Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระกิตติคุณยอห์น บทเรียนที่ 8

พระเยซูคือใคร?

พระธรรม        ยอห์น 7:1-52

อ้างอิง             ยน.1:19;3:19-20;4:29;5:2-9,41;6:40-43;7:14-19,25-32,48;8:14-15;26-30,42;50-54;9:22;11:56; 12:35,42;14:24;15:18-19;19:38;20:19,22

บทนำ              การทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้แต่เมื่อพระเยซูคริสต์พระบุตรลงมากระทำกิจของพระบิดาในโลก ยังเผชิญกับอุปสรรคมากมาย ดังนั้น เราจึงไม่ควรบ่นหรือท้อถอยในยามเผชิญปัญหาในการดำเนินชีวิตและในการรับใช้

บทเรียน

7:1 “หลังจากนั้นพระเยซูเสด็จไปตามที่ต่างๆ ในแคว้นกาลิลี พระองค์ไม่ต้องการเสด็จไปแคว้นยูเดียเพราะพวกยิวหาโอกาสฆ่า​      พระองค์”

     (After this, Jesus went around in Galilee. He did not want to go about in Judea because the  Jewish leaders     there were looking for a way to kill him.)  

7:2 “ขณะนั้นใกล้จะถึงเทศกาลอยู่เพิงของพวกยิวแล้ว”

      (But when the Jewish Festival of Tabernacles was near,)

7:3 “พวกน้องๆ ของพระองค์จึงทูลพระองค์ว่า “จงออกจากที่นี่ไปแคว้นยูเดียเพื่อให้พวกสาวกเห็นกิจการที่กำลังทำอยู่”

       (Jesus’ brothers said to him, “Leave Galilee and go to Judea, so that your disciples there may see the  works you do. )

7:4 “เพราะว่าไม่มีใครแอบทำอะไรเงียบๆ ในเมื่ออยากให้ตัวเองปรากฏ ถ้าจะทำสิ่งเหล่านี้ก็จงแสดงตัวให้ปรากฏต่อโลกเถิด” 

       (No one who wants to become a public figure acts in secret. Since you are doing these things, show yourself to the world.)

7:5 “แม้แต่พวกน้องๆ ของพระองค์ก็ไม่ได้วางใจในพระองค์” 

     (For even his own brothers did not believe in him.)

7:6 “พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า “ยังไม่ถึงเวลาของเรา แต่เวลาของพวกน้องนั้นได้ทุกเมื่อ”

     (Therefore Jesus told them, “My time is not yet here; for you any time will do.)

7:7 “โลกเกลียดชังพวกน้องไม่ได้ แต่โลกเกลียดชังเรา เพราะเราเป็นพยานว่าการงานของโลกนี้ชั่วร้าย” 

      (The world cannot hate you, but it hates me because I testify that its works are evil.)

7:8 “พวกน้องจงขึ้นไปที่งานเทศกาล เราจะไม่ขึ้นไปที่งานเทศกาลนี้ เพราะยังไม่ถึงกำหนดเวลาของเรา” 

     (You go to the festival. I am not going up to this festival, because my time has not yet fully come.)

7:9 “เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้วพระองค์ก็ประทับในแคว้นกาลิลีต่อไป”

      (After he had said this, he stayed in Galilee.)

7:10 “แต่หลังจากพวกน้องๆของพระองค์ขึ้นไปที่งานเทศกาลนั้นแล้ว พระองค์ก็เสด็จตามขึ้นไปด้วย แต่ไปอย่างเงียบๆ ไม่เปิดเผย” 

      (However, after his brothers had left for the festival, he went also, not publicly, but in secret.)

7:11 “พวกยิวมองหาพระองค์ในงานเทศกาลนั้นและถามว่า “คนนั้นอยู่ที่ไหน?” 

       (Now at the festival the Jewish leaders were watching for Jesus and asking, “Where is he?”)

7:12 “และฝูงชนก็ซุบซิบกันอย่างมากเรื่องพระองค์ บางคนพูดว่า “เขาเป็นคนดี” บางคนว่า “ไม่ใช่ เขาทำให้ฝูงชนหลงผิดไป” 

      (Among the crowds there was widespread whispering about him. Some said, “He is a good man.” Others replied, “No, he deceives the people.” )

7:13 “แต่ไม่มีใครกล้าพูดถึงพระองค์อย่างเปิดเผยเพราะกลัวพวกยิว”

       (But no one would say anything publicly about him for fear of the leaders.)

7:14 “เมื่อเวลาผ่านไปถึงกลางเทศกาล พระเยซูเสด็จขึ้นไปที่บริเวณพระวิหารและทรงสั่งสอน”

       (Not until halfway through the festival did Jesus go up to the temple courts and begin to teach.

7:15 “พวกยิวพากันประหลาดใจพูดว่า “คนนี้รู้พระธรรมได้อย่างไรในเมื่อไม่เคยเรียนเลย?”

     (The Jews there were amazed and asked, “How did this man get such learning without having been taught?)

7:16 “พระเยซูจึงตรัสตอบพวกเขาว่า “คำสอนของเราไม่ใช่ของเราเอง แต่เป็นของผู้ทรงใช้เรามา”

     (Jesus answered, “My teaching is not my own. It comes from the one who sent me.)

7:17 “ถ้าใครตั้งใจประพฤติตามพระประสงค์ของพระองค์ คนนั้นก็จะรู้ว่าคำสอนนี้มาจากพระเจ้าหรือว่าเราพูดตามใจชอบเอง”

   (Anyone who chooses to do the will of God will find out whether my teaching comes from God or whether I speak on my own.)

7:18 “ใครที่พูดตามใจชอบเองย่อมแสวงหาเกียรติสำหรับตนเอง แต่คนที่แสวงหาเกียรติให้ผู้ที่ใช้ตนมา คนนั้นเป็นคนจริง ไม่มี​        อธรรมในตัวเขาเลย” 

      (Whoever speaks on their own does so to gain personal glory, but he who seeks the glory of the one who sent him is a man of truth; there is nothing false about him.)

7:19 “โมเสสให้ธรรมบัญญัติแก่พวกท่านไม่ใช่หรือ? แต่ไม่มีใครในพวกท่านประพฤติตามธรรมบัญญัตินั้น พวกท่านหาโอกาส​ฆ่าเราทำไม?” 

     (Has not Moses given you the law? Yet not one of you keeps the law. Why are you trying to kill me?”)

7:20 “ฝูงชนตอบว่า “ท่านมีผีสิงอยู่ ใครกันที่หาโอกาสจะฆ่าท่าน?”

        (“You are demon-possessed,” the crowd answered. “Who is trying to kill you?”)

7:21 “พระเยซูตรัสตอบว่า “เราได้ทำสิ่งเดียว และท่านทุกคนประหลาดใจ” 

        (Jesus said to them, “I did one miracle, and you are all amazed.)

7:22 “โมเสสให้พวกท่านเข้าสุหนัต(สุหนัตไม่ได้มาจากโมเสส แต่มาจากบรรพบุรุษ)และท่านก็ยังให้คนเข้าสุหนัตในวันสะบาโต”

    (Yet, because Moses gave you circumcision (though actually it did not come from Moses, but from the patriarchs), you circumcise a boy on the Sabbath.)

7: 23 “ถ้าในวันสะบาโตคนยังเข้าสุหนัตเพื่อไม่ให้ละเมิดธรรมบัญญัติของโมเสสแล้ว พวกท่านยังจะโกรธเราเพราะเราทำให้ชายคนหนึ่งหายเป็นปกติในวันสะบาโตหรือ?”

        (Now if a boy can be circumcised on the Sabbath so that the law of Moses may not be broken, why are you angry with me for healing a man’s whole body on the Sabbath?)

7:24 “อย่าพิพากษาตามที่เห็นภายนอก แต่จงพิพากษาอย่างยุติธรรมเถิด

      (Stop judging by mere appearances, but instead judge correctly.”)

7:25 “แล้วชาวกรุงเยรูซาเล็มบางคนจึงพูดว่า “คนนี้ไม่ใช่หรือที่พวกเขาหาโอกาสจะฆ่า?” 

        (At that point some of the people of Jerusalem began to ask, “Isn’t this the man they are trying to kill?)

7:26 “เขาก็อยู่นี่แล้วไง กำลังพูดอยู่อย่างเปิดเผย และพวกเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร พวกผู้ใหญ่รู้แน่แล้วหรือว่าคนนี้เป็นพระคริสต์?” 

      (Here he is, speaking publicly, and they are not saying a word to him. Have the authorities really concluded    that he is the Messiah?) 

7:27 “แต่เรารู้แล้วว่าคนนี้มาจากไหน เพราะเมื่อพระคริสต์เสด็จมา จะไม่มีใครรู้เลยว่าพระองค์มาจากไหน

       (But we know where this man is from; when the Messiah comes, no one will know where he is from.”)

7:28 “แล้วพระเยซูก็ทรงประกาศขณะทรงสั่งสอนอยู่ที่บริเวณพระวิหารว่า “พวกท่านรู้จักเราและรู้ว่าเรามาจากไหน เราไม่ได้มา​ตามลำพังเราเอง แต่พระองค์ผู้ทรงใช้เรามานั้นสัตย์จริงและพวกท่านไม่รู้จักพระองค์” 

      (Then Jesus, still teaching in the temple courts, cried out, “Yes, you know me, and you know where I am from.  I am not here on my own authority, but he who sent me is true. You do not know him,)

7:29 “เรารู้จักพระองค์ เพราะเรามาจากพระองค์และพระองค์ทรงใช้เรามา” 

      (but I know him because I am from him and he sent me.”)

7:30 “พวกเขาจึงหาโอกาสจับพระองค์ แต่ไม่มีใครยื่นมือแตะต้องพระองค์เพราะยังไม่ถึงกำหนดเวลาของพระองค์” 

       (At this they tried to seize him, but no one laid a hand on him, because his hour had not yet come.)

7:31 “แต่มีหลายคนในหมู่ประชาชนนั้นวางใจในพระองค์และพูดว่า “เวลาที่พระคริสต์เสด็จมา พระองค์จะทรงทำหมายสำคัญ​มากยิ่งกว่าสิ่งที่ท่านผู้นี้ได้ทำหรือ?”

     (Still, many in the crowd believed in him. They said, “When the Messiah comes, will he perform more signs than this man?”)

7:32 “เมื่อพวกฟาริสีได้ยินประชาชนซุบซิบกันเรื่องพระองค์อย่างนั้น พวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสีจึงใช้เจ้าหน้าที่ไปจับพระองค์” 

      (The Pharisees heard the crowd whispering such things about him. Then the chief priests and the Pharisees sent temple guards to arrest him.)

7:33 “พระเยซูตรัสว่า “เราจะอยู่กับพวกท่านต่อไปอีกไม่นาน แล้วจะกลับไปหาผู้ที่ทรงใช้เรามา” 

        (Jesus said, “I am with you for only a short time, and then I am going to the one who sent me.)

7:34 “พวกท่านจะแสวงหาเราแต่จะไม่พบเรา และที่ที่เราอยู่นั้นท่านจะเข้าไปไม่ได้” 

        (You will look for me, but you will not find me; and where I am, you cannot come.)

7:35 “พวกยิวจึงพูดกันว่า “คนนี้จะไปไหนที่เราจะหาเขาไม่พบ? เขาตั้งใจจะไปหาคนที่กระจัดกระจายอยู่ในหมู่พวกกรีกและสั่ง‍สอนพวกกรีกหรือ?” 

     (The Jews said to one another, “Where does this man intend to go that we cannot find him? Will he go where our people live scattered among the Greeks, and teach the Greeks?)

7:36 “เขาหมายความว่าอย่างไรที่พูดว่า ‘พวกท่านจะแสวงหาเราแต่จะไม่พบเรา’ และ ‘ที่ที่เราอยู่นั้นพวกท่านจะเข้าไปไม่ได้’?”

    (What did he mean when he said, ‘You will look for me, but you will not find me,’and ‘Where I am, you cannot come’?)

7:37 “ในวันสุดท้ายของงานเทศกาลซึ่งเป็นวันยิ่งใหญ่นั้นพระเยซูทรงยืนขึ้นและทรงประกาศว่า“ถ้าใครกระหาย ให้คนนั้นมาหาเรา

       (On the last and greatest day of the festival, Jesus stood and said in a loud voice, “Let anyone who is thirsty come to me and drink.)

7:38 “และให้คนที่วางใจในเราดื่ม ตามที่มีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘แม่น้ำที่มีน้ำดำรงชีวิตจะไหลออกมาจากภายในคนนั้น’”

     (Whoever believes in me, as Scripture has said, rivers of living water will flow from within them.)

7:39 “สิ่งที่พระเยซูตรัสนั้นหมายถึงพระวิญญาณซึ่งคนที่วางใจพระองค์จะได้รับ เพราะว่าพระวิญญาณยังไม่สถิตด้วย เพราะ​พระเยซูยังไม่ได้รับพระเกียรติ”

    (By this he meant the Spirit, whom those who believed in him were later to receive. Up to that time the Spirit had not been given, since Jesus had not yet been glorified.)

7:40 “เมื่อประชาชนได้ยินดังนั้น บางคนก็พูดว่า “ท่านผู้นี้เป็นผู้เผยพระวจนะแน่นอน” 

       (On hearing his words, some of the people said, “Surely this man is the Prophet.”)

7:41 “คนอื่นๆ ก็พูดว่า “ท่านผู้นี้เป็นพระคริสต์” แต่บางคนว่า “พระคริสต์จะมาจากกาลิลีได้หรือ?” 

       (Others said, “He is the Messiah.” Still others asked, “How can the Messiah come from Galilee?)

7:42 “พระคัมภีร์กล่าวไว้ไม่ใช่หรือว่าพระคริสต์จะมาจากเชื้อพระวงศ์ของดาวิด และมาจากหมู่บ้านเบธเลเฮม ที่ดาวิดเคยอยู่นั้น” 

       (Does not Scripture say that the Messiah will come from David’s descendants and from Bethlehem, the town where David lived?” )

7:43 “ดังนั้นฝูงชนจึงขัดแย้งกันในเรื่องพระองค์”

        (Thus the people were divided because of Jesus.)

7: 44 “บางคนอยากจะจับพระองค์ แต่ไม่มีใครยื่นมือแตะต้องพระองค์เลย”

        (Some wanted to seize him, but no one laid a hand on him.)

7:45 “พวกเจ้าหน้าที่กลับไปหาพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสี พวกเขาจึงถามเจ้าหน้าที่ว่า “ทำไมพวกเจ้าถึงไม่จับเขามา?” 

     (Finally the temple guards went back to the chief priests and the Pharisees, who asked them, “Why didn’t you bring him in?”)

7:46 “เจ้าหน้าที่ตอบว่า “ไม่เคยมีใครพูดเหมือนอย่างคนนั้นเลย

       (“No one ever spoke the way this man does,” the guards replied.)

7:47 “พวกฟาริสีตอบเขาว่า “พวกเจ้าโดนหลอกด้วยหรือ?” 

       (“You mean he has deceived you also?” the Pharisees retorted.)

7:48 “มีใครบ้างในพวกผู้ใหญ่หรือพวกฟาริสีที่ศรัทธาในตัวเขา?” 

      (“Have any of the rulers or of the Pharisees believed in him? )

7:49 “ก็มีแต่ฝูงชนนี้ที่ไม่รู้ธรรมบัญญัติ พวกเขาต้องถูกสาปแช่ง” 

       (No! But this mob that knows nothing of the law—there is a curse on them.)

7:50 “นิโคเดมัสคนที่มาหาพระองค์คราวก่อน และเป็นคนหนึ่งในพวกเขานั้นกล่าวแก่เขาว่า” 

        (Nicodemus, who had gone to Jesus earlier and who was one of their own number, asked)

7:51 “กฎหมายของเราเคยพิพากษาคนโดยที่ยังไม่ได้ฟังเขาหรือรู้ว่าเขาทำอะไรก่อนหรือ?” 

      (“Does our law condemn a man without first hearing him to find out what he has been doing?”)

7:52 “พวกเขาตอบนิโคเดมัสว่า “ท่านก็มาจากกาลิลีด้วยหรือ? ลองค้นดูเถิดแล้วท่านจะเห็นว่าไม่มีผู้เผยพระวจนะเกิดขึ้นจากกาลิลี

     (They replied, “Are you from Galilee, too? Look into it, and you will find that a prophet does not come out of Galilee.”)

7:53 “[แล้วต่างคนต่างก็กลับไปที่บ้านของตน”

         (Then they all went home,)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

7:1-8:59 –พระธรรมยอห์น ทั้ง 2 บทนี้ กล่าวถึงการต่อต้านพระคริสต์อย่างรุนแรง จนอาจทำอันตรายให้เสียชีวิตได้ (7:1,13,19,25,30,32,44;8:37;40,59)

-ผู้เขียนได้รวบรวมข้อโต้แย้งหลัก ๆ เรื่องพระเมสสิยาห์ของพระเยซู และให้คำตอบไว้

7:1        “หลังจากนั้น” (After this) –เนื่องจาก 6:4 อ้างถึงเทศกาลปัสกา และ 7:2 อ้างถึงเทศกาลอยู่เพิง – จึงมีช่องว่างอยู่ราว 6 เดือน

7:2        “เทศกาลอยู่เพิง”(Festival of Tabernacles) = เทศกาลสำคัญของชาวยิว เพื่อเฉลิมฉลองที่การเก็บเกี่ยวเสร็จสิ้น และระลึกถึงพระคุณอันดีงามของพระเจ้าที่มีต่อชนชาติอิสราเอล ในช่วงที่ร่อนเร่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร (ลนต.23:33-43;ฉธบ.16:13-15;ศคย.14:16)

-ชื่อเทศกาลนี้มาจากการสร้างเพิงที่มุงด้วยใบไม้ และประชาชนเข้าไปพักตลอด 7 วัน

7:3        “พวกน้อง ๆ” (Jesus’ brothers) –ลก.8:19

7:4        “เพราะว่าไม่มีใครแอบทำอะไรเงียบ ๆ ในเมื่ออยากให้ตัวเองปรากฏ…” (No one who wants to become a public figure acts in secret)

-ไม่แน่ชัดว่าน้อง ๆ รู้เรื่องการอัศจรรย์อื่นใดของพระเยซูที่ผู้อื่นไม่ทราบหรือไม่ หรือว่าพวกเขากำลังแนะนำให้พระองค์กระทำการพิสูจน์ว่า พระองค์เป็นพระเมสสิยาห์ตามที่อ้างในขณะที่ไปกรุงเยรูซาเล็มเลย

-แต่ที่แน่นอนก็คือ พวกเขาไม่ได้จริงใจในการพูดเช่นนั้น เพราะข้อ 5 บอกไว้

7:6        “ยังไม่ถึงเวลาของเรา” (My time is not yet here) = ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม (มธ.26:18) พระเยซูคริสต์ทรงกระทำพันธกิจตามกำหนดเวลาที่พระบิดากำหนดไว้ (2:4;รม.5:6)

7:7        “โลก…โลก” (The world)   -อาจหมายถึง      1. ผู้คนที่ต่อต้านพระคริสต์  2. ระบบของมนุษย์ที่ต่อต้านพระประสงค์ของพระเจ้า (1ยน.2:15)

            โลกไม่เกลียดชังพวกน้อง ๆ ของพระองค์ เพราะพวกเขาเป็นของโลก  แต่พระเยซูตำหนิโลก ๆ จึงเกลียดชังพระองค์

7:8        “เราจะไม่ขึ้นไปที่งานเทศกาลนี้” (I am not going up to this festival) = พระเยซูปฏิเสธที่จะไปเทศกาลนี้ตามที่น้อง ๆ แนะนำ แต่พระองค์จะไปประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าเมื่อถึงเวลาที่อันเหมาะสมที่พระเจ้าทรงกำหนด (ข.6)

7:10      “พระองค์ก็เสด็จตามขึ้นไปด้วย แต่ไปอย่างเงียบๆ ไม่เปิดเผย” (he went also, not publicly, but in secret)   

= พระเยซูไม่ยอมรับคำแนะนำของน้อง ๆ ที่ให้เปิดเผยพระองค์ในข้อ 4

7:12      “และฝูงชนก็ซุบซิบกันอย่างมาก” (Among the crowds there was widespread whispering about him.)

= เพราะไม่ปลอดภัยที่จะพูดกันอย่างเปิดเผย (ปท.ข้อ 13)

7:14      “เวลาผ่านไปถึงกลางเทศกาล” (Not until halfway through the festival did)   = ช่วงเวลาที่ฝูงชนมีจำนวนคน

มามากที่สุด การสั่งสอนของพระองค์ที่ลานพระวิหารจะมีคนฟังมากมาย –มธ.26:55;ยน.7:28

7:15      “พวกยิว” (The Jews) = คนละพวกกับ “ฝูงชน” ในข้อ 12 ซึ่งเป็นยิวเหมือนกัน (1:19)

              “…ในเมื่อไม่เคยเรียนเลย?” (learning without) = ไม่ได้เรียนจากพวกรับบี (อาจารย์) ของสำนักใดเลย (กจ.4:13)

7:16      “คำสอนของเราไม่ใช่ของเราเอง” (My teaching is not my own) = มาจากพระเจ้าพระบิดา -4:34

7:17      “ถ้าใครตั้งใจประพฤติตามพระประสงค์ของพระองค์”(Anyone who chooses to do the will of God) 

= ถ้าผู้ใดเลือกที่จะทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างจริงใจ รับคำสอนของพระเยซูคริสต์และเชื่อในพระองค์ (6:29)

“คนนั้นก็จะรู้ว่า” (will find out)  = ออกัสติน ให้ความเห็นว่า “ความเข้าใจ” เป็นรางวัลของ “ความเชื่อ” ดังนั้น ถ้าบุคคลใดเต็มใจที่จะทำตามพระประสงค์ของพระองค์ คือ เชื่อพระองค์เขาก็จะเข้าใจความจริง

7:18      “คนนั้นเป็นคนจริง” (him is a man of truth)  = “เป็นคนของความจริง” หรือ “ความสัตย์จริง” หรือหาเกียรติ ใส่ตัวเอง –ปท.ยน.5:41;8:50,54      -ไม่มีผู้ใด “สัตย์จริง” นอกจากพระเจ้า พระบิดา (3:33;8:26) และพระเยซู

                        = อีกครั้งหนึ่งที่พระเยซูประกาศตัวว่า พระองค์เท่าเทียมกับพระเจ้า

7:19      “ธรรมบัญญัติ” (the law)  -พวกยิวภูมิใจว่า พวกตัวเองได้รับเลือกให้เป็นผู้รับธรรมบัญญัติ (บทบัญญัติ) แต่พระเยซูตรัสว่า พวกเขาล้วนละเมิดบทบัญญัติที่พวกเขาภาคภูมิใจมากเหลือเกิน (ปท.รม.2:17-29)

7:20      “ฝูงชน” (the crowd)  -อาจเป็นผู้แสวงธรรม(แสวงบุญ)ที่เดินทางมาร่วมเทศกาลที่กรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นคนละพวกกับ “พวกยิว” ที่พยายามหาทางฆ่าพระเยซู (ข.1) และเป็นคนละกลุ่มกับคนในเยรูซาเล็ม ที่รู้ว่ามีการวางแผนฆ่าพระเยซู (ข.25)

“ท่านมีผีสิงอยู่” (You are demon-possessed)

-ในตอนอื่น ๆ ของพระธรรมยอห์น มีการกล่าวหาพระเยซูว่า มีผีสิงอยู่ด้วย เช่น 8:48-52;10:20-21;

ปท.มธ.12:24-32;มก.3:22-30

 7:21      “เราได้ทำสิ่งเดียว” (I did one miracle) –ในบางฉบับแปลว่า “เราได้ทำการอัศจรรย์อย่างหนึ่ง” 

= เข้าใจว่า คือการรักษาคนง่อย  (ยน.5:2-9;7:23)

-ดูได้จากการถกเถียงกันเรื่องการรักษาคนป่วยในวันสะบาโต

7:22      “เข้าสุหนัต” (circumcision)   = เป็นข้อกำหนดในบทบัญญัติของโมเสส (อพย.12:44,48;ลนต.12:3)

                        แต่ก็ไม่ได้เริ่มต้นจากโมเสส แต่เริ่มที่อับราฮัม (ปฐก.17:10-12)

                        -พวกยิวตีความว่า ลนต 12:3 กำหนดให้เข้าสุหนัตในวันที่ 8 (แม้จะเป็นวันสะบาโตก็ตาม)

                        -ข้อยกเว้นนี้มีความสำคัญยิ่งต่อการทำความเข้าใจความขัดแย้งที่เกิดขึ้น (ข.23)

-พระเยซูไม่ได้ตรัสว่า ไม่ควรรักษาวันสะบาโต แต่ต้องการบอกว่า ผู้ที่ต่อต้านพระองค์ ไม่เข้าใจความหมายของวันสะบาโต คำบัญชาให้ทำพิธีเข้าสุหนัต เป็นการบ่งบอกว่า บางครั้งไม่เพียงแต่อนุญาตให้ทำงานในวันสะบาโตได้เท่านั้น แต่จำเป็นต้องทำด้วยการแสดงความเมตตาก็อยู่ในกรณีนี้ด้วย (5:10;มก.3:2)

7:25      “ชาวกรุงเยรูซาเล็ม” (people of Jerusalem) –พบเฉพาะในที่นี้ และใน มก.1:5 อาจหมายถึง ฝูงชนในกรุงเยรูซาเล็ม (ข.20) พวกเขาไม่ใช่ต้นคิดในการวางแผนสังหารพระเยซู แต่รู้ว่า มีการวางแผนเช่นนั้น

7:26      “พวกผู้ใหญ่รู้แน่แล้วหรือว่า” ( the authorities really concluded) –บางฉบับแปลว่า “ผู้มีอำนาจสรุปแน่นอนแล้วใช่ไหม?” -ในภาษากรีกคำถามนี้คาดหวังให้ผู้ตอบ ตอบปฏิเสธ

7:27      “จะไม่มีใครรู้เลยว่า พระองค์มาจากไหน?”  (no one will know where he is from ) = พวกยิวบางคนเชื่อว่า พันธสัญญาเดิมบอกที่มาของพระเมสสิยาห์ (ปท.ข้อ 42;มธ.2:4-6) แต่บางคนไม่เชื่อเช่นนั้น

7:28      “พวกท่านรู้จักเรา” (you know me) = พระเยซูตรัสเป็นเชิงกระทบกระเทียบ ในแง่หนึ่งพวกเขารู้จักพระองค์ว่ามาจากนาซาเร็ธ แต่ในอีกแง่หนึ่งพวกเขาไม่รู้จักพระองค์เลย (8:19)

“พระองค์ผู้ทรงใช้เรามา” (he who sent me)  = พระเยซูประกาศว่า พระองค์มาจากพระเจ้าพระบิดาพระราชกิจของพระองค์ก็มาจากพระเจ้า

7:29      “เรารู้จักพระองค์…พระองค์ทรงใช้เรามา” (I know him … he sent me) –มธ.11:27;ยน.3:17

7:30      “พวกเขาจึงหาโอกาสจับพระองค์” (they tried to seize him) = พวกเขาพยายามที่จะจับพระองค์ แต่ไม่มีใครทำอะไรพระองค์ได้ จนกว่าจะถึงเวลาที่พระบิดากำหนด (3:4)

7:31      “หลายคนในหมู่ประชาชน” (many in the crowd)  = อาจเป็นพวกแสวงธรรม (แสวงบุญ) ที่เดินทางมาร่วมเทศกาล (ข.20)  และหลายคนในพวกเขามาเชื่อพระเยซูเพราะเห็นหมายสำคัญ (ปท.6:26)

7:32      “พวกฟาริสี” (The Pharisees) –มธ3:7;  “พวกหัวหน้าปุโรหิต” (the chief priests) –มธ.2:4;มก.8:31

                        -มีหัวหน้าปุโรหิตประจำการเพียงคนเดียว แต่โรมได้ปลดหัวหน้าปุโรหิตจำนวนมากให้เหลือแค่ยศเท่านั้น

7:33      “แล้วจะกลับไปหาผู้ที่ทรงใช้เรามา” (going to the one who sent me)  = พระเยซูทรงเปลี่ยนเรื่องสนทนาจากเรื่องการอัศจรรย์ของพระองค์ ไปเป็นการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ (ซึ่งพระองค์กล่าวถึงอย่างเป็นปริศนา, ข.34)

7:35      “คนที่กระจัดกระจายอยู่ในหมู่พวกกรีก” (live scattered among the Greeks) = นับตั้งแต่หลังสมัยตกไปเป็นเชลย ยิวหลายคนยังอาศัยอยู่นอกดินแดนอิสราเอล และอยู่ตามเมืองต่าง ๆ ของจักรวรรดิโรมัน

7:37      “ในวันสุดท้ายของงานเทศกาล” (On the last and greatest day of the festival)  =อาจเป็นวันที่ 7 หรือ 8 ก็ได้

เพราะเทศกาลอยู่เพิง ฉลองกัน 7 วัน (ลนต.23:34;ฉธบ.16:13,15) แต่มีการประชุมปิดท้ายในวันที่ 8 (ลนต.23:36) ปท.มก.14:12

“ทรงยืนขึ้นและทรงประกาศว่า” (stood and said in a loud voice)  = ยืนขึ้น และตรัสด้วยเสียงอันดังโดยปกติ ครูจะนั่งสอน แต่พระเยซูยืนขึ้นเพื่อดึงความสนใจให้พวกเขารับฟังข้อความที่พระองค์ตรัส

7:38      “แม่น้ำที่มีน้ำดำรงชีวิต” (rivers of living water)  = น้ำที่ให้ชีวิต –ยน.4:10

7:39      “พระวิญญาณ” (the Spirit) = น้ำที่ให้ชีวิตในข้อ 38

               “พระวิญญาณยังไม่สถิตด้วย”(the Spirit had not been given) = ยังไม่ได้ประทานพระวิญญาณแบบที่จะรับในวันเพนเทคอส (กจ.2:1-2,4)

“ยังไม่ได้รับพระเกียรติ” (not yet been glorified)  = พระเยซูยังไม่ได้ถูกตรึงบนไม้กางเขน เป็นขึ้นจากตาย และได้รับการยกย่องเทิดพระเกียรติ (13:31)

= งานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องขึ้นอยู่กับ งานแห่งความรอดของพระเยซูคริสต์ก่อน

7:40      “ประชาชน” (his) = ฝูงชนในข้อ 20

7:42      “พระคริสต์จะมาจากเชื้อพระวงศ์ของดาวิด และมาจากหมู่บ้านเบธเลเฮม” (the Messiah will come from David’s descendants and from Bethlehem) –1ซมอ.20:6;2ซมอ.7:12-16;สดด.89:3-4;มคา.5:2,  มีความคิดต่างกันในเรื่องที่มาของพระเมสสิยาห์ (ข.27)-ปท.มธ.1:1;2:5-6;ลก.2:4;มคา.5:2

7:43      “ฝูงชนจึงขัดแย้งกัน” (the people were divided) –ยน.6:52;9:16;10:19

7:44      “แต่ไม่มีใครยื่นมือแตะต้องพระองค์เลย” (but no one laid a hand on him) –ยน.7:30

7:46      “เจ้าหน้าที่” (the guards)  – บางฉบับแปลว่า “พวกยาม” ,พวกเขารู้ว่าจะตกที่นั่งลำบาก ถ้าไม่จับกุม แต่พวกเขาก็ประทับใจใสคำสอนของพระเยซูมาก และไม่ประสงค์จะทำให้พระองค์เดือดร้อน

7:47      “พวกฟาริสีตอบเขาว่า” (the Pharisees retorted)  = บางคำแปลใช้ว่า “พากฟาริสีย้อนว่า” 

                        -พวกฟาริสีฉุนเฉียวมาก ปกติหัวหน้าปุโรหิตจะเป็นผู้ตักเตือนเจ้าหน้าที่หรือยามที่เฝ้าพระวิหาร

7:48      “มีใครบ้างในพวกผู้ใหญ่หรือพวกฟาริสี ที่ศรัทธาในตัวเขา?” (Have any of the rulers or of the Pharisees believed in him) –ยน.12:42

7:49      “ฝูงชนนี้” (this mob)  = พวกแสวงธรรมที่เดินทางมาร่วมเทศกาล (ข.20)

“ไม่รู้ธรรมบัญญัติ” (knows nothing of the law)   -บางฉบับแปลว่า “ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับบทบัญญัติ เลย”

= พวกเขาพูดเกินจริงว่าประชาชนเหล่านี้ไม่รู้พระคัมภีร์ (ปท.ข้อ 42) แต่พวกยิวทั่วไปไม่สนใจกับเรื่องหยุมๆ หยิมๆ ที่พวกฟาริสีถือเป็นสาระสำคัญ เพราะคำสอนของบรรพบุรุษเหล่านั้นเป็นภาระหนักเกินไปสำหรับประชาชนที่ทำมาหากินอย่างสุจริตด้วยความเหนื่อยยาก

7:50-51 –ในข้อเหล่านี้มีคำพูดที่เสียดสีและเสียดแทง เพราะพวกฟาริสีพูดว่า ไม่มีผู้นำคนไหนเชื่อพระเยซู แต่นิโคเดมัสผู้เป็นสมาชิกสภาปกครองของยิว (3:1) พูดขึ้นมาว่า ในขณะที่พวกฟาริสีเรียกร้องให้ประชาชนถือรักษาธรรมบัญญัติ แต่พวกเขาเองกลับละเลยบทบัญญัติจากเหตุการณ์นี้   -ปท.ยน.3:1;7:41;19:39

7:52      “ไม่มีผู้เผยพระวจนะเกิดขึ้นจากกาลิลี” (that a prophet does not come out of Galilee.)  -1:46:

ปท.มธ.2:23; พวกคนเหล่านี้ใช้อารมณ์ และพูดผิดด้วย เพราะโยนาห์มาจากกาลิลี และฟาริสีมองข้ามสิทธิอำนาจของพระเจ้าที่สามารถเรียกผู้เผยพระวจนะมาจากที่ไหนก็ได้  –ปท.ยน.7:41

7:53-8:11 –เรื่องราวตอนนี้ เป็นประเด็นที่ถกกันว่า ไม่ได้อยู่ในพระกิตติคุณยอห์นตั้งแต่เริ่มแรก

7:53      = ข้อที่เป็นส่วนหนึ่งของ ยน.8:1 เป็นตัวแสดงให้เห็นว่า เดิมเรื่องราวนี้ต่อมาจากเรื่องเล่าตอนอื่น

 

คำถามนำอภิปราย 

  1. หากพระเยซูคริสต์ยังทรงเจตนาเลี่ยงให้ห่างจากการปองร้ายของปฏิปักษ์ คุณคิดว่า สมควรหรือไม่ที่คริสเตียนเราจะหลีกเลี่ยงการเข้าไปสู่ปัญหาหรือสถานการณ์ที่เสี่ยงอันตรายเหล่านั้น?
  2. คุณเคยถูกคนใกล้ชิด ไม่เชื่อมั่นหรือไม่ศรัทธาในตัวของคุณบ้างหรือไม่? อย่างไร (แบ่งปัน) แล้วคุณทำอย่างไร?
  3. เคยมีคนประหลาดใจเพราะสิ่งที่คุณพูดหรือสอนบ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร? และส่งผลอย่างไร?
  4. คุณเคยประสบกับการมี “ทวิมาตรฐาน” ในการตัดสินความบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? โดยใคร? ที่ไหน? และอย่างไร?
  5. คุณเคยมั่นใจว่า พระเจ้าส่งคุณให้เป็นผู้พูดหรือสอนแทนพระองค์บ้างหรือไม่? ต่อใคร? เรื่องอะไร? ที่ไหน? แล้วผลลัพธ์เป็นอย่างไร?
  6. คุณเคยสงสัยหรือไม่เชื่อในตัวพระเยซูคริสต์หรือคำสอนของพระองค์บ้างหรือไม่? ทำไม?
  7. คุณเคยตัดสินผู้อื่นโดยเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางบ้างไหม? เรื่องอะไร? แล้วเกิดอะไรขึ้น?
  8. คุณเคยกล้ายืนหยัดปกป้องคนที่คุณคิดว่าไม่ผิด หรือเพราะว่า กระบวนการพิจารณาตัดสินยังไม่สิ้นสุดบ้างหรือไม่? และมีผลอะไรตามมาบ้าง? (แบ่งปัน)

ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.