สิทธิอำนาจของพระบุตร
พระธรรม ยอห์น 5:1-47
อ้างอิง ยน.1:29;3:15-18;4:21-23;5:16-22;8:11,14,43,47;9:4,14;10:30-33,39;14:10,24;16:32;19:13;
17, 20;20:16
บทนำ คนจำนวนไม่น้อยที่ต้องการความช่วยเหลือ มีแต่พระเยซูคริสต์เท่านั้นที่ทรงสิทธิอำนาจในการที่ช่วยพวกเขาได้ คุณยอมให้พระเจ้าทรงใช้ชีวิตและสิ่งที่คุณมีอยู่เพื่อกระทำกิจแห่งความดีงามนั้นหรือไม่?
บทเรียน
5:1 “หลังจากนั้นก็ถึงเทศกาลของพวกยิว และพระเยซูก็เสด็จขึ้นไปที่กรุงเยรูซาเล็ม
(After this there was a feast of the Jews, and Jesus went up to Jerusalem.)
5:2 “ที่ริมประตูแกะในกรุงเยรูซาเล็มมีสระน้ำ ภาษาฮีบรูเรียกสระนั้นว่า เบธซาธา ที่นั่นมีศาลาห้าหลัง”
(Now there is in Jerusalem by the Sheep Gate a pool, in Aramaic called Bethesda, which has five roofed colonnades.)
5:3 “ในศาลาเหล่านั้นมีคนป่วยจำนวนมาก มีทั้งคนตาบอด คนง่อย และคนเป็นอัมพาตนอนอยู่”
(In these lay a multitude of invalids—blind, lame, and paralyzed.)
5:5 “ที่นั่นมีชายคนหนึ่งป่วยมาสามสิบแปดปีแล้ว”
(One man was there who had been an invalid for thirty-eight years.)
5:6 “เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นคนนั้นนอนอยู่ และทรงทราบว่าเขาป่วยอยู่อย่างนั้นนานแล้ว พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านอยากจะหายเป็นปกติหรือเปล่า?”
(When Jesus saw him lying there and knew that he had already been there a long time, he said to him, “Do you want to be healed?”)
5:7 “คนป่วยคนนั้นทูลตอบพระองค์ว่า “ท่านเจ้าข้า เมื่อน้ำกำลังกระเพื่อมนั้น ไม่มีใครเอาตัวข้าพเจ้าลงไปในสระ แล้วพอจะลงไปเอง คนอื่นก็ลงไปก่อนแล้ว”
(The sick man answered him, “Sir, I have no one to put me into the pool when the water is stirred up, and while I am going another steps down before me.” )
5:8 “พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ลุกขึ้นเถิด จงยกแคร่ของท่านเดินไป”
(Jesus said to him, “Get up, take up your bed, and walk.)
5:9 “ทันใดนั้นเขาก็หายเป็นปกติและยกแคร่ของเขาเดินไปแต่วันนั้นเป็นวันสะบาโต”
(And at once the man was healed, and he took up his bed and walked. Now that day was the Sabbath.)
5:10 “พวกยิวจึงพูดกับชายที่พระองค์ทรงรักษานั้นว่า “วันนี้เป็นวันสะบาโต การที่เจ้าแบกแคร่ไปนั้นผิดบัญญัติ”
(So the Jews said to the man who had been healed, “It is the Sabbath, and it is not lawful for you to take up your bed.)
5:11 “คนนั้นจึงตอบพวกเขาว่า “คนที่รักษาข้าพเจ้าให้หายสั่งว่า ‘จงยกแคร่ของท่านและเดินไป’ ”
(But he answered them, “The man who healed me, that man said to me, ‘Take up your bed, and walk.’)
5:12 “พวกยิวถามเขาว่า “คนที่สั่งเจ้าว่า ‘จงยกแคร่และเดินไป’ นั้นเป็นใคร?”
(They asked him, “Who is the man who said to you, ‘Take up your bed and walk’?”)
5:13 “คนที่ได้รับการรักษานั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร เพราะพระเยซูทรงหายไปท่ามกลางฝูงชนที่อยู่ที่นั่น”
(Now the man who had been healed did not know who it was, for Jesus had withdrawn, as there was a crowd in the place.)
5:14 “ภายหลังพระเยซูทรงพบคนนั้นในบริเวณพระวิหารจึงตรัสกับเขาว่า “นี่แน่ะ ท่านหายโรคแล้ว อย่าทำบาปอีก เพื่อจะไม่มีเหตุเลวร้ายกว่านั้นเกิดกับท่าน”
(Afterward Jesus found him in the temple and said to him, “See, you are well! Sin no more, that nothing worse may happen to you.”)
5:15 “ชายคนนั้นก็ออกไปบอกพวกยิวว่าคนที่ทำให้เขาหายนั้นคือพระเยซู”
(The man went away and told the Jews that it was Jesus who had healed him.)
5:16 “เพราะเหตุนี้พวกยิวจึงเริ่มต้นข่มเหงพระเยซู เพราะพระองค์ทรงทำสิ่งเหล่านี้ในวันสะบาโต”
(And this was why the Jews were persecuting Jesus, because he was doing these things on the Sabbath.)
5:17 “แต่พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “พระบิดาของเรายังทรงทำงานอยู่เรื่อยๆ และเราก็ทำด้วย”
(But Jesus answered them, “My Father is working until now, and I am working.)
5:18 “เพราะเหตุนี้พวกยิวยิ่งหาโอกาสที่จะฆ่าพระองค์ ไม่ใช่เพราะพระองค์ฝ่าฝืนกฎวันสะบาโตเท่านั้น แต่ยังเรียกพระเจ้าเป็นบิดาด้วย ซึ่งเป็นการทำตัวเสมอพระเจ้า”
(This was why the Jews were seeking all the more to kill him, because not only was he breaking the Sabbath, but he was even calling God his own Father, making himself equal with God.)
5:19 “พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า พระบุตรจะทำสิ่งใดตามใจไม่ได้นอกจากที่ได้เห็นพระบิดาทำ เพราะสิ่งใดที่พระบิดาทำ สิ่งนั้นพระบุตรจะทำเหมือนกัน”
(So Jesus said to them, “Truly, truly, I say to you, the Son can do nothing of his own accord, but only what he sees the Father doing. For whatever the Father does, that the Son does likewise.)
5:20 “เพราะว่าพระบิดาทรงรักพระบุตรและทรงแสดงให้พระบุตรเห็นทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ และพระองค์จะทรงแสดงให้พระบุตรเห็นการที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีกที่พวกท่านจะประหลาดใจ”
(For the Father loves the Son and shows him all that he himself is doing. And greater works than these will he show him, so that you may marvel.)
5:21 “เพราะพระบิดาทรงทำให้คนที่ตายแล้วเป็นขึ้นมาและประทานชีวิตให้อย่างไร พระบุตรก็จะให้ชีวิตแก่คนที่ท่านปรารถนาจะให้อย่างนั้น”
(For as the Father raises the dead and gives them life, so also the Son gives life to whom he will.)
5:22 “เพราะว่าพระบิดาไม่ทรงพิพากษาใคร แต่ทรงมอบการพิพากษาทั้งสิ้นไว้กับพระบุตร”
(The Father judges no one, but has given all judgment to the Son,)
5:23 “เพื่อทุกคนจะได้ถวายพระเกียรติแด่พระบุตรเหมือนที่พวกเขาถวายเกียรติแด่พระบิดา คนไหนไม่ถวายพระเกียรติแด่พระบุตร คนนั้นก็ไม่ถวายพระเกียรติแด่พระบิดาผู้ทรงใช้พระบุตรมา”
(that all may honor the Son, just as they honor the Father. Whoever does not honor the Son does not honor the Father who sent him.)
5:24 “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ถ้าใครฟังคำของเราและวางใจผู้ทรงใช้เรามา คนนั้นก็มีชีวิตนิรันดร์และไม่ถูกพิพากษาแต่ผ่านพ้นความตายไปสู่ชีวิตแล้ว”
(Truly, truly, I say to you, whoever hears my word and believes him who sent me has eternal life. He does not come into judgment, but has passed from death to life.)
5:25 “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า เวลากำหนดนั้นใกล้จะถึงแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อคนตายจะได้ยินเสียงพระบุตรของพระเจ้า และบรรดาคนที่ได้ยินจะมีชีวิต”
(“Truly, truly, I say to you, an hour is coming, and is now here, when the dead will hear the voice of the Son of God, and those who hear will live.)
5:26 “เพราะว่าพระบิดาทรงมีชีวิตในพระองค์เองอย่างไร พระองค์ก็ทรงให้พระบุตรมีชีวิตในพระองค์เองอย่างนั้น”
(For as the Father has life in himself, so he has granted the Son also to have life in himself.)
5:27 “และทรงให้พระบุตรมีสิทธิอำนาจที่จะทำการพิพากษาเพราะพระองค์ทรงเป็นบุตรมนุษย์”
(And he has given him authority to execute judgment, because he is the Son of Man.)
5:28 “อย่าประหลาดใจในข้อนี้เลย เพราะใกล้จะถึงเวลาที่ทุกคนที่อยู่ในอุโมงค์ฝังศพจะได้ยินเสียงของพระบุตร”
(Do not marvel at this, for an hour is coming when all who are in the tombs will hear his voice)
5:29 “และจะก้าวออกมา คนที่ประพฤติดีก็เป็นขึ้นมาสู่ชีวิต คนที่ประพฤติชั่วก็เป็นขึ้นมาสู่การพิพากษา”
(and come out, those who have done good to the resurrection of life, and those who have done evil to the resurrection of judgment.)
5:30“เราจะทำสิ่งใดตามใจไม่ได้ เราได้ยินอย่างไรเราก็พิพากษาอย่างนั้น และการพิพากษาของเราก็ยุติธรรม เพราะเราไม่ได้มุ่งที่จะทำตามใจของเราเอง แต่ตามพระประสงค์ของผู้ทรงใช้เรามา”
(“I can do nothing on my own. As I hear, I judge, and my judgment is just, because I seek not my own will but the will of him who sent me.)
5:31 “ถ้าเราเป็นพยานให้แก่ตัวเราเอง คำพยานของเราก็ไม่จริง”
(If I alone bear witness about myself, my testimony is not true.)
5:32 “มีอีกผู้หนึ่งที่เป็นพยานให้แก่เรา และเรารู้ว่าคำพยานที่พระองค์ทรงให้แก่เรานั้นเป็นความจริง”
(There is another who bears witness about me, and I know that the testimony that he bears about me is true.)
5:33 “พวกท่านใช้คนไปหายอห์น และยอห์นก็เป็นพยานถึงความจริง”
(You sent to John, and he has borne witness to the truth.)
5:34 “เราไม่ต้องรับคำพยานจากมนุษย์ การที่เรากล่าวสิ่งเหล่านี้ก็เพื่อให้พวกท่านรอด”
(Not that the testimony that I receive is from man, but I say these things so that you may be saved.)
5:35 “ยอห์นเป็นโคมที่จุดสว่างไสว และพวกท่านก็พร้อมจะชื่นชมยินดีในความสว่างของยอห์นชั่วขณะหนึ่ง”
(He was a burning and shining lamp, and you were willing to rejoice for a while in his light.)
5:36 “แต่คำพยานที่เรามีนั้นยิ่งใหญ่กว่าคำพยานของยอห์น เพราะว่างานที่พระบิดาทรงมอบให้เราทำจนสำเร็จและเป็นงานที่เรากำลังทำอยู่นั้น เป็นพยานให้กับเราว่าพระบิดาทรงใช้เรามา”
(But the testimony that I have is greater than that of John. For the works that the Father has given me to accomplish, the very works that I am doing, bear witness about me that the Father has sent me.)
5:37 “และพระบิดาผู้ทรงใช้เรามาก็ทรงเป็นพยานให้กับเรา พวกท่านไม่เคยได้ยินเสียงของพระองค์และไม่เคยเห็นรูปร่างของพระองค์”
(And the Father who sent me has himself borne witness about me. His voice you have never heard, his form you have never seen,)
5:38 “และท่านไม่มีพระดำรัสของพระองค์อยู่ในตัวท่าน เพราะว่าพวกท่านไม่ได้วางใจผู้ที่พระบิดาทรงใช้มานั้น”
(and you do not have his word abiding in you, for you do not believe the one whom he has sent.)
5:39 “พวกท่านค้นดูในพระคัมภีร์เพราะท่านคิดว่าในนั้นมีชีวิตนิรันดร์ และพระคัมภีร์นั้นเองเป็นพยานให้กับเรา”
(You search the Scriptures because you think that in them you have eternal life; and it is they that bear witness about me,)
5:40 “แต่พวกท่านก็ยังไม่ยอมมาหาเราเพื่อจะได้ชีวิต”
(yet you refuse to come to me that you may have life.)
5:41 “เราไม่ยอมรับเกียรติจากมนุษย์”
(I do not receive glory from people.)
5:42 “แต่เรารู้ว่าพวกท่านไม่มีความรักของพระเจ้าในตัวท่าน
(But I know that you do not have the love of God within you.)
5:43 “เรามาในพระนามพระบิดาของเราและพวกท่านไม่ยอมรับเรา ถ้าคนอื่นมาในนามของเขาเอง พวกท่านก็จะรับคนนั้น”
(I have come in my Father’s name, and you do not receive me. If another comes in his own name, you will receive him.)
5:44 “พวกท่านจะเชื่อได้อย่างไรในเมื่อท่านรับเกียรติจากกันและกันเองและไม่ได้แสวงหาเกียรติที่มาจากพระองค์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแต่องค์เดียว?”
(How can you believe, when you receive glory from one another and do not seek the glory that comes from the only God?)
5:45 “อย่าคิดว่าเราจะฟ้องพวกท่านต่อพระบิดา มีคนฟ้องท่านแล้วคือโมเสสผู้ที่พวกท่านตั้งความหวัง”
(Do not think that I will accuse you to the Father. There is one who accuses you: Moses, on whom you have set your hope.)
5:46 “ถ้าท่านทั้งหลายเชื่อโมเสส ท่านก็น่าจะเชื่อเรา เพราะโมเสสเขียนถึงเรา”
(For if you believed Moses, you would believe me; for he wrote of me.)
5:47 “แต่ถ้าพวกท่านไม่เชื่อเรื่องที่โมเสสเขียนแล้ว ท่านจะเชื่อถ้อยคำของเราได้อย่างไร?”
(But if you do not believe his writings, how will you believe my words?)
ข้อมูลมีประโยชน์
5:1 “เทศกาลของพวกยิว” (a feast of the Jews) =อาจเป็นเทศกาลปัสกา เทศกาลเพ็นเทคอสต์ หรือเทศกาลอยู่เพิง
-ผู้เขียน ได้กล่าวไว้ชัดเจนว่า มีเทศกาลปัสกาอย่างน้อย 3 ครั้ง ในพระธรรมยอห์นคือ
- ครั้งแรกใน 2:13,23 2. ครั้งที่สอง – 6:4 3. ครั้งที่สาม – 11:55;12:1
ถ้าใน 5:17 นี้หมายถึงเทศกาลปัสกาก็จะกลายเป็นเทศกาลครั้งที่ 4 ก็เท่ากับว่าพระเยซูคริสต์กระทำพระราชกิจราว 3-4ปี
5:2 “ประตูแกะ” (the Sheep Gate ) –นหม.3:1;12:39
“ภาษาฮีบรู” (Aramaic) = บางฉบับแปลว่า “ภาษาอารเมค” -ยน.19:13,17,20;20:16;กจ.21:40;22:2;26:14
“เบธซาธา” (Bethesda) = สำเนาโบราณบางฉบับเรียกชื่อว่า “เบธเธชดา” หรือ “เบธไซดา” หรือ “เบเธสดา”
-เข้าใจกันว่า สระน้ำจะอยู่สระคู่ใกล้โบสถ์เซนต์แอนน์ ในปัจจุบัน ซึ่งมีระเบียงทั้ง 4 ด้านของสระ และมีระเบียงเชื่อมต่อทั้ง 2 สระด้วย
5:3 “คนเป็นอัมพาตนอนอยู่” (paralyzed) –ในสำเนาโบราณบางฉบับเพิ่มข้อความว่า “คอยน้ำกระเพื่อม” และมีข้อ 4 เขียนว่า “เพราะมีทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเจ้าลงมากวนน้ำในสระเป็นครั้งคราว และเมื่อน้ำกระเพื่อมอยู่ ใครก้าวลงไปในน้ำก่อน ก็จะหายจากโรคที่เขาเป็นอยู่นั้น”
5:6 “ท่านอยากจะหายเป็นปกติหรือเปล่า?” (Do you want to be healed?) = “ท่านต้องการจะหายโรคหรือไม่?”
= ชายคนนี้ไม่ได้ขอให้พระเยซูช่วยรักษา
5:7 “เมื่อน้ำกำลังกระเพื่อมนั้น” (the pool when the water is stirred up) = เขาไม่ได้มองพระเยซูเป็นผู้ที่จะ รักษาเขา แต่เขาจดจ่ออยู่ที่อำนาจการรักษาที่มาจากสระน้ำนั้น
5:8 “ลุกขึ้นเถิด จงยกแคร่ของท่านเดินไป” (Get up, take up your bed, and walk)=จงลุกขึ้น ยกที่นอนเดินไปเถิด!
-มธ.9:5-6
5:9 “ทันใดนั้นเขาก็หายเป็นปกติ” (at once the man was healed) =ชายผู้นี้ก็หายโรคทันที
= ปกติแล้ว การมีความเชื่อในพระเยซูเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการรักษา (ตย. ใน มก.5:34) แต่ชายผู้นี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า พระเยซูเป็นใคร (ข.13) หรือยังไม่ได้มีความเชื่อในพระเยซูเลย แสดงว่า พระเยซูไม่ได้ถูกจำกัดโดยความเชื่อหรือโดยความไม่เชื่อของผู้ใด ในการกระทำกิจของพระองค์
“เป็นวันสะบาโต” (that day was the Sabbath) –มธ.12:1-14;ยน.9:14
5:10 “พวกยิว” (the Jews) –ยน.5:16
“การที่เจ้าแบกแคร่ไปนั้นผิดบัญญัติ”(it is not lawful for you to take up your bed)=“บทบัญญัติห้ามเจ้าแบกที่นอน”
-นี่ไม่ได้เป็นบทบัญญัติของโมเสส แต่เป็นคำสอนที่เกิดจากการตีความบทบัญญัติอย่างเคร่งครัดและสอนต่อกันมา (แต่ก็ยังมีช่องโหว่ให้ผู้ออกกฎใช้หาประโยชน์ใส่ตัวได้เสมอ) (ปท.มธ.23:4) ,นหม.13:15-22;ยรม.17:21;มธ.12:2
-เพราะการทำดี และการช่วยชีวิตของคนเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอ (แม้แต่ในวันสะบาโต) -17:7;23;ลก.6:9;13:15;14:5
5:14 “นี่แนะท่านหายโรคแล้ว อย่าทำบาปอีก” (See, you are well! Sin no more) บางฉบับแปลว่า “จงเลิก ทำบาป”
=ในข้อนี้พูดเป็นนัยว่า บาปเป็นต้นเหตุของการเจ็บป่วยของเขา ซึ่งแตกต่างจากกรณีของคนตาบอดใน 9:1 (มก.2:5;ยน.8:11)
“เพื่อจะไม่มีเหตุเลวร้ายนั้นเกิดกับท่าน” (that nothing worse may happen to you) บางฉบับแปลว่า “มิฉะนั้นสิ่งเลวร้ายกว่าเดิมอาจจะเกิดกับท่าน” = ผลพวงเลวร้ายที่เกิดจากบาปอาจรุนแรงยิ่งกว่าความเจ็บป่วยทางกายใด ๆ
5:15 “พวกยิว” (the Jews) – ยน.1:19
5:16 “ข่มเหง” (persecuting) = เป็นคำกริยาที่บ่งบอกถึงความต่อเนื่องมากกว่าเกิดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
5:17 “พระบิดาของเรา” (My Father ) –ลก.2:49
“ยังทรงทำงานอยู่เรื่อย ๆ” ( is working until now) = ยังทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์อยู่เสมอ
= พระเจ้าไม่ได้หยุดสำแดงพระเมตตาของพระองค์ในวันสะบาโต –ยน.9:4;14:10
“และเราก็ทำด้วย” (and I am working) = พระเยซูก็ทรงเมตตาต่อคนในวันสะบาโตเช่นเดียวกัน
5:18 “พวกยิวยิ่งหาโอกาสที่จะฆ่าพระองค์” (the Jews were seeking all the more to kill him) = พวกยิวพยายามทำทุกวิถีทางที่จะฆ่าพระเยซู –มธ.12:14
“ซึ่งเป็นการทำตัวเสมอพระเจ้า” (making himself equal with God) –ยน.10:30,33;19:7
5:19 “พระบุตรจะทำสิ่งใดตามใจไม่ได้” (the Son can do nothing of his own accord) = ไม่ทำสิ่งใดตามลำพังพระองค์เอง
แต่จะพึ่งพระเจ้าพระบิดา หรือตามที่เห็นพระบิดากระทำเป็นแบบอย่าง – ยน.5:30;14:24
5:20 “พระบิดาทรงรักพระบุตร” ( the Father loves the Son) –พระบิดาจึงเปิดเผยแผนการและพระประสงค์ของพระองค์ให้พระบุตรทราบ พระบุตรจึงกระทำตามด้วยความเชื่อฟัง (17:4)-ยน.3:35
“จะทรงแสดงให้พระบุตรเห็นการที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก” (shows him all that he himself is doing. And greater works than these will he show him) = การที่พระบุตรทำให้คนตายมีชีวิตใหม่ และทรงเป็นผู้พิพากษาในวันพิพากษา
–ยน.14:12
5:21 “พระบิดาทรงทำให้คนที่ตายแล้วเป็นขึ้นมา” (the Father raises the dead and gives them life)
= สิ่งที่พวกคนยิว(ยกเว้นพวกสะดูสี) เชื่อมั่นว่า พระเจ้าจะกระทำ -รม.4:14;8:11;2คร.1:9;ฮบ.11:19
“พระบุตรก็จะให้ชีวิตแก่คนที่ท่านปรารถนาจะให้อย่างนั้น” (the Son gives life to whom he will)
= พระเยซูอ้างสิทธิพิเศษที่เป็นของพระเจ้าเท่านั้น อาจหมายถึง การทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาในพันธกิจของพระองค์ในเวลานี้ หรือหมายถึง ชีวิตครบบริบูรณ์ (10:10) หรือการเป็นขึ้นจากตายในอนาคต (11:25)
5:22 “แต่ทรงมอบการพิพากษาทั้งสิ้นไว้กับพระบุตร” (but has given all judgment to the Son) = คำสอนที่ดูนอกรีตต่อคนยิว เพราะพวกเขาเชื่อว่า พระเจ้าเป็นผู้พิพากษาโลกนี้ – มธ.25:31-32;กจ.10:42;17:31;2คร.5:10;2ทธ.4:1;1ปต.4:5; ปฐก.18:25;วนฉ.11:27;ยน.5:27;9:39
5:23 “พระบิดาผู้ทรงใช้พระบุตรมา” (the Father who sent him) -ลก.10:16;1ยน.2:23
5:24 “ถ้าใครฟังคำของเรา และวางใจผู้ทรงใช้เรามา” (believes him who sent me)-มธ.10:40;ยน.3:15,17
“คนนั้นก็มีชีวิตนิรันดร์”(has eternal life) –มธ.25:46, ซึ่งครอบครองได้ในปัจจุบัน
“และไม่ถูกพิพากษา” (He does not come into judgment) = ไม่ถูกลงโทษ –ยน.3:18
“ผ่านพ้นความตายไปสู่ชีวิตแล้ว” (passed from death to life) = ผู้เชื่อในพระคริสต์ ไม่ได้เป็นของอาณาจักรที่ความตายครอบครองอีกต่อไป แต่เป็นของอาณาจักรแห่งชีวิต(นิรันดร์) –1ยน.3:14
5:25 “เวลากำหนดนั้นใกล้จะถึงแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว” (an hour is coming, and is now here) = พระคริสต์ทรงประทานชีวิตให้ ณ บัดนี้แล้ว ไม่ได้เป็นแค่การเป็นขึ้นจากตายในอนาคตเท่านั้น –ยน.4:23;16:32
“เมื่อคนตายจะได้ยินเสียงพระบุตรของพระเจ้า” (when the dead will hear the voice of the Son of God)
–ยน.8:43-47
“และบรรดาคนที่ได้ยินจะมีชีวิต” ( those who hear will live.)= คนที่ตายฝ่ายวิญญาณเมื่อได้ยินเสียงของพระคริสต์ (และเชื่อวางใจในพระองค์) ก็จะได้รับชีวิต(นิรันดร์) จากพระองค์
5:26 “ทรงมีชีวิตในพระองค์เอง” (has life in himself) = ชีวิตเป็นของพระเจ้า และเป็นของขวัญจากพระเจ้า
–ฉธบ.30:20;โยบ.10:12;33:4;สดด.16:11;27:1;36:9
“ทรงให้พระบุตรมีชีวิตในพระองค์เองอย่างนั้น” (he has granted the Son also to have life in himself) -พระบุตรได้รับชีวิตแบบเดียวกับที่พระบิดาเป็นเจ้าของ – ยน.1:4
5:27 “มีสิทธิอำนาจที่จะทำการพิพากษา” (has given him authority to execute judgment) = สิทธิที่พระเจ้าพระบิดาทรงประทานให้แก่พระบุตร (ข.22) –ยน.5:225:28-29 –ดู ดนล.12:2
5:28 “ใกล้จะถึงเวลา” ( for an hour) – ยน.4:21;16:2
5:29 “คนที่ประพฤติดี…สู่ชีวิต…ประพฤติชั่ว ….สู่การพิพากษา” (who have done good to … of life, and those who have done evil to the resurrection of judgment ) – การพิพากษาขึ้นอยู่กับการกระทำ (รม.2:6-8;วว.20:12) ความรอดเป็นของขวัญแก่ทุกคนที่เชื่ออย่างแท้จริงในความช่วยเหลือของพระเจ้าที่มาทางพระเยซู (ข.24) และทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลง และเกิดการเชื่อฟังยำเกรงพระคริสต์ในฐานะองค์พระผู้เป็นเจ้า (ยก.2:14-26) ปท.มธ.25:46
5:30 “เราจะทำสิ่งใดตามใจไม่ได้” (I can do nothing on my own) บางฉบับแปล = “เราทำสิ่งใดโดยลำพังตัวเราเองไม่ได้เลย”
-พระเยซูตรัสย้ำว่า พระองค์พึ่งพาพระเจ้าพระบิดา (ข.19) และทรงพิพากษาตามที่พระองค์ได้ยินจากพระบิดาเท่านั้น ทำให้การพิพากษาของพระองค์นั้นยุติธรรม –ยน.5:19;อสย.28:6
“ตามพระประสงค์ของผู้ที่ทรงใช้เรามา”(the will of him who sent me)= มุ่งให้พระองค์ผู้ทรงส่งเรามาพอพระทัย
–มธ.26:39
5:31-47 = ตอนนี้เน้นคำพยาน (1:7) ของยอห์น ผู้ให้บัพติศมา (ข.33) ของพระเยซู (ข.36) ของพระเจ้า พระบิดา (ข.37) ของพระคัมภีร์ (ข.38) และของโมเสส (ข.46)
5:31 “คำพยานของเราก็ไม่น่าเชื่อถือ” (testimony is not true) = คำพยานของพระเยซูต่อพระองค์เอง อาจไม่เป็นที่ยอมรับ หากไม่มีการสำแดงของพระเจ้าสนับสนุน –ยน.8:14
5:32 “มีอีกผู้หนึ่งที่เป็นพยานให้เรา” (There is another who bears witness about me) –ยน.5:37;8:18
= พระบิดา ผู้เป็นพยานให้พระบุตร นับเป็นคำพยานที่สำคัญที่สุด แต่พวกยิวอาจไม่ยอมรับ
5:33 “พวกท่านใช้คนไปหายอห์น” (You sent to John) = พวกยิวส่งตัวแทนไปหายอห์นผู้ให้บัพติศมา (1:19)
“ยอห์นก็เป็นพยานถึงความจริง” (he has borne witness to the truth) = เป็นคำพยานที่สำคัญ แม้จะไม่สำคัญเท่าคำพยานของพระเจ้าพระบิดา -ยน.1:7
5:34 “เราไม่ต้องรับคำพยานของมนุษย์” (Not that the testimony that I receive is from man ) บางฉบับแปล = “ไม่ใช่ว่าเรายอมรับคำพยานของมนุษย์”
= อาจหมายความว่า พระเยซูไม่ได้ไว้วางใจในคำพยานของมนุษย์ที่อาจผิดพลาดหรือไม่แน่นอน (1ยน.5:9)
5:35 “ยอห์นเป็น” (He was) –คำกริยาตอนนี้เป็นอดีตกาลแสดงว่า ในเวลาที่เขียนพระธรรมเล่มนี้ ยอห์นสิ้นชีวิตแล้ว (หรืออย่างน้อยก็ติดคุกอยู่) แต่งานของยอห์นก็สำเร็จแล้ว –ดนล.12:3;2ปต.1:19
“ที่จุดสว่างไสว” (light) บางฉบับแปลว่า “ลุกอยู่และให้แสงสว่าง” = การส่องสว่างของยอห์นมีคุณค่าสำหรับพวกผู้ฟัง
– ดนล.12:3;2ปต.1:19 = เป็นการตอบสนองต่อยอห์นที่เป็นเพียงเรื่องชั่วคราวและผิวเผิน
5:36 “คำพยานของยอห์น” (that of John) –1ยน.5:9
“งาน” (the works) = การอัศจรรย์ที่ พระเยซูคริสต์กระทำเป็นพยานถึงสิ่งที่พระองค์เป็น และยืนยันว่าพระราชกิจของพระองค์มาจากพระเจ้า พระบิดา -10:25
“เป็นงานที่เรากำลังทำอยู่นั้น” ( works that I am doing) –ยน.14:11;15:24
“พระบิดาทรงใช้เรามา” (the Father has sent me) –1ยน.3:17
5:37 “ทรงเป็นพยานให้กับเรา” (has himself borne witness about me) –ยน.8:18
“ไม่เคยได้ยินเสียงของพระองค์” (His voice you have never heard) = อาจหมายถึงพระสุรเสียงของพระเจ้าในพระคัมภีร์ (ข.38-39) -พระเจ้าตรัสยืนยันในวันที่พระเยซูรับบัพติศมาด้วย (มธ.3:17)
“ไม่เคยเห็นรูปร่างของพระองค์” (his form you have never seen) = ไม่เคยเห็นรูปพรรณสัณฐานของพระเจ้า
–ฉธบ.4:12;ยน.1:18;1ทธ.1:17 = พวกเขาขาดความเข้าใจฝ่ายวิญญาณว่า แท้จริงแล้วพระเยซูคือพระเจ้า
5:38 “ท่านไม่มีพระดำรัสของพระองค์อยู่ในตัวท่าน”(you do not have his word abiding in you)–1ยน.1:10;2:14
“เพราะว่า พวกท่านไม่ได้วางใจ” (for you do not believe) = เพราะท่านไม่เชื่อสิ่งที่พระเยซูคริสต์ตรัสสอน จึงไม่ตระหนักถึงสิ่งที่พระเจ้ากำลังบอกพวกเขา
5:39 “พวกท่านค้นดูในพระคัมภีร์” (You search the Scriptures ) บางฉบับ = พวกท่านขยันศึกษาพระคัมภีร์
= พวกผู้นำยิวศึกษาพระคัมภีร์อย่างใส่ใจในทุกรายละเอียด แต่กลับไม่ตระหนักถึงบุคคลสำคัญที่สุดที่พระคัมภีร์เป็นพยานถึง (มธ.5:15-21) -รม.2:17-18
“ในนั้นมีชีวิตนิรันดร์” ( in them you have eternal life) = จะได้ชีวิตนิรันดร์ –มธ.25:46
“เป็นพยานให้กับเรา” ( witness about me) –ลก.24:27;44;กจ.13:27
5:40 “ก็ยังไม่ยอมมาหาเรา” (you refuse to come to me) -ยน.6:44
5:41 “เราไม่ยอมรับเกียรติจากมนุษย์” (I do not receive glory from people) = ไม่ยอมรับการสรรเสริญจากมนุษย์อย่างที่คนที่ต่อต้านพระองค์ยอมรับ – ยน.5:44
5:42 “ความรักของพระเจ้าในตัวท่าน” ( the love of God within you) อาจ = ความรักของพระจ้าที่มีต่อพวกเขาหรือที่เขามีต่อพระเจ้า
5:43-44 –การที่พวกยิวพุ่งความสนใจไปที่การยกตัวเองและการสรรเสริญจากมนุษย์ ทำให้พวกเขาไม่ยอมรับผู้ที่มาจากพระเจ้า ทำให้พวกเขาพลาดการสรรเสริญที่มาจากพระเจ้า
5:43 “ถ้าคนอื่น ….พวกท่านก็จะรับคนนั้น” (If another …you will receive him) –ศคย.11:17
5:44 “ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแต่องค์เดียว” (the only God ) รม.2:29
คำถามนำอภิปราย
- คุณเคยหรือกำลังอยู่ในสภาพที่(เกือบ)สิ้นหวังและเฝ้ารอคอยการช่วยเหลือที่เป็นปาฏิหาริย์จากพระเจ้าเท่านั้นบ้างหรือไม่? เรื่องราวเป็นอย่าไร แบ่งปัน?
- คุณเคยทำดีแล้วถูกผู้อื่นขัดขวางหรือตำหนิต่อว่าบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? และทำไม? แล้วคุณคิดอย่างไร? และตอบสนองอย่างไร?
- คุณเคยเจ็บป่วยหรือเกิดปัญหาในชีวิตและคุณรู้ว่า สาเหตุมาจากการทำบาปของคุณเองบ้างหรือไม่? อย่างไร? แล้วคุณทำอะไรบ้าง?
- คุณเคยกระทำอะไรบ้าง(ที่คุณคิดว่าดีหรือถูกต้อง) แต่ขัดกับความเชื่อหรือขนบธรรมเนียมประเพณีของคน (ที่มีอิทธิพลสูง)ในชุมชนของคุณ? แล้วผลเป็นอย่างไร? คุณจะทำเช่นนั้นอีกหรือไม่? ทำไม?
- คุณเคยกระทำดีอะไร (ตามพระประสงค์ของพระเจ้า) ที่คุณต้องจ่ายราคาแพงที่สุดในชีวิต? แบ่งปันว่าเป็นอย่างไรและคุ้มค่ากับที่ทำหรือไม่?
- เวลานี้ชีวิตของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำพูด และการกระทำของคุณ เป็นพยานที่มีประสิทธิภาพให้กับองค์พระคริสต์ ดุจตะเกียงที่ลุกอยู่และให้ความสว่างอยู่หรือไม่? อย่างไร?
- คุณขยันศึกษาพระคัมภีร์หรือไม่? แล้วยิ่งศึกษาก็ยิ่งทำให้คุณรักพระเจ้า และรักผู้อื่นมากขึ้นหรือยิ่งทำให้คุณขาดความเมตตาต่อผู้อื่นมากขึ้น? อย่างไร?
- ประโยชน์สูงสุดที่คุณได้รับจากการอ่านและศึกษาพระคัมภีร์คืออะไร? และนำมาใช้อย่างไร?
- คุณสนใจแต่คำยกย่องสรรเสริญของมนุษย์หรือว่าคุณให้ความสำคัญกับการสรรเสริญของพระเจ้าต่อชีวิตและการงานของคุณมากกว่า? แล้วคุณพิสูจน์ออกมาอย่างไร?
ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์