Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระกิตติคุณยอห์น บทเรียนที่ 8

สัจจะจะทำให้ท่านเป็นไท

พระธรรม         ยอห์น 8:1-59

อ้างอิง             มธ.5:14,3:9;ยน.9:5;ลก.3:8

บทนำ              คนเรามักเป็นทาสความคิดของตัวเอง ขนบประเพณี กฎบัญญัติ หรือกระแสสังคม ทำให้บางครั้งหรือบ่อยครั้งใจของเราปิด บิดเบือนความจริงแท้  และขาดความเมตตาต่อผู้อื่น แม้แต่คนที่อยู่ใกล้ตัวเราจึงอาจกลายเป็นคนที่เคร่งศาสนา ที่พร้อมจะฆ่าผู้ใดก็ได้ที่เชื่อหรือกระทำสิ่งใดที่ขัดกับที่เรายึดถือพระเยซูคริสต์ คือ องค์สัจจะที่จะทำให้เราเป็นไทจากสิ่งเหล่านั้น

บทเรียน

8:1 “แต่พระเยซูเสด็จไปที่ภูเขามะกอกเทศ” 

      (but Jesus went to the Mount of Olives.)

8:2 “และในตอนเช้าตรู่พระองค์ทรงปรากฏที่บริเวณพระวิหารอีกคนทั้งหลายก็พากันมาหาพระองค์พระองค์ประทับและทรง เริ่มสั่งสอนเขา”

     (At dawn he appeared again in the temple courts, where all the people gathered around him, and he sat down to teach them.)

8:3 “พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีพาผู้หญิงคนหนึ่งมาหา หญิงคนนี้ถูกจับฐานล่วงประเวณีและพวกเขาให้นางยืนอยู่ต่อหน้าประชาชน” 

    (The teachers of the law and the Pharisees brought in a woman caught in adultery. They made her stand before the  group)

8:4 “เขาทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ หญิงคนนี้ถูกจับขณะกำลังล่วงประเวณีอยู่” 

       (and said to Jesus, “Teacher, this woman was caught in the act of adultery.)

8:5 “ในธรรมบัญญัตินั้นโมเสสสั่งให้เราเอาหินขว้างคนอย่างนี้ให้ตาย แล้วท่านจะว่าอย่างไร?”

      (In the Law Moses commanded us to stone such women. Now what do you say?)

8:6 “เขาพูดอย่างนี้เพื่อทดลองพระองค์โดยหวังจะหาเหตุฟ้องพระองค์ แต่พระเยซูน้อมพระกายลงเอานิ้วเขียนที่ดิน” 

       (They were using this question as a trap, in order to have a basis for accusing him. But Jesus bent down and started  to write on the ground with his finger. )

8:7 “และเมื่อพวกเขายังทูลถามอยู่เรื่อยๆ พระองค์ก็ยืดพระกายขึ้นตรัสตอบเขาว่า “ใครในพวกท่านไม่มีบาป ให้เอาหินขว้างนางก่อนเป็น​คนแรก” 

     (When they kept on questioning him, he straightened up and said to them, “Let any one of you who is without sin be the first to throw a stone at her.)

8:8 “แล้วพระองค์น้อมพระกายลงเอานิ้วเขียนที่ดินอีก” 

      (Again he stooped down and wrote on the ground.)

8:9 “แต่เมื่อพวกเขาได้ยินอย่างนั้น เขาก็ออกไปทีละคน เริ่มจากคนเฒ่าคนแก่ เหลือแต่พระเยซูตามลำพังกับหญิงคนนั้นที่ยืนอยู่ต่อ‍พระพักตร์พระองค์” 

    (At this, those who heard began to go away one at a time, the older ones first, until only Jesus was left, with the  woman still standing there. )

8:10 “พระเยซูยืดพระกายขึ้นตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย พวกเขาไปไหนหมด? ไม่มีใครเอาโทษเธอหรือ?” 

       (Jesus straightened up and asked her, “Woman, where are they? Has no one condemned you?)

8:11 “นางทูลว่า “ท่านเจ้าข้า ไม่มีใครเลย” แล้วพระเยซูตรัสว่า “เราก็ไม่เอาโทษเหมือนกัน จงไปเถิดและจากนี้ไปอย่าทำบาปอีก”]”

        (“No one, sir,” she said. “Then neither do I condemn you,” Jesus declared. “Go now and leave your life of sin.”)

8:12 “พระเยซูตรัสกับพวกเขาอีกครั้งหนึ่งว่า “เราเป็นความสว่างของโลก คนที่ตามเรามาจะไม่ต้องเดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่ง​ชีวิต” 

    (When Jesus spoke again to the people, he said, “I am the light of the world. Whoever follows me will never walk in darkness, but will have the light of life.)

8:13 “พวกฟาริสีจึงกล่าวกับพระองค์ว่า “ท่านเป็นพยานให้ตัวเอง คำพยานของท่านก็ไม่จริง” 

       (The Pharisees challenged him, “Here you are, appearing as your own witness; your testimony is not valid.”)

8:14 “พระเยซูตรัสตอบว่า “ถึงแม้เราเป็นพยานให้ตัวเราเอง คำพยานของเราก็ยังเป็นจริงอยู่ เพราะเรารู้ว่าเรามาจากไหนและจะไปที่ไหนแต่พวกท่านไม่รู้ว่าเรามาจากไหนและจะไปที่ไหน” 

      (Jesus answered, “Even if I testify on my own behalf, my testimony is valid, for I know where I came from and where I  am going. But you have no idea where I come from or where I am going.)

8:15 “พวกท่านพิพากษาตามมาตรฐานโลก เราไม่ได้มาพิพากษาใคร” 

       (You judge by human standards; I pass judgment on no one.)

8:16 “แต่ถึงแม้เราจะพิพากษา การพิพากษาของเราก็ถูกต้อง เพราะเราไม่ได้พิพากษาโดยลำพัง แต่เราพิพากษาร่วมกับพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา” 

       (But if I do judge, my decisions are true, because I am not alone. I stand with the Father, who sent me.)

8:17 “ในธรรมบัญญัติของท่านเขียนไว้ว่า คำพยานของคนสองคนย่อมเชื่อถือได้” 

        (In your own Law it is written that the testimony of two witnesses is true.)

8:18 “เราเป็นพยานให้ตัวเราเองและพระบิดาผู้ทรงใช้เรามาก็เป็นพยานให้เราด้วย” 

    (I am one who testifies for myself; my other witness is the Father, who sent me.”)

8:19 “พวกเขาจึงทูลพระองค์ว่า “พระบิดาของท่านอยู่ที่ไหน?” พระเยซูตรัสตอบว่า “พวกท่านไม่รู้จักตัวเราหรือพระบิดาของเรา ถ้าพวกท่านรู้จักเรา พวกท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย” 

   (Then they asked him, “Where is your father?” “You do not know me or my Father,” Jesus replied. “If you knew me,  you would know my Father also.”)

8:20 “พระเยซูตรัสคำเหล่านี้ที่คลังเงินขณะกำลังสั่งสอนอยู่ที่บริเวณพระวิหาร แต่ไม่มีใครจับกุมพระองค์เพราะว่ายังไม่ถึงกำหนดเวลาของพระองค์”

    (He spoke these words while teaching in the temple courts near the place where the offerings were put. Yet no one seized him, because his hour had not yet come.)

8:21 “พระองค์ตรัสกับพวกเขาอีกว่า“เราจะจากไปและพวกท่านจะแสวงหาเราและจะตายในการบาปของตัวเองที่ที่เราจะไปนั้นท่านไป​ไม่ได้” 

   (Once more Jesus said to them, “I am going away, and you will look for me, and you will die in your sin. Where I go,  you cannot come.”)

8:22 “พวกยิวจึงพูดกันว่า “เขาจะฆ่าตัวตายหรือ? เพราะเขาพูดว่า ‘ที่ที่เราจะไปนั้นพวกท่านไปไม่ได้” 

    (This made the Jews ask, “Will he kill himself? Is that why he says, ‘Where I go, you cannot come’?”)

8:23 “พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “พวกท่านเป็นของเบื้องล่าง เราเป็นของเบื้องบน ท่านเป็นของโลกนี้ เราไม่ได้เป็นของโลกนี้” 

     (But he continued, “You are from below; I am from above. You are of this world; I am not of this world.)

8:24“เราบอกพวกท่านว่าท่านจะตายในการบาปของตัวเองเพราะว่าถ้าพวกท่านไม่เชื่อว่าเราเป็นผู้นั้นท่านก็จะต้องตายในการบาปของตัว” 

     (I told you that you would die in your sins; if you do not believe that I am he, you will indeed die in your sins.”)

8:25 “เขาถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นใคร?” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นอย่างที่เราบอกพวกท่านตั้งแต่แรกแล้ว” 

        (“Who are you?” they asked. “Just what I have been telling you from the beginning,” Jesus replied. )

8:26 “เรายังมีอีกหลายเรื่องที่อาจพูดและพิพากษาเกี่ยวกับท่าน แต่ผู้ที่ทรงใช้เรามานั้นสัตย์จริง และเราก็กล่าวต่อโลกในสิ่งที่เราได้ยินจาก​พระองค์

     (“I have much to say in judgment of you. But he who sent me is trustworthy, and what I have heard from him I tell the world.”)

8:27 “พวกเขาไม่ทราบว่าพระองค์ตรัสเรื่องพระบิดา” 

     (They did not understand that he was telling them about his Father.)

8:28 “พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “เมื่อพวกท่านยกบุตรมนุษย์ขึ้น ท่านก็จะรู้ว่าเราเป็นผู้นั้น และรู้ว่าเราไม่ได้ทำอะไรตามใจชอบพระบิดาทรง​สอนเราอย่างไร เราก็กล่าวอย่างนั้น” 

     (So Jesus said, “When you have lifted up the Son of Man, then you will know that I am he and that I do nothing on my own but speak just what the Father has taught me.)

8:29 “และพระองค์ผู้ทรงใช้เรามาก็สถิตอยู่กับเรา พระองค์ไม่ได้ทรงทิ้งเราไว้ตามลำพัง เพราะว่าเราทำตามชอบพระทัยพระองค์เสมอ” 

      (The one who sent me is with me; he has not left me alone, for I always do what pleases him.”)

8:30 “เมื่อพระเยซูตรัสอย่างนี้ก็มีคนจำนวนมากวางใจในพระองค์”

       (Even as he spoke, many believed in him.)

8:31 “พระเยซูจึงตรัสกับพวกยิวที่วางใจในพระองค์ว่า “ถ้าพวกท่านยึดมั่นในคำสอนของเรา ท่านก็เป็นสาวกของเราอย่างแท้จริง” 

       (To the Jews who had believed him, Jesus said, “If you hold to my teaching, you are really my disciples.)

8:32 “และพวกท่านจะรู้จักสัจจะ และสัจจะจะทำให้ท่านเป็นไท

        (Then you will know the truth, and the truth will set you free.)

8:33 “พวกเขาทูลตอบพระองค์ว่า“เราสืบเชื้อสายมาจากอับราฮัมและไม่เคยเป็นทาสใครเลย ทำไมท่านถึงกล่าวว่าเราจะเป็นไท?”

       (They answered him, “We are Abraham’s descendants and have never been slaves of anyone. How can you say that  we shall be set free?”)

8:34 “พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ทุกคนที่ทำบาปก็เป็นทาสของบาป” 

        (Jesus replied, “Very truly I tell you, everyone who sins is a slave to sin.)

8:35 “ทาสอยู่ในบ้านเพียงชั่วคราว บุตรต่างหากที่อยู่ตลอดไป”

       (Now a slave has no permanent place in the family, but a son belongs to it forever.)

8:36 “เพราะฉะนั้นถ้าพระบุตรทรงทำให้พวกท่านเป็นไท ท่านก็เป็นไทจริงๆ” 

        (So if the Son sets you free, you will be free indeed.)

8:37 “เรารู้ว่าพวกท่านเป็นเชื้อสายของอับราฮัม แต่ท่านก็หาโอกาสฆ่าเรา เพราะไม่เชื่อคำสอนของเรา” 

        (I know that you are Abraham’s descendants. Yet you are looking for a way to kill me, because you have no room for my word.)

8:38 “เราพูดถึงสิ่งที่เราเห็นเมื่ออยู่กับพระบิดา และพวกท่านทำในสิ่งที่ท่านได้ยินมาจากพ่อของท่าน”

    (I am telling you what I have seen in the Father’s presence, and you are doing what you have heard from your father.”)

8:39 “พวกเขาทูลตอบพระองค์ว่า “อับราฮัมเป็นบิดาของเรา” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ถ้าพวกท่านเป็นลูกของอับราฮัมแล้ว ท่านก็จะทำใน​สิ่งที่อับราฮัมทำ” 

    (“Abraham is our father,” they answered. “If you were Abraham’s children,”said Jesus, “then you would do what  Abraham did.)

8:40 “แต่เดี๋ยวนี้พวกท่านหาโอกาสฆ่าเราซึ่งเป็นผู้บอกท่านถึงสัจจะที่เราได้ยินมาจากพระเจ้า อับราฮัมไม่ได้ทำอย่างนี้” 

    (As it is, you are looking for a way to kill me, a man who has told you the truth that I heard from God. Abraham did not do such things.)

8:41 “พวกท่านทำสิ่งที่พ่อของท่านทำ” เขาทูลพระองค์ว่า “เราไม่ได้เกิดจากการล่วงประเวณี เรามีพระบิดาองค์เดียวคือพระเจ้า” 

        (You are doing the works of your own father.” “We are not illegitimate children,” they protested. “The only Father we have is God himself.”)

8:42 “พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ถ้าพระเจ้าเป็นพระบิดาของพวกท่านแล้ว ท่านก็จะรักเรา เพราะเรามาจากพระเจ้าและอยู่นี่แล้ว เราไม่ได้มา​ตามใจชอบของเราเอง แต่พระองค์ทรงใช้เรามา”

     (Jesus said to them, “If God were your Father, you would love me, for I have come here from God. I have not come  on my own; God sent me.)

8:43 “ทำไมพวกท่านถึงไม่เข้าใจถ้อยคำที่เราพูด? นี่เป็นเพราะท่านทนฟังคำสอนของเราไม่ได้”

        (Why is my language not clear to you? Because you are unable to hear what I say.)

8:44 “พวกท่านมาจากพ่อของท่านคือมาร และท่านอยากจะทำตามความปรารถนาของพ่อ มันเป็นฆาตกรตั้งแต่เริ่มแรกและไม่ได้ตั้งอยู่ใน​สัจจะ เพราะมันไม่มีสัจจะ เมื่อมันพูดเท็จมันก็พูดตามสันดานของมันเอง เพราะมันเป็นผู้มุสา และเป็นพ่อของการมุสา” 

    (You belong to your father, the devil, and you want to carry out your father’s desires. He was a murderer from the beginning, not holding to the truth, for there is no truth in him. When he lies, he speaks his native  language, for he is a liar and the father of lies.)

8:45 “แต่พวกท่านไม่เชื่อเราเพราะเราพูดความจริง”

         (Yet because I tell the truth, you do not believe me!)

8:46 “มีใครในพวกท่านที่อาจชี้ให้เห็นว่าเรามีบาป? ถ้าเราพูดความจริง ทำไมท่านถึงไม่เชื่อเรา?” 

       (Can any of you prove me guilty of sin? If I am telling the truth, why don’t you believe me?)

8:47 “คนที่มาจากพระเจ้าก็ย่อมฟังพระดำรัสของพระเจ้า พวกท่านไม่ได้มาจากพระเจ้า เพราะเหตุนี้พวกท่านจึงไม่ฟัง

        (Whoever belongs to God hears what God says. The reason you do not hear is that you do not belong to God.”)

8:48 “พวกยิวทูลตอบพระองค์ว่า “ที่เราพูดว่าท่านเป็นชาวสะมาเรียและมีผีสิงนั้นไม่จริงหรือ?”

        (The Jews answered him, “Aren’t we right in saying that you are a Samaritan and demon- possessed?”)

8:49 “พระเยซูตรัสตอบว่า “เราไม่มีผีสิง แต่เราถวายพระเกียรติแด่พระบิดาของเรา และพวกท่านลบหลู่เกียรติของเรา” 

        (“I am not possessed by a demon,”said Jesus, “but I honor my Father and you dishonor me.)

8:50 “เราไม่ได้แสวงหาเกียรติของเราเอง แต่มีผู้แสวงหาให้และพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงพิพากษา” 

        (I am not seeking glory for myself; but there is one who seeks it, and he is the judge.)

8:51 “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ถ้าใครประพฤติตามคำสอนของเรา คนนั้นจะไม่ประสบความตายเลย” 

       (Very truly I tell you, whoever obeys my word will never see death.”)

8:52 “พวกยิวทูลพระองค์ว่า “เดี๋ยวนี้เรารู้แล้วว่าท่านมีผีสิง อับราฮัมตายไปแล้วและพวกผู้เผยพระวจนะก็ตายไปแล้วเหมือนกัน แต่ท่านพูด​ว่า ‘ถ้าใครประพฤติตามคำสอนของเรา คนนั้นจะไม่ตายเลย’”

     (At this they exclaimed, “Now we know that you are demon-possessed! Abraham died and so did the prophets, yet you say that whoever obeys your word will never taste death.)

8:53 “ท่านยิ่งใหญ่กว่าอับราฮัมบิดาของเราที่ตายไปแล้วหรือ?พวกผู้เผยพระวจนะก็ตายไปแล้วเหมือนกัน ท่านจะอวดอ้างว่าท่านเป็นใคร?”

    (Are you greater than our father Abraham? He died, and so did the prophets. Who do you think you are?”)

8:54 “พระเยซูตรัสตอบว่า “ถ้าเราให้เกียรติแก่ตัวเราเอง เกียรติของเราก็ไม่มีความหมาย ผู้ที่ทรงให้เกียรติเรานั้นคือพระบิดาของเรา ผู้ที่​พวกท่านกล่าวว่าเป็นพระเจ้าของท่าน” 

   (Jesus replied, “If I glorify myself, my glory means nothing. My Father, whom you claim as your God, is the one who glorifies me.)

8:55 “พวกท่านไม่รู้จักพระองค์ แต่เรารู้จักพระองค์ ถ้าเรากล่าวว่าเราไม่รู้จักพระองค์ เราก็จะเป็นคนมุสาเหมือนกับท่าน แต่เรารู้จัก​พระองค์ และประพฤติตามพระดำรัสของพระองค์” 

   (Though you do not know him, I know him. If I said I did not, I would be a liar like you, but I do know him and obey his word.)

8:56 “อับราฮัมบิดาของพวกท่านชื่นชมยินดีที่จะได้เห็นวันของเรา และท่านก็เห็นแล้วและมีความยินดี” 

        Your father Abraham rejoiced at the thought of seeing my day; he saw it and was glad.)

8:57 “พวกยิวจึงทูลพระองค์ว่า “ท่านอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี ท่านเคยเห็นอับราฮัมแล้วหรือ?” 

        (“You are not yet fifty years old,” they said to him, “and you have seen Abraham!”)

8:58 “พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ก่อนอับราฮัมเกิด เราเป็นอยู่แล้ว” 

        (“Very truly I tell you,”Jesus answered, “before Abraham was born, I am!”)

8:59 “คนเหล่านั้นจึงหยิบก้อนหินขึ้นมาจะขว้างพระองค์ แต่พระเยซูทรงหลบเลี่ยงและเสด็จออกไปจากบริเวณพระวิหาร”

      (At this, they picked up stones to stone him, but Jesus hid himself, slipping away from the temple grounds.)

ข้อมูลมีประโยชน์

8:1     “ภูเขามะกอกเทศ” (the Mount of Olives) –ศคย.14:4;มก.11:1;ลก.19:29;กจ.1:12;มธ.21:1

8:2     “ประทับและทรงเริ่มสั่งสอนเขา” (sat down and taught them) –มธ.26:55;ยน.8:20

8:3     “พวกธรรมาจารย์” (The scribes) –มธ.2:4;มก.2:16;ลก.5:17

“หญิงคนนี้ถูกจับฐานล่วงประเวณี” (caught in adultery) = ไม่ใช่บาปที่ทำได้คนเดียว เท่ากับเป็นการจัดฉาก เพื่อเล่นงานพระเยซู( ข.6) ถ้าเป็นเรื่องจริงก็เท่ากับว่า พวกเขาเจตนาทำให้เธออับอาย และปล่อยผู้ชายหนีไป

8:4     “ถูกจับขณะกำลังล่วงประเวณีอยู่” (caught in the act of adultery) ในบัญญัติของยิวกำหนดให้มีพยานรู้เห็นเหตุการณ์ 2-3 ปาก การกล่าวหาด้วยคำบอกเล่าเฉย ๆ เป็นหลักฐานที่เลื่อนลอย

8:5     “เอาหินขว้างคนอย่างนี้ให้ตาย” (us to stone such women) = พวกเขาบิดเบือนบทบัญญัติเล็กน้อย เพราะบัญญัติกำหนดให้ประหารชีวิตได้เมื่อหญิงนั้นเป็นหญิงพรหมจารีที่หมั้นหมายแล้ว (ฉธบ.22:22-24)  และบทบัญญัติให้ประหารทั้งหญิงและชาย (ลนต.20:10;ฉธบ.22:22) ไม่ใช่แค่ประหารผู้หญิงคนเดียว (โยบ 31:11)

8:6     “เขาพูดเช่นนี้เพื่อทดลองพระองค์” (This they said to test him) บางฉบับแปลว่า “เขาใช้คำถามนี้เป็นกับดัก” (เพื่อกล่าวโทษพระองค์)   =โรมไม่อนุญาตให้ชาวยิวตัดสินคดีประหารชีวิต (18:31) ดังนั้น ถ้าพระเยซูตรัสให้เอาหินขว้างใส่เธอ ก็เท่ากับพระองค์ขัดแย้งกับโรม แต่หากพระองค์บอกว่า ห้ามขว้าง พระองค์จะถูกกล่าวหาว่า ไม่สนับสนุนธรรมบัญญัติ –มธ.22:15,18;12:10

“น้อมพระกายลงเอานิ้วเขียนที่ดิน” (bent down and wrote with his finger on the ground) = ทำให้คิดถึงการที่พระเจ้าเขียนพระบัญญัติ 10 ประการบนศิลา 2 แผ่น โดยนิ้วพระหัตถ์ของพระเจ้า (อพย.31:18) หรืออาจทำให้คิดได้ว่า ข้อกล่าวหาของหญิงคนนี้ไม่มีน้ำหนักเท่ากับสิ่งที่พระเยซูคริสต์เขียนลงบนพื้นดิน

8:7     “ใครในพวกท่านไม่มีบาป” (Let him who is without sin) = “ไม่มีบาปอะไรเลย”  ไม่ใช่ “ไม่มีบาปแบบนี้” “ให้เอาหินขว้างนางก่อนเป็นคนแรก” (among you be the first to throw a stone at her) = พระเยซูให้คำตอบที่ทำให้พวกสำนึกตัว เพราะพระองค์ตรัสถึงคุณสมบัติของคนขว้าง ทำให้พวกเขาไม่กล้าลงมือ –ฉธบ.17:7;อสค.16:40;รม.2:1,22

8:9     “เขาก็ออกไปทีละคน” (they went away one by one) = ทยอยออกไปทีละคน  เพราะพวกเขาต่างก็รู้ว่า พวกเขาไม่มีใครที่ไม่มีบาป (ข.7) “เริ่มจากคนเฒ่าคนแก่” ( beginning with the older ones) –ยิ่งอายุมากเขายิ่งตระหนักว่า เราทุกคนล้วนทำบาปกันมาก

ทั้งนั้น

8:11   “เราก็ไม่เอาโทษเหมือนกัน” (Neither do I condemn you) –ยน.3:17

            “จงไปเถิดและจากนี้ไป อย่าทำบาปอีก” (go, and from now on sin no more) = บัดนี้จะไปเถิดและจงทิ้งวิถีชีวิตที่ผิดบาปของเจ้า   = พระเยซูให้อภัย แต่ไม่ได้มองข้ามสิ่ง(ผิด) ที่ผู้หญิงที่ได้กระทำลงไป         

8:12   “เราเป็นความสว่างของโลก” (I am the light of the world) “เราเป็น” –ยน.6:35

            “ความสว่าง” –ยน.1:4;9:5;12:46    = พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง (1ยน.1:5) และผู้ที่ติดตามพระเยซูคริสต์ก็เป็นความสว่าง(ของโลก) –มธ.5:14;ฟป.2:15 –ที่มีหน้าที่สะท้อนความสว่างที่มาจากพระเจ้า

            “ความมืด” (darkness) = ทั้งความมืดของโลกนี้และของมารซาตาน

            “ความสว่างแห่งชีวิต” (the light of life) = พระเจ้าเป็นความสว่าง (1ยน.1:5)  พระเยซูก็เป็นความสว่างจากพระเจ้าที่ส่องทางแห่งชีวิตแก่ผู้เชื่อ  ดุจดังที่เสาเพลิงที่ช่วยนำทางชาวอิสราเอลในฐานะที่อพยพออกจากอียิปต์ (อพย.13:21;นหม.9:12) ปท. สภษ.4:18;มธ.5:14)

8:13   “คำพยานของท่านก็ไม่จริง” (your testimony is not true) = คำพยานของท่านเชื่อถือไม่ได้

8:14   “ถึงแม้เราเป็นพยานให้ตัวเราเอง คำพยานของเราก็ยังเป็นจริงอยู่” (Even if I do bear witness about myself, my testimony is true) = พระเยซูมีคุณสมบัติที่จะเป็นพยาน – ยน.13:3;16:28

“แต่พวกท่านไม่รู้ว่าเรามาจากไหน และจะไปที่ไหน” (but you do not know where I come from or where I am going)  = พวกฟาริสีขาดคุณสมบัติ เพราะพระเยซูรู้ที่มาที่ไป และจุดหมายปลายทางของพระองค์ แต่ฟาริสีไม่รู้เลย (ปท.8:16-18) –ยน.7:27;9:29

8:15   “พวกท่านพิพากษาตามมาตรฐานโลก” (You judge according to the flesh)  = การพิพากษาตัดสินของพวกฟาริสีมีแบบหรือกรอบมาจากทางโลกหรือของมนุษย์โดยทั่วไป  -1ยน.7:24

“เราไม่ได้มาพิพากษาใคร” ( I judge no one)  = พระเยซูให้ความกระจ่างว่า พระองค์ไม่ทรงประสงค์จะตัดสินผู้ใดแต่พระองค์ทรงเป็นผู้ที่สมควรและต้องตัดสินพิพากษามนุษย์ทั้งปวงในตอนสุดท้าย –ยน.3:7

8:16-18  -พระเยซูคริสต์ตอบประเด็นเรื่องที่กล่าวว่า คำพยานของพระองค์ขาดผู้สนับสนุน พระองค์ยืนยันว่า พระบิดาทรงสถิตกับพระองค์ และทรงเป็นพยานที่ 2 ที่เป็นไปตามบทบัญญัติกำหนด (ฉธบ.17:6;19:15)

8:16   “พระบิดาผู้ทรงใช้เรามา” (the Father who sent me ) = พระเยซูตระหนักในพันธกิจของพระองค์ที่พระเจ้าทรงประสงค์อยู่เสมอ – ยน.5:30

8:17   “คำพยานของคนสองคนย่อมเชื่อถือได้” (the testimony of two people is true) –มธ.18:16

8:18   “พระบิดาผู้ทรงใช้เรามาก็เป็นพยานให้เราด้วย” (  the Father who sent me bears witness about me) –ยน.5:37

8:19   “ถ้าพวกท่านรู้จักเรา” ( If you knew me)  -ผู้เขียนพระธรรมยอห์นกล่าวไว้ชัดเจนว่า พระวาทะ(พระเยซู) อยู่กับพระเจ้า และเป็นพระเจ้า (1:1) อีกทั้งยังสำแดงพระเจ้า (1:18 ) พระเยซูทรงเน้นว่า คนทั้งหลายจะรู้จักพระเจ้าพระบิดาผ่านทางพระบุตร และถ้ารู้จักผู้หนึ่งผู้ใดก็จะรู้จักอีกผู้หนึ่งด้วย (14:7,10-11)

8:20   “ที่คลังเงิน” (in the treasury) = บางฉบับแปลว่า “ที่วางของถวาย” –มก.12:41; “กำลังสั่งสอน” (he taught) –มธ.26:55

           “ยังไม่ถึงกำหนดเวลาของพระองค์” (his hour had not yet come)  -มธ.26:18;ยน.2:4

8:21   “จะตายในบาปของตัวเอง” (die in your sin) –อสค.3:18

         “ที่ที่เราจะไปนั้น ท่านไปไม่ได้” (Where I go, you cannot come) –ยน.7:34;13:33

8:23   “เราไม่ได้เป็นของโลกนี้” ( I am not of this world) 

            “ของ”  = ในที่นี้บอกถึงที่มา พระเยซูอยู่ในโลกนี้ แต่พระองค์ ไม่ใช่ “ของ” โลก – ยน.3:31;17:14

            “ท่านเป็นของโลกนี้” (You are of this world)  = พวกเขาเป็น “ของ” โลกนี้ ซึ่งอยู่ใต้อำนาจของซาตาน.5:19;ปท.12:31;14:30;16:11)

8:24   “ไม่เชื่อ” ( you do not believe) –1:7; “เราเป็นผู้นั้น” ( I am he )  –ปท.ยน.4:26;13:19

= พระเยซูสะท้อนเสียงยืนยันหนักแน่นของพระเจ้าเกี่ยวกับพระองค์ (8:58;6:35:อพย.3:14)

8:26   “สัตย์จริง” (true) = เชื่อถือได้ –ยน.7:28  ;“เราก็กล่าวต่อโลก” (I declare to the world) = แจ้งแก่โลก – ยน.3:32;15:15

8:28   “ยกบุตรมนุษย์ขึ้น” (lifted up the Son of Man)   = วลี “ยก…ขึ้น”  โดยปกติในพันธสัญญาใหม่ มีความหมายว่า “ยกย่องเทิดทูน”  แต่ในตอนนี้ ผู้เขียนใช้หมายถึง “การตรึงบนกางเขน” (3:14;12:32)

           “เราก็กล่าวอย่างนั้น” (speak just as the Father taught me)

8:31   “วางใจ” (believed)  -บางฉบับแปลว่า “เชื่อ”  = มีความหมายว่า “ประกาศความเชื่ออย่างเป็นทางการ” แต่เหตุการณ์ในตอนนี้แสดงว่า พวกเขาไม่ได้เป็นผู้เชื่ออย่างแท้จริง (ข.33,37)

8:32   “สัจจะ” (the truth) = “ความจริง” (ข.36:14:6)  = ความจริงที่นำไปสู่ความรอด ไม่ใช่ความจริงเชิงปรัชญา

         “เป็นไท” ( free) = เป็นอิสระจากบาป

8:33   “ไม่เคยเป็นทาสใครเลย” (never been enslaved to anyone ) = พวกเขามองข้ามความจริงว่า พวกเขาอยู่ใต้การปกครองของโรม และเคยเป็นทาสของอียิปต์ อัสซีเรีย บาบิโลน เปอร์เซีย และซีเรีย ด้วย

8:34   “ทาสของบาป” ( a slave to sin)  = คนบาปไม่สามารถหลุดพ้นได้ด้วยกำลังเรี่ยวแรงหรือความสามารถของตัวเอง

–รม.6:16,18

8:35   “ที่อยู่ตลอดไป” (            remains forever) = คนของครอบครัวตลอดไป –กท.4:30

8:36   “ทำให้พวกท่านเป็นไท” (            you will be free) = ท่านก็จะเป็นไทอย่างแท้จริง – ยน.8:32

8:37   “ท่านก็หาโอกาสฆ่าเรา” (you seek to kill me) = ท่านพร้อมที่จะฆ่าเรา – 7:1-8:59

8:38   “เมื่ออยู่กับพระบิดา” (with my Father) –ยน.5:19,30;14:10,24

            “พ่อของท่าน” (your father) = พระเยซูไม่ได้บอกชัดว่า พ่อของพวกเขาเป็นใคร แต่ที่แน่ ๆ คือ ไม่ใช่ทั้งพระเจ้าหรืออับราฮัมตามที่เขาอ้าง – ยน.8:41,44

8:39-41  -พฤติกรรมของพวกเขา เป็นตัวบ่งบอกว่า พ่อของเขาคือใคร

8:41   “เราไม่ได้เกิดจากการล่วงประเวณี” (We were not born of sexual immorality )   = บางฉบับแปลว่า “เราไม่ใช่ลูกนอกสมรส”   -คงเป็นคำกล่าวเสียดสี หมิ่นประมาทพระเยซู เรื่องเกิดจากหญิงพรหมจารี

            “เรามีพระบิดาองค์เดียวคือพระเจ้า” (We have one Father—even God) –อสย.63:16;64:8

8:43   “ถ้อยคำที่เราพูด” (my word)= พวกยิวมั่นใจในความคิดดั้งเดิมของตัวองมากจนไม่เข้าใจจริง ๆ ว่า พระเยซูกำลังตรัสสอนอะไร  –ปท.ข.47

8:44   “ท่านมาจากพ่อของท่านคือ มาร” (You are of your father the devil  ) = พระเยซูเตือนพวกยิวที่ต่อต้านพระองค์ (ไม่ได้หมายถึง ยิวทั้งหมด –เพราะความรอดมาจากพวกยิว –4:22)  มารคือ ผู้ที่ฆ่าและล่อลวง/หลอกลวง

           “ท่านอยากจะทำ” (your will is to do )  = เป็นเรื่องของการตัดสินใจ (ของพวกเขาเอง) เป็นปัญหาเรื่องจิตวิญญาณ ไม่ใช่เรื่องสติปัญญา พวกเขาตั้งใจจะทำหรือจะฆาตกรรมและทำจนสำเร็จ (ข.37,28)

          “มันไม่มีสัจจะ” (no truth) = ไม่มีความจริงอยู่ในมาร ความจริงเป็นสิ่งแปลก และไม่เข้ากับมาร และคนของมัน

         “เป็นพ่อของการมุสา” (the father of lies )   -ปฐก.3:4;4-9;2พศด.18:21;สดด.5:6;12:2

8:45   “เพราะเราพูดความจริง” (because I tell the truth   ) –ยน.18:37

8:46   “มีใคร…อาจชี้ให้เห็นว่าเรามีบาป?” (Which one of you convicts me of sin) = มีใครในพวกท่านพิสูจน์ได้ว่า เราทำผิดบาป = การถามคำถามที่สำคัญ แสดงว่าพระเยซูมีชีวิตที่ใสสะอาด

8:47   “ย่อมฟังพระดำรัสของพระเจ้า” ( hears the words of God   ) –ยน.10:3-4;1ยน.4:6

8:48   “ท่านเป็นชาวสะมาเรีย” (you are a Samaritan ) = คำกระแนะกระแหนว่า พระเยซูทรงหละหลวมในการรักษาบัญญัติของชาวยิวและไม่ได้ดีไปกว่าชาวสะมาเรีย (หรืออาจหมายถึง พระเยซูเป็นชาวสะมาเรียโดยกำเนิด)– มธ.10:5นแ

           “ผีสิง” ( have a demon) –ยน.10:20;7:20;มก.3:22;ยน.8:52

8:51   “คำสอนของเรา” ( my word)  = สิ่งที่พระเยซูสั่งสอนทั้งหมด “คนนั้นจะไม่ประสบความตายเลย” (he will never see death)  = หากประพฤติปฏิบัติตามคำของพระเยซู พวกเขาก็จะหลุดพ้นจากความตาย (นิรันดร์)       

8:53   “ท่านยิ่งใหญ่กว่าอับราฮัมบิดาของเราที่ตายไปแล้วหรือไม่?” (Are you greater than our father Abraham, who died?)  = คำถามที่ตีกรอบให้ตอบว่า “ไม่” เป็นคำเสียดสี  แต่เป็นความจริงว่า พระเยซูยิ่งใหญ่กว่า อับราฮัม และโมเสส   (ยน.6:30-35;4:12;8:39)

8:56  “วันของเรา” (my day) =ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระเยซู ที่ทำให้อับราฮัมที่ได้เห็น (พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จในพระบุตร ทำให้โลกได้รับความรอดและพระพร) (ปฐก.12:2-3) มีความยินดี 

ปท.ปฐก.18:18;ยน.8:37,39;มธ.13:17

8:57   “ท่านอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี” (are not yet fifty years old) = อายุสูงสุดเท่าที่เป็นไปได้ของพระเยซู(ในโลกนี้) ตอนนั้นพระองค์อายุ “ประมาณ” 30 ปีเมื่อเริ่มกระทำพระราชกิจ (ลก.3:23)

8:58   “ก่อนอับราฮัมเกิด เราเป็นอยู่แล้ว” (before Abraham was, I am) =คำประกาศที่หนักแน่นของพระเยซูคริสต์ ถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์ (อพย.3:14;ยน.8:24,28,35)  

= สภาพนิรันดร์ของพระเยซูและความเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดาของพระองค์ (1:1)

8:59   “จะขว้างพระองค์” (stones to throw at him) = ตีความว่าพระเยซูหมิ่นประมาทพระเจ้าต้องได้รับโทษด้วยการถูกหินขว้าง  -ลนต.24:16;อสย.17:4;1ซมอ.30:6;ยน.10:31;11:8 ; “ทรงหลบเลี่ยง” ( hid) –ยน.12:36

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยทำผิด(พลาด) แล้วถูกจับได้บ้างไหม? เรื่องราวเป็นอย่างไร? คุณรู้สึกอย่างไร? แล้วตอนท้ายเป็นอย่างไร?
  2. คุณเคยจับผู้ทำผิดพลาด(ผิดบาป) ได้บ้างไหม? เรื่องอะไร? แล้วคุณจัดการกับคนนั้นอย่างไร? คุณคิดว่า คุณทำถูกต้องและไม่รู้สึกเสียใจหรือตรงกันข้ามหรือไม่? ทำไม?
  3. คุณเคยเห็นคนที่ได้รับโอกาสในการแก้ไขหรือปรับปรุงตัวเอง แต่ยังกลับไปทำผิดบาปเหมือนเดิมบ้างหรือไม่? แล้วผลเป็นอย่างไร?
  4. คุณเคยเห็นคนที่ทำผิดบาปและได้รับการให้อภัยและให้โอกาสแล้วกลับใจจนชีวิตเปลี่ยนแปลงไปในทางดี และพระเจ้าทรงใช้เขาได้อย่างมากบ้างไหม? (แบ่งปัน)
  5. คุณเคยเจอคนที่ดื้อรั้นในความคิดหรือความเชื่อของตนเองจนตั้งตัวเองเป็นไม้บรรทัด หรือผู้พิพากษา คอยตัดสินคนอื่นอยู่ตลอดเวลาบ้างไหม? แล้วคุณมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง? ผลที่ตามมาคืออะไร?
  6. คุณเคยพบคนที่ตั้งหน้าตั้งตาเล่นงานผู้อื่น(หรือคุณ)อย่างไม่ยอมลดละบ้างไหม? เพราะอะไร? แล้วเกิดอะไรตามมา? (ตัวคุณเองรับมืออย่างไร?)
  7. คุณเคยมีประสบการณ์กับ “สัจจะทำให้ท่านเป็นไท” บ้างไหม? อย่างไร?
  8. คุณคิดอย่างไรกับคำพูดอันแข็งกร้าวรุนแรงของพระเยซู จนถึงขั้นประณามผู้นำยิวว่า “มีพ่อเป็นมาร” (8:44) ?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.