พระองค์ตรัสคำอุปมาเรื่องหนึ่งให้เขาฟัง เพื่อสอนว่าคนทั้งหลายควรอธิษฐานอยู่เสมอ ไม่อ่อนระอาใจ (ลูกา 18:1)
คุณเคยถูกความกลัวเกาะกุมหรือไม่? คุณรู้ความรู้สึกดี เยียบเย็นเหมือนเลือดหยุดเดิน กระดูกสันหลังสะท้าน วูบไหวอยู่ในท้อง ผมบนศีรษะลุกชัน – ทั้งหมดนี้เป็นอารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับความกลัว
ยังมีอีกอารมณ์ที่มาคู่กับความกลัว นั่นคือความวิตกกังวล มีหลายสิ่งที่คนเราสามารถกังวลได้ทุกวันนี้ – ประเทศของเรา สถานภาพการเมือง เศรษฐกิจ การก่อการร้าย หรือข่าวลือเรื่องสงคราม และแน่นอน ความวิตกกังวลส่วนตัว – เรากังวลเรื่องสุขภาพ เรื่องครอบครัว การงาน และอนาคตของเรา
เมื่อรู้สึกว่าความวิตกกังวลกำลังคืบคลานเข้ามา เราจำเป็นต้องมีอุปนิสัยหันเข้าหาพระเจ้า เพื่อให้การตอบสนองของเราเป็นการตอบสนองที่เกิดจากการฝึกฝน
การตอบสนองตามธรรมดานั้นต่างจากการตอบสนองที่เกิดจากการฝึกฝน การตอบสนองตามธรรดาจะเป็นไปตามธรรมชาติ เช่น – ถ้าแตะโดนเตารีดร้อน คุณจะรีบดึงมือกลับเพราะมันร้อน การตอบสนองตามธรรมดาเป็นไปอย่างธรรมชาติ การตอบสนองจากการฝึกฝน ในอีกมุม เป็นสิ่งที่คุณใช้เวลาเรียนรู้ สอนและฝึกตัวเองจนเป็นนิสัย
เหมือนการขับรถ ตอนเรียนขับรถคุณคิดถึงทุกสิ่งที่ต้องทำ กุญแจสตาร์ท กระจกซ้ายขวาหน้าหลังก่อนเคลื่อนออกไป มองสัญญาณไฟ มองถนนก่อนเลี้ยว เปิดปิดสัญญาณไฟให้ถูกต้องเมื่อเปลี่ยนเลน ไฟแดงต้องหยุด คุณต้องคิดทุกสิ่งขณะขับรถ แต่ผ่านไปสักระยะ คุณก็ชำนาญ ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ เมื่อนั่งหลังพวงมาลัยคุณไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนี้ด้วยซ้ำไป
ลองนำตัวอย่างนี้มาใช้กับความวิตกกังวล แนวโน้มตามธรรมชาติของเราเวลาเจอปัญหาไม่ใช่การอธิษฐาน แต่กังวล บางอย่างเกิดขึ้น เราต้องเผชิญเหตุการณ์ต่างๆที่มาเป็นลูกโซ่ในความคิด – ถ้ามันเป็นอย่างนี้ล่ะ? ถ้ามันกลายเป็นอย่างนั้นล่ะ? แล้วถ้ามีเรื่องอื่นซ้ำลงมาอีกล่ะ? สิ่งที่เราต้องสอนตัวเองว่าควรทำอย่างไร – เราต้องสอนตัวเองให้อธิษฐาน
นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราทำเป็นธรรมชาติ บ่อยครั้งเมื่อเจอการต่อต้าน สัญชาตญาณแรกคือมองหาคนช่วย พระเจ้าสามารถทำการผ่านมนุษย์ได้ แน่นอนพระองค์สามารถเตรียมคนในครอบครัว เพื่อนๆ ให้มาช่วยเรา แต่ที่สุดแล้ว เราต้องหันกลับไปหาพระองค์เมื่อเผชิญปัญหา จนสิ่งนี้กลายเป็นอุปนิสัยของเรา
เหตุผลหนึ่งที่เราควรหันไปหาพระเจ้าและอธิษฐานเพราะเป็นสิ่งที่พระเยซูบอกให้ทำ พระองค์ตรัสว่า “…คนทั้งหลายควรอธิษฐานอยู่เสมอ ไม่อ่อนระอาใจ (ลูกา 18:1) แม้การอธิษฐานเป็นสิ่งยากที่จะทำ ซึ่งไม่จริง หรือเป็นสิ่งไม่น่าอภิรมย์ ซึ่งไม่ใช่ เราควรอธิษฐานเพราะพระวจนะสั่งไว้เช่นนั้น
อีกเหตุผลหนึ่งที่เราควรอธิษฐานเพราะพระเจ้ากำหนดไว้ให้เป็นช่องทางที่เราทูลขอสิ่งต่างๆได้ ผมไม่ได้บอกว่าพระเจ้าเป็นเหมือนซานตาคลอส แต่ความจริงคือพระคัมภีร์บอกว่าผมควรนำทุกสิ่งที่ต้องการเข้าเฝ้าและทูลพระองค์ เราต่างก็มีความต้องการ นี่คือสิ่งที่พระเยซูสอนในคำอธิษฐานของพระองค์
“ท่านทั้งหลาย จงอธิษฐานตามอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระบิดาแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายในกาลวันนี้ (มัทธิว 6:9–11)
พระเยซูสอนว่าเราควรเข้าเฝ้าพระเจ้าในสิ่งที่เราต้องการ คุณมีความต้องการในเรื่องใด? อธิษฐานนะครับ คุณต้องการการจัดเตรียมของพระองค์หรือไม่? อธิษฐานครับ คุณต้องการพระหัตถ์แห่งการเยียวยาหรือ? อธิษฐานครับ เข้าเฝ้าพระเจ้าในความต้องการของคุณ และพระคัมภีร์กล่าวว่า “…พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่า ท่านต้องการสิ่งทั้งปวงเหล่านี้” (ดูมัทธิว 6:32)
หนังสือยากอบ 4:2 พูดไว้อีกด้วยว่า “…ท่านไม่มีเพราะท่านไม่ได้ขอ” ลองคิดดู คุณอาจไม่เคยทราบเลยว่าพระเจ้ามีพระประสงค์อย่างไรในชีวิตคุณ คำตอบคือ – ที่ไม่ทราบเพราะคุณไม่ได้ถาม คำตอบมากมายรอคุณอยู่เพียงแค่คุณอธิษฐานทูลถามเท่านั้น ทูลถามนะครับ เรื่องร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นคือพระเจ้าตอบปฏิเสธ แต่ถ้าพระองค์ตอบรับล่ะ?
การอธิษฐานเป็นหนทางที่พระเจ้าช่วยให้เราเอาชนะความวิตกกังวลได้ อ.เปาโลเขียนว่า “อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ” (ฟีลิปปี 4:6) ท่านไม่ได้พูดว่า “ถ้าเจอเรื่องใหญ่ๆหนักๆ ค่อยอธิษฐาน” หรือ “ถ้าสถานการณ์มันย่ำแย่ลงค่อยอธิษฐาน ไม่งั้นต้องลองพยายามทำเองก่อน” ไม่เลยครับ ท่านพูดว่า “ทุกอย่าง…” นะครับ
ไม่มีเรื่องใดเล็กน้อยเกินกว่าจะนำมาร้องทูลกับพระเจ้า พระองค์ทรงสนพระทัยแม้ในรายละเอียดที่เล็กที่สุด เราชอบนึกถึงแต่เรื่องใหญ่ๆ แต่เรื่องเล็กน้อยนี้แหละจะกลายเป็นเรื่องที่ใหญ่ได้ ปัญหาเล็กๆกลายเป็นปัญหาใหญ่ๆ ไม่มีอะไรเล็กน้อยเกินกว่าจะนำมาเข้าเฝ้าพระเจ้าได้
ความวิตกกังวลไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น ที่จริงความวิตกกังวลเป็นเหมือนสายรัดคอให้เราสำลัก กระดิกกระเดี้ยไม่ได้ นี่คือสิ่งที่ความวิตกกังวลทำ มันทำให้วิญญาณคุณสำลัก สร้างอารมณ์ที่สั่นไหวแปรปรวน และเขย่าชีวิตคุณ ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น ที่จริงกลับทำให้แย่ลง
เมื่อกังวลเกี่ยวกับอนาคต คุณก็กำลังทำให้ตัวเองเป็นง่อยในปัจจุบัน วิตกกังวลไม่ได้ทำให้ความโศกเศร้าของพรุ่งนี้เลือนหาย แต่กลับทำให้กำลังของวันนี้ถดถอย ดังนั้นในวันเวลาแห่งปัญหา อย่าปล่อยให้การตอบสนองเป็นไปตามธรรมชาติ แต่ให้เป็นการตอบสนองที่ผ่านการฝึกฝนมาแล้วอย่างดีเยี่ยม – เข้าเฝ้าและอธิษฐานครับ
โดย: Pastor Greg Laurie
อนุญาตโดย Harvest Ministries with Greg Laurie
PO Box 4000,Riverside,CA92514
(Cr. ภาพ : www.ingodsimage.com)