Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระกิตติคุณยอห์น บทเรียนที่ 4

พระเยซูกับนิโคเดมัส

พระธรรม        ยอห์น 3:1-36

อ้างอิง          ยน.1:13;2:11;6:38;52;10:36-38;11:42;14:10-11;17:8,21;7:50;19:39;20:21

บทนำ         คนบางคนอยากเชื่อพระเยซู แต่ไม่กล้า คนบางคนประกาศว่า เชื่อพระเยซูแต่กลับทำตัวให้พระเยซูเสื่อมเกียรติ คุณเป็นคนที่กล้าประกาศตัวว่า เชื่อศรัทธาในพระเยซูและประพฤติตัวให้พระองค์ทรงได้รับเกียรติหรือไม่?

บทเรียน

3:1 “มีชายคนหนึ่งในพวกฟาริสีชื่อนิโคเดมัส เป็นขุนนางของพวกยิว”

   (Now there was a man of the Pharisees named Nicodemus, a ruler of the Jews.)

3:2 “คนนี้มาหาพระเยซูตอนกลางคืนทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ เราทราบว่าท่านเป็นครูที่มาจากพระเจ้า เพราะ​ไม่มีใครทำหมายสำคัญที่ท่านทำนั้นได้ นอกจากพระเจ้าสถิตกับเขา” 

   (This man came to Jesus by night and said to him, “Rabbi, we know that you are a teacher come from God, for no one can do these signs that you do unless God is with him.)

3:3 “พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ถ้าคนใดไม่ได้เกิดใหม่ คนนั้นไม่สามารถเห็นแผ่นดินของพระเจ้า

  (Jesus answered him,”Truly, truly,I say to you,unless one is born again he cannot see the kingdom of God.)

3:4 “นิโคเดมัสทูลพระองค์ว่า “คนชราจะเกิดใหม่ได้อย่างไร? จะเข้าไปในท้องของแม่ครั้งที่สองแล้วเกิดใหม่ได้หรือ?”

   (Nicodemus said to him, “How can a man be born when he is old? Can he enter a second time into his mother’s womb and be born?)

3:5 “พระเยซูตรัสว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ถ้าใครไม่ได้เกิดจากน้ำและพระวิญญาณ คนนั้นจะเข้าในแผ่นดินของ​พระเจ้าไม่ได้”

    (Jesus answered, “Truly, truly, I say to you, unless one is born of water and the Spirit, he cannot enter the  kingdom of God.)

3:6 “ที่เกิดจากเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนัง และที่เกิดจากพระวิญญาณก็เป็นวิญญาณ”

   (That which is born of the flesh is flesh, and that which is born of the Spirit is spirit.)

3:7 “อย่าประหลาดใจที่เราบอกท่านว่าพวกท่านต้องเกิดใหม่”

  (Do not marvel that I said to you, ‘You must be born again.)

3:8 “ลมจะพัดไปที่ไหนก็พัดไปที่นั่น และท่านได้ยินเสียงลมนั้นแต่ไม่รู้ว่าลมมาจากไหนและไปที่ไหน คนที่เกิดจาก​พระวิญญาณ ก็เป็นอย่างนั้นทุกคน

   (The wind blows where it wishes, and you hear its sound, but you do not know where it comes from or where it goes. So it is with everyone who is born of the Spirit.”)

3:9 “นิโคเดมัสทูลพระองค์ว่า “เหตุการณ์อย่างนี้จะเป็นไปได้อย่างไร?” 

       (Nicodemus said to him, “How can these things be?)

3:10 “พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ท่านเป็นถึงอาจารย์ของคนอิสราเอล ท่านไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้เลยหรือ?”

  (Jesus answered him, “Are you the teacher of Israel and yet you do not understand these things?)

3:11 “เราบอกความจริงกับท่านว่า เราพูดสิ่งที่เรารู้ และเป็นพยานถึงสิ่งที่เราเห็น แต่พวกท่านไม่ยอมรับคำพยานของเรา”

   (Truly, truly, I say to you, we speak of what we know, and bear witness to what we have seen, but you do not receive our testimony.)

3:12 “ถ้าเราบอกพวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ทางฝ่ายโลกและพวกท่านไม่เชื่อ แล้วท่านจะเชื่อได้อย่างไรถ้าเราบอกท่านถึงสิ่งต่างๆทางฝ่ายสวรรค์”

   (If I have told you earthly things and you do not believe, how can you believe if I tell you heavenly things?)

3:13 “ไม่มีใครเคยขึ้นไปสวรรค์นอกจากผู้ที่ลงมาจากสวรรค์ คือบุตรมนุษย์”

    (No one has ascended into heaven except he who descended from heaven, the Son of Man.)

3:14 “โมเสสยกงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารอย่างไร บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้oอย่างนั้น” 

    (And as Moses lifted up the serpent in the wilderness, so must the Son of Man be lifted up,)

3:15 “เพื่อทุกคนที่วางใจพระองค์จะได้ชีวิตนิรันดร์

     (that whoever believes in him may have eternal life.)

3:16 “พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์”

   (“For God so loved the world, that he gave his only Son, that whoever believes in him should not perish but  have eternal life.)

3:17 “เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น”

   (For God did not send his Son into the world to condemn the world, but in order that the world might be  saved through him.)

3:18 “คนที่วางใจในพระบุตรจะไม่ถูกพิพากษา ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้วางใจในพระนาม​พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

   (Whoever believes in him is not condemned, but whoever does not believe is condemned already,  because he has not believed in the name of the only Son of God.)

3:19 “หลักการพิพากษามีอย่างนี้ คือความสว่างเข้ามาในโลกแล้ว แต่มนุษย์รักความมืดมากกว่าความสว่าง เพราะกิจการของพวกเขาเลวทราม”

   (And this is the judgment: the light has come into the world, and people loved the darkness rather than  the light because their works were evil.)

3:20 “เพราะทุกคนที่ประพฤติชั่วก็เกลียดความสว่าง และไม่มาหาความสว่าง เนื่องจากกลัวว่าการกระทำของตนจะปรากฎ”

   (For everyone who does wicked things hates the light and does not come to the light, lest his works  should be exposed.)

3:21 “แต่คนที่ประพฤติตามความจริงก็มาถึงความสว่าง เพื่อให้เห็นว่าการกระทำของเขานั้นทำโดยพึ่งพระเจ้า”

   (But whoever does what is true comes to the light, so that it may be clearly seen that his works have been carried out in God.)

3:22 “หลังจากนั้น พระเยซูเสด็จเข้าไปในแคว้นยูเดียกับพวกสาวกของพระองค์ และประทับที่นั่นกับพวกเขา และทรงให้บัพติศมา”

   (After this Jesus and his disciples went into the Judean countryside, and he remained there with them and was baptizing.)

3:23 “ยอห์นก็ให้บัพติศมาอยู่ที่อายโนนใกล้หมู่บ้านสาลิม เพราะที่นั่นมีน้ำมาก และคนทั้งหลายก็พากันมารับบัพติศมา”

   (John also was baptizing at Aenon near Salim, because water was plentiful there, and people were  coming and being baptized)

3:24 “เพราะยอห์นยังไม่ถูกขังในคุก”

   (for John had not yet been put in prison).

3:25 “แต่เกิดการโต้เถียงกันขึ้นระหว่างพวกศิษย์ของยอห์นและคนหนึ่งในพวกยิวเรื่องการชำระมลทิน”

    (Now a discussion arose between some of John’s disciples and a Jew over purification.)

3:26 “พวกเขาจึงไปหายอห์นบอกว่า “อาจารย์ คนที่อยู่กับอาจารย์ที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น คนที่อาจารย์เป็นพยานถึงนั้น นี่แน่ะ คนนี้กำลังให้บัพติศมาและทุกคนก็พากันไปหาเขา

   (And they came to John and said to him, “Rabbi, he who was with you across the Jordan, to whom you bore witness—look, he is baptizing, and all are going to him.) 

3:27 “ยอห์นตอบว่า “ไม่มีใครสามารถรับสิ่งใด นอกจากสิ่งที่พระเจ้าประทานจากสวรรค์ให้เขา”

   (John answered, “A person cannot receive even one thing unless it is given him from heaven.)

3:28 “พวกท่านเองก็เป็นพยานว่าข้าพเจ้าพูดว่าข้าพเจ้าไม่ได้เป็นพระคริสต์ แต่ข้าพเจ้าได้รับพระบัญชาให้นำเสด็จพระองค์” 

    (You yourselves bear me witness, that I said, ‘I am not the Christ, but I have been sent before him.’)

3:29 “ท่านที่มีเจ้าสาวนั่นแหละคือเจ้าบ่าว เพื่อนเจ้าบ่าวที่ยืนฟังเจ้าบ่าวก็ชื่นชมยินดีอย่างยิ่งเมื่อได้ยินเสียงของเจ้าบ่าว เพราะฉะนั้นความปีติยินดีของข้าพเจ้าจึงเต็มเปี่ยม”

  (The one who has the bride is the bridegroom. The friend of the bridegroom, who stands and hears him, rejoices greatly at the bridegroom’s voice. Therefore this joy of mine is now complete.)

3:30 “พระองค์ต้องยิ่งใหญ่ขึ้น แต่ข้าพเจ้าต้องด้อยลง

    (He must increase, but I must decrease.)

3:31 “พระองค์ผู้เสด็จมาจากเบื้องบนทรงเป็นใหญ่เหนือทุกสิ่ง ผู้ที่มาจากโลกก็อยู่ฝ่ายโลกและพูดตามอย่างโลก พระองค์ผู้เสด็จมาจากสวรรค์ทรงเป็นใหญ่เหนือทุกสิ่ง” 

   (He who comes from above is above all. He who is of the earth belongs to the earth and speaks in an earthly way. He who comes from heaven is above all.)

3:32 “พระองค์ทรงเป็นพยานถึงสิ่งที่พระองค์ทอดพระเนตรเห็นและทรงได้ยิน แต่ไม่มีใครรับคำพยานของพระองค์”

   (He bears witness to what he has seen and heard, yet no one receives his testimony.)

3:33 “คนที่รับคำพยานของพระองค์ก็รับรองว่าพระเจ้าทรงสัตย์จริง” 

   (Whoever receives his testimony sets his seal to this, that God is true.)

3:34 “เพราะพระองค์ผู้ที่พระเจ้าทรงใช้มานั้นทรงกล่าวพระดำรัสของพระเจ้า เพราะพระเจ้าไม่ได้ประทานพระวิญญาณอย่างจำกัด”

   (For he whom God has sent utters the words of God, for he gives the Spirit without measure.)

3:35 “พระบิดาทรงรักพระบุตรและทรงมอบทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์”

    (The Father loves the Son and has given all things into his hand.)

3:36 “คนที่วางใจในพระบุตรก็มีชีวิตนิรันดร์ คนที่ไม่เชื่อฟังพระบุตรก็จะไม่ได้เห็นชีวิต แต่พระพิโรธของพระเจ้าตกอยู่กับเขา”

   (Whoever believes in the Son has eternal life; whoever does not obey the Son shall not see life, but the wrath of God remains on him.)

บทเรียน

3:1       “ฟาริสี” (Pharisees)  -มธ.3:7;มก.2:16;ลก.5:17 ;  “นิโคเดมัส” (Nicodemus) –ยน.7:50;19:39

               “ขุนนางของพวกยิว” (a ruler of the Jews) = สมาชิกสภาการปกครองของยิว –ลก.23:13

 3:2       “มาหาพระเยซูตอนกลางคืน” (came to Jesus by night  ) -อาจไม่กล้ามาหาตอนกลางวัน หรืออาจต้องการสนทนากันนาน ๆ ที่ทำได้ยากในตอนกลางวัน เพราะมีฝูงชนมารายล้อมพระองค์อยู่ตลอดเวลา

             “รับบี” (            Rabbi) – มธ.23:7 ;  “เราทราบว่า” (we know) –ยน.3:11

            “นอกจากพระเจ้าสถิตกับเขา” ( unless God is with him.) –ยน.10:38;14:10,11;กจ.2:22

3:3       “เกิดใหม่” (is born again)  = บังเกิดใหม่

              คำกรีกมีความหมายว่า  บังเกิดจากเบื้องบน  -ยน.1:13;3:7;มธ.3:1

3:5       “เกิดจากน้ำและพระวิญญาณ” (is born of water and the Spirit  ) –มีความหมายได้หลายอย่าง

  1. มีความหมายเดียวกับ บังเกิดจากพระวิญญาณ –ข.8;ทต.3:5
  2. น้ำ หมายถึง การชำระ
  3. น้ำ หมายถึง บัพติศมาของยอห์น (1:31) หรือของพระเยซูกับสาวก (ข.22;4:2)
  4. น้ำ หมายถึง การเกิดฝ่ายกาย (ข.6)

3:6   “ที่เกิดจากพระวิญญาณก็เป็นวิญญาณ” (is born of the Spirit is spirit.    ) = บางฉบับแปลว่า “พระวิญญาณให้กำเนิดวิญญาณ”

 3:8       “ลมจะพัดไปทางไหนก็ไปทางนั้น” (The wind blows where it wishes) = พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงกระทำกิจในชีวิตของมนุษย์เราตามชอบพระทัยของพระองค์

“คนที่เกิดจากพระวิญญาณก็เป็นเช่นนั้น” (So it is with everyone who is born of the Spirit.)

–1คร.2:14-16

3:9       “เหตุการณ์อย่างนี้จะเป็นไปได้อย่างไร?” (How can these things be)  -ยน.6:52,60

3:10     “ท่านเป็นถึงอาจารย์” (  Are you the teacher ) –ลก.2:46

3:11     “เราพูดสิ่งที่เรารู้” (I say to you, we speak of what we know)  -ยน.1:18;7:13-17

               “คำพยานของเรา” (our testimony) –ยน.3:32

3:13     “ขึ้นไปสวรรค์” (into heaven) –สภษ.30:4;กจ.2:34;อฟ.4:8-10

               “ลงมาจากสวรรค์” (from heaven)  -ยน.3:31;6:38

               “บุตรมนุษย์” (the Son of Man) =ชื่อที่พระเยซูชอบใช้เรียกตัวเอง (ลก.19:16;มก.8:31)

3:14     “โมเสสยกงูขึ้น” ( Moses lifted up the serpent) –กดว.21:8-9;2พกษ.18:4

               “ในถิ่นทุรกันดาร” (in the wilderness) –กดว.21:8-9

                “บุตรมนุษย์ถูกยกขึ้น”  (the Son of Man be lifted up) –8:28;12:32

3:15     “ทุกคนที่วางใจ” (that whoever believes ) = ทุกคนที่เชื่อ

– ปฐก.15:6;กดว.14:11;มธ.27:42;มก.1:15;

ยน.1:7,12;2:23;3:16,36;5:24;7:28;20:29;กจ.13:39;16:31;รม.3:22;10:9-10;1ยน.5:1,5,10

“ได้ชีวิตนิรันดร์” (may have eternal life.)  -มธ.25:46;ยน.3:16,36;20:31

3:16     “พระเจ้าทรงรักโลก” (God so loved the world) = ความจริงยิ่งใหญ่ที่ก่อเกิดแผนการแห่งความรอดของพระเจ้า  (ปท.1ยน.4:9-10)

“โลก” (the world) หมายถึง     1. มนุษย์ทุกคนในโลก      2. ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงสร้าง (1:9)

“คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์” (that he gave his only Son)  -ปท. อสย.9:6

=พระเมสิยาห์(เชื้อสายดาวิด)ผู้เป็นบุตรของพระเจ้าด้วย(2ซมอ.7:14;ยน.1:14,18;ปท ปฐก.22:2,16;รม.8:32)

3:17     “เข้ามาในโลก” (into the world) –ยน.6:29.57;10:36;11:42;17:8,21;20:21

             “โดยพระบุตรนั้น” (his Son) –อสย.53:11;มธ.1:21;ลก.2:11;19:10;ยน.1:29;12:47;รม.11:14:1ทธ.1:15; 2:5-6;1ยน.2:2;3:5

3:18     “คนที่วางใจ” (Whoever believes) =ไม่ใช่เรื่องแบบชั่ววูบ แต่เป็นการวางใจแบบต่อเนื่อง มั่นคง –ยน 5:24
               “ไม่ถูกพิพากษา” (not condemned)

                “พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า” (the only Son of God) –ยน.1:18;1ยน.4:9

3:19     “ความสว่าง” (the light) –ยน.1:4

             “กิจการของพวกเขาเลวทราม” (their works were evil) = การกระทำของพวกเขาชั่วร้าย –สดด.52:3;ยน.7:7

3:20     “กลัวว่า การกระทำของตนจะปรากฏ” (lest his works should be exposed) = กลัวว่าการกระทำของตนจะถูกเปิดโปง  –อฟ.5:11-13

3:22     “ทรงให้บัพติศมา” (was baptizing ) –ตาม 4:2 บอกว่า พวกสาวกเท่านั้นที่ให้บัพติศมา –ยน.4:2

3:23     “อายโนน” (Aenon) -น่าจะห่างจากเมืองสิโธโปลิส (เบธซาน) ซึ่งอยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดนไปทางใต้ราว 13 กิโลเมตร

3:24     “ยอห์นยังไม่ถูกขังในคุก” (John had not yet been put in prison) –ลก.3:20;มธ.4:12;14:3

3:25     “เกิดการโต้เถียงขึ้น” (discussion arose) = เรื่องการชำระตามพิธีว่า วิธีการใดจึงจะถูกต้องตามระเบียบพิธี -ยน.2:6

3:26    “เป็นพยานถึงนั้น” (to whom you bore witness) –1:7 , พวกสาวกของยอห์น รู้ว่า ยอห์นกำลังเป็นพยานถึงพระเยซู แต่พวกเขาศรัทธาในอาจารย์ของตัวเองและอิจฉาที่พระเยซูประสบความสำเร็จ

3:27     “ไม่มีใครสามารถรับสิ่งใด นอกจากสิ่งที่พระเจ้าประทานจากสวรรค์ให้เขา” (A person cannot receive even one thing unless it is given him from heaven) = มนุษย์ได้รับก็แต่เพียงสิ่งที่พระเจ้าประทานจากสวรรค์ให้แก่เขา   เพราะฉะนั้น จึงไม่มีพื้นที่สำหรับความอิจฉาริษยากัน

คำว่า “ประทานให้” = คำภาษากรีกที่ใช้กันหมด 76 ครั้ง ในพระคัมภีร์ยอห์น โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่พระเจ้าประทานแก่พระบุตร

3:28     “ได้รับพระบัญชาให้นำเสด็จพระองค์” (I have been sent before him) –ยน.1:20-23

3:29     “เจ้าบ่าว” (the bridegroom) = คนที่สำคัญที่สุดของงานแต่งงาน  ในที่นี้หมายถึงองค์พระเยซูคริสต์

“เพื่อนเจ้าบ่าว” (The friend of the bridegroom ) = อยู่เพื่อช่วยเหลือเท่านั้น หมายถึง บทบาทของยอห์นผู้ให้บัพติศมา

“ชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง” (rejoices greatly) = เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี เพราะเจ้าบ่าวคือพระเยซูคริสต์อยู่กับท่านที่นั่น  และท่านได้ยินเรื่องความสำเร็จของพระคริสต์

3:30     “พระองค์ต้องยิ่งใหญ่ขึ้น แต่ข้าพเจ้าต้องด้อยลง” (He must increase, but I must decrease.)

= ยอห์น ผู้ให้บัพติศมา ยืนยันอีกครั้งว่า พระเยซูทรงยิ่งใหญ่กว่าท่าน

3:31     “ผู้เสด็จมาจากเบื้องบน” (He who comes from above    ) = พระเยซูมาจากสวรรค์ (ข.13;1คร.15:47) จึงสำคัญยิ่งกว่ายอห์น และทุกคนที่มาจากโลก

              “พูดตามอย่างโลก” (speaks in an earthly ) ยก.8:23;1ยน.4:5

3:32     “ทอดพระเนตรเห็นและทรงได้ยิน” (he has seen and heard )= พระเยซูสอนจากสิ่งที่พระองค์มีประสบการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า –ยน.8:26;15:15

“แต่ไม่มีใครรับ” (no one receives) = ไม่ได้หมายความตามตัวอักษรว่า ไม่มีใครสักคนเดียวยอมรับสิ่งที่เขาพูด (ข.33) แต่หมายความว่า คนทั่วไปปฏิเสธคำสอนของเขา

3:33     “รับรอง” ( receives) = ผู้ใดยอมรับคำพยานของพระเยซู ก็เท่ากับว่า เขายอมรับว่า พระองค์มาจากสวรรค์และกำลังทรงกระทำพันธกิจเพื่อช่วยมนุษย์โลกให้รอด พวกเขาจึงรับรองว่า พระเยซูทรงสัตย์จริง

3:34     “ผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมา” (whom God has sent) = พระเยซู – ยน.3:17

            “พระวิญญาณ” ( the Spirit) –อสย.42:1;มธ.12:18;ลก.4:18;กจ.10:38

             “ไม่ได้ประทาน…อย่างจำกัด” (without measure) = มีการตีความหมาย ดังนี้

  1. พระเจ้าประทานพระวิญญาณอย่างไม่จำกัดให้กับพระเยซูเท่านั้น
  2. พระเยซูประทานพระวิญญาณอย่างไม่จำกัดแก่ผู้เชื่อ

3:35     “ในพระหัตถ์ของพระบุตร” (his hand) –มธ.28:18

3:36     “คนที่วางใจในพระบุตรก็มีชีวิตนิรันดร์” (Whoever believes in the Son has eternal life ) 

= ผู้เชื่อวางใจในพระเยซู ไม่ต้องรอรับชีวิตนิรันดร์ในอนาคต แต่ได้รับทันทีเลย  – ยน.3:15;5:24;6:47

“พระพิโรธ”(the wrath)– รม.1:18

“ตกอยู่กับเขา” (remains on him) = บางฉบับแปลว่า “ยังอยู่กับเขา”

= คนที่ยืนกรานปฏิเสธพระเยซูว่าไม่ใช่พระบุตรของพระเจ้าที่มาช่วยไถ่เขาให้รอด ก็อย่าหวังว่าพระโรธอันแน่นอนที่มาจากพระเจ้าเพราะบาปของเขาเองจะจางหายไป

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยทำตัวเหมือนนิโคเดมัสที่อยากจะเชื่อพระเยซู แต่ไม่กล้ายอมรับอย่างเปิดเผยหรือไม่? แล้วคุณทำอย่างไรต่อไปจนรับเชื่อ?
  2. คุณเข้าใจว่า การเกิดใหม่หมายความว่าอะไร? คุณเชื่อหรือไม่ว่าคุณบังเกิดใหม่แล้วเวลานี้? และทำไมคุณจึงเชื่อเช่นนั้น?
  3. คุณมั่นใจหรือไม่ว่า คุณมีชีวิตนิรันดร์แล้ว? ทำไม?
  4. คุณมีอะไรที่กังวลหรือกลัวที่ต้องเผชิญในวันพิพากษามนุษย์ทุกคนในโลกนี้? ทำไม?
  5. มีอะไรที่คุณมั่นใจว่า คุณได้รับมาจากพระเจ้าแห่งสวรรค์ และคุณอยากจะขอบคุณพระองค์ในเรื่องนั้น? (แบ่งปัน)
  6. คุณมีความยินดีอะไรบ้างในฐานะที่เป็นผู้ที่อยู่ฝ่ายพระเยซูคริสต์ (แบ่งปัน)
  7. คุณเป็นพยานอะไรได้บ้างจากประสบการณ์ชีวิตของคุณเพื่อยืนยัน/รับรองว่า พระเจ้าทรงสัตย์จริง? (แบ่งปัน)
  8. ในเมื่อคุณทราบว่า พระเจ้าทรงประทานพระวิญญาณให้แก่เรา โดยไม่จำกัด และพระองค์ประทานทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระเยซู และพระเยซูสัญญาว่าจะอยู่กับเราตลอดไป คุณตั้งใจทำอะไรบ้าง 3 สิ่ง นับจากวันนี้เป็นต้นไป

1)…………………………………      2)…………………………………  3)………………………………..

 

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.