“We must allow the Word of God to confront us, to disturb our security, to undermine our complacency and to overthrow our patterns of thought and behavior.” –John R.W. Stott–
“เราต้องยินยอมให้พระวจนะของพระเจ้า เผชิญหน้ากับเรา รบกวนความมั่นคงของเรา กัดเซาะความพึงพอใจของเรา และล้มล้างรูปแบบความคิดและพฤติกรรมของเรา!”
พระวจนะของพระเจ้าเป็นดุจยาดีที่เยียวยารักษาชีวิตของเราได้ แต่เราต้องรับมา และกินลงไป หรือรับการฉีดเข้าเส้นโลหิตของเรา หากเรามียาดีอยู่ในมือหรืออยู่ตรงหน้า แต่ไม่กินหรือดื่ม ต่อให้เป็นยาวิเศษจากสวรรค์ก็ไร้ประโยชน์
หลายคนมาโบสถ์นานนับสิบปี หลายคนมีพระคัมภีร์มากนับสิบเล่ม แต่กลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในชีวิตของพวกเขา…ทำไม?
ก็เพราะว่า พวกเขาไม่ยอมให้พระวจนะของพระเจ้าเข้าไปในความคิดและจิตใจ แค่รับมาไว้เฉย ๆ ประดับสมองหรือความรู้เท่านั้น
พระวจนะของพระเจ้าเปรียบประดุจเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิตใหม่(อันเป็นนิรันดร์) แต่หากเราไม่นำลงมาปลูกในดินแห่งจิตใจของเรา ต่อให้มีเมล็ดนั้นเก็บไว้มานานนับพันปีก็ไม่เกิดผลิตผลแต่อย่างใด
” 22ที่ท่านทั้งหลายได้ชำระจิตใจของท่านให้บริสุทธิ์แล้ว ด้วยการเชื่อฟังความจริง จนมีใจรักพวกพี่น้องอย่างจริงใจ ท่านทั้งหลายจงรักกันให้มากด้วยน้ำใสใจจริง 23ท่านทั้งหลายได้บังเกิดใหม่แล้ว ไม่ใช่จากพันธุ์มตะ แต่จากพันธุ์อมตะ คือด้วยพระวจนะของพระเจ้าอันทรงชีวิตและดำรงอยู่ 24เพราะว่า บรรดาเนื้อหนังก็เป็นเสมือนต้นหญ้า และบรรดาศักดิ์ศรีของเขาก็เป็นเสมือนดอกหญ้า ต้นหญ้าเหี่ยวแห้งไป และดอกก็ร่วงโรยไป 25 แต่พระวจนะของพระเจ้ายั่งยืนอยู่เป็นนิตย์ พระวจนะนั้นคือข่าวประเสริฐที่ได้ประกาศให้ท่านทั้งหลายทราบแล้ว” (1เปโตร1:22-25)
พระวจนะของพระเจ้าเปรียบดุจกระจกเงา แต่หากเราไม่เคยหยิบขึ้นมาส่องดูหน้า หรือไม่เคยไปยืนดูตัวเองที่หน้ากระจกใหญ่ ต่อให้กระจกใบนั้นจะชัดใสมากลักปานใดก็ไร้ความหมาย(ยากอบ1:23-25)
พระวจนะของพระเจ้าเปรียบดังอาหารที่จำเป็นต่อชีวิต เป็นทั้งอาหารอ่อน และอาหารแข็ง เหมาะกับคนในแต่ละช่วงวัย ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรเป็นผู้ใหญ่ที่ทานแต่อาหารสำหรับเด็กโดยไม่รู้จักโต (ฮีบรู 5:12-14)
“เช่นเดียวกับทารกแรกเกิด จงปรารถนาน้ำนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์ เพื่อโดยน้ำนมนั้นจะทำให้ท่านทั้งหลายเจริญขึ้นสู่ความรอด” (1เปโตร 2:2)
พระวจนะของพระเจ้าเปรียบเหมือนตะเกียง ประทีป หรือโคมไฟ หากเราไม่จุดหรือไม่เปิด บรรดาสิ่งที่ให้ความสว่างเหล่านั้นก็ไร้ประโยชน์ (สดุดี119:105-106)
พระวจนะของพระเจ้าเปรียบดังค้อนและไฟ ที่สามารถทุบทำลายหรือเผาสิ่งที่ขวางกั้นหรือสิ่งที่ไร้ค่าไร้ประโยชน์
หากเราไม่ใช้สิ่งเหล่านี้ทะลุทะลุทะลวงกำจัดกำแพงที่ขวางกั้นความเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณของเรา เราก็จะไม่มีทางหลุดพ้นจากสิ่งที่เป็นอุปสรรคขวางกั้นความเจริญในชีวิตของเราได้ (เยเรมีย์23:29)
พระวจนะของพระเจ้าเปรียบดุจพระแสงฝ่ายวิญญาณหรือดาบ 2 คม ที่ใช้รับมือกับการโจมตีของศัตรู หากไม่มีดาบเป็นอาวุธหรือมีแต่ไม่ใช้ป้องกันตัว เราก็ไม่อาจรอดชีวิตจากการโจมตีของศัตรู(อย่างมาร)ได้ (เอเฟซัส 6.17) และหากไม่มีมีดหมออันคมกริบสำหรับการผ่าตัด เราก็ไม่มีทางได้รับการผ่าและตัดเอาก้อนเนื้อหรือเชื้อโรคร้ายออกจากตัวของเราได้ (ฮีบรู 4:12-13)
พระวจนะของพระเจ้าเปรียบดังบทเพลงหนุนจิตชูใจจากสวรรค์เพื่อเราและคนรอบตัว หากเรามีบทเพลงอันไพเราะเพราะพริ้งอยู่กับตัวแต่เราเองกลับไม่ฟังหรือไม่ขับร้อง บทเพลงเหล่านั้นก็จะไม่มีความหมายอะไรต่อเราหรือคนคนอื่น ๆ เลยช่างน่าเสียดายยิ่ง! (สดุดี 119:54)
กล่าวโดยสรุปก็คือ พระวจนะของพระเจ้าเป็นของขวัญล้ำค่าต่อพวกเรา เป็นคู่มือชีวิตให้เราดำเนินและปฏิบัติตามเพื่อเกิดความสุขความเจริญทั้งด้าน กายจิตและวิญญาณ เป็นสื่อจากเบื้องบนให้เราได้รู้จักกับพระเจ้าองค์เที่ยงแท้และรับความรอดจากพระองค์ผ่านข่าวประเสริฐในพระวจนะของพระองค์(ในพระคริสตธรรมคัมภีร์) และเป็นสารจากสวรรค์ที่ไม่มีโซ่หรือสิ่งใดจะล่ามไว้ได้ (2ทิโมธี 2:8-9) นับว่าเป็นของขวัญที่ล้ำค่ายิ่งกว่าทรัพย์สินเงินทองสิ้นทั้งโลก
“สำหรับข้าพระองค์ พระธรรมแห่งพระโอษฐ์ของพระองค์ก็ดีกว่าทองคำและเงินพันๆ แท่ง” (สดุดี 119:72)
และหวานหอมยิ่งกว่าน้ำผึ้งที่หยดจากรวง
“พระดำรัสของพระองค์นั้น ข้าพระองค์ชิมแล้วหวานจริงๆ หวานกว่าน้ำผึ้งเมื่อถึงปากข้าพระองค์” (สดุดี119:103)
และด้วยเหตุผลดังกล่าว เราทุกคนที่เป็นคริสเตียนแล้วจึงรักพระวจนะของพระเจ้า และปรารถนาให้คนรอบตัวของเราได้รักเช่นเดียวกับเรา! (สดุดี119:47-48)
-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-
twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer
(Cr.ภาพ www.pinterest.com)