พระเยซูกับสาวกรุ่นแรก
พระธรรม ยอห์น 1:19-51
อ้างอิง มธ.3:1-12;มก.1:2-8;ฉธบ.18:15-18;ลก.3:15-17;มลค.4:5;อสย.40:3
บทนำ
พระเยซูคริสต์มาทีหลังยอห์น ผู้ให้บัพติศมา แต่ยอห์น ก็ยินดียอมรับบทบาทเป็นผู้นำทางให้กับพระองค์ พระเยซูคริสต์ทรงเรียกสาวกรุ่นแรกหลายคน อาทิ อันดรูว์, ยอห์น , ซีโมนเปโตร , ฟิลิป , นาธานาเอล
วันนี้ คุณเป็นหนึ่งในท่ามกลางสาวกของพระองค์แล้วหรือยัง? หากเป็นแล้ว คุณได้นำผู้ใดมาเป็นสาวกของพระองค์แล้วบ้าง?
บทเรียน
1:19 “นี่เป็นคำพยานของยอห์น คือเมื่อพวกยิวส่งพวกปุโรหิตและพวกเลวีจากกรุงเยรูซาเล็มไปถามท่านว่า “ท่านคือใคร?”
(And this is the testimony of John, when the Jews sent priests and Levites from Jerusalem to ask him, “Who are you?”)
1:20 “ท่านก็ยอมรับและไม่ได้ปฏิเสธ คือยอมรับว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่พระคริสต์”
(He confessed, and did not deny, but confessed, “I am not the Christ.”)
1:21 “พวกเขาจึงถามว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านเป็นใคร? ท่านเป็นเอลียาห์หรือ?” ยอห์นตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่เอลียาห์” “ท่านเป็นผู้เผยพระวจนะคนนั้นหรือ?” และยอห์นตอบว่า “ไม่ใช่”
(And they asked him, “What then? Are you Elijah?” He said, “I am not.” “Are you the Prophet?” And he answered, “No.” )
1:22 “พวกเขาจึงถามว่า “แล้วท่านเป็นใคร? ขอให้ตอบมา จะได้ไปบอกคนที่ใช้เรามา ท่านจะตอบเรื่องตัวท่านว่าอย่างไร?”
(So they said to him, “Who are you? We need to give an answer to those who sent us. What do you say about yourself?”)
1:23 “ท่านตอบว่า“เราเป็นเสียงของคนที่ร้องประกาศในถิ่นทุรกันดารว่า‘จงทำมรรคา ขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ตรงไป’ ตามที่อิสยาห์ผู้เผยพระวจนะกล่าวไว้”
(He said, “I am the voice of one crying out in the wilderness, ‘Make straight the way of the Lord,’ as the prophet Isaiah said.”)
1:24 “พวกฟาริสีเป็นคนส่งพวกเขาไปหายอห์น”
(Now they had been sent from the Pharisees.)
1:25 “พวกเขาจึงถามยอห์นว่า “ถ้าท่านไม่ใช่พระคริสต์หรือเอลียาห์หรือผู้เผยพระวจนะคนนั้นแล้ว ทำไมท่านถึงให้บัพติศมา?”
(They asked him, “Then why are you baptizing, if you are neither the Christ, nor Elijah, nor the Prophet?”)
1:26 “ยอห์นตอบเขาว่า “ข้าพเจ้าให้บัพติศมาด้วยน้ำ แต่มีคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางพวกท่านที่ท่านไม่รู้จัก”
(John answered them, “I baptize with water, but among you stands one you do not know,)
1:27 “ท่านผู้นั้นมาภายหลังข้าพเจ้า แม้แต่สายรัดรองเท้าของท่าน ข้าพเจ้าก็ไม่สมควรที่จะแก้”
(even he who comes after me, the strap of whose sandal I am not worthy to untie.)
1:28 “เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่หมู่บ้านเบธานีฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นที่ซึ่งยอห์นกำลังให้บัพติศมา”
(These things took place in Bethany across the Jordan, where John was baptizing.)
1:29 “วันรุ่งขึ้นยอห์นเห็นพระเยซูกำลังเสด็จมาหาท่านท่านจึงกล่าวว่า“จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับบาปของโลกไป”
(The next day he saw Jesus coming toward him, and said, “Behold, the Lamb of God, who takes away the sin of the world! )
1:30 “พระองค์นี้แหละที่ข้าพเจ้ากล่าวว่า ‘ภายหลังข้าพเจ้าจะมีผู้หนึ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าข้าพเจ้าเสด็จมา เพราะว่า พระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า’”
(This is he of whom I said, ‘After me comes a man who ranks before me, because he was before me.’ )
1:31 “ข้าพเจ้าเองไม่รู้จักพระองค์ แต่เพื่อให้พระองค์เป็นที่ประจักษ์แก่อิสราเอล ข้าพเจ้าจึงให้บัพติศมาด้วยน้ำ”
(I myself did not know him, but for this purpose I came baptizing with water, that he might be revealed to Israel.” )
1:32 “และยอห์นกล่าวเป็นพยานว่า “ข้าพเจ้าเห็นพระวิญญาณเสด็จลงมาจากสวรรค์เหมือนดังนกพิราบและสถิตกับพระองค์”
(And John bore witness: “I saw the Spirit descend from heaven like a dove, and it remained on him.)
1:33 “ข้าพเจ้าเองไม่รู้จักพระองค์ แต่พระองค์ผู้ทรงใช้ข้าพเจ้ามาให้บัพติศมาด้วยน้ำ ได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เมื่อเห็นพระวิญญาณเสด็จลงมาสถิตอยู่กับคนใด คนนั้นแหละจะเป็นคนให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์’
(I myself did not know him, but he who sent me to baptize with water said to me, ‘He on whom you see the Spirit descend and remain, this is he who baptizes with the Holy Spirit.’ )
1:34 “และข้าพเจ้าก็เห็นแล้วและเป็นพยานว่าพระองค์นี้แหละเป็นพระบุตรของพระเจ้า”
(And I have seen and have borne witness that this is the Son of God.”)
1:35 “รุ่งขึ้น ยอห์นยืนอยู่ที่นั่นอีกกับศิษย์ของท่านสองคน”
(The next day again John was standing with two of his disciples, )
1:36 “และท่านมองดูพระเยซูขณะที่พระองค์เสด็จผ่านไป และท่านกล่าวว่า “จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า”
(and he looked at Jesus as he walked by and said, “Behold, the Lamb of God!” )
1:37 “ศิษย์สองคนนั้นได้ยินท่านพูดอย่างนี้ก็ติดตามพระเยซูไป”
(The two disciples heard him say this, and they followed Jesus. )
1:38 “พระเยซูทรงเหลียวกลับและทอดพระเนตรเห็นเขาทั้งสองตามพระองค์มา จึงตรัสถามเขาว่า “ท่านหาอะไร?” เขาทั้งสองทูลพระองค์ว่า “รับบี (ซึ่งแปลว่าท่านอาจารย์) ท่านพักอยู่ที่ไหน?”
(Jesus turned and saw them following and said to them, “What are you seeking?” And they said to him, “Rabbi” (which means Teacher), “where are you staying?” )
1:39 “พระองค์ตรัสตอบพวกเขาว่า “มาดูเถิด” เขาก็ไปและเห็นที่ซึ่งพระองค์ประทับ และวันนั้นก็พักอยู่กับพระองค์ เพราะขณะนั้นประมาณสี่โมงเย็นแล้ว”
(He said to them, “Come and you will see.” So they came and saw where he was staying, and they stayed with him that day, for it was about the tenth hour. )
1:40 “คนหนึ่งในสองคนนั้นที่ได้ยินยอห์นพูดและติดตามพระองค์ไป คืออันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตร”
(One of the two who heard John speak and followed Jesus was Andrew, Simon Peter’s brother.)
1:41 “แล้วอันดรูว์ก็ไปหาซีโมนพี่ชายของตนก่อน และบอกเขาว่า “เราพบพระเมสสิยาห์แล้ว”(ซึ่งแปลว่าพระคริสต์)
(He first found his own brother Simon and said to him,”We have found the Messiah” (which means Christ).
1:42 “อันดรูว์จึงพาซีโมนไปเฝ้าพระเยซู เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเขาแล้วก็ตรัสว่า “ท่านคือซีโมนบุตรยอห์น คนจะเรียกท่านว่าเคฟาส” (ซึ่งแปลว่าศิลา)”
(He brought him to Jesus. Jesus looked at him and said, “You are Simon the son of John. You shall be called Cephas” (which means Peter).)
1:43 “รุ่งขึ้นพระเยซูตั้งพระทัยจะเสด็จไปยังแคว้นกาลิลี พระองค์ทรงพบฟีลิปจึงตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามา”
(The next day Jesus decided to go to Galilee. He found Philip and said to him,”Follow me.”)
1:44 “ฟีลิปมาจากเบธไซดาเมืองของอันดรูว์และเปโตร”
(Now Philip was from Bethsaida, the city of Andrew and Peter.)
1:45 “ฟีลิปไปหานาธานาเอลและบอกเขาว่า “เราพบคนที่โมเสสกล่าวถึงในหนังสือธรรมบัญญัติ และคนที่พวกผู้เผยพระวจนะกล่าวถึง คือ เยซูชาวนาซาเร็ธบุตรโยเซฟ”
(Philip found Nathanael and said to him, “We have found him of whom Moses in the Law and also the prophets wrote, Jesus of Nazareth, the son of Joseph.”)
1:46 “นาธานาเอลถามเขาว่า “สิ่งดีๆ จะมาจากนาซาเร็ธได้หรือ?” ฟีลิปตอบว่า “มาดูเถอะ”
(Nathanael said to him, “Can anything good come out of Nazareth?” Philip said to him, “Come and see.”)
1:47 “พระเยซูทอดพระเนตรเห็นนาธานาเอลมาหา พระองค์จึงตรัสเกี่ยวกับตัวเขาว่า “นี่แหละ ชาวอิสราเอลแท้ ในตัวเขาไม่มีอุบาย”
(Jesus saw Nathanael coming toward him and said of him, “Behold, an Israelite indeed, in whom there is no deceit!” )
1:48 “นาธานาเอลทูลพระองค์ว่า “ท่านรู้จักข้าพเจ้าได้อย่างไร?” พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อก่อนที่ฟีลิปจะเรียกท่าน”
(Nathanael said to him, “How do you know me?” Jesus answered him, “Before Philip called you, when you were under the fig tree, I saw you.” )
1:49 “นาธานาเอลทูลตอบพระองค์ว่า “รับบี พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล”
(Nathanael answered him, “Rabbi, you are the Son of God! You are the King of Israel!”)
1:50 “พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เพราะเราบอกท่านว่าเราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อท่านจึงเชื่อหรือ? ท่านจะเห็นเหตุการณ์ใหญ่กว่านั้นอีก”
(Jesus answered him, “Because I said to you, ‘I saw you under the fig tree,’ do you believe? You will see greater things than these.” )
1:51 “แล้วพระองค์ตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ท่านจะเห็นท้องฟ้าแหวกออกและพวกทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึ้นลงอยู่เหนือบุตรมนุษย์”
(And he said to him, “Truly, truly, I say to you, you will see heaven opened, and the angels of God ascending and descending on the Son of Man.”)
ข้อมูลมีประโยชน์
1:19 “พวกยิว” (Jews) = หรือ “ชาวยิว” ปรากฏ 70 ครั้งในพระธรรมยอห์น มีความหมายกลาง ๆ ใน 2:6 และ 4:22 แต่ส่วนใหญ่ ใช้หมายถึง ผู้นำยิวที่เป็นศัตรูกับพระเยซูในที่นี้ (1:19) หมายถึง ตัวแทนที่สภาแซนเฮดริน ส่งไปเพื่อสืบกิจกรรมต่าง ๆ ของผู้สอนที่ไม่ได้รับการรับรองหรือแต่งตั้งอย่างยอห์นผู้ให้บัพติศมา
“พวกเลวี” (Levites) = เชื้อสายของเผ่าเลวี ซึ่งมีหน้าที่ โดยเฉพาะเกี่ยวกับ พลับพลา (กดว .3:17-37) และพระวิหาร (นหม.8:7-9)
1:20 “ข้าพเจ้า” ( I ) = เน้นความแตกต่างอย่างชัดแจ้งระหว่างยอห์น ผู้ให้บัพติศมากับอีกผู้หนึ่ง
1:21 “ท่านเป็นเอลียาห์หรือ?” (Are you Elijah?) = ชาวยิวคิดเสมอว่า เอลียาห์ไม่ได้สิ้นชีวิต (2พกษ.2:11) และเชื่อว่า จะกลับมาอีกเพื่อประกาศยุคสุดท้าย
“ข้าพเจ้าไม่ใช่เอลียาห์” (I am not) = ยอห์นก็ปฏิเสธว่า ท่านไม่ใช่เอลียาห์ ซึ่งต่อมาพระเยซูประกาศว่า ยอห์นคือ
เอลียาห์ (มธ.11:14;17:10) ในแง่ที่ทำให้คำพยากรณ์ใน มลค.4:5 สำเร็จ
“ผู้เผยพระวจนะ” (Are you the Prophet) = ผู้เผยพระวจนะตาม ฉธบ.18:15 ที่ชาวยิวเชื่อ
แต่ยอห์น รวบรัดปฏิเสธว่า ท่านไม่ใช่ผู้เผยพระวจนะเช่นนั้น ท่านมาเป็นพยานยืนยันเรื่องพระเยซู
1:23 “เราเป็นเสียงของคนที่ร้องประกาศในถิ่นทุรกันดาร”( I am the voice of one crying out in the wilderness)
= ยอห์น ประยุกต์คำพยากรณ์ จากอิสยาห์ 40:3 ให้เข้ากับพันธกิจในการเรียกคนให้กลับใจใหม่ เพื่อเตรียมทางสำหรับการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์
1:24 “พวกฟาริสี” (Pharisees) = พวกอนุรักษ์นิยมทางศาสนา สอบสวนยอห์น (ผู้ให้บัพติศมา) ในประเด็นที่ลึกกว่าตัวแทนคนอื่น (ข.9) –มธ.3:7;มก.2:16;ลก.5:17
1:25 “พระคริสต์” ( the Christ) แปลว่า “ผู้ที่ทรงเจิมตั้งไว้”
-ในสมัยพระคัมภีร์เดิม การเจิมตั้งเป็นสัญลักษณ์ของการแยกออกมาเพื่อรับใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในฐานะเป็นกษัตริย์ (1ซมอ.16:1;13) ;ปุโรหิต (อพย.28:41;29:7;30:30;40:13-15)
แต่ผู้ที่ประชาชนกำลังเฝ้ารอคอยมองหา ไม่ใช่เพียงใครคนหนึ่งที่รับการเจิม แต่เป็นพระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าเจิมตั้ง
1:27 “แม้แต่สายรัดรองเท้าของท่าน ข้าพเจ้าก็ไม่สมควรที่จะแก้” (the strap of whose sandal I am not worthy to untie ) = งานแก้สายรัดรองเท้า เป็นงานต่ำต้อยเหมาะกับพวกทาส พวกสาวกจะรับใช้อาจารย์ /รับบีของตนทุกรูปแบบ ยกเว้นการแก้สายรัดรองเท้า
1:28 “หมู่บ้านเบธานี” (Bethany)= ในที่นี้อยู่ทางฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน แต่เบธานีในที่อื่น(ในพระกิตติคุณ) อยู่ห่างจากกรุงเยรูซาเล็มเพียง 3 กม.
1:29 “พระเมษโปดกของพระเจ้า” (the Lamb of God) –คำนี้ปรากฏในข้อนี้ และในข้อ 36 เท่านั้น
ยอห์น อาจอ้างถึงพันธกิจของพระเยซูคริสต์ในลักษณะของลูกแกะที่นำมาถวายในเทศกาลปัสกา หรือลูกแกะใน อสย.53:7;ยรม.11:29;ปฐก.22:8;วว.5:6 เพื่อชี้ให้เห็นว่า พระเยซูเป็นเครื่องบูชา และชนะอำนาจบาปชั่วทั้งปวง พระองค์ทำสองประการนี้ได้โดยการ
“รับบาปของโลก” ไป –1ยน.2:2
1:31 “ข้าพเจ้าเองไม่รู้จักพระองค์” (I myself did not know him) = ยอห์นผู้ให้บัพติศมา ผู้อาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารจนกระทั่งออกมาประกาศเตรียมทางให้พระเมสสิยาห์ต่อสาธารณชน (ลก.1:80) และดูเหมือนว่า ท่านไม่รู้จักพระเยซูคริสต์เลย หรือรู้จักพระเยซูคริสต์ แต่ไม่รู้ว่าเป็นพระเมสสิยาห์ จนกระทั่งได้เห็นหมายสำคัญในข้อ 32-33
-แต่ใน มธ.3:14-17 ยอห์น พูดในทำนองว่า พระเยซูไม่ควรมาขอให้ยอห์นให้บัพติศมา แต่ท่านต่างหากที่ควรขอรับบัพติศมาจากพระองค์
1:32 “เราเห็นพระวิญญาณเสด็จมา” ( saw the Spirit descend …) -เหตุการณ์ตอนช่วงที่พระเยซูคริสต์รับบัพติศมา ดู ใน มธ.3:15
1:33 “ให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” (baptizes with the Holy Spirit. ) = ยอห์น ให้บัพติศมาด้วยน้ำ แต่พระเยซูคริสต์ ให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธ์ เพื่อให้ผู้เชื่อมีส่วนร่วมในฤทธิ์อำนาจและพระคุณแห่งชีวิตใหม่ ที่พระองค์ประทานให้ –ยน.20:22;กจ.1:5;2:4;11:15-16;19:4-6;1คร.12-14;กท.3:5,14;4:6;5:16-25;อฟ.1:13;3:16; 6:18;ฟป.3:3;1ธส.4:8
คำว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์” เน้น ความบริสุทธิ์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์มากกว่า เรื่องสิทธิอำนาจหรือความยิ่งใหญ่ (14:26;20:20)
1:34 “พระบุตรของพระเจ้า” (the Son of God) –ข.14,18;3:16;20:31
1:35 “ศิษย์” (disciples) –ที่อื่นแปลว่า “สาวก” ในที่นี่หมายถึง พวกคนที่ได้รับบัพติศมาจากยอห์น ถือว่า ยอห์นเป็นอาจารย์ทางศาสนาของพวกเขา ; “สองคน” (two) –หนึ่งในนั้นคือ อันดรูว์ (ข.40) และอีกคนไม่ได้ระบุชื่อ แต่ตั้งแต่ยุคแรก เชื่อกันว่า คือยอห์น ผู้เขียน พระธรรมยอห์นนั่นเอง
1:39 “สี่โมงเย็น” (the tenth hour) = แปลตามตัวได้ว่า เป็น “ชั่วโมงที่สิบ”
1:40 “อันดรูว์” (Andrew) = น้องชายของซีโมนเปโตร เป็นหนึ่งในสาวก 12 คน (มธ.10:2) มาจากเบธไซดา (ข.44) แต่ภายหลังเขามาอยู่กับเปโตร ในคาเปอรนาอุม (มก.1:29) ซึ่งเป็นสถานที่ที่พวกเขาหาปลาเลี้ยงชีพ (มธ.4:18)
1:42 “ซีโมนบุตรยอห์น” (Simon the son of John) -มธ.16:17
“เคฟาส” (Cephas) = แปลว่า ศิลา แท้จริงแล้ว เปโตรหรือเคฟาส เป็นคนหุนหัน ไม่มั่นคง แต่ต่อมาเขากลับกลายมาเป็นศิลาหรือเสาหลักของคริสตจักรยุคแรกได้ พระเยซูคริสต์ไม่ได้ตั้งชื่อพวกเขา ตามสิ่งที่เขาเป็น แต่ตามสิ่งที่เขากำลังจะเป็นโดยพึ่งพระคุณของพระเจ้า
1:44 “เบธไซดา” (Bethsaida) -มธ.11:21 อยู่ทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของทะเลสาบกาลิลี ต่อมาฟิลิปผู้ปกครองแคว้นสร้างเมืองนี้ขึ้นใหม่ และเรียกชื่อว่า “จูเลียส” ตามชื่อจูเลีย ธิดาของซีซาร์ออกัสตัส
1:45 “บุตรโยเซฟ” ( the son of Joseph) = บิดาทางนิติสัย(ในโลกนี้) ของพระเยซู แต่ไม่ได้ปฏิเสธว่า พระคริสต์ประสูติจากหญิงพรหมจารี –มธ.1:18,20,23,25;ลก.1:26-35
1:46 “นาซาเร็ธ” (Nazareth) -7:52;มธ.2:23
1:47 “ชาวอิสราเอลแท้” (an Israelite indeed) -2:24-25
1:48 “ต้นมะเดื่อ” (the fig tree) = ต้นไม้ให้ร่มเงา เหมาะกับการศึกษาพระธรรม และการอธิษฐานในยามที่อากาศร้อน
1:49 “รับบี” (Rabbi) = คำภาษาฮีบรู ที่ใช้กับ “อาจารย์”
“พระบุตรของพระเจ้า” (the Son of God) – ข.14,18,34;3:16;20:31
-ตั้งแต่พระเยซูเริ่มพระราชกิจ นาธานาเอลได้รู้จักกับพระเยซูในฐานะอาจารย์ตามความหมายนี้ แต่ภายหลังคำนี้ใช้ในการเยาะเย้ย (มธ.27:40;ปท .ยน.19:7)
-อันดรูว์ บอกว่าพระเยซูเป็น “พวกเมสสิยาห์” (ข.41)
แต่นาธานาเอล บอกว่า พระองค์เป็น “พระบุตรของพระเจ้า”รวมเป็นคำกล่าวของเปโตรว่า “พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่” (มธ.16:16) “กษัตริย์ของอิสราเอล” (the King of Israel) -12:13;มก.15:32
คำว่า “พระคริสต์” และ “กษัตริย์ของอิสราเอล” มีความหมายเดียวกัน
1:51 “เราบอกความจริงกับพวกท่าน” (“Truly, truly, I say to you,) –มก.3:28 เป็นวลีที่ใช้ในพระธรรมยอห์น มากกว่าในเล่มอื่น ๆ
“ท้องฟ้าแหวกออก” (heaven opened) = พวกสาวกจะเห็นพยานจากพระเจ้า สวรรค์ในการรับรองพระเยซูคริสต์อย่างชัดเจน
“พวกทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึ้นลง” (the angels of God ascending and descending) = เหมือนกับความฝันของยาโคบ –ปฐก.28:12
-เป็นเครื่องหมายว่า พระเยซูคริสต์ได้รับการเลือกสรรจากพระเจ้าเพื่อไถ่บาปมนุษย์โลก และบ่งบอกว่าพระเยซูคือ “อิสราเอลแท้” (ข.47)
“บุตรมนุษย์” (the Son of Man ) = คำที่พระเยซูใช้เรียกพระองค์เองบ่อย ๆ –มก.8:31
คำถามนำอภิปราย
- ถ้าคุณเป็นคนดังอย่างยอห์น ผู้ให้บัพติศมา คุณคิดว่า คุณจะถ่อมตัวถ่อมใจ ทำได้อย่างที่ยอห์นทำได้หรือไม่? ทำไมคุณคิดเช่นนั้น?
- คุณรู้ว่า พระเจ้ากำหนดบทบาทให้คุณทำอะไรอย่างชัดเจนอย่างเช่นที่ยอห์น รู้หรือไม่? หากคุณรู้แล้วว่าบทบาทนั้น คืออะไร คุณได้ทำตามบทบาทหน้าที่นั้นหรือไม่? อย่างไร? หากคุณไม่รู้ คุณจะมีวิธีรู้ได้อย่างไร?
- ยอห์นรู้จักพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมษโปดกของพระเจ้า ได้อย่างไร? แล้วตัวของคุณมารู้จักพระเยซูคริสต์ในฐานะผู้รับแบกบาปของคุณได้อย่างไร? (แบ่งปัน)
- คุณรู้สึกอย่างไร หากว่าคนที่มาทีหลังคุณเป็นที่ยอมรับมากกว่าคุณ หรือดังมากกว่าคุณ? คุณเคยประสบกับเหตุการณ์เช่นนั้นหรือไม่? แล้วคุณรับมืออย่างไร?
- คุณเป็นพยานช่วยนำคนรู้จักกับพระเยซูคริสต์แล้วกี่คน? ใครบ้าง? อย่างไร? และผลที่ตามมาคืออะไร
- คุณมีประสบการณ์ ในการพบกับพระเยซูคริสต์เป็นส่วนตัวหรือไม่? อย่างไร? ที่ไหน? เมื่อไร?
- การที่คุณทราบว่า พระเยซูคริสต์ทรงรู้จักคุณ ทุกด้าน และในทุกอย่าง สิ่งนี้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและเป้าหมายชีวิตของคุณอย่างไรบ้าง? (แบ่งปัน)
ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์