Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียนพระกิตติคุณยอห์น บทเรียนที่ 1

ปฐมบทของยอห์น

พระธรรม        ยอห์น 1:1-18

อ้างอิง             ยน.17:5,24;8:58;1:7,19,32;7,14-15;3:6,15,19;5:26;6:57;7:19;11:25;14:6;1ยน.1:1-2,10

บทนำ              พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าก่อนทรงรับสภาพมนุษย์  พระเจ้าทรงสถิตท่ามกลางมนุษย์  พระเจ้าทรงสำแดงพระสิริของพระองค์ ผ่านทาง “พระคริสต์” ผู้ทรงเป็น “พระวาทะ”

 

บทเรียน

1:1 “ในปฐมกาลพระวาทะทรงดำรงอยู่ และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า” 

      (In the beginning was the Word, and the Word was with God, and the Word was God.)

1:2 “ในปฐมกาลพระองค์ทรงอยู่กับพระเจ้า” 

     (He was in the beginning with God.)

1:3 “พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งขึ้นมาโดยพระวาทะ ในบรรดาสิ่งที่เป็นอยู่นั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่เป็นอยู่นอกเหนือ​พระวาทะ”

     (All things were made through him, and without him was not anything made that was made.)

1:4 “พระองค์ทรงเป็นแหล่งชีวิต และชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์”

     (In him was life, and the life was the light of men.)

1:5 “ความสว่างส่องเข้ามาในความมืด และความมืดไม่อาจเอาชนะความสว่างได้”

      (The light shines in the darkness, and the darkness has not overcome it.)

1:6 “มีชายคนหนึ่งที่พระเจ้าทรงใช้มาชื่อยอห์น”

      (There was a man sent from God, whose name was John.)

1:7 “ท่านมาในฐานะสักขีพยานเพื่อเป็นพยานให้แก่ความสว่างนั้น เพื่อว่าทุกคนจะได้เชื่อเพราะท่าน” 

      (He came as a witness, to bear witness about the light, that all might believe through him.)

1:8 “ท่านไม่ใช่ความสว่างนั้น แต่ท่านมาเพื่อเป็นพยานให้แก่ความสว่างนั้น”

      (He was not the light, but came to bear witness about the light.)

1:9 “ความสว่างแท้ที่ทำให้มนุษย์ทุกคนเห็นความจริงได้นั้นกำลังเข้ามาในโลก”

     (The true light, which gives light to everyone, was coming into the world.)

1:10 “พระองค์ทรงอยู่ในโลกที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมาทางพระองค์ แต่โลกไม่รู้จักพระองค์”

      (He was in the world, and the world was made through him, yet the world did not know him.)

1:11 “พระองค์เสด็จมายังบ้านเมืองของพระองค์ แต่ชาวบ้านชาวเมืองของพระองค์ไม่ต้อนรับพระองค์”

      (He came to his own, and his own people did not receive him.)

1:12 “แต่ทุกคนที่ยอมรับพระองค์ คือคนที่เชื่อในพระนามของพระองค์นั้น พระองค์ก็จะประทานสิทธิให้เป็นลูกของ​พระเจ้า”

       (But to all who did receive him, who believed in his name, he gave the right to become children of God,)

1:13 “ซึ่งในฐานะนั้นพวกเขาไม่ได้เกิดจากเลือดเนื้อหรือกาม หรือความประสงค์ของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า”

       (who were born, not of blood nor of the will of the flesh nor of the will of man, but of God.)

1:14 “พระวาทะทรงเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา เราเห็นพระสิริของพระองค์ คือ พระสิริที่สมกับพระ‍บุตรองค์เดียวของพระบิดา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง” 

       (And the Word became flesh and dwelt among us, and we have seen his glory, glory as of the  only Son from the Father, full of grace and truth. )

1:15 “ยอห์นเป็นพยานให้กับพระองค์ และร้องประกาศว่า “นี่แหละ คือพระองค์ผู้ที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงว่า พระองค์ผู้​เสด็จมาภายหลังข้าพเจ้าทรงเป็นใหญ่กว่าข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า” 

     (John bore witness about him, and cried out, “This was he of whom I said, ‘He who comes after me ranks before me, because he was before me.'”) 

1:16 “เพราะเราได้รับพระคุณซ้อนพระคุณจากความบริบูรณ์ของพระองค์” 

       (For from his fullness we have all received, grace upon grace. )

1:17 “คือว่าเราได้ธรรมบัญญัตินั้นมาทางโมเสส ส่วนพระคุณและความจริงมาทางพระเยซูคริสต์”

        (For the law was given through Moses; grace and truth came through Jesus Christ.)

1:18 “ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย แต่พระบุตรองค์เดียวผู้สถิตในพระทรวงของพระบิดา ทรงสำแดงพระเจ้าแล้ว”

        (No one has ever seen God; the only God, who is at the Father’s side, he has made him  known.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

1:1       “ในปฐมกาล” (In the beginning) –ปฐก.1:1, เชื่อมพระราชกิจของพระเจ้าที่มีต่อโลกผ่านทางพระเยซูคริสต์ (ปท. ยน.3:16) กับพระราชกิจของพระเจ้ากับการเริ่มต้นสร้างโลกของพระองค์

            “พระวาทะ” (the Word) = ‘Logos’ (คำกรีก) เป็นคนที่ไม่ได้หมายถึงแค่คำพูด แต่รวมทั้งคำที่ไม่ได้พูดออกมาด้วย คือ คำที่ยังอยู่ในความคิดหรือเหตุผล

            -เมื่อชาวกรีกใช้คำนี้กับ “จักรวาล” –หมายถึงหลักการอันมีเหตุผลที่ปกครองทุกสิ่ง

            -แต่ชาวยิว ใช้คำนี้หมายถึง พระวาทะที่พระเจ้าทรงใช้สร้างและปกครองโลกนี้ – สดด.33:6; 119:89;147:15,18

–และใช้กล่าวถึงพระบัญญัติพระเจ้าทรงประทานให้เป็นชีวิตจิตใจแก่อิสราเอล (ฉธบ.32:47;30:20)

-ชาวยิวอ้างบทบัญญัติว่า พระวาทะ “เกิดขึ้นก่อนโลก” เพราะอยู่ในพระทัยของพระเจ้า ในขณะที่พระองค์ทรงประทับบนบัลลังก์แห่งพระเกียรติสิริ

-ชาวยิวยังเชื่อว่าพระวาทะเป็นพระเจ้า พระวาทะเป็นผลแรกของพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เป็นความสว่างและเป็นชีวิตแก่โลกนี้ และเป็นความจริง

-ชาวยิวใช้คำว่า “พระวาทะ” หมายถึงสิ่งที่มาจากพระเจ้า เพื่อทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จ

–อสย.55:11;วว.19:13

“ทรงอยู่กับพระเจ้า” (was with God) = พระวาทะเป็นอีกบุคคลหนึ่งนอกเหนือจากพระบิดา หมายความว่า พระเยซูคริสต์ = พระเจ้า (รม.9:5) –ยน.17:5;1ยน.1:2

“ทรงเป็นพระเจ้า” (was God) –ฟป.2:6

1:2       “ในปฐมกาล” (  in the beginning) –ปฐก.1;1;ยน.8:58;17:5,24;1ยน.1:1;วว.1:8

1:3       “ไม่มีสิ่งเดียวที่เป็นอยู่นอกเหนือจากพระวาทะ” (not anything made that was made) = ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยทางพระองค์ –ยน.1:10;1คร.8:6;คส.1:16;ฮบ.1:2

1:4       “แหล่งชีวิต” (was life) = ชีวิตเป็นหนึ่งในแนวคิดสำคัญของพระธรรมยอห์นปรากฏในพระธรรมยอห์น 36 ครั้ง และใช้ในพระคัมภีร์ใหม่เล่มอื่น ๆ อีกไม่เกิน 17 ครั้ง

-ในพระคัมภีร์ใหม่ กล่าวถึงพระเยซูว่าทรงเป็นชีวิต (14:6)  และทรงเป็นของขวัญที่มาจากพระองค์ (10:28)

“ความสว่าง” (the light) = พระคริสต์ผู้ซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งความกระจ่างฝ่ายจิตวิญญาณ

-พระเยซูคริสต์ยังเป็นความสว่างของโลก ผู้ประทานความหวังให้แก่มวลมนุษยชาติ (ปท. 8:12) และสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง (3:16)  ปท. สดด.36:9

 1:5       “ความมืด” (the darkness) –ในพระธรรมยอห์น มีภาพเปรียบชัดกันโดดเด่น ในเรื่องความสว่างและความมืด  – ตย. ใน 12:35

1:6       “ยอห์น” (John)  – ชื่อว่า ยอห์น ในพระธรรมเล่มนี้มักหมายถึงยอห์นผู้ให้บัพติศมา ไม่ใช่ยอห์นผู้เขียน

1:7       “ในฐานะสักขีพยาน” (a witness) = พันธกิจหลักของยอห์นผู้ให้บัพติศมา คือ เป็นพยานยืนยันให้พระเยซูคริสต์ (10:41)

“พยาน” เป็นประเด็นโดดเด่น ในพระธรรมยอห์นคำนามของคำที่หมายความว่า “พยาน” หรือ “คำพยาน” มีทั้งหมด 14 ครั้ง ในพระธรรมยอห์น แต่ไม่มีปรากฏเลยในพระธรรมมัทธิว , 3 ครั้งในมาระโก , และ1 ครั้งในลูกา

-ส่วนคำกริยา (ยืนยัน) ปรากฏ 33 ครั้ง (ปรากฏเพียง 1 ครั้งในมัทธิวและลูกา แต่ไม่ปรากฏในมาระโก)

-ผู้เขียนพระธรรมยอห์นต้องการยืนยันเน้นข้อเท็จจริงว่า เรื่องราวของพระเยซูคริสต์ มีพยานรับรองมากมายเพื่อคนทั้งปวงจะได้เชื่อในพระคริสต์ (20:31)

-ผู้เขียนพระธรรมยอห์น ใช้คำกริยาภาษากรีกที่หมายความว่า “เชื่อ” ถึง 98 ครั้ง

1:8       “ท่านไม่ใช่ความสว่างนั้น” (He was not the light) = ความโดดเด่นของยอห์น ผู้ให้บัพติศมาทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่า ท่านอาจคือพระคริสต์ แต่ท่านปฏิเสธ

-พระเยซูยกย่องยอห์นผู้ให้บัพติศมา (มธ.11:11)     แต่ก็กล่าวถึงความจำกัดของเขาไว้ว่า เขาเป็นเพียง “ตะเกียง” (5:35) ไม่ใช่ “แสงสว่าง”

 1:9       “ความสว่างแท้…กำลังเข้ามาในโลก” (The true light, … was coming into the world) = การเสด็จมาบังเกิดของพระเยซูคริสต์ในโลก

“โลก” (the world) –ผู้เขียนใช้คำกรีกที่แปลว่า “โลก” ทั้งหมด 78 ครั้ง ในพระธรรมยอห์น และ 24 ครั้ง ในจดหมายฝากของท่าน (ในขณะที่ผลงานเขียนของ อ.เปาโลเอ่ยถึง 47 ครั้ง)

-คำว่า “โลก” นี้สามารถหมายถึงจักรวาล โลก คนในโลก คนส่วนใหญ่ คนที่ต่อต้านพระเจ้า หรือระบบของมนุษย์ ที่ต่อต้านพระประสงค์ของพระจ้า

-ผู้เขียนเปลี่ยนความหมายของคำนี้ จากความหมายหนึ่งไปยังอีกความหมายหนึ่ง โดยไม่ได้อธิบาย (ตัวอย่าง ยอห์น 17:5,14-15)

1:12     “พระองค์ก็จะประทานสิทธิให้” (he gave the right to)= การเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้าเป็นเรื่องของการประทานให้เป็นพระคุณโดยพระเจ้าเท่านั้น (อฟ.2:8-9) ไม่ได้มาจากด้วยความสามารถหรือความพยายามใด ๆ ของมนุษย์ แต่กระนั้นก็ขึ้นกับการยอมรับหรือเชื่อของผู้รับด้วย

1:13     “เกิดจากพระเจ้า” (of God) –ฐานะลูกของพระเจ้าใน 1:12 –เป็นความสัมพันธ์ที่พระเจ้าประทานให้ไม่ได้มาจากธรรมชาติ (3:3,5;2คร.5:17;กท.6:15;ทต.3:5)

1:14     “มนุษย์” (flesh) = แปลตรงตัวได้ว่า “เลือดเนื้อ” เป็นคำหนักแน่นที่เน้นว่า พระคริสต์ทรงมีสภาพของมนุษย์อย่างแท้จริง

            “ทรงอยู่ท่ามกลางเรา เราเห็นพระสิริของพระองค์” (dwelt among us, and we have seen his glory)

            “ทรงอยู่ท่ามกลางเรา” = “ประทับอยู่”  ที่แปลได้ว่า “เต็นท์” หรือ “พลับพลา”

            = เตือนให้ผู้อ่าน(ที่เป็นยิว)  ระลึกถึง “เต็นท์นัดพบ”  ซึ่งมีพระสิริของพระเจ้าปกคลุมอยู่ (อพย.40:34-35)

            พระเยซูคริสต์ทรงประทับอยู่ท่ามกลางพวกสาวกและสำแดงพระเกียรติสิริผ่านการอัศจรรย์ที่ทรงกระทำ (2:11) การสิ้นพระชนม์และเป็นขึ้นจากตาย

            “พระคุณและความจริง” (grace and truth) –สดด.26:3;สภษ.16:6

            “พระคุณ” เป็นหัวข้อสำคัญในความเชื่อของคริสเตียน (ยนา.4:2;กท.1:3;อฟ.1:2) (แต่ผู้เขียนยอห์น ไม่เคยใช้คำนี้หลังจากบทที่ 1:18 เลย)

            “ความจริง” –ผู้เขียนใช้คำภาษากรีกที่แปลว่า “ความจริง” 25 ครั้ง เกี่ยวข้องกับพระเยซูคริสต์ผู้เป็นความจริง (14:6)

1:15     “พระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า” (he was before me) = ในสมัยโบราณ สังคมเคารพนับถือผู้อาวุโสหรือผู้ที่สูงกว่า จึงเป็นเรื่องปกติที่คนจะให้เกียรตินับถือยอห์นมากว่าพระเยซู เพราะท่านอาวุโสกว่า (6 เดือน) แต่ยอห์นอธิบายว่า แท้จริงแล้วพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระวาทะที่ดำรงอยู่ตั้งแต่ก่อนเสด็จเข้ามาในโลกนี้

1:16     “พระคุณซ้อนพระคุณ” (fullness) = บางฉบับแปลว่า “พระพรครั้งแล้วครั้งเล่า”

            = พระพรที่ได้รับผ่านทางโมเสส ได้รับการเพิ่มเติมให้เป็น “พระพร” ที่พิเศษยิ่งใหญ่ผ่านทางพระเยซูคริสต์ (ข.17;ฮบ.1:1-4)

            “พระบุตรองค์เดียวผู้สถิตในพระทรวงของพระบิดา” -บางฉบับแปลว่า “แต่พระเจ้าคือพระบุตรองค์เดียว”

            = ประกาศถึงความเป็นพระเจ้าขององค์พระเยซูคริสต์อย่างชัดเจน (ข.1,14;3:16;รม.9:5)

1:18     “ทรงสำแดงพระเจ้าแล้ว” (he has made him  known.) = ทรงทำให้พระองค์เป็นที่ประจักษ์

            -บางคนในพระคัมภีร์เดิมอ้างว่าตนเองได้เห็นพระเจ้า  (ตย.อพย.24:10) แต่ในพระคัมภีร์บอกว่า ไม่มีผู้ใดเห็นพระเจ้าแล้วจะมีชีวิตอยู่ได้ (อพย.33:20)

            = ไม่มีมนุษย์คนใดจะเห็นพระเจ้าอย่างที่พระองค์ทรงเป็นได้ คนที่พระเจ้าให้เห็นพระองค์จะเห็นได้ในรูปแบบที่พระองค์ทรงกำหนดให้ชั่วคราวสำหรับโอกาสนั้น ๆ เท่านั้น

            -แต่ในเวลานี้ พระคริสต์สำแดงพระองค์ให้เป็นที่ประจักษ์แล้ว –2คร.4:4;คส.1:15,19;2:9

คำถามนำอภิปราย

  1. พระวาทะคืออะไร หรือ คือใคร? มีความสำคัญเช่นไรต่อโลกนี้?
  2. พระเจ้าทรงเป็นแหล่งชีวิตของคุณในเรื่องใดบ้าง? (แบ่งปัน)
  3. คุณเคยเห็นความมืดชนะความสว่างบ้างไหม? หรือกลับกับ คุณเคยเห็นความสว่างชนะความมืดบ้างหรือไม่? อย่างไร?
  4. คุณเคยเป็นพยานให้แก่ “ความสว่าง” (พระเจ้า) บ้างหรือไม่? อย่างไร?
  5. คุณเคยปฏิเสธหรือไม่ยอมต้อนรับพระคริสต์บ้างหรือไม่? ทำไม? แล้วคุณเชื่อพระคริสต์ได้เพราะใคร? หรืออะไร? (แบ่งปัน)
  6. คุณเคยได้รับพระคุณซ้อนพระคุณจากพระเจ้าบ้างหรือไม? ในเรื่องอะไร? อย่างไร? และผลเป็นอย่างไร?
  7. พระเยซูคริสต์สำแดงพระลักษณะอะไรของพระเจ้าให้คุณเห็นบ้าง? และพระลักษณะเหล่านั้นสอนอะไรคุณบ้าง?

 

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.