ความทะเยอทะยานที่มืดบอด
จงวางใจในพระยาห์เวห์ด้วยสุดใจของเจ้าและอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้าแล้วพระองค์เองจะทรงทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น (สุภาษิต 3:5-6)
ไม่นานมานี้ฉันนั่งอยู่ที่สนามบิน รอเครื่องบินที่มาล่าช้า ในฐานะนักกายภาพบำบัด เป็นเรื่องปกติที่ชอบมองท่าทางการยืน นั่ง เดินของผู้คนที่ผ่านไปมา เห็นสตรีวัยกลางคนท่านหนึ่งเดินตัวเอียง กล้ามเนื้อสะโพกด้านซ้ายน่าจะมีปัญหา แล้วก็หันไปเห็นคู่ต่อไปที่ดูไม่ธรรมดา ชายตาบอดใช้มือขวายึดแน่นอยู่กับแขนคนนำทาง ขณะที่มือซ้ายใช้ไม้เท้ากวัดแกว่งไปมาบนพื้นด้านหน้า ทำไมยังต้องใช้ไม้เท้าอีก? ไม่ไว้ใจคนนำทางหรือ? หรือมันเป็นความเคยชิน?
ขณะที่กำลังคิดเพลินๆ มีเสียงกระซิบจากพระเจ้าว่า “นี่เป็นวิธีที่เราอยากให้เจ้าเดินไปกับเรา” ในทันทีฉันก็เข้าใจ พระเยซูผู้มีสายพระเนตรแห่งนิรันดร์กาล ปรารถนาจะเป็นผู้นำทางชีวิตฉัน แต่จะเป็นได้ มือ (หรือชีวิต) ของฉันต้องเกาะเกี่ยวอยู่กับพระองค์ เมื่อเราเชื่อมโยงกับพระคริสต์แล้ว หน้าที่รับผิดชอบของเราคือทำตามภารกิจที่ทรงมอบหมายให้วันต่อวัน พึ่งพิงการทรงนำของพระองค์เหมือนชายตาบอดพึ่งพิงคนนำทาง พระเจ้าทรงทำในสิ่งของพระองค์ และเราต้องทำในสิ่งที่เป็นหน้าที่รับผิดชอบของเรา
ประกาศความจริงออกไป
ฉันอาจมืดบอดต่อทางของพระเจ้า มีบางเวลาที่ปล่อยมือจากการยึดพระองค์ พยายามเดินหน้าไปด้วยตัวเอง แน่นอนฉันพึ่งพิงพระวจนะ แต่มองไปสถานการณ์ข้างหน้า คิดว่าสามารถจัดการได้ แล้วก็ใช้ไม้เท้า “กวัดแกว่งไปมา” ข้างหน้าด้วยความคาดหวัง ปัญหาคือ พอสิ้นวัน สิ้นสัปดาห์ หรือสิ้นเดือน ฉันหลงทาง ไปไม่ถึง “ประตู” ที่พระเจ้าปรารถนาให้ไป
วันนั้นที่สนามบิน ฉันบอกกับพระเยซูอีกครั้ง จะมอบชีวิตให้ติดสนิทกับพระองค์ ไม่ใช่พอใจแค่มีพระองค์อยู่ใกล้ (พึ่งพิงความรู้ของตนเอง) มองย้อนไป ขอบคุณพระเจ้าที่เครื่องบินล่าช้า ทำให้ได้เห็น “ความทะเยอทะยานที่มืดบอด” ของตนเอง เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้ปล่อยมือจากองค์พระผู้ช่วย และน้ำพระทัยของพระองค์
โดย Lisa Morrone
อนุญาตโดย Girlsfriend in God : www.crosswalk.com
(Cr.ภาพ pinterest.com)