และความจริงของพระองค์ ในขณะที่คนบางคนคิดว่าตัวเองตาปกติดี แต่แท้จริงกลับตาบอดฝ่ายวิญญาณ และมองไม่เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าที่พวกเขาพร่ำพูดว่ารู้จัก!

บทเรียน

9:1 “ขณะพระองค์เสด็จไปนั้น ทรงเห็นชายคนหนึ่งตาบอดแต่กำเนิด” 

     (As he went along, he saw a man blind from birth.)

9:2 “พวกสาวกของพระองค์ทูลถามพระองค์ว่า “พระอาจารย์ ใครทำบาป คนนี้หรือพ่อแม่ของเขา เขาถึงเกิดมาตาบอด?”

     (His disciples asked him, “Rabbi, who sinned, this man or his parents, that he was born blind?”)

9:3 “พระเยซูตรัสตอบว่า “ไม่ใช่คนนี้หรือพ่อแม่ของเขาที่ทำบาป แต่เขาเกิดมาตาบอดเพื่อให้พระราชกิจของพระเจ้าปรากฏใน​      ตัวเขา” 

     (“Neither this man nor his parents sinned,”said Jesus, “but this happened so that the works of God might be     displayed in him.)

9:4 “เราต้องทำพระราชกิจของผู้ทรงใช้เรามาเมื่อยังวันอยู่ กลางคืนอันเป็นเวลาที่ไม่มีใครทำงานนั้นกำลังใกล้เข้ามา” 

     (As long as it is day, we must do the works of him who sent me. Night is coming, when no one can work.)

9:5 “ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลก เราก็เป็นความสว่างของโลก” 

       (While I am in the world, I am the light of the world.”)

9:6 “เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงบ้วนน้ำลายลงที่ดิน แล้วทรงเอาน้ำลายนั้นทำเป็นโคลนทาที่ตาของคนตาบอด” 

      (After saying this, he spit on the ground, made some mud with the saliva, and put it on the man’s eyes.)

9:7 “แล้วตรัสสั่งเขาว่า “จงไปล้างโคลนออกในสระสิโลอัม” (สิโลอัมแปลว่า ใช้ไป) เขาจึงไปล้างแล้วกลับมาก็มองเห็น” 

       (“Go,”he told him, “wash in the Pool of Siloam”(this word means “Sent”). So the man went and washed, and       came home seeing.)

9:8 “เพื่อนบ้านและบรรดาคนที่เคยเห็นชายคนนั้นเป็นคนขอทานมาก่อนก็พูดกันว่า “คนนี้ใช่ไหมที่เคยนั่งขอทาน?” 

       (His neighbors and those who had formerly seen him begging asked, “Isn’t this the same man who used to       sit and beg?” )

9:9 “บางคนก็พูดว่า “ใช่คนนั้นแหละ” คนอื่นว่า “ไม่ใช่ แต่เขาเหมือนคนนั้น” ตัวเขาเองพูดว่า “ข้าพเจ้าคือคนนั้น

       (Some claimed that he was. Others said, “No, he only looks like him.”But he himself insisted, “I am the  man.”)

9:10 “พวกเขาจึงถามเขาว่า “ตาของเจ้าหายบอดได้อย่างไร?” 

        (“How then were your eyes opened?” they asked.)

9:11 “เขาตอบว่า “ชายคนหนึ่งชื่อเยซูทำโคลนทาตาของข้าพเจ้าและบอกข้าพเจ้าว่า ‘จงไปที่สระสิโลอัมแล้วล้างโคลนออก’ ข้าพเจ้าก็ไปล้างตาแล้วก็มองเห็น” 

      (He replied, “The man they call Jesus made some mud and put it on my eyes. He told me to go to Siloam  and wash. So I went and washed, and then I could see.”)

9:12 “พวกเขาจึงถามว่า “เขาอยู่ไหน?” คนนั้นบอกว่า “ข้าพเจ้าไม่ทราบ

        (“Where is this man?” they asked him. “I don’t know,” he said.)

9:13 “พวกเขาจึงพาคนที่เคยตาบอดนั้นไปหาพวกฟาริสี” 

        (They brought to the Pharisees the man who had been blind. )

9:14 “วันที่พระเยซูทรงทำโคลนทาตาชายคนนั้นให้หายบอดเป็นวันสะบาโต”

        (Now the day on which Jesus had made the mud and opened the man’s eyes was a Sabbath. )

9:15 “พวกฟาริสีถามเขาว่าตาของเขามองเห็นได้อย่างไร เขาจึงบอกคนเหล่านั้นว่า “ท่านเอาโคลนทาตาของข้าพเจ้า แล้ว​ข้าพเจ้าก็ไปล้างออกแล้วก็มองเห็น

      (Therefore the Pharisees also asked him how he had received his sight. “He put mud on my eyes,” the man replied, “and I washed, and now I see.”)

9:16 “พวกฟาริสีบางคนพูดว่า “ชายคนนี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า เพราะเขาไม่ได้รักษาวันสะบาโต” แต่คนอื่นพูดว่า “คนบาปจะทำหมายสำคัญอย่างนั้นได้อย่างไร?” พวกเขาก็ขัดแย้งกัน”

      (Some of the Pharisees said, “This man is not from God, for he does not keep the Sabbath.” But others    asked, “How can a sinner perform such signs?” So they were divided.)

9:17 “พวกเขาจึงพูดกับคนตาบอดอีกว่า “เจ้าคิดอย่างไรเรื่องคนนั้น ในเมื่อเขาทำให้ตาของเจ้าหายบอด?” ชายคนนั้นตอบว่า  “ท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ

   (Then they turned again to the blind man, “What have you to say about him? It was your eyes he   opened.”       The man replied, “He is a prophet.”)

9:18 “พวกยิวไม่เชื่อว่าชายคนนั้นตาบอดและกลับมองเห็น จนกระทั่งพวกเขาเรียกบิดามารดาของคนนั้นมา” 

    (They still did not believe that he had been blind and had received his sight until they sent for the man’s parents.)

9:19 “แล้วถามว่า “ชายคนนี้เป็นลูกของเจ้าที่เจ้าบอกว่าตาบอดมาตั้งแต่เกิดหรือ? แล้วทำไมเดี๋ยวนี้เขาจึงมองเห็น?” 

      (“Is this your son?” they asked. “Is this the one you say was born blind? How is it that now he can see?”)

9:20 “บิดามารดาของชายคนนั้นตอบว่า “เรารู้ว่าคนนี้เป็นลูกของเรา และรู้ว่าเขาเกิดมาตาบอด” 

      (“We know he is our son,” the parents answered, “and we know he was born blind. )

9:21 “แต่ไม่รู้ว่าทำไมเดี๋ยวนี้เขาถึงมองเห็นหรือใครทำให้ตาของเขาหายบอด ถามเขาเอาเองเถิด เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาเล่า​เรื่องเองได้” 

     (But how he can see now, or who opened his eyes, we don’t know. Ask him. He is of age; he will speak for himself.” )

9:22 “การที่บิดามารดาของเขาพูดอย่างนั้นก็เพราะกลัวพวกยิว เพราะพวกยิวตกลงกันแล้วว่า ถ้าใครยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ คนนั้นจะถูกขับออกจากธรรมศาลา” 

    (His parents said this because they were afraid of the Jewish leaders, who already had decided that  anyone who acknowledged that Jesus was the Messiah would be put out of the synagogue.)

9:23 “เพราะเหตุนี้บิดามารดาของเขาจึงพูดว่า “เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว ถามเขาเอาเองเถิด

        (That was why his parents said, “He is of age; ask him.”)

9:24 “พวกเขาจึงเรียกคนที่เคยตาบอดให้มาหาเป็นครั้งที่สองและบอกเขาว่า “จงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า เรารู้ว่าชายคนนั้นเป็นคนบาป” 

       (A second time they summoned the man who had been blind. “Give glory to God by telling the truth,” they said. “We know this man is a sinner.”)

9:25 “เขาตอบว่า “ชายคนนั้นเป็นคนบาปหรือไม่ข้าพเจ้าไม่ทราบ สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าทราบคือข้าพเจ้าเคยตาบอด แต่เดี๋ยวนี้​ข้าพเจ้ามองเห็นได้แล้ว

       (He replied, “Whether he is a sinner or not, I don’t know. One thing I do know. I was blind but now I see!”)

9:26 “พวกเขาจึงถามเขาว่า “คนนั้นทำอะไรกับเจ้า? เขาทำอย่างไรตาของเจ้าถึงหายบอด?”

        (Then they asked him, “What did he do to you? How did he open your eyes?”)

9:27 “คนนั้นตอบพวกเขาว่า “ข้าพเจ้าบอกท่านแล้วแต่ท่านไม่ฟัง ทำไมท่านถึงอยากฟังอีก? อยากเป็นศิษย์ของคนนั้นด้วยหรือ?” 

       (He answered, “I have told you already and you did not listen. Why do you want to hear it again? Do you want to become his disciples too?”)

9:28 “คนเหล่านั้นจึงเยาะเย้ยเขาว่า “เอ็งเป็นศิษย์ของเขา แต่เราเป็นศิษย์ของโมเสส” 

      (Then they hurled insults at him and said, “You are this fellow’s disciple! We are disciples of Moses! )

9:29 “เรารู้ว่าพระเจ้าตรัสกับโมเสส แต่สำหรับคนนั้นเราไม่รู้ว่ามาจากไหน” 

        (We know that God spoke to Moses, but as for this fellow, we don’t even know where he comes from.”)

9:30 “ชายคนนั้นตอบว่า “เออ ประหลาดจริงๆ นะที่พวกท่านไม่รู้ว่าคนนั้นมาจากไหน แต่เขาก็ทำให้ตาของข้าพเจ้าหายบอด​ได้” 

      (The man answered, “Now that is remarkable! You don’t know where he comes from, yet he opened my eyes.)

9:31 “เรารู้ว่าพระเจ้าไม่ทรงฟังคนบาป แต่ทรงฟังคนที่ยำเกรงพระองค์และทำตามพระทัยของพระองค์” 

        (We know that God does not listen to sinners. He listens to the godly person who does his will.)

9:32 “ตั้งแต่สมัยไหนๆ ก็ไม่เคยมีใครได้ยินว่ามีคนสามารถทำให้ตาของคนที่บอดแต่กำเนิดมองเห็นได้”

        (Nobody has ever heard of opening the eyes of a man born blind.)

9:33 “ถ้าคนนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้า เขาจะไม่สามารถทำได้

        (If this man were not from God, he could do nothing.)

9:34 “พวกเขาตอบว่า “เอ็งมันบาปมาตั้งแต่เกิดแล้วยังจะมาสอนเราหรือ?” แล้วพวกเขาก็ไล่เขาออกไป”

         (To this they replied, “You were steeped in sin at birth; how dare you lecture us!” And they threw him out.)

9:35 “พระเยซูทรงได้ยินว่าพวกยิวไล่คนนั้นออกไปแล้ว เมื่อพระองค์ทรงพบเขาจึงตรัสว่า “ท่านวางใจในบุตรมนุษย์หรือ?” 

       (Jesus heard that they had thrown him out, and when he found him, he said, “Do you believe in the Son of man?”)

9:36 “ชายคนนั้นทูลตอบว่า “ท่านเจ้าข้า ใครคือบุตรมนุษย์ที่ข้าพเจ้าจะวางใจได้?”

        (“Who is he, sir?” the man asked. “Tell me so that I may believe in him.”)

9:37 “พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ท่านเห็นผู้นั้นแล้ว คือผู้ที่กำลังพูดอยู่กับท่าน” 

       (Jesus said, “You have now seen him; in fact, he is the one speaking with you.”)

9:38 “เขาจึงทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์วางใจ” แล้วเขาก็กราบไหว้พระองค์” 

        (Then the man said, “Lord, I believe,” and he worshiped him.)

9:39 “พระเยซูตรัสว่า “เราเข้ามาในโลกเพื่อการพิพากษา เพื่อให้คนทั้งหลายที่มองไม่เห็นกลับมองเห็น และคนที่มองเห็นกลับตาบอด” 

      (Jesus said, “For judgment I have come into this world, so that the blind will see and those who see will become blind.”)

9:40 “เมื่อพวกฟาริสีที่อยู่ใกล้พระองค์ได้ยินอย่างนั้นจึงกล่าวแก่พระองค์ว่า “เราตาบอดด้วยหรือ?” 

        (Some Pharisees who were with him heard him say this and asked, “What? Are we blind too?”)

9:41 “พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “ถ้าพวกท่านตาบอด ท่านก็จะไม่มีบาป แต่พวกท่านพูดเดี๋ยวนี้เองว่า ‘เรามองเห็น’ เพราะฉะนั้นบาปของท่านยังมีอยู่”

        (Jesus said, “If you were blind, you would not be guilty of sin; but now that you claim you can see, your guilt remains.)

ข้อมูลมีประโยชน์

9:1-12  -พระเยซูกระทำการอัศจรรย์ โดยใช้การรักษาคนตาบอดมากกว่าวิธีแบบอื่น ๆ และมีคำพยากรณ์ไว้ล่วงหน้าว่า พระเมสสิยาห์จะกระทำกิจโดยการรักษาคนตาบอด (อสย.29:18;35:5;42:7) การอัศจรรย์ที่พระเยซูกระทำตอนนี้ จึงเป็นหลักฐานหนึ่งที่พิสูจน์ว่า พระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์ (20:31)

 9:2       “ใครทำบาป?” (            who sinned) = ใครกันที่ทำบาป?

                        -พวกรับบีพัฒนาคำสอนออกมาว่า “คนตายเพราะบาปและทนทุกข์เพราะความชั่ว”

                        พวกเขาเชื่อว่า โทษทัณฑ์ของคนหนึ่งเพราะบาปของพ่อแม่ (วิญญาณของเด็กอาจบาปตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ ) พระเยซูทรงปฏิเสธความเชื่อเช่นนี้

9:3       “ให้พระราชกิจของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา” (that the works of God might be displayed in him) -11:4

9:4      “เรา” (we) = ไม่ใช่แค่พระเยซูองค์เดียว พวกสาวกต่างก็มีส่วนรับผิดชอบร่วมกับพระองค์ ในการกระทำสิ่งที่พระเจ้าประสงค์

“กลางคืน….กำลังใกล้เข้ามา” (Night is coming)  = พระเยซูผู้ทรงเป็นความสว่างของโลก (ข.5) จะถูกนำไปประหารและฟื้นคืนพระชนม์

9:5       “เราก็เป็นความสว่างของโลก” ( I am the light of the world) -8:13

9:6       “ทรงเอาน้ำลายนั้นทำเป็นโคลน ทาที่ตาของคนตาบอด” (made some mud with the saliva, and put it on the man’s  eyes.) = พระเยซูมีวิธีรักษาหลายรูปแบบ และทรงสามารถเปลี่ยนดิน(ผงคลี) ให้เป็นอุปกรณ์การรักษา  -ปท.มก.8:22-25

9:7       “สระสิโลอัม” (the Pool of Siloam)  = ชื่อโบราณ ของสระนี้ที่เฮเซคียาห์ เป็นผู้สร้างขึ้น

(2พกษ.20:20;นหม.2:14;โยบ 28:10;อสย.8:6)  สระนี้ = ส่วนหนึ่งของระบบลำเลียงน้ำหลัก ซึ่งมาจากบนสุดของสันเขาทางใต้ของเยรูซาเล็ม

 9:8       “คนขอทาน” (begging) = หนทางเดียวที่คนตาบอดในสมัยนั้นจะใช้เป็นวิธีในการเลี้ยงตัวเอง

 9:14     “วันสะบาโต” (Sabbath ) –ปท.5:16

9:16     “บางคน…. คนอื่น ๆ “  (Some …. Others)= คนกลุ่มแรกมีมุมมองจากจุดที่เขายึดอยู่มานานแล้ว ทำให้ ไม่เห็นความเป็นพระเจ้าของพระเยซู แต่อีกกลุ่มมีมุมมองแตกต่างออกไป พวกเขาเห็นหมายสำคัญและไม่เห็นจะเป็นไปได้ที่ว่าพระเยซูทรงเป็นคนบาป (ปท. ข้อ 30-33)

9:17     “เจ้าคิดอย่างไรเรื่องคนนั้น” (“What do you say about him) = พวกเขาสับสนจนต้องถามคำถามนี้กับชายตาบอดผู้นี้

            “ท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ” (He is a prophet) = อาจเป็นตำแหน่งสูงสุดเท่าที่ชายตาบอดผู้นี้จะคิดได้

            -ความคิดของเขาพัฒนาขึ้นจากที่คิดว่า พระเยซูเป็นเพียงคนธรรมดา (ข.11) มาเป็น “ผู้เผยพระวจนะ” (ข.17) ; ผู้ที่คนอยากเป็นศิษย์ด้วย (ข.27)

“ผู้ที่มาจากพระเจ้า” (ข.33) และปิดท้ายด้วย “องค์พระผู้เป็นเจ้า” (ข.38)

9:18     “พวกยิว” (The Jews) 

               -1:19 –เป็นพวกที่มีอคติ พยายามลดความน่าเชื่อถือของการอัศจรรย์มากกว่าที่จะเรียนรู้

9:21     “เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว” (he is of age) เขามีความรับผิดชอบด้วยตัวเองได้เลย (อาจเพราะบิดามารดาของเขาไม่อยาก/ไม่กล้าเข้าไปเกี่ยวข้อง)

9:22     “จะถูกขับออกจากธรรมศาลา” (he was to be put out of the synagogue)  = การอเปหิเช่นนี้ มีบันทึกไว้ตั้งแต่สมัยของเอสรา (10:8) ธรรมศาลาเป็นศูนย์กลางของชุมชนยิว (6:59) การถูกอเปหิจึงเป็นการถูกตัดออกจากสังคมในหลายๆ ด้าน

9:24     “จงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า” (Give glory to God) –ยชว.7:19

                        “เรารู้ว่า ชายคนนั้นเป็นคนบาป” (We know that this man is a sinner)

                        คำว่า “เรา” ในภาษากรีกตอนนี้ เป็นคำเน้น  -ยน.9:16

9:27     “ข้าพเจ้าบอกท่านแล้ว” (I have told you already) = บอกไปแล้ว –ยน.9:15

9:28     “เราเป็นศิษย์ของโมเสส” (we are disciples of Moses) –ยน.5:45

9:29     “เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เขามาจากไหน?” (we do not know where he comes from) –ยน.8:14

 9:30-33 = การให้เหตุผลที่ดียอดเยี่ยมของคนที่ไม่เคยได้ร่ำเรียนมา

 9:31     “เรารู้ว่าพระเจ้าไม่ทรงฟังคนบาป” (We know that God does not listen to sinners) –เปรียบเทียบกับข้อสังเกตของฟาริสีบางคน ในข้อ 16

“แต่ทรงฟังคนที่ยำเกรงพระองค์ และทำตามพระทัยของพระองค์” (but if anyone is a worshiper of God and does his will, God listens to him) –ปฐก.18:23-32;สดด.34:15-16;66:18;145:19-20; สภษ.15:29;อสย.1:15;59:1-2;ยน.15:7;ยก.5:16-18;1ยน.5:14-15

9:33     “ถ้าคนนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้า” (If this man were not from God) –ยน.3:2;9:16

9:34     “เอ็งมันบาปตั้งแต่เกิด” (You were born in utter sin) –บางฉบับแปลว่า “เจ้าจมปลักอยู่ในบาปมาตั้งแต่เกิด” –ยน.9:2

“ก็ไล่เขาออกไป” (cast him out) = ไล่เขาออกจากชุมชนของพวกเขา

= อเปหิเขาจากธรรมศาลา แปลตรงตัวคือ “โยนเขาออกไป”

= อาจเพียงตัดเขาออกจากธรรมศาลา  -ปท.ข 22;1คร.5:5

 9:35     “เมื่อพระองค์ทรงพบเขา” (having found him)  = พระเยซูตามหาชายคนนี้

                        “ท่านวางใจในบุตรมนุษย์หรือ?” (Do you believe in the Son of Man?) –ยน.3:15;มธ.8:20

 9:36     “ใครคือบุตรมนุษย์ที่ข้าพเจ้าจะวางใจได้” (who is he, sir, that I may believe in him) –รม.10:14

 9:37     “ท่านเห็นผู้นั้นแล้ว คือผู้ที่กำลังพูดอยู่กับท่าน” (You have seen him, and it is he who is speaking to you) –ยน.4:26

9:38     “ข้าพระองค์วางใจ” (I believe)  = ข้าพระองค์เชื่อ,1:7;20:3)

“แล้วเขาก็กราบไหว้พระองค์” (he worshiped him)  = แสดงความเคารพยำเกรงพระเยซูแบบที่พระเจ้าสมควรได้รับ –มธ.28:9

9:39     “บทสนทนาใน 9:35-38 อาจเกิดขึ้นในช่วงที่ไม่มีพวกฟาริสีอยู่ และใน 9:39-41 อาจเกิดหลังจากนั้นเล็กน้อย

“เราเข้ามาในโลก” (I came into this world) –ยน.3:19;12:47

“เพื่อการพิพากษา” (For judgment)

-แท้จริงพระองค์ไม่ได้มาเพื่อพิพากษา (3:17;12:47)

แต่การมาของพระองค์ ได้ทำให้พวกประชาชนแตกเป็น 2 พวก ซึ่งเป็นการพิพากษาในรูปแบบหนึ่ง เพราะผู้ที่ปฏิเสธการช่วยเหลือของพระองค์ก็เหมือนคนตาบอด ไม่เห็นความรอด และจะต้องรับการพิพากษา เพราะสิ่งที่พวกเขาก่อขึ้น

9:40     “เราตาบอดด้วยหรือ?” (Are we also blind?) = พวกฟาริสีคิดว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่จะคิดว่าพวกเขาตาบอดฝ่ายวิญญาณ –รม.2:19

9:42     “แต่พวกท่านพูดเดี๋ยวนี้เองว่า ‘เรามองเห็น’ เพราะฉะนั้นบาปของท่านยังมีอยู่” (but now that you say, ‘We see,’ your guilt remains)  = พวกฟาริสีอ้างตัวว่าพวกเขามองเห็น แสดงว่าพวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่าพวกเขาตาบอด และยากจนฝ่ายจิตวิญญาณ พวกเขาอ้างว่า พวกเขามองเห็น แต่การกระทำของพวกเขากลับยืนยันว่า พวกเขาตาบอด –ยน.15:22,24

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณคิดเช่นเดียวกันหรือไม่ว่า คนที่ป่วยหรือคนพิการทุกคนนั้น มีสาเหตุมาจากเพราะเขาทำบาป หรือไม่ก็พ่อแม่ของเขาทำบาปมาก่อน? ทำไม?
  2. คุณเคยเห็นคนที่เจ็บป่วย หรือพิการ เพื่อให้พระเจ้าทรงสำแดงพระราชกิจผ่านชีวิตของเขาบ้างหรือไม่? แบ่งปัน
  3. คุณทำตัวเป็นความสว่างของโลกนี้อย่างไรบ้าง? โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อคนในครอบครัวและในชุมชนที่คุณอาศัยอยู่?
  4. คุณทราบหรือไม่ว่า พระเยซูมักจะใช้วิธีที่แตกต่างกันในการรักษาโรคใดโรคหนึ่ง (ยกตัวอย่างเรื่องรักษาคนตาบอด) ข้อเท็จจริงนี้สอนอะไรคุณเป็นพิเศษบ้าง?
  5. คุณเคยประสบกับการ(รักษาอย่าง)อัศจรรย์ที่มาจากพระเจ้าบ้างหรือไม่? เกิดขึ้นกับตัวคุณเองหรือคนอื่น? อย่างไร?
  6. คุณเคยเป็นพยานถึงพระคริสต์ ทั้ง ๆ ที่รู้เรื่องเกี่ยวกับพระองค์น้อยมากบ้างหรือไม่? อย่างไร? และทำไม?แล้วผลเป็นอย่างไร?
  7. คุณเคยถูกกดดัน ถูกหว่านล้อม ถูกขู่ หรือถูกเล่นงานให้ปฏิเสธพระเยซูบ้างหรือไม่? แล้วคุณรับมืออย่างไร? เกิดอะไรตามมา?
  8. คุณเคยเจ็บปวดหรือเสียหายมากที่สุด เพราะยืนหยัดเพื่อพระเยซูอย่างไรบ้าง? แล้วคุณผ่านมาได้อย่างไร?

 

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.